Love me love my dog
บทที่ 1
20:30 น.
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย “ปั้น ปัณฑิกา” สัตวแพทย์สาวจ้องมองสายฝนนอกหน้าต่าง
ฝนตกลงมาตั้งแต่เมื่อช่วงบ่าย หนักเบาสลับกันแต่ไม่ยอมหยุด ตอนนี้ฝนยังคงพรำลงมาไม่ขาดระยะ
ส่งให้อากาศเย็นสบายอย่างที่เธอชอบ เธอชอบสายฝน มันเย็นฉ่ำชุ่มชื้น ชวนให้ต้นไม้ใบหญ้าแลดูมีชีวิตชีวาเหมือนได้น้ำทิพย์
กลิ่นดินที่ลอยขึ้นหลังหยดฝนตกกระทบก็มีความหอมเฉพาะตัวที่ยากจะอธิบาย
ถ้าเป็นที่บ้านสวน ในยามฝนตกเธอจะออกมานั่งที่ชานบ้านสูดกลิ่นไอความหอมจากดิน และซึมซับความชุ่มชื้นแห่งชีวิตเหล่านี้
ส่วนบรรดาหมาๆของเธอจะวิ่งกรูเกรียวออกไปเล่นน้ำฝนราวกับเป็นเด็กน้อย
เธอต้องวุ่นวายจับพวกมันมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้งจนเหนื่อยหอบไปทั้งคนทั้งหมา
“ฝนไม่หยุดเลยนะวันนี้” พี่จิ๋ว ผู้ช่วยชื่อเล็กแต่ร่างใหญ่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“ฮื่อ” ปั้นพยักหน้า “ก็ฤดูฝนนี่คะพี่จิ๋ว ไม่ตกคงแปลก”
พี่จิ๋วส่งค้อนมาให้คุณหมอปั้นวงใหญ่ “เจ้าค่ะ ว่าแต่วันนี้คงไม่มีหมาไข้แมวไข้มาแล้วละเนอะ ค่ำแล้วแถมฝนยังตกอีก”
ปั้นหันไปยิ้มให้ผู้ช่วยคู่ใจ “คงงั้นมั้งคะพี่”
“หมอปั้นๆๆๆ รับเคสหน่อย” สิ้นเสียงตะโกนไม่นานนัก ประตูห้องรักษาก็เปิดออกพร้อมกับผู้ช่วยอีกคน
ที่เข็นเตียงเข้ามาในห้องรักษาอย่างเร่งรีบแข่งกับเวลา
“โห เลือดท่วม” พี่จิ๋วร้อง
“โดนทำร้ายมาเหรอคะ” หมอปั้นรีบปราดเข้ามาดู อาการของมันจากการประเมินด้วยสายตาขณะนี้ดูหนักไม่ใช่น้อย
“ใช่ โดนมีดสปาตาปักหลังมา ยังดีนะที่มีคนอุ้มมาส่ง” ผู้ช่วยที่เข็นเตียงเอ่ยขึ้น พลางเตรียมอุปกรณ์ให้หมอปั้นมือเป็นระวิง
แต่หมอปั้นก็ไม่ได้สนใจคำตอบเกี่ยวกับคนพามาส่งมากนัก ตอนนี้เธอให้ความสนใจกับอาการของเจ้าหมาน้อยตรงหน้ามากกว่า
หมาไทยตัวเล็ก ขนสีดำขลับเกือบทั้งตัว ด้วยมีแซมด้วยสีขาวที่ช่วงท้องเล็กน้อย
เลือดของมันชุ่มจนขนสีดำของมันดูเปียก ราวกับตากฝน บาดแผลที่หลังและหัวมีเลือดไหลออกมาไม่หยุดหย่อน
ขาก็กะร่องกะแร่ง หักกี่ท่อนก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอต้องสำรวจความเสียหายจากบริเวณหลังของมัน
“ขอมีดเบอร์ 24 ค่ะ พี่จิ๋วเตรียมเลือดไว้ด้วย”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
22:45 น.
ใช้เวลาพอสมควรทีเดียวสำหรับการยื้อชีวิตเจ้าหมาตัวน้อย ตอนนี้หมอปั้นของน้องหมาน้องแมวทุกตัวเดินออกมาจากห้องด้วยความเหน็ดเหนื่อย
อาการของเจ้าหมาตัวน้อยยังไม่น่าวางใจนัก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีใครที่ทำร้ายสัตว์ตัวกระจ้อยได้อย่างโหดร้ายทารุณแบบนี้
พลันที่เธอเดินออกมา สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างบอบบางที่นั่งกระวนกระวายอยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์
ผมซอยสั้นเข้ารูป ช่วยขับวงหน้าหวานๆให้ดูเก๋ไก๋ ร่างบางนั้นอยู่ในชุดเดรสสั้นสีขาวตามสมัยนิยม
แต่ที่ปัณฑิกาสนใจเป็นพิเศษนั่นก็คือ คราบเลือดบนชุดเดรสตัวสวยของหญิงสาวคนนั้น...
“คุณคือคนพาหมาสีดำที่ถูกทำร้ายมาส่งใช่ไหมคะ” หมอปั้นเอ่ยถาม
“ใช่ค่ะ ฉันเอง มันเป็นอย่างไรบ้างคะคุณหมอ” น้ำเสียงหวานๆแสดงความร้อนอกร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
“อาการตอนนี้พ้นขีดอันตรายค่ะ แต่ก็ยังไม่น่าวางใจ” หมอปั้นเว้นจังหวะเล็กน้อย สังเกตหญิงสาวตรงหน้าว่าสามารถเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพูดหรือไม่
บ่อยครั้งไปที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงตกอกตกใจจนจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับสัตวแพทย์อธิบาย
ดวงตาของสาวผมสั้นตรงหน้าหมอปั้นเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ
“แล้วอาการของมันน่าหนักใจอย่างไรบ้างคะ” เสียงหวานๆนั้นสั่นอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์ขณะที่เอ่ยถามสัตวแพทย์สาว
“อาการบาดเจ็บมีหลายอย่างค่ะ ตามลำตัวมีบาดแผลถูกมีดฟันสามจุด ทำให้เสียเลือดมาก
กระดูกขาหน้าหัก แผลจากมีดตรงหลังที่ลงไปลึก โชคดีที่มีดไม่ได้โดนอวัยวะภายในหรือเส้นประสาทที่สันหลัง
แต่ที่น่ากังวลคือตาข้างขวา มันมีร่องรอยของแหลมทิ่มเข้าบริเวณหัวของมันหลายจุด หมอไม่แน่ใจว่าตาของมันจะบอดหรือไม่”
หญิงสาวข้างหน้าดูอ่อนแรงขึ้นมาทันใด หมอปั้นรีบคว้าแขนบอบบางของเจ้าหล่อนไว้ ก่อนประคองให้หล่อนทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
“คุณหมอช่วยรักษามันให้หายได้ไหมคะ” หล่อนเงยหน้าสบตาสัตวแพทย์ที่นั่งอยู่คียงข้าง
ดวงตาทั้งคู่มีน้ำตารื้นๆอยู่ภายใน หัวใจของหมอปั้นเหมือนจะอ่อนปวกเปียกไปตามสายตาคู่นั้น
“หมอไม่อยากรับปากเพื่อแค่ทำให้คุณสบายใจ” หมอปั้นตัดสินใจบอกหญิงสาวข้างหน้าตามตรง เธอไม่อยากให้ความหวังลมๆแล้งๆ
“แต่ทางเราก็จะดูแลอย่างเต็มที่ที่สุด สุนัขของคุณคงต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกพักใหญ่ๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ ฉันยินดี ขอแค่ให้มันได้รับการรักษาที่ดีที่สุดก็พอค่ะ” หญิงสาวตอบกลับ พร้อมส่งยิ้มซีดเซียวมาให้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“คุณหมอๆ มองอะไรอยู่คะ” เสียงแซวจากหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ดังมา น้ำเสียงล้อเลียนนั้นเล่นเอาหมอปั้นของทุกคนถึงกับต้องหัวเราะแก้เขิน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเท่านั้นแหละว่าดูท่าทางของคุณผู้หญิงเมื่อกี้ ไม่น่าเป็นเจ้าของหมาตัวนั้น”
“นั่นสิคะ ดูสภาพแล้วเหมือนตูบจรจัด แต่คนพามาสวยพริ้ง แต่ถ้าเป็นหมาจรจัดจริง ก็แปลกมากเลยนะคะ เพราะเธอดูร้อนอกร้อนใจกับอาการมันมาก”
บทสนทนากับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสัตว์ก็ยิ่งทำให้นึกสงสัย แต่คุยกันไปยังไงก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี
หมอปั้นจึงได้แต่ยิ้มตอบแคชเชียร์ รู้สึกยินดีกับเจ้าหมาน้อยตัวเมื่อกี้ และรู้สึกชื่นชมเจ้าของร่างบางที่ช่างเมตตาต่อสัตว์น้อยร่วมโลก
แม้ว่ามันจะไม่ใช่สุนัขที่สวยงามนักก็ตาม