บทที่ 14
ทิฆัมพรไม่กล้าที่จะแสดงอะไรออกไปต่อหน้าพ่อของข้าวหอม ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ ส่งสายตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างห่างเหิน แฟนสาวก็ไม่ได้ว่าหรือทำอะไรเกินกว่าเพื่อนเช่นกัน บรรยากาศจึงขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิงเพราะจักรภพชวนคุยอยู่เรื่อยๆ เขาพยายามทำให้เกิดความเป็นกันเอง โดยเฉพาะกับลูกสาวชายวัยกลางคนจะอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ ส่วนหล่อนกับวรดาแทบจะนั่งนิ่งเป็นหุ่นกันทั้งคู่ เด็กสาวรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะสมในทุกๆ ด้าน เสี่ยดูเป็นคนที่คาดหวังกับลูกสาวมาก เห็นได้จากบทสนทนาทุกอย่างที่เกี่ยวกับข้าวหอม
“แล้วหนูล่ะจะทำงานที่ไร่ผลไม้ไปตลอดเหรอ เห็นข้าวบอกว่าอีกสองปีจะไปกรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ” ชายสูงวัยถามโดยไม่ได้มองหน้า
“ค่ะ ตั้งใจว่าจะไปแต่อยากทำงานที่นี่เก็บเงินก่อน” หล่อนบอกตามตรงแต่ละเหตุผลไว้
“แล้วไปอยู่กรุงเทพฯ จะทำมาหากินอ่ะไรล่ะ” ชายร่างสูง ผิวคล้ำแดดถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น เขามองหน้าเธอเพียงแวบเดียว
“ยังไม่ทราบค่ะ” พอตอบออกไปอ้อยก็รู้สึกว่าตัวเองช่างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน อนาคตยังไม่เห็น ไปแล้วยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้ทำด้วยซ้ำ แต่ใครๆ ก็ไปกรุงเทพฯ กันทั้งนั้นว่ากันว่ามีงานให้ทำเยอะ ค่าแรงก็มากกว่าที่นี่เป็นไหนๆ คงต้องมีสักงานที่คนการศึกษาต่ำอย่างหล่อนทำได้ ต่อให้เป็นงานใช้แรงเธอก็ไม่เกี่ยง ไว้มีเงินมากพอจะกลับไปเรียนก็คงไม่สายเกินไป
“เอาเถอะ อีกตั้ง 2 ปี หนูก็คิดไปพลางๆ ละกันว่าจะทำอะไร อย่าไปคิดว่าจะไปตายเอาดาบหน้า อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน” เขาสอนเธอดั่งผู้ใหญ่สอนเด็กไม่ให้ประมาท
“ค่ะ” หล่อนรับคำ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้
“ทำไมไม่ค่อยกินอะไรกัน” มือใหญ่หนาหยุดชะงักการตักอาหารบนโต๊ะซึ่งมีกับข้าววางอยู่หลายอย่างซึ่งล้วนแต่ดูน่ากินในสายตาของหล่อนทั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่ตัวเธอมีโอกาสได้ทานอาหารเหล่านี้
คนผมประบ่าไม่ได้ตอบแต่ตักยำทะเลด้วยช้อนกลาง แต่แล้วด้วยความเคยชินที่ทำทุกครั้งเวลาอยู่ด้วยกันกับข้าวหอมก็ทำให้หล่อนยื่นช้อนนั้นไปที่จานของแฟนสาวโดยอัตโนมัติ อ้อยนึกขึ้นได้แต่ก็สายไปเสียแล้ว เธอจึงวางกับข้าวลงในจาน ตาอ่อนสบตาเข้มมีความไม่สบายใจในดวงตา หล่อนเหลือบไปมองคนที่นั่งตรงข้ามก็พบว่าอนาคตพ่อตาก็มองอยู่เช่นกัน
“ไม่ต้องตักให้ข้าวหรอก หนูไม่ใช่คนรับใช้แต่เป็นเพื่อน” เขาพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย คนร่างบางเกือบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เสี่ยยังไม่รู้ความจริง
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับรู้
หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จชายร่างสูงก็ขับรถกระบะคันใหม่ไปยังวัดแห่งหนึ่งซึ่งมีคนนั่งอยู่หน้าจอสีขาวมากมาย เขากำลังจะเริ่มฉายหนังนั่นเอง เห็นว่าที่อื่นมีห้างมาตั้งแถมมีโรงหนังในนั้น หล่อนคิดว่าถ้ามีที่นี่บ้างก็คงดี แต่หล่อนก็ไม่มีเงินมาดูอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นหนังของที่ไหน
ภาพที่ฉายเรียกเสียงหัวเราะและฮือฮาได้เป็นระยะ เป็นหนังที่เน้นความตลกมากกว่าจะมีสาระจริงจัง เธอขำบ้างประปรายแต่ข้าวหอมหัวเราะจนตัวโยนเลยทีเดียว ส่วนพ่อของแฟนสาวก็หัวเราะในลำคอเสียงทุ้ม
หล่อนถือของกินเล่นที่จักรภพซื้อ เธอกับคนสวยผลัดกันหยิบของเข้าปาก และในชั่วขณะหนึ่งมือทั้งสองแตะกันที่ปากถุงขนม เด็กสาวมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองชายร่างสูง แต่ก็พบว่าเขามัวแต่สนใจจอภาพจึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้
ทิฆัมพรถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เธอกลัวเหลือเกินว่าคนข้างๆ ข้าวหอมจะรู้เรื่องราวทั้งหมด ถ้าเป็นเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงว่าหล่อนอาจจะไม่ได้เจอแฟนสาวอีก ชายวัยกลางคนคงไม่ยอมเป็นแน่แท้ เขาพูดเสมอว่าลูกสาวจะต้องมีอนาคตที่ดี และเรื่องดีๆ ในที่นี้ไม่มีวันหมายถึงการชอบผู้หญิงด้วยกันเป็นแน่ ที่โรงเรียนของหล่อนถ้าใครชอบเพศเดียวกันจะต้องถูกล้อถูกรังเกียจอยู่ตลอด บรรดาพ่อแม่ก็ซุบซิบนินทากันยกใหญ่
ทุกวันผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของเด็กสาวและแฟน เธอใจจดจ่อทุกเย็นที่จะมีจักรยานสีชมพูมารับ นั่งคุยกันที่ใต้ต้นmiss หัวเราะ ยิ้ม และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน พรุ่งนี้เช้าข้าวหอมจะกลับกรุงเทพฯ โดยพ่อจะขับรถไปส่งเช่นเคย
“อ่ะนี่ ข้าวให้อ้อยเก็บไว้” พูดเสร็จมือเล็กก็ยื่อนรูปมาให้คนผมประบ่าปึกหนึ่ง
เธอมองดูรูปแต่ละใบอย่างช้าๆ ก็พบว่าใบแรกเป็นรูปน้ำตก ต่อมาก็เป็นรูปผลไม้ป่าที่เคยเก็บมากินด้วยกัน แล้วก็เป็นรุ้งตัวอ้วนที่เคยไปกินข้าว กระท่อมที่เคยกอดกันยามฝนพรำ และสุดท้ายรูปของข้าวหอมกำลังยิ้มอย่างสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ในยามเช้า
“จะได้ไม่ลืม” คนพูดมีหยาดน้ำใสคลอเบ้า
“อ้อยไม่เคยลืม” หล่อนตอบด้วยความจริงใจ รู้สึกปวดใจที่ต้องแยกจากกันอีกครั้ง เธอต้องทรมานอีกหลายเดือนกว่าจะได้เจอคนตรงหน้า เมื่อคิดถึงความอ้างว้างที่เคยเผชิญแล้วมันช่างรวดร้าวใจ
“ข้าวเก็บไปดีกว่าจะได้ไม่ลืม” คนตาสีน้ำตาลเข้มยื่นรูปกลับไปเกือบหมดยกเว้นใบสุดท้าย เธอเห็นว่าทุกสถานที่นั้นยังคงอยู่ที่นี่ หล่อนสามารถไปได้ทุกเมื่อ ต่างจากอีกฝ่ายที่อยู่ไกลไม่มีโอกาสเหมือนเธอ
“ข้าวมีอีกชุด นี่ไง” นิ้วสวยหยิบรูปจากกระเป๋าออกมาชูให้เห็น สาวร่างบางรับมาดูทุกรูปเหมือนกันหมดแต่ไม่มีรูปของเธอ
“หารูปตัวเองอยู่เหรอ” คนสวยถามยิ้มๆ
“เปล่า” ทิฆัมพรบอก จริงๆ แล้วไม่ได้หาแค่เปรียบเทียบเฉยๆ
“ยิ้มหน่อยสิ” คนตรงหน้าบอก
เธอทำตามอย่างว่าง่าย คนหน้ารูปไข่หยิบกล้องฟิล์มสีดำเงาออกมาจากกระเป๋าเดินทาง แล้วกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วถึงสองครั้งติดกัน
“จะเอาไปติดที่หน้าสโตนหรือเปล่า” หล่อนหยอก นึกถึงเจ้ากระต่ายตัวนุ่มที่เคยให้ไปเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อที่จะเป็นตัวแทนเธอให้แฟนสาว
“ไม่บอก” ศีรษะเล็กๆ ส่ายหน้าไปมาอย่างคนที่มีเจตนากลั่นแกล้ง
“ข้าวเปลี่ยนไปนะ น่ารักขึ้น” คนปากบางพูดขณะที่มองการกระทำนั้น
“อ้อยก็เปลี่ยน รู้ตัวไหมว่าพูดเก่งขึ้นไม่ถามคำตอบคำเหมือนเมื่อก่อน พูดเป็นธรรมชาติขึ้นด้วยนะ แต่ก่อนแข็งๆ ยังกับก้อนหิน” หญิงสาวย่นจมูกคล้ายไม่ค่อยชอบพฤติกรรมนั้นสักเท่าไหร่ อ้อยรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้รังเกียจ แต่ดูเหมือนจะชอบที่เธอเป็นตอนนี้มากกว่า
“อือ แล้วก็ยิ้มบ่อยขึ้นด้วย เมื่อก่อนนี่ไม่เคยยิ้มเลย แต่ข้าวชอบนะมันทำให้ข้าวรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษของอ้อย กับข้าวเท่านั้นที่อ้อยเป็นแบบนี้” คนตัวสูงยิ้มรู้ว่าที่เสียงหวานพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ เพราะกับสาวแกร่งเธอก็ยังพูดน้อยเหมือนเคย แทบไม่เคยยิ้มหรือแสดงความรู้สึกอะไรให้คนๆ นั้นเห็น
“แล้วข้าวล่ะ ทำแบบนี้กับคนอื่นบ้างไหม” หล่อนไม่เคยหึงหวงคนตรงหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุผลก็เพราะว่าไว้ใจในตัวคนที่รัก ข้าวหอมไม่ใช่คนแบบนั้น แต่แน่นอนเมื่อมีโอกาสเธอก็อดถามไม่ได้ เพราะอยากได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าหล่อนเป็นคนพิเศษ
“แบบนี้นี่แบบไหนเหรอ” ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะแกล้งเก่งขึ้นทุกที
“อืม...อ้อนแบบนี้ ทำตาแบบนี้ ยิ้มแบบนี้ จูบแบบนี้” เด็กสาวพูดเสร็จก็โน้มใบหน้าลงไปฝากฝังรอยประทับในความรู้สึกลงบนปากรูปกระจับอิ่มสวย หล่อนคงติดความขี้เล่นจากคนตรงหน้าเสียแล้ว
เมื่อผละออกจากกันเธอรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบไปหมด คนผมสั้นไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเธอกลับหยอกล้อเล่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คิดไปแล้วก็รู้สึกอายกับการกระทำของตัวเองไม่น้อย ส่วนคนหน้าสวยก็เขินจนมือไม้อยู่ไม่สุข คล้ายกับว่าไม่รู้จะเอาแขนเรียวๆ นั้นเก็บไว้ตรงไหนดี ใบหน้ารูปไข่ก้มไม่ยอมสบสายตา
“ข้าวยังไม่ตอบเลย” เธอทวงถามคำตอบ ถามเองก็อายเองอยู่ไม่น้อย
“ข้าว...ทำกับอ้อยคนเดียว” พูดเสร็จก็หันหลังให้ทันที หล่อนเดาว่าคงเขินจนแทบมุดดินได้ เด็กสาวหัวเราะเบาๆ แล้วเข้าไปกอดจากทางข้างหลัง
“รักนะ” คำสั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกและสัมผัสของความหมายซึ่งถูกถ่ายทอดออกไปด้วยความจริงใจ
ท่ามกลางเสียงร้องของเหล่าแมลง เธอมองหน้างาม มองแสงที่กระทบกับเค้าโครงหน้ารูปไข่ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“ข้าวจะบอกพ่อไหมเรื่องของเรา” หล่อนอยากรู้ว่าอีกนานไหมที่ต้องปิดบัง เพราะถ้าหากเป็นในมุมมองของตัวเองคงสักอีกสิบปีล่ะมั้งกว่าที่จะสามารถยืนหยัดบอกชายวัยกลางคนได้
“ข้าวอยากบอกตอนเรียนจบ” ในความมืดยังพอมองเห็นสีหน้าของแฟนสาวที่มีแววครุ่นคิดได้ คิ้วเรียวขมวด น้ำเสียงกังวล
“ทำไม” เป็นคำถามสั้นๆ ในการถามถึงเหตุผลที่คิดจะบอกตอนนั้น
“ก็ตอนนั้นข้าวคงโตพอแล้ว เรียนจบ เริ่มทำงาน เป็นผู้ใหญ่พอที่จะสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้ ข้าวหวังว่าถึงตอนนั้นพ่อคงจะรับฟังได้” อีกฝ่ายพูดไปถอนหายใจไป บ่งบอกถึงความคิดและความรู้สึกได้เป็นอย่างดี และจากที่ฟังคนตรงหน้าไม่ได้มั่นใจในสิ่งที่เอ่ยออกมาเองสักเท่าไหร่เลย
“อ้อยจะพยายาม...เป็นคนที่พอสำหรับข้าว” หล่อนไม่อยากถามต่อว่าถ้าพ่อข้าวไม่รับฟังแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และข้าวหอมจะทำอย่างไรต่อไป
“อ้อยดีพออยู่แล้ว” สำหรับวรดาคงเป็นเช่นนั้น คนสวยหมายความถึงนิสัยใจคอ แต่สำหรับตัวเธอมันไม่ใช่แค่นั้น เรื่องอื่นๆ เองก็สำคัญไม่แพ้กัน ทั้งการศึกษา ฐานะ ฯลฯ เด็กสาวไม่ดีพอ ขนาดแค่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ข้าวหอมมีครบทุกอย่างจึงไม่ใส่ใจกับสิ่งภายนอกมากนัก แต่ทิฆัมพรไม่อาจมองข้ามได้ เธอจะไม่มีวันเกาะคนที่รักกิน หล่อนต้องการจะมีทุกสิ่งทุกอย่างมากพอที่จะสามารถดูแลได้ อีกทั้งยังเป็นการให้ความมั่นใจกับพ่อของข้าวด้วยว่าเธอจะไม่พาลูกสาวอันเป็นที่รักของเขาไปลำบาก เพราะคงไม่มีพ่อแม่ที่ดีคนไหนอยากเห็นลูกตัวเองเป็นอย่างนั้น
“พรุ่งนี้ข้าวอย่าลืมจดเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้นะ เดี๋ยวอ้อยจะเก็บเงินซื้อโทรศัพท์” เด็กสาวตัดสินใจซื้อมือถือที่ราคาหลายพัน เป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกวางตลาดเป็นที่ฮือฮาของคนมากเพราะไม่ราคาแพงเหมือนก่อน อีกทั้งยังมีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่าด้วย
“ไม่อยากให้อ้อยเปลืองเลย” คนตัวเล็กพูดอย่างรู้ว่าหล่อนได้เงินน้อยแค่ไหนในแต่ละเดือน ถ้าไม่นับว่าเธออาศัยกินข้าวกลางวันแค่มื้อเดียวและแทบไม่ซื้ออะไรเลยมีเหรอเงินสองพันบาทจะพอใช้จ่ายในแต่ละเดือน
“ถ้าได้คุยกับข้าวทุกวัน มันคุ้ม” คนผมสั้นพูดตามตรง การรอคอยจดหมายซึ่งกินเวลาเป็นอาทิตย์นั้นช่างทรมานจิตใจ อีกทั้งยังเป็นการรบกวนป้าแช่มด้วยเพราะต้องออกมายืนรอหน้าบ้านแต่เช้า บางวันอากาศก็หนาวจัดเพราะพื้นที่เต็มไปด้วยธรรมชาติไม่มีสิ่งก่อสร้างมากมายจนไม่มีต้นไม้เหมือนในเมือง ป้าแช่มบ่นเป็นบางครั้งว่าอากาศเย็นทำให้แกปวดเข่า
“อือ” เสียงหวานใสยอมรับ ไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียว วรดาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“อีกตั้ง 4 เดือน” แฟนสาวเปรยขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความเงียบซึ่งมีเพียงเสียงลมหายใจดังอยู่ในห้องเท่านั้น
“แค่ 4 เดือน” ทิฆัมพรเลือกใช้คำให้ฟังดูเหมือนน้อย ทั้งๆ ที่ความจริงนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คนตรงหน้าเองก็รู้ดี
“จริงเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เธอดึงมือเล็กเรียวมากุมไว้ พลางจูบที่หลังมือ หล่อนจะไม่ได้สัมผัสอีกฝ่ายไปหลายเดือน เมื่อคิดอย่างนี้แล้วความโหยหาก็จู่โจมในทันที
“กอดข้าวได้ไหม” แววตาที่สะท้อนแสงเพียงเล็กน้อยนั้นเหมือนจะอ้อนวอน
“ได้สิ” สาวร่างบางลังเลเพียงเล็กน้อย เพราะใจจริงก็ต้องการสัมผัสคนที่รักให้มากที่สุดเช่นกัน ได้เก็บความทรงจำและความรู้สึกเอาไว้เพื่อระลึกถึงในยามที่ต้องนอนเดียวดายเหงาใจอยู่เพียงลำพังในบ้านที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน
“ห้ามกอดคนอื่นอย่างนี้นะ” ปากอิ่มพูดเสียงเบาแต่ดังชัดในห้องกว้าง
“อ้อยไม่เคยกอดใครนอกจากข้าว” เธอพูดย้ำให้วางใจ
“ข้าวขี้หึงขึ้นรึเปล่า” หล่อนถามคนในอ้อมกอด
“ก็ใครไม่รู้แถวนี้ ข้าวไม่อยู่แปบเดียวมีสาวมาส่งถึงบ้าน” เสียงหวานพูดคล้ายงอน
“เพื่อนมาส่งบ้านไม่นับ” เด็กสาวยิ้ม ชอบทุกการแสดงออก เพราะมันเป็นการบอกว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับเธอ
“ข้าวรู้ แต่มันยากนะที่จะต้องเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่กับผู้หญิงคนอื่น” คราวนี้วรดาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่เล่นเหมือนเคย มันเป็นความปวดใจของความห่างไกลกัน ความแตกต่างของทุกสิ่งที่ส่งผลให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
“อ้อยรักข้าวนะ” หล่อนตอกย้ำคำๆ นี้ หวังว่าทุกๆ อย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี หวังว่าความรักจะทำให้ในที่สุดเราสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน มันเป็นความหวังและความฝันที่บัดนี้คนร่างผอมสูงยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นจริงได้ในเร็ววัน
คนในอ้อมอกซุกและเบียดตัวให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น เธอวางมือบนสะโพกงอนงามซึ่งไร้ไขมันส่วนเกินอย่างเป็นเจ้าของ แขนผอมยกให้คนตัวเล็กหนุนนอนแทนหมอนนุ่มซึ่งเคยใช้อยู่เป็นประจำ เด็กสาวจูบเบาๆ ที่หน้าผากมน เอ่ยคำอวยพรให้ก่อนนอนเหมือนเคยและหลับตาลงเพื่อที่จะตื่นเช้าไปส่งคนที่รักแสนรัก