web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 140
Total: 140

ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ ๒๔ : คืนฤๅ.....จะราอยู่ท่าวัน  (อ่าน 1639 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทอถักอักษรา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 73
บทที่ ๒๔ : คืนฤๅ.....จะราอยู่ท่าวัน
« เมื่อ: 05 เมษายน 2014 เวลา 14:21:50 »
Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
            บทที่  ๒๔  : คืนฤๅ.....จะราอยู่ท่าวัน

แสงตะวันค่อยๆลับขอบฟ้าล่วงเข้าสู่ราตรีกาล เจ้าหญิงแห่งนครพินทุปุระในเครื่องแต่งกายตามแบบของชาวภวรัตน์ภูตานครสีงาช้างค่อยๆเคลื่อนพระวรกาย ผ่านวรกายบอบบางของเจ้าหญิงมณีจันทร์ซึ่งทรงบรรทมหลับบนพระแท่นบรรจถรณ์ข้างๆกัน ทรงพระราชดำเนินออกจากพระตำหนักที่ทรงประทับรักษาพระวรกายด้วยความเงียบกริบไปยังชายป่าท้ายพระราชวังเพื่อชมจันทร์
ริมธารน้ำทิพย์ธารายามค่ำในคืนเดือนเพ็ญ แสงจันทรานวลส่องทั่วท้องป่าดวงเนตรของเจ้าหญิงนลินยุพาทรงแลเห็นศศิธรมีสองดวง ดวงหนึ่งลอยเด่นอยู่กลางเวหา ส่วนอีกดวงหนึ่งก็พลิ้วไหวอยู่ในห้วงธาราที่กระเพื่อมไปตามจังหวะน้ำไหล ม่านหมอกโปรยตัวฉาบผืนป่าทีละน้อย ทรงเดินย่ำไปบนก้อนหินหลากหลายสี น้ำใสเย็นเฉียบที่พระบาทก้าวระไปมีแรงกระเพื่อมมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าใกล้น้ำตก
หินน้อยใหญ่เรียงกันขึ้นไปเป็นชั้นรองรับสายน้ำจากผืนป่าชอุ่ม เสียงน้ำตกกระทบก้อนหินดังแซ่ ก้องทั่วผืนป่าระงมไปด้วยเสียงจักจั่นเรไร  กลิ่นดอกแก้วโชยอ่อนมาตามสายลม  ในสายธารแม้มีเพียงแสงสลัวแต่ก็มองเห็นฝูงปลาเล็กใหญ่ เกล็ดของมันวาววับสะท้อนแสงหลายสีดั่งอัญมณีมีชีวิตแหวกว่ายไปมาทั่วท้องธารา  ละอองน้ำใสแตกกระเซ็นจากสายน้ำที่ตกกระทบหินลอยทั่ว สะท้อนแสงขาวนวลจากดวงจันทร์เป็นประกายระยิบระยับราวกับรัตนชาคิสูงค่ากำลังล่องลอยมากมายเหลือคณา
   ดอกแก้วส่งกลิ่นอบอวลทั่วอาณาบริเวณ เจ้าหญิงต่างนครทรงสอดส่ายพระเนตรเพื่อตามหากลิ่นดอกไม้งาม ขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปยังพงไม้ริมธารน้ำที่มีกลิ่นดอกไม้ตลบอบอวลกว่าแห่งอื่น ร่างบางก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
   เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายพระเนตร คือ สตรีร่างบอบบางที่กำลังยืนมองดูดวงจันทร์เบื้องบน สตรีที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายกับพระองค์ราวกับคนๆเดียวกัน จักต่างกันก็เพียงสีของชุดทรงที่นางสวมใส่ และพระเกศาดำขลับยาวสลวยที่อีกฝ่ายเกล้าเป็นมวยสูงกลางพระเศียรกลัดไว้ด้วยพระเกี้ยวทองคำประดับทับทิม และประดับเศียรด้วยศิราภรณ์ทรงกระบอก มีกระบังหน้าลายวิจิตร ส่วนพระองค์นั้นเพลานี้ทรงปล่อยพระเกศาดุจดังเส้นไหมให้สยายลงมาเท่านั้น
   เจ้าหญิงนลินยุพาทรงยืนมองผู้ที่อยู่เบื้องพระพักตร์ด้วยพระอาการตกตะลึง เพราะคาดมิถึงว่า จักได้ทรงพบผู้ที่คล้ายกับพระองค์ถึงเพียงนี้ พระธิดาจากดินแดนแห่งอารยะธรรมขอมโบราณทรงกระทำได้เพียงประทับนิ่งอยู่กับที่ราวต้องมนต์ ทว่าขณะนั้นเองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ในชุดทรงสีแดงเพลิงได้หันหน้ามามอง เมื่อทรงหันมาเจอก็ทรงแย้มพระโอษฐ์บางให้ แม้ภายในพระทัยจะทรงตื่นตะลึงมิต่างกันที่มีผู้ละม้ายคล้ายพระองค์ถึงเพียงนี้
    “นี่เราฝันไปดอกหรือนี่ ท่านเป็นผู้ใดฤๅ ใช่มนุษย์ฤๅไม่” พระสุรเสียงแผ่วเบาลอดผ่านพระโอษฐ์งามของเจ้าหญิงนลินยุพา เมื่อเจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงได้ยินก็ทรงเกือบกลั้นพระสรวลไว้มิได้
   “ท่านหาได้ฝันไปไม่ เราคือเจ้าหญิงวิรัลยุพิน พระธิดาของกษัตริยาผู้ครองนครแห่งนี้ เราเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านกับนางอีกผู้หนึ่งเอาไว้ และที่สำคัญเราเป็นมนุษย์ดุจเดียวกับท่าน”
   “ถ้าเยี่ยงนั้นเราขอขอบพระทัยท่านที่ช่วยชีวิตเรากับน้องหญิงมณีจันทร์เอาไว้ เรามีนามว่า เจ้าหญิงนลินยุพา พระธิดาของนครพินทุปุระ ส่วนน้องหญิงมณีจันทร์ นางเป็นพระธิดาแห่งนครปุปผาลัย” ตรัสพร้อมๆกับที่พระอัสสุชลค่อยๆคลอในเบ้าพระเนตรจนไหลอาบพระพักตร์เมื่อนึกถึง
   “ท่านกรรแสงฤๅ เป็นอันใด” เจ้าหญิงวิรัลยุพินตกพระทัย เมื่อสังเกตว่าพระอัสสุชลค่อยๆไหลอาบพระพักตร์งามของเจ้าหญิงผู้นั้นซึ่งมีพระพักตร์ดุจเดียวกับพระองค์
   “มิมีอันใดดอกท่าน เราเพียงแต่...” ตรัสพร้อมกับทรงใช้ปลายพระดัชนีค่อยๆเช็ดน้ำเนตรออกจากพระพักตร์นวล
“ทรงตรัสกับผู้ใดเพคะพระธิดา” เสียงหวานของหญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้น  ใบหน้างามผุดผาดราวแสงจันทร์ตัดกับเส้นผมสีดำขลับอันละเอียดสีดำขลับที่ยาวประบ่าอันกลมกลึงอวบอิ่ม นางห่มสไบแพรสีน้ำทะเล นุ่งผ้าทอยกพื้นสีน้ำเงินปักดิ้นเงิน คล้องสร้อยทับทิมสีแดงเส้นไม่ใหญ่นัก สะพายเฉียงไหล่ ถือพระสุพรรณภาชน์ทองคำบรรจุพระกระยาหารว่างมาวางไว้ตรงศิลาใหญ่ริมธารน้ำซึ่งรายรอบด้วยศิลาเล็กๆ
เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงจูงพระกรของเจ้าหญิงนลินยุพาให้ประทับเคียงข้างพระองค์บนศิลาเล็กที่ตั้งไว้ต่ำกว่าศิลาใหญ่
“เจ้าหญิงนลินยุพาที่เราช่วยไว้เยี่ยงไรเล่า ว่าแต่เพลานี้ เจ้ามีกระไรมาให้เราเสวยฤๅยอดหญิงแห่งเรา” ตรัสถามพร้อมกับทรงโอบกอดร่างบางของนางเอาไว้  พระนาสิกจรดไปที่แก้มนวลอย่างหลงใหล
‘เจ้าหญิงวิรัลยุพินกับภัทรวดีเป็นคนรักกัน เยี่ยงเดียวกับเราและน้องหญิงเป็นแน่แท้’ เจ้าหญิงนลินยุพาทรงทอดพระเนตรแล้วทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ ก่อนเบนพระเนตรทอดไปทางธารน้ำทิพย์วารีอันงดงาม
“ล่าเตียงเพคะ ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะพระธิดาเจ้าหญิงนลินยุพาทรงทอดพระเนตรอยู่นะเพคะ” ล่าเตียง พระกระยาหารว่างที่นางใช้ความประณีตบรรจง ในการปรุงแต่งให้พระกระยาหารให้มีหน้าตาออกมาวิจิตรงดงามชวนเสวยเพื่อพระธิดาอันเป็นที่รักของนาง
   “ขออภัยนะท่าน ภัทรวดีเป็นคนรักของเรา เพลาใดที่เห็นนาง เราก็อดที่จะชื่นชมมิได้... ท่านอาจจะรังเกียจเราที่จิตใจของเราฝักใฝ่อิสตรีเยี่ยงเดียวกัน แต่เรื่องความรักมันห้ามมิได้ดอกนะท่าน” เจ้าหญิงวิรัลยุพินตรัสด้วยพระสุรเสียงเศร้าก่อนปล่อยภัทรวดีให้เป็นอิสระ พระพักตร์สลดวูบเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามิควรแสดงความรักผิดแผกให้ผู้ใดเห็น
   “มิได้เพคะเจ้าหญิงวิรัลยุพิน เรามิได้รังเกียจท่านทั้งสองดอก ความรักเป็นสิ่งงดงาม เรายินดีกับท่านทั้งสองที่ความรักของท่านมิมีผู้ใดขัดขวาง ต่างจากความรักของเรา อุปสรรคชั่งมากมายเหลือคณา...”
   “ถ้าเราเดามิผิด เจ้าหญิงมณีจันทร์เป็นคนรักของท่านใช่ฤๅไม่...” พระธิดาแห่งเจ้าผู้ครองนครตรัสถาม พระเนตรของสองนางซึ่งมีพระพักตร์ดุจเดียวกัน สบกันนิ่งนาน
   “เพคะ นางเป็นยอดชีวาของเรา หากแต่...ความรักของเรากับนางมิอาจบอกให้ผู้ใดรับรู้...มิเหมือนท่านทั้งสอง”
   “เชิญท่านเสวยล่าเตียงกับเราด้วยเพคะ ล่าเตียงฝีมือภัทรวดีมิเป็นสองรองผู้ใดในนครแห่งนี้...” พระนางตรัสให้เจ้าหญิงต่างเมืองเสวยล่าเตียงร่วมกับพระองค์ ภัทราวดีรินพระมธุวารีที่กลั่นจากเกสรดอกไม้หอมหวานละมุนพระชิวหาให้พระธิดาทั้งสองนาง ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องส่ว่างทั่วท้องนภาและผืนน้ำ
   “ขอบพระทัยท่านมาก...” ตรัสพร้อมแย้มพระโอษฐ์บางให้ทั้งสองนาง รสชาติล่าเตียงของภัทรวดีอร่อยละมุนสมกับคำเชื้อเชิญ
“ท่านเล่าให้เราฟังได้รึไม่ เราอยากรู้เหตุใดท่านกับนางจึงมาสลบอยู่ที่ธารน้ำแห่งนี้ได้...” วิรัลยุพินธิดาตรัสถามเบาๆ
เจ้าหญิงนลินยุพาทรงตรัสเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทั้งสองพระองค์ทรงประสบ ให้พระธิดาวิรัลยุพินทรงสดับ
“ท่านมิต้องกริ่งเกรงสิ่งใด นครเราบุรุษหาได้เข้ามาได้ไม่ ถึงเข้ามาได้ ทหารหาญนครเราจักปกป้องท่านทั้งสองมิได้ผู้ใดทำภยันตรายได้ ท่านมิต้องกังวล”
“ขอบพระทัยท่านยิ่ง พระกรุณานี้เราและนางอันเป็นที่รักจักมิลืมชั่วชีวี....”
 “มิต้องขอบใจเราดอก ท่านมีพักตราดุจเดียวกับเรา คงมิใช่เรื่องบังเอิญ เรากับท่านอาจมีวาสนาต้องกัน เราจักถือว่าท่านเป็นพี่น้องเรา เทพยดาที่สถิต ณ สถานที่แห่งนี้โปรดเป็นพยาน เรา เจ้าหญิงวิรัลยุพินจักขอเป็นพี่น้องกับเจ้าหญิงนลินยุพา ตลอดไปทุกชาติทุกภพ...” ตรัสและทรงยกจอกพระมธุวารีขึ้นดื่มเพื่อสาบานต่อเทวดาฟ้าดิน
“เราก็จักขอเป็นพี่น้องกับเจ้าหญิงวิรัลยุพิน ตราบเท่าฟ้าดินมลาย...” เจ้าหญิงแห่งนครพินทุปุระทรงยกจอกพระมธุวารีขึ้นดื่มเพื่อสาบานต่อเทวดาฟ้าดินเช่นเดียวกัน
เจ้าหญิงทั้งสององค์ทรงประทับบนศิลาอ่อนทรงเสวนากันท่ามกลางศศิธรที่สาดส่องทั่วท้องนภาและทาบทับลงบนผืนน้ำของธารน้ำทิพย์ธารา  ค่อนคืนเมื่อดวงเดือนคล้อยต่ำ เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงจูงเมฆาราชพาชีเคียงข้างกับเจ้าหญิงนลินยุพาที่พระราชดำเนินขนาบเบื้องซ้ายและภัทรวดีที่เดินขนาบด้านขวา ก่อนที่จะทรงแยกย้ายกันกลับพระตำหนัก พระทัยของเจ้าหญิงนลินยุพาแช่มชื่นขึ้น เพราะตราบใดที่พระองค์และเจ้าหญิงมณีจันทร์ยังทรงประทับอยู่ที่นครแห่งนี้ ความรักของทั้งสององค์จะยังคงมั่นตลอดกาล
         ...............................................................

สุริยาสีชาดโผล่พ้นขอบนภาส่องแสงสีทองทาบทับทะเลหมอกเป็นประกายระยิบระยับ  ต้นไม้สูงสล้างชูยอดสลอนเขียวชอุ่ม เบื้องล่างไม้พุ่มออกดอกไสวส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล แต่ชาวนครมิมีผู้ใดใคร่ชื่นชม เหตุเพราะเพลานี้พินทุปุระนครตกอยู่ในความโกลาหล เนื่องจากการหายพระองค์ไปของเจ้าหญิงนลินยุพาและเจ้าหญิงมณีจันทร์ ทหารทุกหมู่เหล่าทั้งจากพินทุปุระนครและนครบุปผาลัยต่างออกติดตามพระมเหสีและพระขนิษฐาอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าชายอติรัณณ์
การเสด็จหนีไปของเจ้าหญิงนลินยุพา ยังไม่สร้างความรวดร้าวในพระทัยให้แก่เจ้าชายอติรัณณ์เทียบเท่าความจริงที่ว่า พระน้องนางของพระองค์นั่นแล เป็นผู้ที่พระนางทรงพึงใจถึงขั้นหนีตามกันไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตามหานางทั้งสองให้พบ ไม่ว่าพวกนางจะอยู่หนใด” ทรงประกาศก้อง
ฝ่ายท้าวชัยวรเมธกับพระนางสวรินทร์เทวีพระมเหสีคู่บุญบารมีเองก็ร้อนพระทัยยิ่งนัก มิต่างจากท้าวชัยวรรธนะกับพระมเหสีศุภาวลัยเทวีซึ่งทรงเป็นห่วงเจ้าหญิงมณีจันทร์เยี่ยงเดียวกัน มิได้ห่วงความเป็นอยู่ของพระธิดาแต่เพียงเท่านั้น แต่ทรงเป็นห่วงว่า หากพระโอรสทรงติดตามพระธิดาพบ เจ้าชายอติรัณณ์อาจจะทรงลงทัณฑ์พระขนิษฐาอย่างไร้ซึ่งความปราณี...
พระเจ้าชัยวรเมธทรงเสด็จพระราชดำเนินยังม่านน้ำในป่าลึกจุดที่พบอินทรอาชา ทรงไหว้วอนสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่สถิต ณ สถานที่แห่งนี้ให้ปกปักรักษาพระราชธิดาและพระภาคิไนย๑ ให้ปลอดภัย
องค์เหนือหัวแห่งนครพินทุปุระ ทรงเสด็จประทับเหนือม่านน้ำที่มีขนาดมหึมา สายน้ำสาดกระเซ็นกระทบหินแตกเป็นละอองระยิบระยับสวยงาม พระองค์มาประทับที่ริมผาน้ำตกที่เพลานี้ไอหมอกปกคลุมอยู่ทั่ว ความหลังที่พ้นผ่านมานับทศวารล่องลอยเจ้ามาในกระแสสำนึก
‘นลินยุพา...พ่อเชื่อว่าลูกกับหลานมณีจันทร์จักต้องปลอดภัย’ ทรงนึกในพระทัยก่อนที่จะเสด็จกลับพระนคร
“เสด็จพี่ พบลูกรึไม่เพคะ” พระนางสวรินทร์เทวีทรงตรัสถามทันทีที่พระสวามีเสด็จเข้ามาในพระตำหนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นพระนางก็มิเป็นอันกินอันนอน ทรงเฝ้ารอพร่ำภาวนาให้พระธิดาเสด็จกลับมา
“ไม่พบดอก แต่น้องมิต้องห่วงไปหรอก อย่างไรเสียลูกเราก็จักต้องปลอดภัย” พระเจ้าชัยวรเมธทรงตรัสปลอบพระทัยพระมเหสี
“พระองค์ทรงมั่นพระทัยฤๅเพคะ” พระนางทรงตรัสถามด้วยความไม่แน่พระทัย
“พี่มั่นใจว่าลูกและหลานมณีจันทร์จักปลอดภัย น้องมิต้องกังวล อย่างไรเสียพระนางภวรัตน์เทวีมิมีทางทำร้ายพวกนางเป็นแน่...” ท้าวชัยวรเมธทรงตรัสกับพระมเสีด้วยความมั่นพระทัย แต่กลับสร้างความหนักพระทัยให้แก่พระนางสวรินทร์เทวียิ่งนัก
ขณะเดียวกันพระราชธิดาและพระภาคิไนย๑ ที่ทั้งสองพระองค์กำลังทรงระลึกถึง กำลังทรงประทับเคียงข้างกันบนพระราชอาสน์ทองคำภายในรัตนอุทยาน อุทยานหลวงอันกว้างใหญ่อันรื่นรมย์แห่งนครภวรัตน์ภูตา เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงเชิญชวนให้พระสหายทั้งสองพระองค์ชมความงามของอุทยานด้วยกันกับพระองค์ ซึ่งเพลานี้ทั้งสวนหลวงกำลังถูกปลุกจากยามราตรีด้วยแสงสีทองที่ทอผ่านปุยเมฆขาวลงกระทบละอองน้ำใสบนยอดหญ้าเขียวขจีเป็นประกายระยิบระยับ แมลงภู่ผึ้งที่ตื่นจากนิทราเริ่มต้นวันใหม่ ต่างโผบินท่ามกลางอากาศเย็นบริสุทธิ์มาเกาะเกสรหาน้ำหวานจากดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ที่บานสะพรั่งทั่วอุทยาน ภูเขาดูเลือนลางจากม่านหมอกแต่ก็ทำให้อุทยานแห่งนี้งดงามดุจดังภาพเขียนจากจิตรกรฝีมือเอก
ทางเดินกว้างราวหนึ่งวายาวหลายเส้นคดเคี้ยวไปตามกลุ่มพรรณไม้ต่างๆ ทั่วอุทยาน ทั้งที่เป็นพุ่มเตี้ยและยืนต้น เหล่าพรรณไม้ครึ้มทั่วบริเวณราวกับอุทยาน มีทั้ง  ต้นศรีตรังที่ออกดอกสีฟ้าดูสดใสแช่มชื่นรับยามแรกอรุณสุพรรณิการ์ออกดอกเหลืองอร่าม ลีลาวดีลูกศร  มะลิ มะลุลี จำปี จำปา วาสนา การเวก ซ่อนกลิ่น พญาหงส์ ที่ออกดอกขาวสล้าง กุหลาบสายพันธุ์ต่างๆที่แข่งกันเบ่งบานหลากหลายสีสัน ส่งกลิ่นหอมตรลบอบอวล ผีเสื้อ แมลงปอ หมู่ภมร หลากหลายชนิดต่างบินว่อนเชยชมบุปผางาม
น้ำในสระเต็มเปี่ยม ปทุมมาในสระชูสล้างอยู่เหนือน้ำใส ยางกอออกดอกสีขาวบริสุทธิ์ บางกอดอกสีขาวแกมเหลือง หลายกอสีชมพูระเรื่องดงามจับตา ชูช่อส่งกลิ่นหอมตรลบอบอวลไปทั่วบริเวณอุทยานและฟุ้งไกลไปทั่วพระราชวัง หมู่มัจฉาภายในสระ ทั้งปลาเงินปลาทอง ปลาสวยงาม ขนาดเล็กใหญ่หลากสีสันแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำเอื่อย ปลาที่มีเกล็ดสีทองดีดตัวขึ้นจากผิวน้ำ  แสงจันทร์ทาบส่องแสงกระทบผิวน้ำ
ในขณะที่พระราชธิดาต่างพระนครทั้งสองพระองค์ทรงกำลังเชยชมความงามอุทยานอยู่นั่นเอง ขบวนเสด็จของพระนางภวรัตน์ภูตาเทวี กษัตริยาผู้ครองนครพร้อมนางกำนัลคนสนิทนับสิบนาง พระนางทรงเครื่องกษัตริย์ทอด้วยเส้นทองประดับเครื่องเพชรพลอยอร่าม พระพักตร์ของพระนางดุจเดียวกับพระราชบุตรีหากแต่แก่พรรษากว่า พระนางทรงพระราชดำเนินด้วยท่วงท่างามสง่าประดุจนางพญา เสด็จมาประทับอยู่บนบัลลังก์ภวรัตน์ภูตานครเบื้องพระพักตร์ของเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์
“สำราญใจดีรึ เจ้าหญิงทั้งสอง” พระนางทรงตรัสหลังจากทรงประทับเรียบร้อยแล้ว
“เสด็จแม่ทรงทราบได้เยี่ยงไรเพคะ...” เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงสั่น มินึกว่าพระราชมารดาจะทรงทราบความรวดเร็วถึงเพียงนี้
“มีอันใดที่เกิดในนครแห่งนี้ แล้วแม่ไม่รู้บ้างรึลูก” ตรัสพร้อมทรงแย้มพระโอษฐ์งามเปี่ยมด้วยความเมตตา หากพระทัยกลับครุ่นคิดหนักเมื่อทอดพระเนตรพระพักตร์ของเจ้าหญิงนลินยุพา
“เจ้าทั้งสองเป็นผู้ใด มีนามว่ากระไรเหตุอันใดจึงมาไร้สติอยู่ ณ ธารน้ำทิพย์ธาราได้” พระนางทรงตรัสถามด้วยพระสุรเสียงหวานเปี่ยมไปด้วยความกรุณา
“หม่อมฉันมีนามว่านลินยุพาเป็นพระธิดาของท้าวชัยวรเมธกับพระนางสวรินทร์เทวีพระมหากษัตริย์ผู้ครองนครพินทุปุระเพคะ ส่วนน้องหญิงมณีจันทร์นางเป็นพระธิดาของท้าวชัยวรรธนะกับพระมเหสีศุภาวลัยเทวีผู้ครองนครบุปผาลับเพคะ” เจ้าหญิงนลินยุพาทรงตรัสตอบ
“เจ้ายังมิตอบเราว่าเหตุอันใดจึงมาไร้สติอยู่ ณ ธารน้ำทิพย์ธารา” เป็นนานกว่าพระนางจะตรัสถามต่อ พระนางทรงรู้สึกเสียพระทัยเพื่อได้ยินพระนามของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น
“หม่อมฉันกับเจ้าพี่นลินยุพาหนีการอภิเษกมาเพคะ...” เจ้าหญิงมณีจันทร์ทรงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียง พระอัสสุชลคลั่งคลอในเบ้าพระเนตร
“หนีงานการแต่งงาน เพราะเหตุใดกัน...” พระนางตรัสถาม ในขณะที่เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ทรงกรรแสงเงียบๆ พระอัสสุชลไหลอาบพระพักตร์
“เอาเถอะๆ มิต้องตอบเราหรอก พวกเจ้าทั้งสองมิต้องกริ่งเกรงสิ่งไร...อยู่ที่นครแห่งนี้ เราจะประกาศให้ชาวนครรับรู้ว่าพวกเจ้าทั้งสอง คือ พระราชธิดาแห่งเราเหมือนกับลูกหญิงวิรัลยุพิน” ตรัสพร้อมเอื้อมพระหัตถ์มาลูบพระเกศาของทั้งสองนางด้วยความเอ็นดู
“เป็นพระกรุณาเพคะ พระราชินี” พระนางทั้งสองตรัสพร้อมถวายบังคมด้วยความทราบซึ้งในพระราชกรุณา
“เรียกแม่ว่าแม่สิลูก แม่รับลูกทั้งสองเป็นพระธิดาแล้ว”
“เพคะเสด็จแม่” ตรัสพร้อมแย้มพระโอษฐ์ทิ้งที่น้ำพระเนตรยังอาบพระพักตร์
         ......................................................................

ยามนั้นเป็นเพลาดึกดื่นค่อนคืนแล้ว  พระจันทร์เสี้ยวสีเงินแขวนอยู่บนผืนฟ้า  แสงอันสลัวรางสาดส่องลงมาที่เฉลียงน้อย ณ ตำหนักของเจ้าหญิงนลินยุพากับเจ้าหญิงมณีจันทร์ เจ้าหญิงวิรัลยุพินทรงจูงพระกรของงพระนางอันเป็นที่รักให้เสด็จพระราชดำเนินตามพระองค์ไปยังชายป่าเหนือพระราชวัง   
“เราจะไปแห่งใดเพคะเจ้าพี่” ตรัสถามขณะเสด็จพระราชดำเนินมาชั่วครู่แล้ว
“ชมจันทร์เยี่ยงไรล่ะเจ้า น้องโปรดมิใช่ฤๅ”
“เพคะ น้องยินดีที่เจ้าพี่ทรงจำได้ว่าน้องโปรดสิ่งไร...”
พระธิดานลินยุพาทรงจูงพระกรบางของเจ้าหญิงมณีจันทร์ลัดเลาะไปตามทางป่าด้านล่าง เสียงน้ำตกลงกระทบผิวน้ำดังเซ็งแซ่  ธารน้ำทิพย์ธารายามค่ำในคืนเดือนเพ็ญ แสงจันทรานวลส่องทั่วท้องป่าดวงเนตรของเจ้าหญิงมณีจันทร์ น้ำที่ตกลงมาไหลรินมาจากฟากฟ้า  เมื่อแหงนหน้ามองก็จะพบเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ น้ำที่ตกลงมาสู่ธารน้ำเบื้องล่างเป็นม่านน้ำขนาดใหญ่ละอองสีทองที่จับอยู่บนผิวน้ำส่องประกายระยิบระยับ  สวยงามราวเมืองในฝัน อุ้มผ่านเข้าไปในร่องของผาหินกว้างทะลุม่านน้ำตกออกมาเป็นธารน้ำกว้าง ผืนน้ำเป็นสีมรกตทั้งเย็นฉ่ำและใสราวกระจก นกตัวเล็กตัวน้อยโบยบินส่งเสียงจิ๊บๆ เคล้าคลอไปกับสายน้ำ
เสียงน้ำตกกระทบธารน้ำดัง ซู่ซ่า นกน้อยเกาะกิ่งไม้จับคู่ร้องเพลง ฝูงปลาเล็กใหญ่หลากสีสันแหวกว่ายธารน้ำ ปลาที่มีเกล็ดสีทองดีดตัวขึ้นจากผิวน้ำ  แสงจันทราทาบส่องแสงกระทบธารน้ำสีมรกตให้ใสจนเห็นหมู่ปลาแหวกว่ายอยู่เต็มท้องธารา
“งดงามมากเพคะ...” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสอย่างต้องมนต์สะกดของธารน้ำ
“ดวงเดือนบนท้องนภางดงามยิ่ง แต่มิงามเท่าดวงจันทร์ที่อยู่ข้างๆพี่ดอกเจ้า” ตรัสพร้อมสบเนตรหวานซึ้ง เจ้าหญิงมณีจันทร์สะเทิ้นอายยิ่ง ทรงผละจากอ้อมพระกรอุ่นของพระพี่นาง เสด็จลงไปแหวกว่ายธารน้ำอย่างสำราญพระทัย เจ้าหญิงนลินยุพาทรงตามลงไปแหวกว่ายธารน้ำเคียงข้างกัน
พระราชธิดาทั้งสองนางต่างเปียกปอน ผ้าสไบและผ้านุ่งแนบสนิทไปกับเรือนร่าง เจ้าหญิงมณีจันทร์แหวกว่ายธารน้ำท่ามกลางฝูงปลาที่เคล้าคลออย่างมีความสุข น้ำใสทำให้มองเห็นเรือนร่างได้ทั่วสารพางค์ ผิวขาวผ่องเป็นยองใยอวบอิ่มไร้มลทิน  ผมยาวดำขลับตัดกับสีผิวสยายพาดจากบ่าทิ้งลงมาปิดเนินอกกลมกลึงก่อนแผ่ตัวไปบนผิวน้ำที่เต้นระบำเป็นจังหวะยามแหวกว่าย  ความงามของท้องน้ำและฝูงปลาหลากสีสันพาให้เพลิดเพลิน
เจ้าหญิงนลินยุพาทอดสายตาจ้องมองเรือนร่าง ไฟปรารถนาลุกโชน จุมพิตที่เร่าร้อนด้วยไฟปรารถนาบดเบียดริมฝีปากบาง  พระโอษฐ์สีทับทิมบางอุ่นลากผ่านถึงลำคอ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารด พระหัตถ์ทั้งสองข้างลูบไล้ส่วนโค้งนูน พระนางโอบกอดจุมพิตไซร้ไปทุกสัดส่วน ความปรารถนาที่ซ่อนเร้นลุกโชนไม่มีทีท่าว่าจะดับโดยง่าย
“พลางอุ้มจุมพิตสนิทถนอม         งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน            แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนท์
ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก            ลั่นพิลึกโลกาโกลาหล
จิ๊บดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล            ไม่มีคนไขดังเสียงวังเวง
อัศจรรย์ลั่นดังระฆังฆ้อง            เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง
ปืนประจำกำปั่นก็ลั่นเอง            เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน
สุนีบาตฟาดเสียงเปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง         กระดองเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน
ทุกธารถ้ำน้ำพุทะลุล้น            ท่วมถนนแนวฝั่งเกาะลังกา”๒
         ........................................................................

๑ พระภาคิไนย หมายถึง หลาน (ลูกของพี่, ลูกของน้อง)
๒  จาก นิทานคำกลอน เรื่อง พระอภัยมณี บทประพันธ์ของขุนสุนทรโวการ (ภู่)






 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.