web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 142
Total: 142

ผู้เขียน หัวข้อ: นกของทิฆัมพร บทที่ 11  (อ่าน 1206 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อาพัทธ์ อันธการ

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 74
นกของทิฆัมพร บทที่ 11
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 00:04:06 »
บทที่ 11

หญิงสาวกลับมาถึงบ้านอย่างเบื่อๆ ที่เธอคาดไว้ไม่มีอะไรผิดไปสักนิดเดียว บ้านของเพื่อนใหม่ก็เหมือนบ้านของหล่อน เพียงแต่ที่นั่นสร้างด้วยปูนอย่างลวกๆ และใหญ่กว่าเท่าตัวเท่านั้นเอง ทิฆัมพรกินข้าว เล่นกับหลานสาวของอีกฝ่าย เดินดูรอบบ้านนิดหน่อยแล้วก็ขอให้ส่งกลับ ใบหน้าแกร่งนั้นเต็มไปด้วยความเสียดายอย่างเห็นได้ชัด

หล่อนเอนหลังพิงกับลำต้นที่ใหญ่หนาแต่มีเปลือกขรุขระของmiss เธอมองไปด้านขวาซึ่งบัดนี้มีเพียงความว่างเปล่า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสวยงามอยู่ในความทรงจำ มันแทบจะกลายเป็นภาพทับซ้อนเมื่ออดีตที่ผ่านมาชัดขึ้นเพราะความโหยหาย

คนร่างบางปล่อยให้ทุกคำพูดและการกระทำตลอดเวลาสามปีที่รู้จักกันดำเนินเรื่องราวของมันในสมองเล็กๆ ของเธอ มีเพียงรอยยิ้มกับเปลือกตาที่ปิดเท่านั้นที่บอกได้ว่าคนที่ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันมีความสุขมากแค่ไหน



'ข้าว
ช่วงนี้น่าจะใกล้ปิดเทอมแล้ว ข้าวจะกลับเมื่อไหร่ เป็นเรื่องยากที่จะต้องนั่งคนเดียว แปลกนะเมื่อก่อนอ้อยนั่งคนเดียวมาตลอดแท้ๆ ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไป ผู้ใหญ่มักจะชอบพูดว่าในชีวิตจริงเรื่องพวกนี้มันน้ำเน่า อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แค่สามสี่เดือนแต่อ้อยรู้สึกเหมือนเป็นปี ถ้าข้าวกลับมาเราไปกระท่อมกันนะ
คิดถึง
อ้อย'

วรดาอมยิ้มอุ่นใจ แค่ไม่กี่บรรทัดของคนซึ่งไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้าสักเท่าไหร่ กลับบ่งบอกความรู้สึกของคนที่เขียนได้เป็นอย่างดี

ความจริงเธอปิดเทอมตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้วและตั้งใจว่าจะเดินทางในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าไม่คิดจะบอกคนรักเพราะอยากให้อีกฝ่ายประหลาดใจ

ภาคเรียนแรกที่ผ่านมาก็ถือว่าดีไม่ได้มีอะไรผิดคาดเพียงแต่ต้องเหนื่อยกับการเรียนพิเศษเท่านั้นเอง กลุ่มของหล่อนดูเหมือนเก่งจะเงียบและขรึมขึ้นกว่าเดิม พอถามก็ไม่ยอมตอบว่าเพราะเหตุใด หญิงสาวจึงไม่ซักไซร้ไปมากกว่านั้น เข้าใจว่าทุกคนต้องมีปัญหาที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ส่วนปรางกับจันทร์ก็เหมือนเดิมติดกันยังกับตังเม ปรางดูจะอารมณ์ดีกว่าเดิมเล็กน้อยและยิ้มง่าย เวลาส่วนมากหมดไปกับการกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนซี้ที่ดูจะไม่เคยโกรธเลย จริงๆ เธอก็ไม่เคยเห็นจันทร์แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่บางครั้งก็มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้านิ่งนั้น คนผมยาวคิดว่าคู่นี้เหมาะสมกันจริงๆ คนสองคนที่มีนิสัยแตกต่างกันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนและชอบอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน เพื่อนแบบนี้ทะเลาะกันยาก แต่สาวหน้าสวยรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้น เธอยิ้ม ถ้าปรางกับจันทร์เป็นแฟนกันหล่อนจะดีใจมากที่เพื่อนจะมีความสุข



ทุกเช้าอ้อยจะมองไปที่บ้านไม้เงาวับหวังว่าจะได้เห็นมือที่คุ้นเคยตลอดหลายเดือนที่ผ่านมากวักเรียกแต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆ หล่อนถอนหายใจ การรอคอยยากขึ้นทุกวัน อีกนานเหลือเกินกว่าจะครบสามปี เธอคิดขณะที่มือไม่หยุดทำงาน

ตกเย็นหล่อนก็ซ้อนท้ายเพื่อนสาวกลับบ้าน หลังๆ เด็กสาวขอเป็นฝ่ายขี่ดูบ้าง จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบสาวผิวคล้ำมากเกินไป แต่ก็ถูกปฏิเสธ หล่อนไม่ได้ถามเหตุผล ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมทิฆัมพรก็ไม่อยากถามซ้ำให้รำคาญ เธอไม่ค่อยชอบพูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

"ทำแต่งานซ้ำๆ วนไปวนมานี่น่าเบื่อนะ" พรรณรายเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

"อือ" คนร่างบางเห็นด้วย แต่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะรับรู้ว่าจำเป็นต้องทำและไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก

"ไปทำงานที่อื่นกันไหม" คนผมยาวยุ่งชวน

"ที่ไหน" หล่อนถามก่อนโดยที่ยังไม่รับปากอะไรลงไป เพราะถ้ามีที่ทำงานซึ่งดีกว่านี้สาวผมประบ่าก็อยากจะทำอยู่แล้ว

"อืม เห็นว่าที่บ้านพ่อเลี้ยงเขารับคนงานอยู่นะ ค่าจ้างดีด้วย พวกงานบ้าน งานสวนประมาณนั้นแหละ" เสียงติดห้าวเหมือนไม่ค่อยแน่ใจมากนัก

"ค่าจ้างดีกว่าแค่ไหน" คนจมูกรั้นมุ่งประเด็นไปที่เรื่องเงิน เพราะคิดว่าคงงานหนักไม่น่าจะแพ้กัน ที่นั่นเธอเคยเห็นตอนเดินผ่านอยู่บ้าง บ้านหลังใหญ่ สวนก็ใหญ่ไม่แพ้กัน

"เขาให้กินอยู่ที่นั่นฟรีๆ เลย ส่วนเงินเห็นว่าได้เดือนละ 3-4 พันเนี่ยแหละ"

"อือ" เงินเดือนน้อยกว่าที่ไร่แต่ได้กินฟรีอยู่ฟรีเธอก็คิดว่าน่าสนเล็กน้อย ไปอยู่ที่นั่นคงสบายใจกว่าอยู่ที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนยังไง และจะรับเธอรึเปล่าเพราะหญิงสาวไม่ได้ทำงานบ้านมากนัก บ้านเธอแทบจะไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดนอกจากกวาดพื้น ส่วนงานสวนยิ่งไปกันใหญ่ ไม่มีใครแถวนี้ร่ำรวยพอจะมีสวนที่เต็มไปด้วยหญ้าตัดสั้นเขียวชอุ่ม แถมด้วยดอกไม้เรียงรายอย่างนั้นเลย

"สนไหม" เพื่อนสาวถามอย่างกระตือรือร้น

"คิดดูก่อน" คำที่ติดปากตั้งแต่คบพรรณรายมาถูกเอ่ยออกไป

"งานเบากว่าที่ไร่นะ ที่นู่นเห็นว่าเขารับคนเยอะ น่าจะช่วยๆ กันทำไม่หนักเหมือนที่นี่ ไร่ตั้งกว้างมีคนแค่ร้อยเดียว" สาวแกร่งอดส่ายหัวไม่ได้

เธอไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกแม้ว่าจริงๆ แล้วจะเห็นด้วยกับคนข้างหน้าก็ตาม หล่อนไม่อยากนินทาคนที่จ่ายเงินให้ทุกๆ เดือน



ข้าวหอมนั่งรอแต่ก้นแทบไม่ติดรากไม้ หล่อนอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ อยากเห็นหน้าคนรักไวๆ ป้าแช่มบอกว่าอ้อยไปทำงานตั้งแต่หมอกยังไม่จาง กลับมาก็ดึกดื่น เธอไม่สนใจหวังว่าวันนี้คนร่างผอมจะกลับเร็วบ้างสักวัน และหวังอีกว่าอีกฝ่ายจะแวะมาที่นี่ หล่อนชะเง้อมองไปยังถนนบ่อยเสียจนเริ่มปวดคอ

สักพักหนึ่งเสียงก๊องแก๊งของจักรยานก็ดังขึ้นเบาๆ เธออดจะหันไปมองไม่ได้ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคนหน้านิ่งไม่มีเครื่องทุ่นแรงก็ตาม ถนนแถวนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรสักเท่าไหร่เพราะเป็นถนนเล็กๆ ไม่ใช่ถนนหลัก บ้านคนก็มีไม่กี่หลัง

ไม่ช้าไม่นานจักรยานที่สนิมเกาะไปทั้งคันก็จอดเยื้องๆ กับบ้านไม้ไผ่หลังโย้ของทิฆัมพร เธอเห็นสาวหน้าคมผิวคล้ำยิ้มกว้างเมื่อหยุดรถ และจากนั้นอ้อยก็ลงมาจากที่นั่งท้าย ทั้งสองยืนคุยอะไรกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่คนผมประบ่าจะเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ สาวสวยหลบทันควันกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นเสียก่อนและไม่ตื่นเต้นอย่างที่คาดหวังไว้



คนร่างสูงเดินอย่างคุ้นเคยไปยังที่ประจำ สายตาเหลือบมองไปยังหน้าบ้านซึ่งไร้คน หล่อนเดาว่าแม่คงนอนหลับอยู่ในบ้านรอให้ลูกค้ามาเรียก ไม่ก็บ่นที่พ่อเอาแต่กินเหล้าแต่ก็ยังไม่วายซื้อให้ เพราะถ้าไม่ซื้อการลงไม้ลงมือของคนที่แทบไม่มีสติก็จะเกิดขึ้น เธอนึกไม่ออกเลยว่าทำไมพ่อจึงหลงใหลเจ้าน้ำสีเหลืองขุ่นเสียขนาดนั้น และยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีกว่าทำไมทั้งสองจึงแต่งงานและอยู่ด้วยกัน

เด็กสาวได้ยินเสียงคล้ายลมหายใจคน แต่แล้วก็ส่ายหัวพลางคิดว่าคงหูแว่วไปเองเพราะไม่น่าจะมีใครมาที่นี่ แม้แต่ป้าแช่มที่อยู่บ้านไม้ก็ยังไม่เคยมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ

"ข้าว!!!" ทิฆัมพรแทบจะตะโกนเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดนั่งยิ้มอยู่ในที่ประจำที่เมื่อก่อนเคยนั่งด้วยกันทุกวัน

หล่อนอึ้งไปเล็กน้อยอย่างไม่อยากเชื่อ ขนเธอลุกชันตั้งแต่กลางหลังจนถึงท้ายทอย มันวูบวาบไปหมด

"คิดถึง" เสียงหวานใสพูดออกมาเป็นคำแรก

เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างใจร้อนและกอดร่างสมส่วนนั้นแน่นเหมือนกลัวว่าคนตรงหน้าจะเป็นแค่ภาพลวงตามากกว่าความเป็นจริง

"อ้อยคิดถึงมาก" คนนัยน์ตาสีคล้ายท้องฟ้ายามมืดบอกออกมาอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน

"ข้าวจะแบนแล้ว กอดแน่นจัง" เสียงหวานพูดขำๆ หล่อนจึงคลายแขนที่รัดจนแน่นออกและมองใบหน้ารูปไข่นั้นอย่างโหยหา

"ทำไมไม่บอกก่อน" คนตัวสูงกว่าถามพลางไล้นิ้วยาวผอมไปตามโครงหน้างาม

"ก็อยากให้ดีใจ อีกอย่างตอนที่จดหมายมาถึงข้าวก็จะกลับบ้านอยู่แล้ว ต่อให้ข้าวบอกจดหมายก็มาถึงหลังจากข้าวกลับบ้านอยู่ดี" แฟนสาวพูดเหตุผลให้ฟัง แต่หล่อนรู้ว่าน่าจะเป็นแค่เหตุผลแรกอย่างเดียว ถ้าคนตรงหน้าอยากบอกจริงคงไม่ต้องรอให้เธอส่งจดหมายไปถาม

"อือ อ้อยดีใจ" เธอยิ้มทั้งตาและปากบอกให้รู้ว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"แล้ว...เมื่อกี้เพื่อนใหม่เหรอ" นัยน์ตาสีน้ำตาลเหมือนอยากรู้แต่เธอเห็นความไม่พอใจแฝงอยู่ลึกๆ ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงจะมองผ่านไป

"อือ เพื่อน" เด็กสาวเน้นย้ำสถานะเพราะไม่อยากให้คนผมยาวกังวลใจ หล่อนไม่คิดจะชอบใครนอกจากวรดาคนเดียว

"มาส่งทุกวันเลยเหรอ" เสียงหวานถามต่อ

"หลังๆ ก็ทุกวัน" หล่อนตอบตามความเป็นจริง

"อืม อ้อยเอาจักรยานข้าวไปใช้สิ ไม่มีใครใช้เสียดายออก" หน้าสวยพยักเพยิดไปยังบ้านไม้หลังงามของตัวเอง ทิฆัมพรจำจักรยานสีชมพูน่ารักได้เมื่อครั้งไปบ้านของคนตรงหน้า แต่เธอไม่ค่อยอยากจะรับสักเท่าไหร่

"เอาใช้เถอะจะได้ไม่ต้องไปลำบากเพื่อนคนนั้น อีกอย่างปล่อยไว้อย่างนี้เดี๋ยวฝุ่นก็เกาะสนิมกิน" เหตุผลของแฟนสาวช่างจูงใจ

"อือ ก็ได้" ในที่สุดหล่อนก็ยอมแพ้อีกเรื่อง

"ไปบ้านกันเถอะ" เป็นคำพูดที่เธอรู้ว่าบ้านในที่นี้ไม่ใช่บ้านหล่อนอย่างแน่นอนเพราะคนตรงหน้าไม่เคยมีโอกาสไปบ้านของเธอเลย

"ค่ะ" สาวร่างบางยิ้มรับอย่างว่าง่าย หัวใจเต้นในจังหวะที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกหยุดนิ่งและไม่มีใครเลยนอกจากเราสองคน



"นี่เสื้อผ้าของอ้อยนะ" วรดาส่งเสื้อยืดและกางเกงยีนหลายตัวมาให้

"ไม่เห็นต้องซื้อเลย" หล่อนพูดได้แค่นั้นเมื่อคนสวยพูดต่อให้

"เปลืองเงิน ใช่ไหม" อีกฝ่ายส่ายหน้าถาม

"อือ" เธอพยักหน้าตอบ

"อันนี้มันลดราคา เป็นแฟนกันซื้อของให้กันไม่เห็นเป็นไรเลย อ้อยอย่าคิดมาก" คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง

"ค่ะ" เด็กสาวรับปากอีกจนได้เมื่อมองใบหน้าของคนที่รัก



"อ้อยคล้ำไปเหมือนกันนะ แต่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย มีกล้ามด้วย" ตาคู่สวยมองหล่อนอย่างเปรียบเทียบกับความทรงจำครั้งสุดท้ายที่เห็น ตบท้ายด้วยการมาจับที่แขนและแกล้งพูดหยอกเล่น

"แล้วชอบไหมคะ" เธอถาม มองคนสวยด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์อย่างที่ไม่ค่อยได้ทำนัก

"ไม่ชอบ" เป็นคำตอบที่ผิดจากที่คนตัวสูงคาดไว้ หล่อนรู้สึกห่อเหี่ยวใจในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

"...แต่รัก" คนพูดเสมองไปที่พื้น แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอายซึ่งไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้

"อ้อยรักข้าว" เธอพูดคำนั้นออกมา หลังจากเข้าไปใกล้คนตัวเล็กและกอดร่างอุ่นนั้นไว้ คำว่ารักเกือบจะทำให้คนที่เฉยชามีน้ำตา

"ข้าวไม่อยากอยู่ห่างอ้อยอีกแล้ว" น้ำเสียงนั้นสั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น

"อ้อยก็เหมือนกัน" หล่อนพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

"แต่มันจำเป็น อ้อยต้องพิสูจน์ตัวเอง" คิ้วหนาขมวดเมื่อพูดออกไปอย่างนั้น

"ข้าวพอเข้าใจ" เสียงหวานเหมือนคนหมดแรง

"อ้อยจะไปกับข้าวอีกสามปีข้างหน้านะ" ทิฆัมพรบอกถึงการตัดสินใจของตัวเองที่ผ่านการครุ่นคิดมาอย่างดีแล้ว

"ข้าวดีใจนะที่อ้อยพูดอย่างนี้ อย่างน้อยข้าวก็จะได้มีความหวังบ้าง" ใบหน้าสวยยังคงซุกอยู่ที่อก เสียงใสบอกให้รู้ว่าจะรอจนถึงวันนั้น

"อือ แล้วที่บ้านอ้อยจะยอมเหรอ" แฟนสาวถามเมื่อนึกขึ้นมาแล้ว ก่อนจะผละออกแล้วมองหน้าเธออย่างต้องการคำตอบ

"ไม่ยอมหรอก แต่อ้อยจะไป" หล่อนตอบด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง

"ข้าวเข้าใจอ้อยนะ และไม่ว่าอ้อยเลยสักนิดเดียว อ้อยควรมีความสุข" เธอจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่มเป็นการขอบคุณ

"อ้อย...เดี๋ยวป้าแช่มเห็น" คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวา พูดจาตะกุกตะกัก

"ขอโทษ ไม่ทำแล้ว" คนร่างบางยิ้ม

"อ้อยทำงานหนักไปรึเปล่า" จู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดขึ้นมาหลังจากทั้งคู่ช่วยกันรื้อกระเป๋าของข้าวหอมและนำข้าวของออกมา

"มันต้องทำน่ะ" เป็นคำอธิบายที่แสนสั้นแต่ครอบคลุมทุกอย่าง

"เราคงแทบไม่มีเวลาได้เจอกัน" อีกฝ่ายเปรยด้วยน้ำเสียงเศร้า

"ขอโทษนะ" เธอรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถใช้เวลากันคนที่รักได้ ทั้งๆ ที่ข้าวหอมได้กลับมาอยู่บ้านแท้ๆ หล่อนเจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถทำให้คนที่รักมีความสุขได้

"อ้อยมานอนค้างบ้านข้าวไหม" เสียงหวานชักชวน พยายามหาวิธีที่จะอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

"ไม่รู้ว่าแม่จะยอมไหม" เธอพูดตรงๆ

"อ้อยจะพยายามเพื่อเราใช่ไหม" สายตาคนสวยวิงวอน หล่อนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่า แน่นอนอ้อยจะพยายามที่สุดเพื่อข้าว



"หายหัว กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แกคิดว่าบ้านฉันเป็นอะไรนึกจะกลับตอนไหนก็ได้เฮอะ" แค่ประโยคแรกก็ทำให้คนตัวสูงกว่าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

"แกคิดใช่ไหมว่าแกเงียบแล้วแกจะรอด" น้ำเสียงหาเรื่องยังคงพูดต่อ

'เพี๊ยะ เพี๊ยะ' ใบหน้าผอมเรียวหันไปตามแรงมืออวบอูมที่กระทบแก้มเสียงดัง

"จะไปนอนบ้านเพื่อนสองอาทิตย์" หญิงสาวพูดออกไป ไม่ใช่การร้องขอแต่เป็นการบอกกล่าวธรรมดา เพราะคิดว่าไหนๆ ก็เจ็บตัวแล้วก็ให้มันสุดๆ ไปเลย เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดเรื่องนี้

"เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหัวฉันแล้วใช่ไหม" หล่อนไม่ได้รับคำตอบ ได้แต่เพียงความกราดเกรี้ยวของคนที่ได้ชื่อว่าแม่

ทิฆัมพรเกือบจะหลุดปากพูดด้วยความเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์ที่ยังกับภาพฉายช้ำซึ่งเจอมาตลอดชีวิตว่า คงงั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะรู้ว่าจะยิ่งไปกระตุ้นอารมณ์ของคนตรงหน้าให้มากขึ้น

'เพี๊ยะ' ผลของความเงียบคราวนี้ถึงกับทำให้หล่อนปากแตก แต่คนผมประบ่าก็ยังคงสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้ได้ เธอเป็นกระสอบทรายชั้นเยี่ยมให้แม่อยู่แล้ว



email+facebook : N.Rattanawadikant@gmail.com
fanpage : www.facebook.com/อาพัทธ์-อันธการ/107884562739822

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.