web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 159
Total: 159

ผู้เขียน หัวข้อ: ประมูล... รัก ตอนที่ 7  (อ่าน 1246 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ UPsidedown

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 31
ประมูล... รัก ตอนที่ 7
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2013 เวลา 15:31:35 »
ตอนที่ 7
เช้าวันรุ่งขึ้น...
เวลาหมุนไปข้างหน้าจนมาถึงวันทำงานวันแรกของสัปดาห์อีกครั้ง
หญิงสาวในวัยทำงานอย่างปณิตาตื่นแต่เช้าตรู่ ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ เริ่มจากล้างหน้าล้างตา อาบน้ำแต่งตัว ตบท้ายด้วยการแต่งหน้าบาง ๆ เมื่อเช็คดูถ้วนถี่แล้วว่าเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยดูดี หญิงสาวก็ยิ้มให้ตัวเองในกระจก หยิบเสื้อสูทตัวนอกสีครีมมาพาดแขนซ้าย มือขวาคว้ากระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่ อันที่จริงข้าวของที่ปณิตาหอบถือไปทำงานด้วยเป็นประจำน่าจะหมดเพียงเท่านี้ แต่วันนี้มันมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง

พอเห็นเจ้านายสาวก้าวเดินตรงมายังรถ นพเก้าก็รีบกุลีกุจอเปิดประตูหลังของพาหนะคันใหญ่สีดำสนิทเอาไว้รอท่า คนตาดีช่างสังเกตสังกา เห็นอะไรอย่างหนึ่งที่ปณิตาถือติดมือเพิ่มมาด้วยเป็นคนแรกคือคนขับรถ
ขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นสารถี สายตาของพลขับเหล่มองเจ้านายสาวทางกระจกมองหลัง นพเก้าเห็นปณิตาถือก้อนอะไรสักอย่างสีเหลือง ๆ เอาไว้ในมือซ้าย พอแอบเหล่ตาไปมองอีกครั้ง เขาเห็นหญิงสาวยกมันขึ้นมาใกล้จมูกพร้อมกับมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า เมื่อเขาเหลือบตาไปมองครั้งที่สามแล้วเห็นว่าเจ้านายสาวสวยยังยิ้มให้ของในมืออยู่เหมือนเดิม คนขับรถก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น
“ปริมครับ เจ้าก้อนเหลือง ๆ ในมือปริมน่ะ มันคืออะไรเหรอ?”

“ดอกพุดซ้อนค่ะ”

คนขับรถพยักหน้าและร้องอ๋อ ได้คำตอบทันทีว่าทำไมถึงเห็นเจ้านายยกมันมาจ่อตรงปลายจมูก นพเก้าขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย เพราะว่าเขามีหน้าที่อีกอย่างคือหัวหน้าคนสวน เขาจึงถามเจ้านายคนสวยว่า
“ในสวนที่บ้านไม่มีต้นพุดซ้อนนี่ครับ แล้วปริมไปเอาดอกไม้มาจากไหน?”

“ลูกแมวน้อยของปริมให้มา”
คำตอบของเจ้านายทำให้คนขับเอียงคอเล็กน้อย [ส่วนไรท์เตอร์แอบอมยิ้มให้กับคำแสดงความเป็นเจ้าของ] นพเก้ายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัยก่อนจะถามย้ำคำพูดของปณิตาเมื่อสักครู่

“ลูกแมวน้อยเหรอครับ???”
“อื้อ”

“ลูกแมวน้อย... ของปริม?”

“อือฮึ”

“ใครกันครับ?”

“ก็... น้องอินไง”

คำตอบที่ได้นั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวางหวานหยด
หลังจากตอบคำถามไขข้อข้องใจของคนขับรถเรียบร้อย ปณิตาก็หยิบกระเป๋าสะพายไหล่ที่วางอยู่บนเบาะรถข้างตัวมาเปิดดู โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องหรูรุ่นล่าสุดถูกเจ้าของหยิบออกมา คราวนี้หญิงสาวเอาแต่จ้องมองมือถือ มองจ้องแล้วก็อมยิ้ม ดวงตาสวยคมเอาแต่กะพริบปริบ ๆ ส่งตาหวานเป็นประกายปิ๊ง ๆ ให้เครื่องมือสื่อสาร ถ้าโทรศัพท์มีอารมณ์และแสดงความรู้สึกได้ มันอาจจะเปลี่ยนหน้าจอเป็นสีชมพูระเรื่อ และเครื่องอาจจะร้อนขึ้นนิดหน่อย 


คือ... คุณปริมคะ อย่ามองกันแบบนี้สิ เค้าเขินน้า~

โทรศัพท์อยากจะส่งเสียงออกทางลำโพงเป็นเสียงอุบอิบแหลมเล็กแบบสาวน้อยเอียงอาย บอกกับเจ้านายของมันว่าอย่างนั้น ซึ่งถ้าปณิตาได้ยิน หญิงสาวคงจะรีบบอกกล่าวชี้แจงกับเครื่องมือสื่อสารที่กำลังทำหน้าจอชมพูว่า...
จะเขินทำไมจ๊ะ? ฉันไม่ได้ส่งตาหวานให้เธอเสียหน่อย ที่ฉันนั่งมองเธอแล้วทำตาซึ้งตาหวานอยู่นี่เป็นเพราะฉันกำลังนั่งมองภาพของลูกแมวน้อยที่ฉันตั้งเป็นวอลเปเป้อต่างหากเล่า เลิกทำหน้าจอแดงอมชมพูเพราะเขินได้แล้ว กลับมาโชว์รูปลูกแมวน้อยของฉันเดี๋ยวนี้ [แหม ๆ ... นี่คุณปริมหลงลูกแมวน้อยมากมายจนถึงขนาดเอาภาพมาตั้งเป็นวอลเปเป้อโทรศัพท์เชียวรึนี่]

คนหลงเด็กนั่งยิ้มมองรูปของเด็กน้อยที่ทำท่าทางเลียนแบบลูกแมวได้อย่างน่ารักน่าชังแล้วก็ถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“อร๊าย... ลูกแมวน้อยของพี่ปริม น่าร้ากกก~”
อยู่ดี ๆ เจ้านายสาวก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังคับรถ นพเก้าจึงสะดุ้งนิดหนึ่งและเหลือบตาขึ้นเพื่อจ้องกระจกมองหลัง พอเห็นสีหน้าของเจ้านาย ชายหนุ่มเก็บอาการไม่อยู่เหมือนกัน นพเก้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะขยับปากเอ่ยแซว
“ปริมครับ ไม่เมื่อยแก้มบ้างเหรอ? ตั้งแต่ขึ้นรถมานี่พี่เห็นปริมยิ้มไม่หุบเลยนะ”
“เริ่มเมื่อยแล้วเหมือนกัน แต่มันหุบยิ้มไม่ลงอ่ะพี่เก้า ทำไงดี?”
“เลิกยิ้มเถอะครับ... ยังไงซะ ลูกแมวน้อยของปริมก็ไม่เห็นหรอก”
“จริงด้วย!”
หญิงสาวทำตาโตเหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของคนขับรถ แต่แทนที่จะเลิกยิ้ม ปณิตากลับฉีกริมฝีปากให้ขยายออกกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสียง แชะ ก็ดังขึ้น หญิงสาวส่งรูปที่ตัวเองทำตาเชื่อมยิ้มหวานไปให้ลูกแมวน้อย ตามมาด้วยการขยับนิ้วมือกดจิ้มตัวอักษรบนหน้าจอทัชสกรีน

ส่งยิ้มมาทักทาย
สวัสดียามเช้า ลูกแมวน้อยของพี่

พอพิมพ์เสร็จ ปณิตาก็กดส่ง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาพูดกับคนขับรถว่า
“เท่านี้ลูกแมวน้อยของปริมก็เห็นแล้วว่าปริมยิ้มให้” 
นพเก้าได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขำ “พี่ไม่ได้กะจะพูดให้คิดหาทางทำให้ลูกแมวเห็นปริมยิ้มนะ พี่พูดแบบนั้นเพราะปริมถามว่าทำยังไงถึงจะเลิกยิ้มได้... เวรกรรม คราวนี้ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก”

นพเก้าพูดพลางกลั้นยิ้มกลั้นขำ เพราะเจ้านายสาวไม่ได้ทำแค่ยิ้มกว้างอย่างเดียวละตอนนี้ ปณิตายิ้มสลับกับส่งเสียงอ๊าย น่ารัก น่าร้อกอ่ะ เป็นระยะ ๆ เพราะลูกแมวน้อยของเธอพิมพ์ข้อความตอบกลับมาว่า...

เมี้ยว~
สวัสดีค่ะเจ้านาย
แมวน้อยรีบวิ่งเข้าไปหา
เอาหัวถูข้อเท้าพี่ปริมไปมาสองที 
เจ้านายจ๋า อุ้มเค้านั่งตักหน่อยจิ เมี้ยว~
(ลงท้ายด้วยสติ๊กเกอร์หน้าแมวยิ้มอ้าปากกว้างจนตาโค้ง)

ปณิตาย่นจมูกกัดฟันกลั้นความรู้สึกหมั่นเขี้ยว จินตนาการในหัวเธอไม่ใช่ภาพลูกแมวเหมียวสี่ขาที่มาร้องอ้อนขอนั่งตัก แต่เป็นลูกแมวสองขาหน้าขาวตาโตแก้มป่อง ผู้ใหญ่จินตนาการดีร้องกรี๊ดหลงเคลิ้มไปกับภาพความคิดบรรเจิดในหัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะใช้นิ้วจิ้มกดแตะหน้าจอ พิมพ์ข้อความตอบไป

มามะ เมี้ยว ๆ
พี่ปริมอุ้มลูกแมวขึ้นมา
แต่ก่อนจะวางบนตัก ขอจุ๊บทีนึงนะ
จุ๊บ

พอส่งข้อความไปเสร็จ หญิงสาวนั่งจ้องหน้าจอตาไม่กะพริบ ไม่ช้าไม่นานหน้าจอก็มีข้อความเพิ่มขึ้นมา

พี่ปริมอ่า~
เอาหน้าแดง ๆ หลบซบตรงพุงเจ้านาย
มี้~ ลูกแมวเขิน >/////<

ปณิตาอ่านแล้วก็นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เด็กน้อยเขินอายเอาหน้าซบซุกแอบตรงไหล่เธอตอนโดนขู่ว่าจะจูบเมื่อวาน

“อร๊าย... น่าร้ากกก~ ลูกแมวน้อยของพี่... พี่ปริมทนไม่ไหวแล้ว~...”

เสียงกรีดร้องของเจ้านายสาวทำให้นพเก้าเหล่มองกระจกมองหลังอีกรอบ พลขับต้องกลั้นขำจนหน้าเปลี่ยนสี คำก็ลูกแมวน้อยของพี่ สองคำก็ลูกแมวน้อยของพี่ ท่าทางเจ้านายของเขาจะหลงเด็กจนหัวปักหัวปำ ต่อให้มีคนช่วยงัดช่วยดึงขึ้นมา ไม่ทันไรปณิตาคงเอาหัวตัวเองปักพื้นอีกรอบอย่างไม่ต้องสงสัย

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน...
เด็กสาวเจ้าของฉายาลูกแมวน้อยที่เมื่อสักครู่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอีกสองคนต้องขอปลีกตัวออกจากวงสนทนา เอาแต่นั่งมองมือถือ ใบหน้าหวานซึ้งสวยใสสมวัยมีรอยยิ้มประดับ แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ อรินทิพย์อดยิ้มขำไม่ได้ แค่เธออ่านข้อความที่พี่ปริมส่งมาให้ บอกว่าขอจุ๊บทีนึงแค่นี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องเกิดอาการเขินอายอะไรนักหนาจนหน้าร้อนหน้าแดงด้วย พอมาคิดดูดี ๆ จะไม่ให้เขินได้ยังไง พอได้อ่านข้อความ สมองของเธอก็คิดเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์จริง ดึงภาพความทรงจำตอนที่พี่ปริมยื่นหน้าทำปากจู๋ขู่ว่าจะจูจุ๊บเธอเมื่อวานมาฉายซ้ำให้เห็นอีกรอบ แถมสมองยังคิดเรื่อยเปื่อยฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันแอบคิดแอบตั้งคำถามว่าถ้าเมื่อวานเธอไม่พาหน้าตัวเองหลบหนีไปซบตรงไหล่ พี่ปริมจะจูบเธอจริง ๆ ไหมเนี่ย?

ก็ไม่แน่นะ ขนาดหอมแก้มยังกล้าทำเลยนิ่
โอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน >/////<

เด็กน้อยตะโกนในใจพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างด้านในและหลับตาปี๋
อรินทิพย์พยายามเตือนตัวเองซ้ำ ๆ ว่าอย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่ดูเหมือนว่าสมองและหัวใจจะดื้อด้าน ไม่ยอมฟังคำเตือนเลย เพราะเมื่อได้อ่านข้อความบทสนทนาบนหน้าจอ สมองของเธอก็ดึงดัน แอบคิดต่อไปอีกว่า...

ถ้าเราเป็นลูกแมวจริง ๆ ก็ดีน่ะสิ อยากจะปีนขึ้นไปนั่งบนตัก เอาหน้าซบพุงพี่ปริมจริง ๆ นะเนี่ย >_<

ด้วยเหตุนี้ เด็กสาวจึงยิ้มเอียงอาย เกร็งกล้ามเนื้อแก้มสองข้างเพื่อกักความเขิน นิ้วชี้ขยับจิ้มพิมพ์ข้อความตอบกลับไปตามที่สมองคิด บอกคุณพี่ปริมไปว่าจะเอาหน้าซบพุง
ลูกแมวน้อยเขิน ส่งข้อความไปได้ไม่ทันไร พี่สาวเจ้านายคนสวยของลูกแมวน้อยก็ส่งข้อความกลับมาถามว่าขอโทรมาคุยด้วยจะได้ไหม พอเธอตอบไปว่า ได้ ไม่ถึงสิบวินาที
หน้าจอโทรศัพท์ก็รายงานว่ามีคนโทรมา เด็กสาวขยับตัวออกห่างจากกลุ่มเพื่อนไปนั่งสุดปลายโต๊ะ นิ้วจิ้มกดปุ่มรับสายแล้วกรอกเสียงหวานใสเข้าไปในไมโครโฟนของเครื่องมือสื่อสาร
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
(สวัสดีจ้า ลูกแมวน้อยของพี่)
เด็กสาวได้ยินฉายาน่ารักและคำแสดงความเป็นเจ้าของที่พี่ปริมพูดต่อพ่วงท้ายมาแล้วก็ต้องอมยิ้มจนแก้มมีรอยปริ รู้สึกเขินเล็ก ๆ และที่สำคัญคือรู้สึก...

ชอบ...
ชอบที่พี่ปริมเรียกอย่างนี้ ฟังแล้วรู้สึกดี ฟังแล้วมันจั๊กจี้ในใจยังไงก็ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก >_<

เพราะเธอเอาแต่นั่งอมยิ้มชอบใจ นิ่งเงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไร พี่ปริมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนคุยต่อ
(ลูกแมวน้อยอยู่ที่ไหนคะ? เดินทางถึงโรงเรียนรึยัง?)
“ถึงแล้วค่ะ แล้วเจ้านายของลูกแมวน้อยล่ะคะ ถึงที่ทำงานรึยัง?”
(ยังค่ะ พี่ยังอยู่ในรถ นี่ขนาดพี่ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติแล้วนะ รถติดมากเลย)
“แล้วนี่พี่ขับรถเองรึว่ามีคนขับให้คะ?”
(มีคนขับให้ค่ะ)
“ก็แล้วไป... อินกลัวว่าถ้าพี่ขับไปคุยโทรศัพท์ไป เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ”
(เป็นห่วงพี่เหรอ?)
“ไม่ห่วงหรอกค่ะ เป็นห่วงคนอื่นที่พี่อาจจะขับรถไปชนเขาต่างหาก”
(ลูกแมวน้อยใจร้ายยย~ จะไม่ห่วงเจ้านายสุดที่รักบ้างซักกะนี้ดดด~... เลยเหรอ?)
เสียงตัดพ้อต่อว่าออดอ่อยประโยคแรกของพี่ปริมทำให้เธอหัวเราะได้ ส่วนประโยคคำถามถัดมาทำให้เธอต้องกัดริมฝีปากล่างด้านในอย่างเขิน ๆ
“เอ๊... เท่าที่อินจำได้ ลูกแมวน้อยไม่เคยบอกนะคะว่ารักเจ้านาย”
(แหม... ถ้าไม่รักกันเลยสักนิด ลูกแมวจะยอมให้พี่เลี้ยงเหรอ... ไม่รู้ล่ะ ขอคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน ลูกแมวอาจจะเขิน ก็เลยไม่กล้าบอกว่ารักเจ้านายไง ใช่ไหมล่า?)
“...>/////<...”
(ใช่ไหม ๆ?)
“...>/////<...”
(ลูกแมวน้อย... รักพี่ปริมรึเปล่าคะ?)
“...>/////<...”
(ถ้ายังเงียบ พี่จะแปลว่ารักนะ)
“เอ่อ...”
(อย่าส่งเสียงซี่... เงียบไปเลย)
“...>/////<...”
เด็กน้อยหุบปากเงียบไม่พูดไม่ส่งเสียงอะไร เพราะผู้ใหญ่เขาสั่งมาอย่างนั้นงั้นรึ? เปล่าหรอก... คือ... ตอนนี้อรินทิพย์พูดอะไรไม่ได้ เพราะอมทั้งขำอมทั้งเขิน เจ้านายของลูกแมวน้อยนี่เอาแต่ใจจังเลย มีการสั่งให้เงียบด้วย กว่าเด็กสาวจะขยับปากพูดได้ก็ทิ้งช่วงเวลาไปยาวนานหลายวินาทีอยู่ นานพอที่ผู้ใหญ่จะคิดเข้าข้างตัวเองล่ะว่า...
(คิคิ... เห็นไหม ลูกแมวน้อยเงียบ ลูกแมวน้อยรักพี่ปริมแหละ)
อรินทิพย์ยิ่งเขินเมื่อได้ยินพี่ปริมส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เด็กสาวส่งเสียงขำประสานเสียงกับผู้ใหญ่ก่อนจะแกล้งพูด
“เจ้านายคนนี้นิ่ นอกจากจะชอบเอาเปรียบแล้ว ยังชอบคิดเข้าข้างตัวเอง แถมเอาแต่ใจอีกต่างหาก จะรักดีไหมน้า?” 
(ดีซิ... ถ้าบอกว่ารักพี่ เดี๋ยวพี่จะเลี้ยงขนมนะ สนไหม?)
เด็กสาวหัวเราะเสียงใส พูดด้วยน้ำเสียงเจือขบขัน “แหม... พี่ปริมคะ มีการเอาขนมมาล่อด้วย อินไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ”
(คิคิ... งั้นบอกพี่มาซิว่าเด็ก ม.ปลายนี่เขาต้องล่อด้วยอะไรถึงจะหลงล่ะ?)
“นี่พี่คิดจะล่อลวงเค้าให้หลงเหรอ?”
(อิอิ คิดจะล่อ... แต่ไม่ลวงนะคะ น้องอินจะยอมหลงมาเป็นเด็กในสังกัดของพี่ปริมไหม?)
“...>//////<...”
คนถูกชักชวนให้เข้าเป็นเด็กในสังกัดอย่างเปิดเผยต้องเม้มริมฝีปากกลั้นเขินอยู่นาน ก่อนจะตอบเสียงเบาอุบอิบอย่างอาย ๆ
“อินโดนล่อด้วยรักและปลาทูไปเมื่อวาน ก็เลยหลงจนหาทางออกจากสังกัดไม่เจอแล้วล่ะค่ะ”
(อร๊าย~... ลูกแมวน้อยของพี่... ถ้ายืนอยู่ตรงหน้านี่พี่จะจับมากอดรัดฟัดเหวี่ยง จุ๊บแก้มนิ่ม ๆ สักสิบสองที ฟังแล้วหมั่นเขี้ยว... จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ)

เด็กสาวที่โดนจูบผ่านเสียงตามสายก้มหน้ากัดริมฝีปากล่าง เขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ เฉดสีใกล้เคียงกับผิวของแอปเปิ้ลวอชิงตันเลย [แหม... หนูอินจ๊ะ แค่โดนพี่ปริมจูจุ๊บออนเดอะไลน์ยังออกอาการเขินอายขนาดนี้ ถ้าโดนจูบจริงนี่คงเขินตายไปเลยมั้งหนู... >>> เผียะ! >>>  เสียงไรท์เตอร์ช่างแซวโดนเด็กฟาดแขนแก้เขิน]

เด็กมีสังกัดอมยิ้มจนเริ่มรู้สึกว่าเมื่อยแก้ม จึงต้องหาทางบริหารกล้ามเนื้อโดยการขยับปากขยับกรามพูดอะไรบ้าง
“เอ่อ... เอิ่ม... แล้ว... แล้ว... ที่พี่ปริมโทรมาหาอินนี่ พี่มีธุระอะไรจะคุยกับอินรึเปล่าคะ?”
(ธุระของพี่คืออยากได้ยินเสียงน้องอินค่ะ แค่พิมพ์ข้อความมันไม่พอ ไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่ขอให้ได้ยินเสียงก็ยังดี...)

ฉ่า~ >//////<
โอ๊ย! พี่ปริมอ่า... กะจะหยอดให้เด็กเขินตายผ่านทางโทรศัพท์รึไงคะ  >//////<

เด็กสาวได้แต่พูดต่อว่าต่อขานอยู่ในใจพร้อมกับยกมือซ้ายมาลูบหน้าลูบตาที่ร้อนผะผ่าวของตัวเอง ระหว่างนั้นผู้ใหญ่ปากหวานช่างหยอดก็ยังคงส่งเสียงหวานนุ่มคุยกับเธอต่อไปเรื่อย ๆ
(... พี่ว่า... ได้ยินแค่เสียงก็ยังไม่พอ อยากเจอหน้าแบบตัวเป็น ๆ อ่ะ วันนี้เลิกเรียนกี่โมงคะ? เผื่อพี่จะได้แวะไปรับน้องอินกลับบ้าน)
“อย่าดีกว่าค่ะ ช่วงเลิกเรียนเลิกงาน แถวนี้รถติดจะตาย”
(น้องอินไม่อยากเจอพี่เหรอ?)
ผู้ใหญ่พูดถามเสียงจ๋อย เด็กน้อยจึงต้องรีบชี้แจง “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ อินก็อยากเจอพี่ปริมน้า แต่อินเกรงใจที่พี่ต้องลำบากนั่งรถมารับแล้วพาไปส่งบ้าน ทั้งที่ไม่ใช่ทางผ่าน...”
(ไม่ลำบากหรอก พี่นั่งมาเฉย ๆ นี่นา ไม่ได้ขับเอง)
“แต่พี่ก็ต้องเสียเวลา แถมเปลืองค่าน้ำมันด้วย อินคิดว่า...”
(พี่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเสียค่ะ... ให้พี่ไปรับเถอะ... นะ... นะ)
จากพูดเสียงจ๋อยอยู่เมื่อครู่ ผู้ใหญ่เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนหวานอ้อนกัน เด็กน้อยจึงได้แต่ถอนหายใจ ในเมื่อฝ่ายคนที่ต้องลำบาก เสียนู่นจ่ายนี่เพื่อเดินทางมาหาเธอเขาพูดอย่างนั้น อรินทิพย์จึงไม่อยากจะพูดห้ามขัดขวางให้อีกฝ่ายรู้สึกน้อยใจ
“ถ้าพี่ปริมยืนยันว่าจะมารับ ก็ได้ค่ะ อินให้พี่มารับก็ได้... วันนี้เลิกเรียนสี่โมงเย็นค่ะ”
(สี่โมงเย็นเหรอ โอเค เย็นนี้เจอกันนะคะลูกแมวน้อยของพี่)
“ค่า ๆ”
(ทำไมลูกแมวน้อยร้องดัง ค่า ๆ ล่ะ ต้องร้องว่าเมี้ยว ๆ สิ)
“ม... ไม่ได้ค่ะ... พ... เพื่อนอินก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ นี่ >/////<”
(งั้นค่อยมาร้องเมี้ยว ๆ ให้พี่ฟังเย็นนี้ละกัน คิคิ)
“ม... ไม่รับปากค่ะ >_<”
(อ่าว...)
“อินต้องไปเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว แค่นี้นะคะ”
(จ้า แล้วเจอกัน หลังบ่ายสี่โมงเดี๋ยวพี่จะโทรไปหาอีกทีละกันน้า ตั้งใจเรียนนะจ๊ะ จุ๊บ ๆ)
“ค่ะ”

อรินทิพย์ลดมือที่ถือโทรศัพท์แนบหูลง เด็กสาวนั่งยิ้มให้โทรศัพท์อีกสองสามอึดใจ ในขณะที่เธอทำแบบนั้น...
“ยัยอิน!”
เพื่อนสาวตัวเล็กชื่อเล่นว่า นิ้ง ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะส่งเสียงเรียกเธอซะดังจนเธอสะดุ้งไหล่ไหว อรินทิพย์รีบหุบยิ้ม ก้มหน้าก้มตาทำเป็นเก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋านักเรียนพลางถาม
“อะ... อะไร? เรียกทำไม? อยู่ใกล้แค่นี้ไม่ต้องตะโกนก็ได้”
นิ้งหรี่เปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง “เมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับใครจ๊า? แฟนเหรอ?”
“ไม่ใช่! >/////<...”
เด็กสาวชื่อเล่นชื่อ ปลา เพื่อนเธออีกคนที่นั่งม้านั่งฝั่งเดียวกันรีบสไลด์ก้นเข้ามาจนชิด เอียงตัวกระแทกไหล่เธอสองสามทีพร้อมกับส่งเสียงแซว
“ถ้าไม่ใช่แฟนจริง ๆ ละก็ โดนเพื่อนพูดแซวเล่นแค่นี้จะเขินไปทำไม นั่นแน่! หน้าแดงแจ๋เลย เดี๋ยวฉันจะไปป่าวประกาศให้ทุกคนรู้... เพื่อน ๆ ทุกคนคร้า~... ยัยอินหัวใจไม่ว่างซะแล้ว เจ้าของหัวใจยัยอินชื่อพี่ปริน อิอิ”
“ม... ไม่ใช่นะ...”
อรินทิพย์อ้าปากจะพูดแก้ แต่เพื่อนสองคนไม่อยู่รอฟัง นิ้งกับปลาหันไปหัวเราะให้กัน คว้าสายกระเป๋านักเรียนมาสะพายไหล่แล้ววิ่งแจ้นไปยังกลางสนามบาส เด็กสาวคนที่เหลือจึงได้แต่พูดเสียงเบา บอกให้พี่โต๊ะที่เธอนั่งอยู่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง...

“พี่เค้าชื่อพี่ปริมต่างหาก >/////<...”
[อ่าว... เด็กน้อยวิ่งไปเข้าแถวเคารพธงชาติซะแล้ว พี่โต๊ะยังมีเรื่องสงสัยข้องใจจึงเอามือป้องปาก ตะโกนถามตามหลัง >>> น้องอิน... จะไม่พูดแก้ไขความเข้าใจให้พี่โต๊ะฟังหน่อยเหรอว่าพี่ปริมไม่ใช่เจ้าของหัวใจ? ถ้าน้องอินยังเงียบ พี่โต๊ะจะแปลว่าเจ้าของหัวใจของน้องอินคือพี่ปริมนะ...>>> เด็กน้อยชะงักเท้าแล้วหันกลับมา ริมฝีปากขยับอ้าเหมือนต้องการจะพูดอะไร ไรท์เตอร์ที่แอบอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างตึกแถว ๆ นั้นจึงแกล้งพูดตะโกนเสียงดุ “อย่าส่งเสียงซี่... เงียบไปเลย” >>> น้องอินเงียบ หันซ้ายหันขวามองหาที่มาของเสียง เด็กน้อยพาหน้าแดงแจ๋กลับหลังหันวิ่งไปเข้าแถว >>>... ไรท์เตอร์เอามือปิดปากหัวเราะหุหุ หันไปพูดกับพี่โต๊ะ “สรุปว่า ใช่ เจ้าของหัวใจของน้องอินคือพี่ปริม พี่โต๊ะเข้าใจถูกแล้ว อิอิ”]
.

.
ขณะนี้เป็นเวลา 16 นาฬิกา 21 นาที 13 วินาที
ที่ป้ายรถเมล์แถว ๆ หน้าโรงเรียน อรินทิพย์โบกมืออำลาเพื่อนซี้สองคนคือนิ้งและปลา สาวน้อยร่างเล็กชื่อนิ้งจึงถามด้วยความสงสัย
“อ่าว... วันนี้ไม่กลับด้วยกันเหรอ? รึว่าจะไปหาแม่ที่โรงพยาบาล?”
“เปล่า... ตอนนี้แม่อยู่บ้าน”
“แล้วอินกลับยังไง?”
อรินทิพย์อมยิ้ม “ก็นั่งรถกลับน่ะสิ ไปละนะ บ๊ายบาย”
“แน่ะ! นั่งรถใครกลับ? ใครมารับ? พี่ปรินใช่ไหม? ยัยอิน!... ชิ”
อรินทิพย์รีบเดินเร็ว ๆ ฝ่ากลุ่มเด็กนักเรียนที่ยืนรอรถเมล์เพื่อหลบเลี่ยงการตอบคำถามของเพื่อน เด็กสาวเดินย้อนสวนทางรถวิ่งไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร ยืนนิ่งชะเง้อคอคอยรถยนต์ส่วนตัวของใครบางคนที่บอกว่าจะมารับตัวเองกลับบ้าน ยืนรออยู่ไม่นาน รถยนต์คันใหญ่สีดำสนิทก็มาจอดเทียบทางเท้า ระหว่างที่เธอก้าวเดินเข้าไปหารถคันดังกล่าว ประตูหลังก็ถูกคนที่นั่งอยู่ด้านในเปิดอ้า เด็กสาวยิ้มไปก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้าคนเปิดประตูให้ พอพาตัวเข้าไปนั่งในรถได้ อรินทิพย์พบว่าคนที่นั่งอยู่ก่อนเธอกำลังส่งยิ้มหวานหยดให้เธออยู่ เด็กสาวจึงคลี่ยิ้มให้กว้างกว่าเดิมแล้วพนมมือไหว้คุณพี่คนสวย
“สวัสดีค่ะพี่ปริม”
“สวัสดีค่า... ลูกแมวน้อยของพี่ ถอดกระเป๋าสะพายออกสิคะ จะได้นั่งสบาย ๆ”
ลูกแมวน้อยมองสบเข้าไปในดวงตาสวยคมทอประกายระยิบระยับของคุณพี่ อรินทิพย์อมยิ้ม แกล้งถอดกระเป๋าสะพายออกจากหลังแล้วเอามาวางคั่นตรงกลางระหว่างเธอกับพี่ปริม เด็กสาวหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นว่ากระเป๋าเป้ถูกพี่สาวคนสวยหยิบยกมันขึ้นแล้วเอี้ยวตัวเอาไปวางอีกทาง เมื่อกำจัดอุปสรรคขวางกั้นเรียบร้อย พี่ปริมก็หันมาส่งยิ้มหวาน ขยับก้นมานั่งเสียชิด คว้าตัวเธอเข้าอ้อมกอดทันที 
“ลูกแมวน้อยน่าร้าก~ ขอกอดทีซิ พี่ปริมล่ะคิดทึ้งงง~คิดถึงงง”
ปากพูดว่าขอกอดที แต่เจ้านายของลูกแมวน้อยทำมากกว่าที่ขอ แก้มนุ่มนิ่มของลูกแมวโดนปลายจมูกโด่งของเจ้านายกดแนบ แอบลักขโมยสัมผัสเนียนนุ่มและความหอมโดยไม่ได้ขออนุญาต อรินทิพย์อมยิ้มจนแก้มปริ ทำท่าหดคอยักไหล่เพราะความรู้สึกเขินอาย ลูกแมวน้อยร้องประท้วงเจ้านายเสียงเบาอุบอิบ
“พี่ปริมอ่า... ไหนว่าขอแค่กอดไง”
“ขอหอมด้วย จำนวนครั้งขอเป็นอินฟินิตี้ พี่ขอหอมจนกว่าจะพอใจ”
พูดจบก็พุ่งจมูกเข้ามาหา กดลงตรงแก้มพร้อมกับเสียงดังฟอด ฟอด ให้เด็กน้อยต้องหลับตาปี๋ หดคอจนสั้นเพราะจั๊กจี้ การกระทำของเจ้านายทำให้ลูกแมวน้อยเขินอายสั่นสะท้านไปทั้งตัว หัวใจเต้นระรัวตึกตักเร็วแรงจนหน้าอกสะเทือน อรินทิพย์ได้แต่นั่งเขิน ปล่อยให้ผู้ใหญ่กอดหอมจนพอใจ หลังจากพายุหอมอ่อนกำลังลง กลายเป็นหย่อมความกดแก้มแนบแก้มเฉย ๆ ลูกแมวน้อยก็กระซิบถามเจ้านายซึ่งกำลังหลับตาพริ้ม
“วันนี้ไปทำงานมา เหนื่อยไหมคะ?”
“เหนื่อย... แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้ว”
อรินทิพย์ไม่ถามต่อหรอกว่าอะไรที่ทำให้พี่ปริมหายเหนื่อย เด็กน้อยถือเอาอ้อมกอดที่แน่นขึ้นอีกนิดกับแก้มเนียนที่ขยับถูกับแก้มเธอไปมาเป็นคำตอบ เด็กสาวอมยิ้ม แซวพี่ปริมไปว่า
“พี่ทำตัวเหมือนแมวมากกว่าอินอีกนะคะ”
“อืม... พี่เปลี่ยนใจ ไม่อยากเป็นเจ้าของรึเป็นเจ้านายแล้วล่ะ อยากเป็นแมวเหมือนน้องอินมากกว่า”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็... ถ้าเป็นแมวเหมือนกัน จะได้รักกันได้”

ปุ้ง!
ฉ่า~
ลูกแมวน้อยเขิน~ เขินมาก... ม้ากกก มากกก...
ระดับของคลื่นความเขินสูงประมาณ 8-10 เมตร เรือเล็กและเรือใหญ่ควรงดออกจากฝั่งในช่วง 2-3 วันนี้ >//////<

เสียงกระซิบเบา ๆ ของแมวโตเต็มวัยทำให้ลูกแมวน้อยเกิดอาการกัดริมฝีปากล่าง เลือดลมสูบฉีดมาตกค้างตามใบหน้าใบหูจนอวัยวะดังกล่าวเป็นสีแดงก่ำ มือสองข้างที่ประสานกันอยู่บนตักบีบเข้าหากันจนข้อนิ้วเป็นสีขาว
“พ... พี่ปริมอ่า...” แมวน้อยก้มหน้าก้มตาพูดอุบอิบอุบอิบ
“อะไรค้า~ เรียกพี่ทำไมคะหื้ม?” เสียงนุ่มของแมวใหญ่กระซิบถามตรงข้างหู
“ถ้าพี่ไม่ได้คิดอะไร ก็อย่ามาแกล้งพูดให้อินคิดสิ” แมวน้อยต่อว่าแมวใหญ่เสียงเบาหวิว
“เพราะพี่คิดอะไร พี่ก็เลยพูดไง... แล้วลูกแมวล่ะ คิดอย่างที่พี่คิดรึเปล่า?” แมวใหญ่พูดชี้แจง ต่อด้วยคำถาม
“อินคิดนะ... แต่ไม่รู้ว่า... จะเหมือนกับที่... พี่ปริมคิด... รึเปล่า >///////<”
ลูกแมวน้อยสารภาพความรู้สึกนึกคิดที่ซ่อนอยู่ในใจให้แมวใหญ่ฟัง น้ำเสียงขาดห้วงขาดหายทิ้งช่วงเป็นระยะ ๆ เนื่องจากโดนคลื่นความอายเข้าแทรก
ทางด้านแมวตัวใหญ่ พอได้ยินแมวน้อยวัยแรกแย้มบอกว่าอย่างนั้นก็แอบยิ้ม ขยับใบหน้าถูแก้มกับแมวตัวเล็กกว่าสองสามที
“ต้องเหมือนสิ เพราะพี่พยายามพูด ชักนำทำให้อินคิดเหมือนพี่นี่นา อิอิ”
“...>///////<...”
ลูกแมวน้อยยิ้มเขิน ส่ายหน้าไปมาถูแก้มกับแมวตัวใหญ่บ้างพลางส่งเสียงกระซิบถามแซว
“ไหนพี่เคยบอกอินว่าไม่ได้มีรสนิยม แบบนี้ ไง?”
“รสนิยมมันเปลี่ยนกันด้าย~”
แมวใหญ่พูดจบปุ๊บก็หันหน้าไปจุ๊บแก้มลูกแมวน้อยเบา ๆ หนึ่งที แล้วแมวน้อยแมวใหญ่ก็เอียงตัวเอนหัวเข้าหากัน ริมฝีปากยกยิ้มกันทั้งคู่
ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัด แมวสองตัวก็เลยเกิดอาการเคลิ้มคล้อยผล็อยหลับคาเบาะรถ

นพเก้าปรับกระจกมองหลัง เหล่ตามองภาพผู้โดยสารสองคนที่สะท้อนบนกระจกแล้วอมยิ้มจนแก้มแตกเป็นร่องเป็นรอย พอรถจอดติดไฟแดง ชายหนุ่มพลขับล้วงโทรศัพท์ฉลาดออกมาจากกระเป๋า หันเลนส์กล้องด้านหลังที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซลไปยังคนสองคนที่นอนหลับแน่นิ่งหัวอิงซบกัน เท่านั้นยังไม่พอ ชายหนุ่มแอบหัวเราะเมื่อสังเกตเห็นมือซ้ายของเจ้านายของเขาที่ยังโอบไหล่กอดสาวน้อยเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่กี่วินาทีต่อมา ในรถก็มีเสียง แชะ ดังขึ้นเบา ๆ เมื่อได้รูปที่ต้องการ นพเก้าสั่งปิดโปรแกรมถ่ายภาพ โปรแกรมตกแต่งภาพถูกเปิดเพื่อใช้เติมหูเติมหนวดสามเส้นให้ทั้งแมวน้อยและแมวใหญ่ ชายหนุ่มขอแถมรูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ปลิวว่อนลอยเกลื่อนให้อีกด้วย คนขับรถอมยิ้มจนหน้าแดง มองรูปหลังผ่านการตกแต่งพลางเอามือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะ นพเก้าอดขำไม่ได้เมื่อคิดว่าแมวสองตัวนี้พลอดรักกอดจูบซบซุกกุ๊กกิ๊กงุ้งงิ้งถูแก้มกันไปมาอยู่ตรงเบาะหลังแบบไม่อายใคร ลืมไปเลยมั้งว่าในรถคันนี้ยังมีเขาอยู่อีกทั้งคน ไอคอนโปรแกรมแชทถูกเลือกให้เปิดทำงานเป็นรายการต่อไป ชายหนุ่มส่งภาพถ่ายให้เจ้านายสาวแล้วเก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม 

เมื่อคืนก่อน... ภาพลูกแมวน้อยอรินทิพย์ทำให้ปณิตานอนยิ้มให้เพดานห้องไปกว่าค่อนคืน
ส่วนคืนนี้ ไม่ต้องบอก นักอ่านทุกคนคงทราบดีว่าภาพอะไรที่จะทำให้เพดานเห็นปณิตานอนยิ้มหวานให้เป็นคืนที่สอง
คุณเพดานห้องนอนอาจจะเปลี่ยนสีจากสีเหลืองนวลไปเป็นสีชมพูระเรื่อ ส่งเสียงอุบอิบเอียงอาย...

คุณปริมอ่า... อย่ามานอนส่งยิ้มหวานทำตาเชื่อมให้เพดานแบบนี้สิเคอะ เค้าเขินน้า~ >///////<
...............




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.