“พาพี่กลับบ้านเถอะนะ พี่เป็นห่วงคุณพ่อ”พิมพ์ผกาหันมากระตุกยิ้มเล็กน้อยอย่างสาสมใจ
“แกจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป”
“คนไร้มนุษยธรรม คุณพ่อเลี้ยงเธอมาอย่างดี ทำไมเธอถึงอกตัญญูแบบนี้”
“ปากดีนักนะ อยากรู้นักว่าจะปากดีได้อีกสักกี่น้ำ”ดวงตาคมกริบวาววามยากจะหยั่งถึงว่ากำลังคิดอะไร
“ปล่อยนะ ปล่อย”รสรินทร์สะบัดมือพิมพ์ผกาพร้อมกับผลักออกไปอย่างสุดแรง
“พยศแบบนี้แหละดี ฉันชอบ คืนนี้นอนตรงนี้แล้วกันนะ ถ้ารุ่งเช้าเสือมันไม่คาบไปกิน เราคงจะได้กลับนอนบนที่นอนอุ่นๆ กัน”พิมพ์ผกาหมุนหลังกลับไปแล้วปลดสะพานเชื่อมต่ออีกฝากออก
“ถ้าพี่ตายแล้วเธอจะได้แก้แค้นเหรอ”รสรินทร์ตะโกนท้าทาย
“ถ้าแกตายก็มีพ่อแกอีกคนไง”รสรินทร์หยิบก้อนหินปาใส่ ใบหน้าขาวแดงกร่ำไปด้วยความโกรธ เหลียวซ้ายแลขวาพบแค่ผืนป่าวังเวงเงียบงัน คืนนี้เธอจะต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืน แล้วเธอจะผ่านความกลัวไปได้อย่างไร
“พี่รินขา หนูปวดเท้า”เด็กตัวเล็กร้องให้งอแงเดินกะเพลกเลือดซิบตรงเข้ามาหาคนตัวโตกว่า
“ตายจริง ไหนให้พี่ดูหน่อยซิค่ะ เลือดออกเต็มเลย ไม่ร้องให้นะ เดี๋ยวพี่รินจะทำแผลให้นะ ไม่ร้องนะคะเด็กดี”เด็กน้อยโผเข้ากอดร้องให้สะอื้นรสรินทร์อุ้มเด็กสาวและพาไปทำแผล
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่าคะ”รสรินทร์ถามเด็กน้อยใช้ทิชชู่ซับน้ำให้
“ไม่เจ็บแล้วค่ะ พี่รินเก่งจัง”เด็กน้อยใช้มือสองข้างโอบคอรสรินทร์ไว้แล้วจูบแก้มสองข้างเป็นการขอบคุณ
“ถ้าพี่รินเป็นแผลแบบนี้บ้าง น้องพิมพ์จะทำแผลให้พี่รินไหมคะ”
“พิมพ์จะปกป้องพี่รินไม่ให้มีบาดแผลเองนะ”
“ไม่ได้ซิ พี่รินต่างหากที่ต้องปกป้องน้องพิมพ์”
“สัญญาแล้วนะ”เด็กน้อยยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวสัญญา
“สัญญาซิ จะปกป้องตลอดไปเลย”มีรอยยิ้มแห่งความอิ่มเอมใจและความสุขลอยอบอวลทั้งยังมีเสียงหัวเราะของคนทั้งสองรวมอยู่ด้วย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมพิมพ์ถึงเป็นคนแบบนี้”ผ่านไปหลายชั่วโมงรสรินทร์ยังนั่งร้องให้อยู่ที่เดิม ความมืดเริ่มเข้ามาเยือนความสว่างเริ่มน้อยลง บรรยากาศชวนขนลุกอีกเท่าทวี เสียงหรีดหริ่งเรไรฟังดูโหยหวนเหมือนเสียงของภูติปีศาจ นานเท่านานที่เธอต่อสู้กับความหวาดกลัวภายนอกพร้อมสร้างภาพหลอนขึ้นด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง
หยาดฝนโปรยปรายที่หล่นจากฟากฟ้าเริ่มสร้างความเหน็บหนาวให้เธอ หนำซ้ำยังมีเสียงฟ้าร้องอันน่ากลัว เธอร้องให้แข่งกับเสียงฝนและฟ้าผ่าสายตาเธอตื่นกลัวอยากเหลือกำลัง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป แต่ก็เพียงเข้าข้างตัวเอง ดวงตากลมโตปิดตาลงขนตางามชุ่มด้วยน้ำตากับหยดฝนใจของเธอกร้าวกระด้างในตอนนั้นเธอตัดสินใจเอาแจกันฟาดลงศีรษะพิมพ์ผกาเธอคงจะได้หนีกลับไปหาพ่อของเธอแล้ว ทำไมเธอถึงไม่ทำ ทั้งที่มีโอกาส
พิมพ์ผกาเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยน น่าสงสาร น่าทะนุถนอมและพะเนาพะนอ อ่อนเดียงสาและไม่มีพิษมีภัยกับใคร แต่แท้จริงแล้วพิมพ์ผการ้ายยิ่งกว่าปีศาจตนไหนในโลกนี้ เธอน่าจะเชื่อคำเตือนของอภิวัฒน์ตั้งแต่แรกไม่น่าดื้อดึงที่จะมาเที่ยวป่าครั้งนี้เลย
“อ้อนวอนฉันซิ อ้อนวอนขอให้ฉันพาแกกลับ บางทีฉันอาจจะนึกสงสารแกขึ้นมาก็ได้”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้านหลังรสรินทร์เพ่งตามองด้วยความเกลียดชัง
“ให้พี่ตากฝนตายอยู่ที่นี่ก็สมควรแล้ว พิมพ์จะได้เลิกแค้นครอบครัวพี่สักที”ดวงตาไร้แววตาอรมณ์บอกออกมาเช่นนั้น พิมพ์ผกาเปิดปากหัวเราะก้องป่าแข่งกับเสียงฟ้าร้อง
“ดี นอนตายอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”พิมพ์ผกาเหยียดตัวลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินข้ามสะพานไป
“ใจร้ายใจดำ ฮือ ฮือ คนใจดำ”รสรินทร์ตะโกนใส่อย่างสุดกำลัง
“ถ้าอยากไปก็รีบตามมา ถ้าฉันดึงสะพานออกแกอาจจะไม่ได้กลับไปอีกเลยก็ได้”รสรินทร์ได้ยินดังนั้นรีบเข้ามาหาพิมพ์ผกาก่อนที่พิมพ์ผกาจะเปลี่ยนใจ
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เกิดแกป่วยขึ้นมา ฉันจะให้พวกลูกน้องฉันคอยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็ได้นะ”รสรินทร์ถ่างตากว้างด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน รีบเดินเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกาย
“ไหนเสื้อผ้าของพี่ละ”รสรินทร์ถามหาเสื้อผ้าเพราะตอนนี้เธอกำลังอยู่ในอาการหนาวจัด
“ไม่มี นุ่งผ้าขุนหนูนอนไปก็แล้วกันนะ”พิมพ์ผกานอนอ่านหนังสือสบายอยู่บนโซฟาไม่แยแสเลยสักนิดว่าเธอจะหนาวสักแค่ไหน
“พี่หนาวนะ”รสรินทร์แหวใส่แต่พิมพ์ผกาเพียงกระซิบตาปริบปรอยและเหยียดยิ้มเยาะ
“เอาแบบนี้ก็แล้วกันนะ เรามาทำให้เหงื่อออกกัน คืนนี้แกจะได้ไม่หนาวไง”เกร็ดประกายวิบวับที่ดวงตา รสรินทร์ก็รู้ความหมาย สายตาที่ไล่มองหน้าอกหน้าใจไล่ลงต่ำไปเรื่อยๆถึงเอวคอดเล็กแบบไม่เกรงใจ รสรินทร์ก้าวถอยห่างจากพิมพ์ผกาทันที
“จะหวงตัวทำไมหนักหนา แก็มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว จะมีอีกสักคนจะเป็นไรไป”
“หยุดก้าวร้าวกับพี่นะพิมพ์ พี่ชักจะทนเธอไม่ไหวแล้วนะพิมพ์”รสรินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตรงไหนที่ก้าวร้าวละ หรือจะปฏิเสธว่าตัวเองยังบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน”
“หยุดพูดสักที เรื่องบนเตียงมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการแก้แค้นเลยนะ พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมพิมพ์ถึงอยากนอนกับพี่นัก”
“ก็ตอบมาก่อนซิ ว่าพี่ยังบริสุทธิ์ไหม”
“ไม่เคยคิดถวายตัวให้ใครถ้ายังไม่แต่งงาน”
“ท่าทางจะเรื่องจริง ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วนะ”พิมพ์ผกานับนิ้วมืออย่างใจเย็น
“สามสิบสอง อายุสามสิบสองปีแล้ว ยังไม่เคยอีก ใครเขาจะไปเชื่อ”พิมพ์ผกายิ้มเยาะ
“แล้วไง ถ้าพี่ยังไม่เคยเธอจะก้มกราบเท้าพี่งามๆ เหรอ”รสรินทร์ยังคงเล่นสงครามน้ำลายกับพิมพ์ผกาทั้งที่ท้องของเธอร้องหาของกิน
“ก้มกราบแล้วก็เอาโขกพื้นหัว”
“แล้วพี่จะคอยดู”
“ฮึ ไม่มีวันนั้นแน่นอน”รสรินทร์ถลึงตาโตกระชากมือที่โอบเอวคอดของเธอออก แล้วเดินไปรื้อหาเสื้อผ้าใส่
“นั่นเสื้อผ้าของพิมพ์ แกไม่มีสิทธิ์จะใส่”พิมพ์ผกากระชากเสื้อที่อยู่ในมือเอาไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าอย่างเก่า
“แต่พี่จะใส่”รสรินทร์แย่งเสื้อผ้าทำท่าจะสวมแต่ถูกพิมพ์ผกากระโจนเข้าใส่จนล้มลงไปด้วยกัน
“อย่าเอามือสกปรกมาแตะต้องของของฉัน”ดวงตาคมวาบเหมือนพระอาทิตย์จวนใกล้จะถึงจุดระเบิด รสรินทร์หลีกเลี่ยงที่จะไม่ท้าทายเพราะเธอคงจะไม่ปลอยภัยถ้าหากทำเช่นนั้น
“เธอตัวหนักลุกขึ้นได้ไหม พี่หายใจไม่ออก”รสรินทร์ขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นแต่แขนถูกตรงแน่นไว้กับพื้น
“ครืน...”
เสียงท้องร้องของพิมพ์ผกาทำให้รสรินทร์หลุดหัวเราะออกมา พิมพ์ผกาทำเป็นตีสีหน้านิ่งและผละออกจากรสรินทร์
“อยากจะกินข้าวก็ตามมา”พิมพ์ผกาปั้นหน้าบูด
“แต่พี่ยังไม่มีเสื้อผ้าใส่เลยนะ”
“นุ่งผ้าขุนหนูต่อไป”รสรินทร์ก้มลงมองสภาพตัวเองถอนหายใจเฮือก