ปาฏิหาริย์สายธารแห่งรัก Yuri
ตอนที่ ๓ : ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
ในมุมหนึ่งของร้านขายเสื้อผ้าชุดนักศึกษายอดนิยมจากหมู่นักศึกษา ในจังหวัดเล็กๆของภาคอีสาน กานต์พิชชากำลังเลือกชุดนักศึกษาในร้านค้าแห่งนี้กับศิรภัสสร เพื่อเป็นการฉลองที่กานต์พิชชาออกจากโรงพยาบาล หลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหลายวัน เธอเดินเลือกชุดนักศึกษาตามมุมต่างๆ ภายในร้านอย่างเพลิดเพลิน
“ผึ้ง !”
เสียงเรียกค้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้มือของกานต์พิชชาที่กำลังเลือกชุดนักศึกษาอยู่นั้นชะงักลงไป เธอหันหลังกลับไปมอง และพบกับภาพของหญิงสาวและชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซึ่งทำให้กานต์พิชชาอยากให้ตัวเองหายไปจากตรงนั้นถ้ามันเป็นไปได้ เพราะหนึ่งในนั้น คือ อดีตคนรักที่เธอรักมากที่สุด และยังคิดถึงทุกลมหายใจ ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนสนิทที่เธอรักและไว้ใจที่สุด แต่ทั้งคู่ก็ได้ตอบแทนความรักและความไว้ใจของเธอ ด้วยการสวมเขาให้อย่างเลือดเย็น โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บปวดและทุรนทุรายเพียงใด เมื่อหายตัวไปจากตรงนั้นไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอคือ เดินเลี่ยงไปโดยไม่ทักทาย
“ผึ้ง ! เดี๋ยวสิผึ้ง หนิงกับต้นอยากคุยกับผึ้งจริงๆนะ” ปภาวรินทร์ดึงมือของกานต์พิชชาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินหนีไป
“ขอร้องนะผึ้ง แกฟังฉันกับหนิงสักนิดหนึ่งก่อนได้ไหม” เต็งหนึ่งพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาจะเดินหนีไปท่าเดียว
“แต่เราไม่มีอะไรจะคุย !” กานต์พิชชาพูดและพยายามหลบสายตาของปภาวรินทร์ เพราะกลัวว่าหากเผลอสบสายตาคู่นั้นเข้า ความรักความคิดถึงที่เธอแอบซ่อนอาไว้มันจะแสดงออกมาผ่านนัยน์ตาของเธอเอง
“คุยกับใครเหรอผึ้ง” เสียงของศิรภัสสรที่ดังขึ้นทำให้กานต์พิชชารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เธอไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอึดอัดเพียงลำพัง
“นี่พวกเธอสองคนเองเหรอ แล้วนี่มายุ่งกับเพื่อนฉันทำไม ยังทำให้ผึ้งมันเสียใจไม่พออีกเหรอ” เมื่อเดินถึงที่ทั้งสามคนยืนอยู่ ศิรภัสสรถึงกับอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นปภาวรินทร์กับเต็งหนึ่งกำลังคืนคุยกับกานต์พิชชา
“อัยย์ พวกเราแค่อยากอธิบายเรื่องที่....” ปภาวรินทร์พยายามพูดกับศิรภัสสรแต่พูดยังไม่ทันจบศิรภัสสรก็แย้งขึ้นเสียก่อน
“แต่ผึ้งไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ ไปผึ้งกลับห้องกันดีกว่า เสื้อผ้าไม่ต้องซื้อมันแล้วบรรยากาศไม่เป็นใจ” พูดจบศิรภัสสรก็ดึงมือกานต์พิชชาออกไปจากร้านทันที
ทางด้านปภาวรินทร์และเต็งหนึ่งก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่กานต์พิชชาไม่ยอมพูดจากับพวกตน อีกทั้งยังมีศิรภัสสรคอยกันท่าอีก และเมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองเจ้าของร้านที่มองตาเขม็งอย่างไม่พอใจที่ทำให้ต้องเสียลูกค้าไปถึงสองคน ปภาวรินทร์จึงตัดสินใจเลือกชุดนักศึกษาที่กานต์พิชชาเลือกค้างไว้เมื่อสักครู่นี้ด้วยความหวังว่าสักวันจะให้มอบให้กานต์พิชชาได้ใช้เผื่อว่ากานต์พิชชาจะนึกทบทวนถึงวันเก่าๆแล้วกลับมาคืนดีกับเธอดังเดิม
………………………………………..…………….
เมื่อกลับมาถึงหอพักอีกครั้งกานต์พิชชาก็เอาแต่นั่งเหม่อและไม่พูดไม่จากับใคร ทำให้ศิรภัสสรกับอาทิตยาได้แค่มองหน้ากันด้วยความสงสารปนระอาใจเพราะทราบดีว่าเพื่อนรักนั้นเฝ้าคิดถึงปภาวรินทร์มากเพียงใดแต่เหตุฉไนเมื่อยามได้เจอหน้าปภาวรินทร์เข้าจริงๆกานต์พิชชากลับทำเหมือนคนไม่รู้จักเสียอย่างนั้นจนศิรภัสสรต้องพาหนีออกมาอย่างวันนี้
“ผึ้ง ! แกคิดจะพูดอะไรบ้างไหมเนี่ย นั่งเงียบแบบนี้มันเหมือนไม่ใช่แกเลยนะเว้ย !” เสียงอาทิตยาดังขึ้นเมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาคงอยู่มีอาการนิ่งเงียบแบบนั้นอีกนาน
“นั่นสิ แกนะต่อหน้าเขาก็ทำเหมือนเกลียดเข้ากระดูกดำแต่ลับหลังกลับโหยหาเขาแทบแย่” ศิรภัสสรพูดขึ้นมาบ้าง
“ถ้าพวกแกสองคนเคยโดนเพื่อนสนิทแย่งคนรักไป แล้วแกจะเข้าใจว่าทำไมฉันจึงทำใจไม่ได้เมื่อเห็นสองคนนั้น” กานต์พิชชาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้า
“เออๆ ไม่อยากเถียงกับแกแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่าเอ แล้วแกจะไปไหมวะผึ้ง ถ้าแกไม่ไปพวกฉันไปแล้วนะ” เมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาส่ายหน้าแทนคำตอบ ศิรภัสสรกับอาทิตยาจึงพากันออกไปหาอาหารรับประทานข้างนอก
กานต์พิชชานั่งคิดอะไรต่อสักพักก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกร้องหาอาหารจากกระเพาะที่กรีดร้องขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอจึงรีบเปิดประตูห้องออกไปในทันทีโดยไม่ได้คิดว่าจะมีใครเดินผ่านห้องของเธอหรือเปล่า
“อัยย์ เอ ฉันไปด้วย” พูดจบกานต์พิชชาก็พรวดพราดออกไปจากห้องทันที
“โป๊ก ! โอ๊ย !” เสียงศีรษะชนกันขึ้นตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครคนหนึ่ง
“คุณๆ เป็นอะไรรึเปล่า” กานต์พิชชารีบถามเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ายืนเอามือกุมศีรษะอยู่ เมื่อเธอได้มองร่างนั้นเต็มๆตาก็พบกับหญิงสาวตัวเล็ก บอบบาง ใบหน้ารูปไข่ หน้าตา หน้ารัก ผมตรงยาวถึงกลางหลัง กำลังจ้องมองเธออยู่อย่างไม่พอใจ
“ทำไมไม่ระวังเลย เนี่ยถ้าฉันหัวแตกไปทำไงล่ะคุณ” แพรพลอยโวยวายเมื่อพบว่าคู่กรณีเป็นสาวหล่อหน้าหวานคนหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นคนสวยมากถ้าอยู่ในชุดกระโปรงมิใช่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดตัวโคร่งอย่างที่เจ้าตัวกำลังสวมใส่อยู่ ณ ขณะนี้
“ขอโทษค่ะ แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ หัวแตกหรือเปล่าขอดูหน่อยได้ไหม” กานต์พิชชาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานขัดกับบุคคลิกสุดๆ แพรพลอยชักสีหน้าบึ้งตึงแทนคำตอบแต่ยอมให้เธอดูศีรษะแต่โดยดี
“ไม่แตกแต่โนนิดหน่อย เดี๋ยวเราจะไปเอายาหม่องมาให้ รอสักครู่นะ” พูดจบกานต์พิชชาก็เดินเข้าห้องเพื่อหยิบตลับยาหม่อง
“อ่ะนี่คุณ ยาหม่อง เอาไปทานะคะ มันคงช่วยให้หัวคุณหายโนได้บ้าง” กานต์พิชชาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นตลับยาหม่องให้หญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ แล้วคุณล่ะเป็นอะไรมากหรือเปล่า” แพรพลอยถามอีกฝ่ายอย่างห่วงใยเพราะเดาว่าคงเจ็บไม่น้อย
“ไม่เป็นอะไรหรอก เราหัวแข็ง” กานต์พิชชาพูดพร้อมกับส่งยิ้มละไมไปให้
“ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วเดี๋ยวเรากลับห้องแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหาได้มีความเจ็บปวดแม้เพียงสักนิด แพรพลอยจึงเดินกลับห้องด้วยความรู้สึกขุ่นในอารมณ์
ลับหลังแพรพลอย กานต์พิชชาเอามือลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ใครว่าเธอไม่เจ็บล่ะที่จริงแรงกระแทกเมื่อสักครู่ทำให้เธอร้อง จ๊าก ! ออกมาด้วยซ้ำแต่เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นโดนเฉพาะสาวๆ และสาวที่ว่าก็น่าตาน่ารักน่าเอ็นดูใช่ย่อยที่ไหนล่ะ กานต์พิชชามองตามแพรพลอยที่ลับหายไปในห้องข้างๆเธอด้วยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกไปรับประทานอาหารที่มีอยู่รายรอบหอพักของเธอ
เสียงกระแทกประตูปิดดังขึ้น ทำให้มธุวารี หันไปมองอย่างตกใจ แต่ก็ต้องรีบเข้าไปดู เมื่อเห็นแพรพลอยกำลังทำหน้าตาไม่พอใจพร้อมกับถือยาหม่องเข้ามาในห้องและที่ศีรษะของเธอ มีรอยปดเท่าลูกมะนาวขนาดย่อมๆอยู่ด้วย
“คนบ้าอะไร ! หัวแข็งชะมัดยากเลย” แพรพลอยบ่นงึมๆงำๆเหมือนหมีกินผึ้งเมื่อเข้ามาในห้องแล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่าพลอย หัวไปโดนอะไรมาปูดเชียว ขอดูหน่อยนะแก” มธุวารีพูดขึ้นก่อนยืนมือไปจับศีรษะของแพรพลอย ทำให้แพรพลอยร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเมื่อมธุวารีจับหัวโนของเธอแรงเกินไป
“โอ๊ย ! เจ็บนะน้ำหวาน จับมาได้”
“ขอโทษๆ ว่าแต่แกไปโดนอะไรมาเนี่ยปูดเชียว” มธุวารีพูดขณะเอามือลูบศีรษะเพื่อนเบาๆ
“ก็เมื่อกี้ฉันเดินผ่านห้องข้างๆ กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ก็มียัยบ้าที่ไหนไม่รู้โผล่พรวดมาชนฉันได้เนี่ย คอยดูนะถ้ามันไม่ยุบฉันจะไปฟ้องร้องให้ดู” แพรพลอยพูดขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด
“ใครเหรอ ห้องข้างๆ ห้องทางซ้ายหรือทางขวาเหรอพลอย”
“ห้องทางซ้าย ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา พรวดพราดออกมาได้ ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย”
“ว้าย ! นั่นมันห้อง ๗๒๖ ห้องที่นักศึกษา คณะเภสัชศาสตร์อยู่กันนี่นา แต่ใครกันที่ชนแก คนสูงๆ ขาวๆ เท่ๆ หน้าหวานใสในมาดหนุ่มญี่ปุ่น หรือว่าคนผิวคล้ำ เท่ หุ่นนักกีฬา หรือว่า...”
“พอๆไม่ต้องสาธยาย คนที่แกถึงพูดคนแรกนั่นแหละ แต่ฉันว่าไม่เห็นจะหล่ออย่างแกว่าเลย หน้าหวานขนาดนั้น ชิ ! ว่าแต่แกไปรู้จักคนพวกนี้ได้ยังไง คนละคณะกับเราเลยนะน้ำหวาน” แพรพลอยถามอย่างสงสัยก็ในคณะศึกษาศาสตร์ที่พวกเธอเรียนอยู่กับคณะเภสัชศาสตร์นั้นตึกเรียนไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย
“ต๊าย ! เค้าออกจะน่ารักแกไปว่าเค้าซะเสียหายหมด แล้วนี่แกไปอยู่ไหนมาพลอย ถึงไม่รู้จัก พวกเขาออกจะดังที่สุดในมหาวิทยาลัยเราเลยนะ”
“ชั่งเถอะ ! จะเด่นจะดังมาจากไหนก็ชั่ง มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันสักนิด” แพรพลอยพูดก่อนเปิดตลับยาหม่องและเอาเนื้อยาแต้มที่หัวโนตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ
“มานี่ฉันช่วยทา ว่าแต่พี่ป๊อปกลับไปแล้วเหรอ” มธุวารีเอายาหม่องถูนวดไปที่หัวโนของแพรพลอยอย่างเบามือและถามถึงปองปราชญ์ซึ่งเป็นคนรักของเพื่อน
“กลับไปแล้ว งานพี่เขายุ่งๆนะช่วงนี้ เฮ้อ...” แพรพลอยถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เมื่อพูดถึงคนรัก
“คิดมากน่าพลอย คนทำงานแล้วก็งานยุ่งแบบนี้แหละ นี่จ๊ะฉันทาเสร็จแล้ว” มธุวารียื่นตลับยาหม่องคืนให้เพื่อนเมื่อทายาเสร็จแล้ว
“น้ำหวาน ทำไมพี่ป๊อปเขาไม่สนใจฉันเลย ทำไม ฉันทำผิดอะไร พี่ป๊อปเขาไม่รักฉันแล้วใช่ไหม” แพรพลอยโผเข้ากอดเพื่อนก่อนปล่อยโฮออกมาท่ามกลางความตกใจของมธุวารี
“พลอยร้องไห้ทำไมเนี่ย ! ทำไมแกคิดมากอย่างนี้นะ เฮ้อ...”
“ฉันไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ป๊อบเขาไม่ได้รักฉันเลย”
“พลอย ! แกคิดมากเกินไปไหมเนี่ย คนทำงานกับคนเรียนมันไม่เหมือนกันนะ พี่เขาแค่งานยุ่งไม่ได้ทิ้งแกไปสักหน่อย”
“ทิ้งสิ ทำไมจะไม่ทิ้ง ทิ้งให้ฉันเหงา เศร้า เดียวดายและหวาดระแวงไปต่างๆนานา ยังไงล่ะฮือๆ ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะน้ำหวาน” แพรพลอยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน้อยใจในคนรัก
“เฮ้อ...งั้นแกก็เลิกกับพี่เขาเลยสิ ทนไม่ไหวก็เลิกก็แค่นั้น” มธุวารีพูดก่อนลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มายื่นให้แพรพลอย
“เอามาทำไมล่ะ” แพรพลอยมองโทรศัพท์มือถือในมือที่มธุวารียื่นมาให้อย่างงงๆ
“ก็แกทนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เอาไปโทรบอกเลิกพี่ป๊อปซะ จบๆกันไปแกจะได้ไม่ต้องมาร้องไห้เพราะความน้อยใจแบบนี้”
“บ้า ! โทรทำไม บอกเลิกอะไรกัน ฉันแค่น้อยใจเฉยๆ ไม่เคยคิดจะเลิกกับพี่เขาสักหน่อย”
“ถ้าเลิกไม่ได้ก็หยุดร้องไห้เสียทีแล้วก็หัดไว้ใจและเชื่อใจแฟนตัวเองเสียบ้าง แล้วนี่แกทานอะไรมาหรือยังล่ะ”
“อืม...ทานกับพี่ป๊อปแล้วล่ะ แล้วแกล่ะน้ำหวานทานอะไรหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว พลอยฉันจะบอกอะไรให้นะในเมื่อแกเลือกที่จะมีความรักแกก็ไม่ควรที่จะกลัวความเสียใจ”
“เฮ้อ...ความรักทำไมมันน่าปวดหัวแบบนี้ด้วยนะ” แพรพลอยพูดก่อนขึ้นไปนอนคว่ำหน้ากับเจ้าเหมียวคิตตี้ตัวโปรดบนเตียงสีหวาน
“ที่ใดมีรักที่นั่นก็ย่อมมีทุกข์ เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงตรัสไว้เลย”
“นั่นสินะ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์...” แพรพลอยรับคำเพื่อนก่อนหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ความรักก็เป็นแบบนี้แล้วแกจะคิดมากทำไม...” มธุวารีลูบศีรษะแพรพลอยที่หลับไปแล้วอย่างห่วงใยก่อนที่จะเลื่อนตัวไปนอนเคียงข้างเพื่อนรักที่หลับไปก่อนหน้า
………………………………………..…………….