web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 19
Total: 19

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 6  (อ่าน 1416 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 6
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:25:44 »
ตอนที่ 6

จากเหตุการณ์ตอนที่แล้ว เด็กน้อยพาพี่ปริมลงมายังลานปูนบริเวณหน้าบ้าน เพราะคุณพี่สาวคนสวยบอกว่าอยากจะพิสูจน์ความหอมของดอกพุดซ้อนที่ยังสดอยู่ แต่ไป ๆ มา ๆ ดอกไม้สดสีขาวบริสุทธิ์ที่ยังติดอยู่กับต้นและส่งกลิ่นหอมแรงกลับโดนเมิน ดอกพุดซ้อนต้องยกธงขาวขอยอมแพ้ให้กับความหอมเจือจางบางเบาที่โชยจากแก้มเนียนของเด็กน้อย ปณิตาหันเหความสนใจทั้งหมดไปยังแก้มนุ่มนิ่มหอมกลิ่นแป้งฝุ่นเจือจางของอรินทิพย์แทน ถึงแก้มเนียนใสของเด็กน้อยจะไม่หอมเท่าดอกไม้สด แต่หญิงสาวหอมเด็กน้อยแล้วยิ้มกว้าง รู้สึกมีความสุขกว่าหอมดอกไม้เป็นไหน ๆ หลังจากยื่นหน้าไปกดจมูกลงตรงผิวเนียนใสจนเห็นเส้นเลือดฝอย พิสูจน์ความหอมของแก้มเด็กสาว สิริรวมทั้งสิ้นแปดที ปณิตาก็ยืนกอดเด็กน้อยนิ่ง ๆ ส่วนเด็กน้อยก็ยืน (เขิน) นิ่ง ๆ ให้พี่ปริมกอด เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ ๆ ความเขินของเด็กน้อยเริ่มทุเลาลง อรินทิพย์เริ่มสั่งริมฝีปากให้ขยับอ้าส่งเสียงประท้วงได้อีกครั้ง
“พี่ปริมอ่า~”

“อะไรค้า~”

“หายหมั่นเขี้ยวรึยัง?”

“ยัง”

“แล้วทำยังไงถึงจะหาย?”

“ขอหอมแก้มอีกสามที ได้ไหม?”

“ถ้าอินบอกว่าไม่ได้ล่ะ?”

“พี่ก็จะกอดอินต่อไปอย่างนี้แหละ อิอิ”

“ถ้าพี่ปริมยังกอดอยู่อย่างนี้ แล้วอินจะทำกับข้าวให้พี่กินได้ยังไงล่ะ?”

“ถ้าอยากจะไปทำกับข้าวให้พี่กินก็ยอมให้พี่หอมแก้มก่อนสิ”

เด็กสาวฟังข้อเสนอแล้วก็กัดริมฝีปากล่าง อรินทิพย์แกล้งถอนหายใจเสียงดังก่อนจะบ่น
 “ได้ทั้งกอด ได้ทั้งหอมแก้ม แถมจะให้ทำกับข้าวให้กินด้วย รู้สึกว่าพี่ปริมจะมีแต่ได้กับได้นะคะ”

“ใครบอก? น้องอินได้โดนพี่กอด ได้ให้พี่หอมแก้ม ได้ทำกับข้าวให้พี่ชิม มีแต่ได้กับได้เหมือนกัน”

“อินก็ได้แต่เป็นฝ่ายถูกกระทำน่ะสิ ผู้ใหญ่นิ่ พูดจาเข้าข้างตัวเอง เอาเปรียบเด็ก”

“พูดแบบนี้นี่แสดงว่าอยากเป็นฝ่ายกระทำมั่งเหรอคะ? ก็ได้น้า~ พี่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้างก็ได้ อ่ะ... พี่ให้น้องอินหอมแก้มคืนแปดทีเท่ากันเลยก็ได้”
ผู้ใหญ่ชอบเอาเปรียบพูดยิ้ม ๆ จบแล้วก็พองลมใส่แก้มข้างที่อยู่ชิดกับใบหน้าเด็กสาว อรินทิพย์ได้ยินพี่ปริมพูดอย่างนั้นก็เกิดเผลอ นึกอยากจะหันหน้าไปหาเพื่อพูดจาต่อว่าต่อขานผู้ใหญ่เอาแต่ได้ เด็กสาวลืมไปว่าหน้าพี่ปริมอยู่ตรงไหล่เธอนี่เอง แถมผู้ใหญ่ขี้แกล้งยังทำแก้มป่องแก้มยื่นอยู่ด้วย ปลายจมูกโด่งของเด็กน้อยที่หันหน้าไปก็เลยจิ้มแก้มพองของผู้ใหญ่เข้าเต็ม ๆ

ฉ่า~
เสียงประกอบฉากดังขึ้นมาเพราะใบหน้าของเด็กน้อยตอนนี้ร้อนฉ่าแดงแจ๋ แดงทั้งหน้าจนแผ่ขยายลุกลามไปยังใบหูและลำคอแล้ว จะแดงไปทั้งตัวเลยรึเปล่า อรินทิพย์ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เกิดมาไม่เคยรู้สึกเขินอายอะไรมากมายถึงเพียงนี้ พอรู้ตัวว่าเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สาวน้อยก็กัดริมฝีปากล่าง ยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหน้าปิดตา เธออยากจะมีมืออีกสองข้าง จะได้ยกขึ้นมาปิดหูด้วย เพราะพี่ปริมน่ะสิ...

“อ๊าย... น้องอินหอมแก้มพี่ด้วยอ่ะ เขิน~”

อ้อมกอดที่แน่นขึ้นมาพร้อมกับประโยคดังกล่าว ได้ยินพี่สาวคนสวยพูดว่าเขิน ความเขินของเธอก็เลยยิ่งเพิ่มปริมาณขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่อรินทิพย์ยังจะมีกะจิตกะใจส่งเสียงพูดลอดฝ่ามือไปแก้ไขประโยคให้มันถูกต้องได้

“ย... ยังไม่ทันได้หอมเลย ค... แค่ปลายจมูกไปโดนเฉย ๆ เอง”

“อ่าว... แล้วกัน งั้นเอาใหม่...”

“ไม่เอาด้วยหรอก! พี่ปริมอ่า... ปล่อยอินเถอะน้า อินเขินจะตายอยู่แล้ว”   

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... เขินตายเลยเหรอ? อ่ะ พี่ไม่แกล้งละ ไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่งวันพรุ่งนี้... เจ้าแม่ไอทีชื่อดังแกล้งเด็กจนเขินตายคาอ้อมกอด... หนังสือพิมพ์คงขายดีน่าดู”

“พี่ปริมนี่ละก็...”
อรินทิพย์ตาส่งค้อนขวับให้เจ้าแม่ไอทีชื่อดังแต่ปากหัวเราะขำทั้งที่ยังหน้าแดงเพราะเขินไม่หาย เด็กน้อยเอามือลูบตรงอกด้านซ้ายของตัวเอง ปลอบหัวใจให้เต้นช้าลง อรินทิพย์คิดว่าเป็นเพราะพี่ปริมทำให้เธอเกิดอารมณ์ความรู้สึกมากมายหลายอย่างพร้อมกัน และอารมณ์เหล่านั้นคงตีกันวุ่นวายจนส่งผลทำให้ใจเธอเกิดอาการเต้นตึกตักรัวเร็ว
ระหว่างที่เด็กน้อยนิ่งเงียบยิ้มเขินคิดอะไรเพลินอยู่ ผู้ใหญ่ขี้แกล้งชอบเอาเปรียบก็ยังคงหาเรื่องเอาเปรียบต่อไปได้อย่างแยบยลเป็นที่สุด

“ป่ะ... ไปทำกับข้าวกันเถอะ”
พูดชวนอย่างเดียวไม่ว่า แต่มือเนี่ย... ถือวิสาสะ กุมกำจับจูงมือนุ่มนิ่ม ลากเด็กน้อยเข้าบ้าน อรินทิพย์แอบอมยิ้ม ผู้ใหญ่เขาอยากเนียนมาจับมือถือแขน เธอก็ควรจะทำตัวเนียน ๆ ปล่อยให้จูงมือสินะ ไม่ใช่อะไรหรอก เด็กน้อยรู้ทัน ฉุกคิดได้ว่าถ้าพี่ปริมโดนเธอขัดใจ เดี๋ยวผู้ใหญ่ขี้แกล้งชอบเอาเปรียบคนนี้เขาจะหาเรื่องแกล้งเธอได้มากกว่าการจับมือแล้วจะแย่ (โธ่... อย่ามาคิดเยอะคิดมาก รู้ทันผู้ใหญ่เค้าดีแบบนี้สิคะน้องอิน เดี๋ยวไรท์เตอร์ไม่มีเรื่องจะเขียน)

ทางด้านผู้ใหญ่ขี้แกล้ง... 

ปณิตาแจกยิ้มหวานให้ประตูบ้าน ส่งยิ้มกว้างขวางให้ทีวี ยิ้มหวานอีกทีให้ตู้เย็น หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยไปก็แจกยิ้มให้เฟอร์นิเจอร์ใหญ่เล็กที่ตั้งอยู่ตามทางที่เดินผ่านไปยังห้องครัว ถ้าเครื่องบ้านเครื่องเรือนมีคิ้วมีใบหน้า เราอาจจะได้เห็นพวกมันขยับหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย ส่งยิ้มแหย ๆ กลับไปให้หญิงสาวแล้วหันไปมองพวกเดียวกันพร้อมกับทำหน้างง ทีวีคงตะโกนถามตู้เย็นว่าคุณผู้หญิงคนเมื่อกี้เขายิ้มให้เราทำไม? อารมณ์ดีอะไรนักหนา? คุณตู้เย็นส่ายหน้า บอกว่าไม่รู้ซิ แต่แล้วพี่ประตูบ้านบานใหญ่ก็ช่วยตอบคำถามให้ คุณผู้หญิงเขาอารมณ์ดีที่ได้กอด ได้หอมแก้ม ได้จับมือเด็กน่ะ เมื่อกี้ผมเห็นสองคนนี้ยืนกอดกันอยู่หน้าบ้าน เมื่อได้รับคำตอบ ทีวีกับตู้เย็นก็อมยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตาให้กันแล้วหันหน้าเข้าห้องครัว แอบมองส่องสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของทั้งสองสาวเพื่อจะได้เก็บมาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับรู้ต่อไป

พอเดินมายืนกลางห้องครัว อรินทิพย์พูดเสียงอุบอิบบอกให้ผู้ใหญ่ขี้แกล้งปล่อยมือได้แล้ว ผู้ใหญ่แสดงอาการอิดออดนิดหน่อยก่อนจะยอมปล่อยมือแต่โดยดี แต่เด็กน้อยก็เป็นอิสระได้เพียงไม่นาน เพราะพอปณิตาเห็นเด็กน้อยใส่ชุดเอี๊ยมกันเปื้อนลายลูกหมี คุณพี่ก็เดินเข้าไปหา แล้ว...
กอดหมับ!

“น้องอินใส่ชุดกันเปื้อนลายหมีน้อยด้วยอ่า... น่าร้ากกก~”
คนใส่ชุดกันเปื้อนลายหมีแล้วดูน่ารักได้แต่ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาหมี โดนพี่สาวคนสวยพูดชมแบบนั้น ไหนจะอ้อมกอดแน่น ๆ แบบนี้ แถมยังมีแก้มเนียนนิ่มของคุณพี่ที่มาถู ๆ กับแก้มของเธอนี่อีก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเธอเลยนะ แค่ชมอย่างเดียว กอดอย่างเดียว หรือเอาแก้มสัมผัสกันอย่างใดอย่างหนึ่ง อรินทิพย์คิดว่าเธอก็เขินจะแย่อยู่แล้ว แต่นี่พี่ปริมเล่นส่งเมนูชวนเขินมาให้เธอได้ลิ้มลองแบบเป็นคอมโบเซ็ตพร้อมกันเลย

โอ่ย... สาวน้อยขี้เขินเกิดอาการหน้าร้อนผะผ่าว อยากจะเป็นลม >//////<

กว่าเด็กน้อยจะขยับปากพูดได้ นาฬิกาในห้องครัวกระดิกเข็มวินาทีดังติ๊ก ติ๊ก กลั้นใจแอบลุ้นอยู่ตั้งนานจนหน้าปัดเขียว
“พ... พี่ปริมอ่า... ปล่อยอินซะทีสิคะ จะกินไหม? ข้าวอ่ะ”

“กิน...”

“บอกว่ากินก็ปล่อยอินสิ จะได้หุงข้าวทำกับข้าวให้กิน”

“กินเด็กแทนได้ไหม?”
เอาล่ะซิ! ผู้ใหญ่พูดเล่นรึพูดจริงเนี่ย!?
ถึงจะเขินอายมากมายจนหน้าร้อนแก้มแดง แต่เด็กสาวที่มีนิสัยร่ำรวยอารมณ์ขันและชอบพูดจากวนแหย่ชาวบ้านเล่นเป็นพื้นฐานสามารถกัดฟันกลั้นความเขินเอาไว้ได้ เด็กสาวเอียงหน้าเข้าหาใบหูของผู้ใหญ่แล้วกระซิบถามเสียงเบา
“กินแล้ว... มันจะอิ่มเหรอคะ?”
ผู้ใหญ่ที่บอกว่าจะกินเด็กแทนข้าวหัวเราะคิก ๆ ปณิตาคลายอ้อมแขนให้หลวมเพื่อขยับตัวออกห่างพอให้มองหน้าเด็กน้อยได้ เธอแสร้งแสดงสีหน้าครุ่นคิด ตอบคำถามไปว่า

“อืม... พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยกินเด็กมาก่อน น้องอินลองให้พี่กินดูสิ กินเสร็จพี่จะบอกให้ฟังว่ากินแล้วมันอิ่มรึเปล่า”
ปุ้ง!
ฉ่า~ 
(เสียงเอฟเฟ็คต์ประกอบอาการเด็กน้อยหน้าร้อนหน้าแดง)
อินเอ๊ย! ไม่น่าหาเรื่อง พูดจาต่อปากต่อคำหาความเขินมาเติมให้ตัวเองเล้ย พูดจากวนแหย่พี่ปริมเรื่องทำนองนี้ทีไร แพ้หมดรูปทุกที คงต้องยอมรับแล้วล่ะว่า มันคนละชั้นกัน เธอเพิ่งอยู่ชั้น ม.4 ส่วนพี่ปริมน่ะ เขาจบปริญญาโทแล้ว ในเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ อรินทิพย์จึงคิดหาตัวช่วย
“พี่ปริมอ่ะ จะปล่อยรึไม่ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยอินจะตะโกนเรียกคุณแม่ละนะ”

“นี่... น้องอินเคยดูละครหลังข่าวรึเปล่า? เวลานางเอกละครพูดแบบนี้น่ะ ส่วนใหญ่มักจะโดนพระเอกปิดปากด้วยปากนะเอ้อ”

“พี่ปริมทะลึ่ง! อ๊าย!”
อรินทิพย์ต่อว่าจบแล้วก็ซบหน้าตัวเองลงบนไหล่ของผู้ใหญ่ที่ตัวสูงกว่า เพราะผู้ใหญ่ขี้แกล้งทำปากจู๋ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถ้าเบี่ยงหน้าซ้ายขวาอรินทิพย์คิดว่าอาจจะหลบไม่พ้น อย่างน้อยคงโดนจูบแก้มแน่ ๆ เด็กฉลาดจึงหาทางหลบเลี่ยงแบบปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ จัดการกดหน้าตัวเองแนบไปกับไหล่ของหญิงสาว (โห่... ทำไมเด็กสมัยนี้ฉลาดจัง โมเม้นต์ดี ๆ หดหายไปอีกหนึ่งละ ไรท์เตอร์ขอบ่นหน่อย)

ทางด้านผู้ใหญ่ขี้แกล้ง...

ปณิตาหัวเราะเสียงใสเสียงดังเนิ่นนานด้วยความชอบอกชอบใจที่เห็นเด็กน้อยเขิน เธอไม่ได้กะจะจูบเด็กสาวจริง ๆ หรอก แกล้งพูดแหย่เล่นไปอย่างนั้นเอง (แต่ถ้าได้จูบจริง ๆ ก็ดี อิอิ) เสื้อยืดที่เธอใส่อยู่ถูกเด็กน้อยกำขยุ้มบริเวณข้างเอวทั้งสองจนเธอรับรู้ได้ว่าเสื้อมันตึง ๆ ปณิตาปล่อยมือคลายอ้อมแขน ปล่อยเด็กน้อยให้เป็นอิสระตั้งแต่ตอนเริ่มส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กแรกแล้ว แต่อรินทิพย์ยังก้มหน้าแนบอยู่กับไหล่ ไม่ยอมผละหน้าออกมาเสียที คราวนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเป็นฝ่ายถาม
“น้องอินอ่า... ปล่อยพี่ได้รึยังคะ?”

“?”

“มากอดพี่อยู่ได้... ทำแบบนี้พี่ปริมเขินน้า~”
เด็กสาวถอยหน้าตัวเองออกมา กะพริบตาปริบ ๆ ให้เธอสองที จากนั้นก็รีบปล่อยมือที่ขยุ้มเสื้อยืดของเธอ ดีดตัวเองถอยห่างไปก้าวใหญ่ราวกับว่าเธอเป็นของร้อน ปณิตาอมยิ้ม หัวเราะขำคิกคัก อืม... เธออาจจะเป็นของร้อนจริง ๆ ก็ได้ หญิงสาวลองเอาปลายนิ้วสัมผัสจับแตะใบหน้าตัวเองดู เพราะรู้สึกว่าใบหน้าใบหูร้อนผ่าวแปลก ๆ 


“อ่อ... อินอยู่ในครัวแล้วนี่เอง แม่เข้าไปเรียกในห้องถึงไม่เจอ ว่าจะไปเตือนให้ลงมาทำกับข้าว... เดี๋ยวแม่ช่วยทำแกงส้มละกัน อินทอดปลาทูสิ จะได้เอาเนื้อปลามาแกะตำน้ำพริก”
เสียงของคุณอรทัยทำให้ปณิตาสะดุ้งโหยง หญิงสาวยืนตัวตรงแหน่วแขนแนบลำตัว ทำท่าทางราวกับเด็กยืนตัวตรงเคารพธงชาติ ที่ปณิตาเกิดอาการแบบนี้ก็เพราะกลัว เธอคิดว่าตนมีความผิดติดตัวหลายกระทงอยู่ แอบมากอดมาแกล้ง ทำปากจู๋ขู่ว่าจะจูบลูกสาวชาวบ้านเขา เหอ ๆ ถ้าคุณพี่อรทัยเห็นเข้า เธอตายแน่ เห็นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่คนมีความผิดติดตัวไม่กล้าสู้หน้า ขอชิ่งก่อนดีกว่า...
“เอ่อ... ปริมทำอาหารไม่เป็นนะคะพี่อร ห้องครัวที่นี่ก็แคบนิดเดียว อยู่ไปคงเกะกะเปล่า ๆ เดี๋ยวปริมจะช่วยเอาผักไปล้างไปเด็ดให้ละกันค่ะ”
พูดจบปุ๊บปณิตาก็คว้าถุงสารพัดผัก เดินไปยังอ่างน้ำซึ่งอยู่ตรงระเบียงหลังบ้าน นอกห้องครัวไปอีกที ระหว่างล้างผัก หญิงสาวได้ยินเสียงปลาทูโดนทอดดังฉู่ฉี่ สลับกับเสียงหวานใสของเด็กสาว
“แม่คะ แม่ลงมาช้า อินถูกพี่ปริมแกล้งตั้งหลายครั้งแน่ะ”
ปณิตาหันขวับไปมองเด็กน้อยทันที แต่เธอก็ยังยิ้มได้
“เด็กขี้ฟ้อง” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ เอาถั่วฝักยาวชี้ไปที่เด็กทอดปลาทู

“ผู้ใหญ่ขี้แกล้ง” เด็กย่นจมูกใส่ ตะหลิวในมือชี้ไปที่ผู้ใหญ่ล้างผัก

“ก็เด็กน่ารัก ผู้ใหญ่เลยอยากแกล้ง” ผู้ใหญ่พูดกับแครอทในกะละมัง

“ผู้ใหญ่ขี้แกล้ง ระวังเด็กจะไม่รัก” เด็กน้อยก้มหน้าพูดกับปลาทูในกระทะ

“รักดอกจึงหยอกเล่นอ่ะ ไม่เคยได้ยินเหรอ?” ผู้ใหญ่เอ่ยถามยอดชะอม

“............” เด็กน้อยกัดริมฝีปากล่าง ยิ้มเขินให้ปลาทู

“คิคิ” ผู้ใหญ่แอบชะโงกหน้าไปมองสีหน้าอาการของเด็กแล้วหัวเราะกับผักกาดทางขาว

พี่ปริมพูดแบบนี้... หมายความว่าพี่ปริมรัก ก็เลยแกล้งเค้าเหรอ
เด็กน้อยเขินอ่า >//////<

เหล่าสารพัดผัก กองเชียร์ของพี่ปริมส่งเสียงโห่ฮาเป่าปากกันเฟี้ยวฟ้าว
ส่วนปลาทูสามตัวในกระทะ เห็นเด็กยิ้มเขินก็หัวเราะชอบใจกันดังคิกคักเอิ๊กอ๊ากจนน้ำมันกระเด็น (อ่าว... นึกว่าปลาทูจะเข้าข้างเด็ก)

สรุปว่า... ยกนี้ ผู้ใหญ่ก็ชนะอีกตามเคย ^__^

หลังจากเหตุการณ์ผู้ใหญ่พูดเถียงกับผัก เด็กน้อยฟ้องร้องบอกปลาทูว่าโดนผู้ใหญ่แกล้ง สุดท้ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็มานั่งร่วมวงรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน อ่อ มีคุณแม่ของเด็กน้อยด้วยอีกคน
บนโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านของอรินทิพย์ตอนนี้มีกับข้าวหน้าตาน่าทานวางอยู่เต็มไปหมด ทั้งผักต้มห้าสีในจานแบนกลมใบใหญ่ มีถั่วฝักยาว แครอท ฟักทอง บล็อคโคลี่ ผักกาดทางขาว ถ้วยเซรามิคใส่น้ำพริกปลาทูวางอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผักต้มทั้งหลาย ข้าง ๆ กันเป็นชามใบใหญ่ใส่ปลาช่อนแกงส้มมะละกอ ปลาทูสองตัวนอนคู่กันอยู่ในจานเล็ก ส่วนจานแบนอีกจานเป็นไข่ทอดชะอมที่ถูกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ

“น่ากินจังเลย ทานละนะค้า~”
ปณิตาประกาศด้วยน้ำเสียงสดใส ช้อนส้อมถูกส่งไปหาผักต้มเป็นคำแรก หญิงสาวเคี้ยวแครอทเปล่า ๆ แล้วหันไปพูดกับเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างเธอ
“น้องอินทำกับข้าวเก่งนะเนี่ย แค่ผักต้มเฉย ๆ ยังอร่อยเลย”

“พี่ปริมนี่ละก็ หาเรื่องพูดชมให้มันดีกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ?”

หญิงสาวอมความขำจนแก้มบวม ตักฟักทองเปล่า ๆ มากินเล่นอีกคำก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ บอกกับเด็กน้อยว่า 
“ยามรัก ผักต้มก็ว่าหวาน”

“พี่พูดผิดละ เค้าต้องพูดว่า ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน ต่างหาก”

“อ่าว ก็พี่กินผักต้มอยู่นี่นา ไม่ได้กินน้ำต้มผัก อิอิ”

“พี่บอกว่ายามรัก แล้วตอนนี้พี่รักใคร?”

“รัก... และเอ็นดู... เด็กแถวนี้”

เด็กแถวนี้ได้ยินอย่างนั้นแก้มก็พองเลยสิคะ อมทั้งข้าวทั้งความเขินเอาไว้จนเต็มกระพุ้งแก้ม เคี้ยวข้าวนี่ไม่เท่าไหร่ แต่เคี้ยวเขินนี่สิ อรินทิพย์ใช้เวลาเคี้ยวนานเชียว

ส่วนทางด้านปณิตา หญิงสาวลอบเป่าปาก เมื่อกี้เกือบไปแล้ว เผลอพูดจาล้อเล่นคะนองปาก ลืมไปว่าแม่ของเด็กน้อยก็นั่งอยู่อีกทั้งคน ดีนะที่ยังอุตส่าห์มีไหวพริบ เข็นคำว่า เอ็นดู ต่อท้ายมาด้วย มิฉะนั้นคุณแม่อาจจะเข้าใจผิดได้...

เอ๊ะ!... รึว่าเข้าใจถูกแล้ว?

ปณิตาเริ่มขมวดคิ้ว เพิ่งจะมาฉุกคิดถึงเรื่องนี้
ไอ้ที่มานั่งพูดหยอดแหย่เป็นหมาหยอกไก่แกล้งเด็กอยู่นี่ เธอทำไปทำไม? แค่อยากแกล้งเล่น ๆ เท่านั้นเองรึ?
พอถามตัวเองในใจจบ ปณิตาก็หันไปมองเด็กน้อยที่โดนเธอแกล้ง
อรินทิพย์มองเธอและส่งยิ้มให้
ปณิตาทำตาเชื่อมตาลอย ส่งรอยยิ้มหวานตอบกลับให้เด็กน้อยโดยใช้ระบบอัตโนมัติ ไม่ต้องสั่ง ร่างกายมันอยากจะทำแบบนั้น
หญิงสาวหันกลับมามองเมล็ดข้าวสวยในจานของเธอ ปณิตาพูดกับข้าวสุกทุกเม็ดในจานว่า...
“ฉันรู้ละ... คำตอบของคำถามเมื่อกี้น่ะ”
“คะ? พี่ปริมพูดว่าอะไรนะ?”

เด็กน้อยถามเธอ ปณิตาจึงหันไปคลี่ยิ้มกว้างให้ 
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ... เดี๋ยวพี่แกะปลาทูให้นะเด็กน้อย”

“อินไม่ใช่เด็กน้อยสองขวบนะคะ แกะปลากินเองได้น่า”

“ก็พี่อยากแกะปลาทูให้น้องอินกินนี่นา อ่ะนี่... พี่ปริมให้... พี่ดูแลน้องอินด้วยรักและปลาทูเลยนะเนี่ย อิอิ”

“คิคิ”

เด็กน้อยไม่ขำ เสียง คิคิ เมื่อสักครู่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เป็นคุณแม่ของเด็กน้อยที่หัวเราะเบา ๆ ส่วนอรินทิพย์นั่งเอียงคอมองผู้ใหญ่สองคนสลับกัน ปณิตาถอนหายใจดังเฮือก ทำไหล่ตกเหมือนมุกตลกย้อนยุคที่ตกลงบนโต๊ะกินข้าวดังแป้ก คุณอรทัยเห็นปณิตาทำหน้าสลดหดหู่ก็ยิ่งเร่งเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นอีก คุณแม่ต้องเก็บมุกบนโต๊ะมาปัดฝุ่น และเป็นคนแปลให้ลูกสาวฟัง
“คือ... ที่พี่ปริมเค้าพูดเมื่อกี้ มันเป็นชื่อเพลงของพี่มอส ด้วยรักและปลาทู”
พอเด็กน้อยรู้ เสียงหัวเราะกิ๊กจึงเริ่มดัง อรินทิพย์หันมาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า
“พี่มอสเหรอ? อินเกิดไม่ทันหรอก อิอิ”

“เฮ้อ... วัยรุ่นเซ็งเลย”

“รุ่นเดียวกับคุณแม่ของอินน่ะสิ คุณแม่รับมุกพี่ได้ แต่อินรับไม่ได้อ่ะ คิคิ”
เซ็ง... จะปล่อยมุกตลกขำขันจีบเด็ก แต่มุกนี้มีแต่คนระดับรุ่นแม่ของเด็กที่รับได้แปลออก
ช่องว่างระหว่างวัยนี่มันกว้างเหมือนกันนะเนี่ย
พอสะดุดหกล้มตกหลุมช่องว่างระหว่างวัย คิดถึงเรื่องอายุทีไร 
คนแก่... เอ้ย! คนอายุมากกว่าอย่างปณิตาก็เกิดอาการหดหู่ห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที เด็กน้อยเห็นเข้าก็เลยหาเรื่องปลอบใจ (รึต้องการจะตอกย้ำซ้ำเติมก็ไม่ทราบ)
“โอ๋ ๆ... อ่ะ... พี่ปริมกินปลาทูน้า~ อินแกะก้างออกให้แล้วน้า~ ด้วยรักและปลาทูค่ะ อิอิ”

“ชิ...”

หญิงสาวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ พ่นลมออกจมูกดังฮึอย่างเซ็ง ๆ ปณิตารีบตักด้วยรักและปลาทูเข้าปากเคี้ยว ๆ แล้วกลืนลงไปให้พ้นหูพ้นตา
.

.

หลังทานข้าวเสร็จสักพักใหญ่ ๆ ปณิตาก็ขอตัวกลับ เด็กสาวเดินมาส่งเธอที่หน้าบ้าน
“ขับรถกลับดี ๆ นะคะ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ช่วยส่งข้อความมาบอกอินด้วยนะคะ”

“จ้า...”

เสียง จ้า ช่างยืดยาว แต่ปราศจากความสดใส เด็กน้อยจึงหัวเราะขำ “อะไรคะ? นี่พี่ยังไม่หายซึมอีกเหรอ? แค่ปล่อยมุกย้อนยุคแล้วอินรับไม่ได้แค่เนียะ” 

“ฮือ... พี่... พี่... เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ ๆ แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป”

“โอ๊ะ! เพลงประกอบซีรีส์ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ของ Bedroom Audio... 
พี่ปริมรู้จักเพลงนี้ด้วยน้า ไม่เอ้าท์น่ะเนี่ย จะเล่นมุกให้เด็กรับก็ต้องแบบนี้สิคะ คิคิ”

เด็กสาวพูดจบก็หัวเราะเสียงใสจนตาปิด ทางด้านคนแก่ เอ้ย! คนอายุมากกว่าที่แก้ตัวได้สำเร็จจึงเริ่มยิ้มออก
“พี่กลับละน้า~”

“ค่า... อ้อ... เดี๋ยวก่อนค่ะ อินลืมคืนชุดนอนให้พี่...”

“ไม่ต้องคืนหรอกค่ะ น้องอินเอาไปใส่เถอะ เพราะอยู่กับพี่มันก็ได้แต่นอนอยู่ตรงมุมตู้ ไม่ได้ใส่แล้ว อืม... ถ้าน้องอินไม่รังเกียจเสื้อผ้ามือสองของพี่...”

“ไม่รังเกียจหรอกค่ะ น่ารักดี อินชอบ”

เด็กน้อยพูดยิ้ม ๆ ปณิตายิ้มตามแล้วก็ต้องเสตาหลบพร้อมกับเอามือเกาข้างหู เอ... เมื่อกี้คิดไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้ เธอคิดว่าเมื่อครู่ดวงตาของเด็กน้อยมันเป็นประกายระยิบระยับแปลก ๆ แฮะ มองสบตาด้วยแล้วเขิน

เอ๊อะ! อาการหนักขนาดนี้ ถ้าถามว่ารักเด็กไหม เธอคงตอบว่าไม่รู้ ๆ ไม่ได้แล้วสินะ...

ปณิตายิ้มกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา มองสบเข้าไปในดวงตากลมโตสวยใสของเด็กน้อยอีกครั้งแล้วโบกมืออำลา ขณะที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรถ เสียงเด็กน้อยก็ดังขึ้น
“พี่ปริม อย่าเพิ่งไปค่ะ! รอแป๊บนึง”
อรินทิพย์บอกให้เธอรอ ปณิตาจึงชะงักขา กลับมายืนตรงสองเท้าแตะพื้นเหมือนเดิม เด็กน้อยหายไปตรงมุมรั้วด้านในของบ้าน ไม่ช้าไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับยื่นดอกไม้สีขาวในมือส่งให้เธอ
“ดอกพุดซ้อนค่ะ พี่ปริมบอกว่าชอบกลิ่นของมันนี่นา จะเอาไว้ตรงข้างหมอน หรือวางเอาไว้ในรถก็ได้”

เด็กน้อยก้มหน้าก้มตาพูด เห็นนะว่าแอบยิ้ม ปณิตาเองก็ยิ้มเหมือนกัน หญิงสาวรับดอกไม้มาถือ แต่ก็แอบเนียน จับกุมมือของเด็กน้อยเอาไว้ด้วย เธออดที่จะแกล้งเด็กน้อยเป็นการส่งท้ายไม่ได้ ปณิตายื่นหน้าไปพูดกระซิบเบา ๆ
“รู้น้า~ ว่าคิดอะไรอยู่”
หญิงสาวรับดอกไม้เจ้าปัญหาที่ทำให้จมูกแตะกันแล้วเขินมาถือเอาไว้ แต่จะให้จากกันง่าย ๆ แบบนี้เหรอ เสียชื่อผู้ใหญ่ขี้แกล้งจอมเนียนหมดสิ
“ก่อนจะกลับบ้านนี่... พี่ขออีกสักทีเถอะ...”
ฟอดดด (ทีเดียว แต่กดค้าง จะได้คุ้ม)
.

.
หญิงสาวขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี พอกลับถึงบ้าน สิ่งที่เธอทำเป็นอันดับแรกคือวางดอกพุดซ้อนไว้ตรงข้างหมอน อันดับที่สองคือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพราะเด็กน้อยสั่งว่าพอกลับถึงบ้านแล้วให้เธอส่งข้อความไปรายงานตัว

พี่กลับถึงบ้านแล้วจ้า

(ตบท้ายด้วยสติ๊กเกอร์หญิงสาวยิ้มกว้าง)

ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เด็กน้อยบอกว่า...
รับทราบค่ะ

(อีกบรรทัดเป็นสติ๊กเกอร์เด็กน้อยยิ้มยิงฟัน)

ปณิตายิ้มยิงฟันตามสติ๊กเกอร์ที่อรินทิพย์ส่งมาให้ จากนั้นหญิงสาวก็วางโทรศัพท์ไว้บนเตียง หายตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย พอกลับมาอีกครั้ง ปณิตาในชุดนอนก็ทิ้งตัวนอนคว่ำบนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาอีกรอบ เธอกะจะเช็คดูตารางงานว่าวันพรุ่งนี้เธอจะต้องทำอะไรบ้าง พอปลดล็อคหน้าจอปุ๊บ เรื่องงานก็ถูกลืมไปชั่วขณะ เพราะปณิตาเห็นว่าเด็กน้อยส่งข้อความมาอีก หน้าต่างโปรแกรมแชทถูกเปิดทำการเต็มหน้าจอทันที
หลังจากนั้น...

“อ๊ายยย! เด็กน้อย... ลูกแมวน้อยของพี่... น่าร้ากกก~”
ปณิตาตะโกนลั่นห้องแล้วหมุนตัวกลิ้งกลุก ๆ กลับไปกลับมาบนเตียง
ก็เด็กน้อยเล่นส่งข้อความมาหา บอกว่า...

อยากให้เธอคิดว่าฉันเป็นแมวสักตัว
คิดว่าฉันเป็นแมวสักตัว
เลี้ยงไม่ยากหรอก
เลี้ยงไม่ยากหรอก
จะคอยทำตัวน่ารักให้เธอดู

เด็กน้อยพิมพ์เนื้อเพลงด้วยรักและปลาทูของพี่มอส ปฏิภาณ ส่งมาให้ท่อนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ปณิตาตะโกนลั่นห้องแล้วกลิ้งตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งได้ เป็นเพราะรูปถ่ายที่เด็กน้อยส่งมาให้เธอดูประกอบเนื้อเพลง มันคือรูปของอรินทิพย์เองที่กำลังกำมือสองข้าง ยกขึ้นสูงต่ำไม่เท่ากัน ใบหน้าสวยใสซึ่งมียิ้มหวานประดับอยู่ถูกโปรแกรมแต่งภาพขีดหนวดแมวสามเส้นตรงแก้ม แถมตรงหัวยังมีการเติมหูแมวเป็นสามเหลี่ยมด้วยนะ

“อ๊ากกก~ น่ารักโฮกกก...”
ปณิตาตะโกนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหยุดกรี๊ดหยุดกลิ้ง หญิงสาวรีบจิ้มนิ้วบนทัชสกรีน ส่งข้อความกลับไป

มาเป็นลูกแมวน้อยของพี่มะ เหมียว ๆ

รออยู่นานพอสมควร กว่าลูกแมวน้อยจะตอบกลับ

พี่ปริมใจดี จะรับเลี้ยงเค้าจริง ๆ เหรอ
เหมียว ๆ ๆ หง่าว
เหมียว ๆ ๆ หง่าว
ก็แปลตรง ๆ ว่าฉันต้องการเธอ อิอิ

พอเห็นข้อความตอบกลับ ปณิตาก็กรีดร้องส่งเสียงโอ๊ย อ๊าย อ๊าก อ๊าก น่ารักโฮก และคำอุทานไม่เป็นภาษาอะไรอย่างอื่นอีกพร้อมกับหมุนตัวกลิ้งไปมาสามสิบเจ็ดตลบบนเตียงกว้าง

งานการตารางงาน วันพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง?
ปณิตาตอบว่า ไม่รู้ ๆ
เดี๋ยวค่อยดู ขอเวลาหลงเด็กก่อน แป๊บนึง >_<
.............
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2013 เวลา 20:27:54 Admin »




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.