web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 138
Total: 138

ผู้เขียน หัวข้อ: อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 4  (อ่าน 1366 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อยากให้รู้ว่ารัก : ตอนที่ 4
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2013 เวลา 15:01:26 »
ตอนที่ 4

เวลาหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปแต่วงจรชีวิตของนักเรียน ม.ต้น อย่างชลธิดาและกลุ่มเพื่อนก็ยังคงดำเนินต่อไปเฉกเช่นเดิม จันทร์ถึงศุกร์ตื่นตอนเช้ามาเรียนตกเย็นไม่กลับบ้านก็ไปเดินห้างเล่น วันไหนเบื่อๆ หรือนึกครึมอกครึมใจก็ไปตั้งวงกินเหล้ากับกลุ่มเพื่อนของณัฐกานต์ที่บ้านสวน จนพ้นผ่านล่วงเลยไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่สอง

“อ้าว...ทำไมวันนี้ออกแต่เช้าได้ล่ะเรา” อรทิราหญิงม่ายวัยกลางคน เอ่ยทักลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะออกจากบ้านไปโรงเรียนด้วยความแปลกใจ เหตุเพราะรู้ดีว่าลูกสาวคนนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบการตื่นเช้านัก ยิ่งถ้าเป็นวันหยุดด้วยแล้วล่ะก็กว่าจะตื่นจากบรรทมก็สายโด่งจนตะวันแยงก้นนั่นแหละ

“มีธุระต้องไปทำที่โรงเรียนคะแม่ เลยต้องรีบออกแต่เช้าหน่อย หนูไปก่อนนะคะ” ชลธิดาบอกกับมารดาให้คลายความสงสัย ก่อนจะยกมือไหว้บอกลาตามธรรมเนียมไทยที่ดีงาม

เช้านี้บนรถโดยสารสองแถวแดงผู้คนบางตานัก ชลธิดาจึงมีโอกาสได้นั่งสบายๆ ตั้งแต่ขึ้นรถมา เพิ่งจะเห็นข้อดีของการตื่นเช้าก็วันนี้แหละ เมื่อรถแล่นผ่านไปตามทางเรื่อยๆ ผู้โดยสารก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และเพียงไม่นานรถโดยสารคันดังกล่าวก็เต็มไปด้วยผู้คนจนแน่นขนัด บรรยากาศเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ชะนีน้อยอย่างเธอไม่ต้องไปห้อยโหนให้เหมื่อยแขน รถโดยสารสองแถวยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ ครั้นพอถึงสำนักงานของรัฐแห่งหนึ่ง ผู้คนที่มาทำงานหรือมาติดต่อราชการกับสถานทีแห่งนี้ก็เริ่มขยับตัวเตรียมลงจากรถ

ชลธิดามองตามบรรดาผู้โดยสารที่กำลังขยับตัว หันหน้าเดินลงจากรถอย่างคนไม่มีอะไรจะทำ จู่ๆ สายตาอันตี่เรียวก็มองเห็นหญิงสาวผิวขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะฝั่งตรงข้าม เพียงแวบแรกที่มองเห็นแม้จะไม่ค่อยชัดเจนนัก เพราะยังคงมีผู้โดยสารที่กำลังทยอยเดินลงรถผ่านหน้าเธอไป โดยเว้นช่องว่างระหว่างกันไม่มากนัก ทำให้เธอมองเห็นหญิงสาวคนนั้นได้เพียงแวบๆ เท่านั้น แต่มันกลับเหมือนมีอะไรบ้างอย่างทำให้เธอสนใจหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น

ภาพความสวยงามข้างหน้าปรากฏฉายชัดขึ้นแก่สายตา เมื่อผู้โดยสารกลุ่มใหญ่ได้ลงไปหมดแล้ว เวลานี้คงเหลือแต่พวกชาวบ้านกับเด็กนักเรียนอย่างพวกเธอไม่กี่คน สาวงามผิวขาวผุดผ่อง รูปร่างอรชรในชุดนักเรียน ม.ปลาย ดวงหน้าหวานของเธอนั้นช่างรับกับจมูกโด่งสวย คิ้วบางเรียวงามสีน้ำตาลเข้มโค้งโกงได้รูป ขนตายาวเรียงตัวกันเป็นแพรสวยสีเดียวกับคิ้วและเส้นผม เรียวมือขาวถูกยกขึ้นมาจับเส้นผมยาวประบ่าที่พลิ้วไสวไปตามแรงลมทัดเข้ากับใบหู ดวงตาที่หลุบต่ำ สายตาที่จับจ้องอยู่กับหนังสืออะไรสักอย่างขนาดกะทัดรัดในมืออย่างมีสมาธิ ทำให้คนที่ลอบสังเกตอยู่ไม่สามารถมองเห็นแววตาคู่นั้นได้

ชลธิดาเพ่งพิศคนตรงหน้าอยู่เสียนาน จนเผลอจ้องมองดวงหน้าหวานอย่างลืมตัว และหากใครได้เพ่งมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ตี่เล็กในยามนี้ ก็คงจะได้พบกับนัยน์ตาสีอ่อนที่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ในนั้นเป็นแน่แท้

ความรู้สึกของเธอยามนี้ ช่างไม่ต่างกับการได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างทัชมาฮาล  ในอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก เธออยากจะเก็บภาพความสวยงามของคนตรงหน้าเอาไว้ชื่นชมนานๆ จึงพยายามจดจำทุกรายละเอียดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้บันทึกภาพเหล่านั้นเก็บไว้ในสมองอันมีที่ว่างเยอะเหลือเกิน แต่มันคงใช้เวลามากเกินไป จนกระทั่งคนที่กำลังถูกจ้องมองเหมือนจะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมองอยู่ ดวงตากลมโตถูกช้อนขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเงยวงหน้าหวานให้คนที่จ้องมองอย่างไร้มารยาทได้ยลโฉมกัน  โอ้แม่เจ้า! สเปคชัดๆ

แม้จะถูกมองกลับมาอย่างคาดโทษ แต่คนที่ยังไม่ตื่นจากภวังค์ก็ยังคงไม่รู้สึกตัว สายตาตี่เรียวยังจับจ้องอยู่กับคนสวยอย่างไม่ลดละ โดยไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่าย คิ้วบางที่เคยโค้งโก่งเริ่มหักงอลง  ริมฝีปากอิ่มสีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีเม้มเข้าหากัน บ่งบอกถึงความไม่ชอบใจที่ถูกคนไม่รู้จักมองตาไม่กระพริบเช่นนี้  ไม่นานนักความอดทนต่อสายตาที่จ้องมานานเกินความจำเป็นก็หมดลง

คนสวยกำลังจะอ้าปากถามว่าเพราะเหตุใดจึงต้องมองกันนานขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยเสียงใด คำๆ หนึ่งก็ได้หลุดออกมาจากปากบางของอีกฝ่ายเสียก่อน

“สวยอ่ะ..” ชลธิดาพูดออกมาอย่างเพ้อๆ

คนสวยพอได้ยินคำนั้นก็ถึง ‘บางอ้อ’ เผลอหลุดยิ้มออกมาทันที ‘เด็กบ้า! เห็นจองเอาๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะมาหาเรื่อง แต่ที่ไหนได้อยู่ๆ ก็มาเอ่ยปากชมว่าเธอสวยซะงั้น’

ถึงคนชมจะเด็กกว่า แต่คนถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบไม่ทันตั้งตัวก็อดไม่ได้ที่จะเคอะเขิน เชื่อเถอะว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกชมต่อหน้าแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเขินด้วยกันทั้งนั้นแหละ ยิ่งพอมองสบเข้ากับนัยน์ตาตี่ที่ส่องประกายได้ แก้มขาวใสของเธอก็ปรากฏริ้วสีแดงแทนขึ้นมาทันที นัยน์ตากลมโตเสมองไปที่อื่น แต่รอยยิ้มหวานกับลักยิ้มบุ๋มยังคงประทับบนใบหน้าอยู่อย่างนั้น

ภาพคนสวยที่กำลังยกยิ้มหวานจนแก้มนวลของหล่อนมีรอยบุ๋มเล็กๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของคนอายุน้อยกว่าพองโต ชลธิดารู้สึกถึงอกข้างซ้ายของตนเวลานี้มันช่างอึดอัดนัก คงเป็นเพราะขนาดของมันที่กำลังขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า จนแทบจะทะลุเนินเนื้อนุ่มนิ่มออกมาเสียให้ได้ และหากยังขืนปล่อยไว้นานกว่านี้ ขนาดของมันอาจส่งผลให้เธอจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร คิดแล้วก็กลัวจนเผลอยกมือเรียวขึ้นมาเกาะกุมไว้ที่หน้าอก หวังเล็กๆ ว่ามือของเธอนั้นมันจะช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

หากแต่สิ่งได้รับรู้ต่อมาก็คือ อัตราการเต้นของหัวใจที่เธอสัมผัสได้ว่ามันเต้นเร็วผิดปกติ ราวกับว่าเธอไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมาซะอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ เธอไม่ได้ไปวิ่งเล่นที่ไหนนี่ สมองเล็กๆ ประมวลผลจนอดคิดไม่ได้ว่า นี่เธอเป็นโรคหัวใจเฉียบพลันหรือเปล่า ระบบการทำงานของร่างกายเริ่มล้มเหลว เสียวนาทีถัดมาประสาทการรับรู้ของหูเธอในยามนี้ก็ได้หยุดลงโดยสิ้นเชิง ไร้แล้วซึ่งสัญญาณเสียงอื่นใดรอบตัว ณ ตอนนี้สิ่งที่ได้ยินมีเพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น ที่มันดังกึกก้องสั่นระรัวราวกับผืนหนังของกลองเพลที่ถูกกระหน่ำตีครั้งแล้วครั้งเล่า จนเธอกลัวว่าเสียงที่ดังเกินไปนั้นจะทำให้หล่อนได้ยิน คุณพระช่วย! นี่หรือที่เขาเรียกว่ารักแรกพบ แอบตกใจตัวเองเหมือนกัน ที่แค่เห็นครั้งแรกยังเพ้อเวิ่นเว้อขนาดนี้ โทรบอกแม่ให้มาขอซะเลยดีไหม

เวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนั้นชลธิดาไม่อาจรับรู้ เพราะหลังจากที่เธอหลุดเข้าสู่ภวังค์เด็กสาวก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกเลย จนกระทั้ง......

“น้อง...น้องคะๆ” เสียงเรียกตามด้วยแรงเขย่าที่บริเวณหัวไหล่ ทำให้เธอสะดุ้งหลุดตื่นจากความคิด

พอเงยหน้าขึ้นมา ก็สบเข้ากับดวงหน้าหวานที่โน้มตัวลงมาเพื่อเขย่าตัวเธอเข้าจังเบ่อเร่อ ชลธิดากระพริบตาถี่ๆ เอี่ยงหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามกลับไปอย่างงงๆ สงสัยจะยังไม่ตื่นดี

“ค๊ะ?”

“ถึงโรงเรียนแล้วค่ะ จะลงหรือเปล่าคะ”  ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มที่มุมปาก อดขำไม่ได้เมื่อได้เห็นหน้าหมางงของรุ่นน้องร่วมสถาบัน

“อ๋อ ค่ะๆ ลงค่ะ” ชลธิดาพรวดพราดลุกขึ้นยืนในทันที แต่คงจะเร็วเกินไปหน่อย ตัวเธอที่ลุกขึ้นอย่างกะทันหันกระแทกเข้ากับร่างบางของอีกคนจนเซถลาร้องเสียงหลง

“ว๊าย!!”

มือเร็วกว่าความคิด รีบคว้าเอวบางมากอดไว้โดยอัตโนมัติ และด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าทำให้รวบร่างบางนั้นได้อย่างง่ายดาย แล้ว ณ ตอนนี้ดวงหน้าแสนหวานชวนหลงใหลนั้นก็อยู่ใกล้กันเพียงคืบ ทำเอาเธอหลุดเพ้อขึ้นมาอีกรอบ

“นางฟ้าของเดียร์...” ชลธิดาเอ่ยลากเสียงแผ่วเบา ยืนมองใบหน้านั้นอย่างลืมตัว

อีกครั้งแล้วที่เด็กคนนี้ทำให้เธอเขินจนทำอะไรไม่ถูก เพียงเพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากแบบนั้น ยิ่งเฉพาะคำล่าสุดที่หลุดออกมานี้ ทำให้เธอรู้สึกถึงกระแสเลือดอุ่นที่สูบฉีดจนเห่อร้อนทั่วไปทั้งใบหน้า อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้  ‘นี่ฉันไปเป็นนางฟ้าของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กันยัยเด็กบ๊อง’ ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย จนลืมไปว่าขณะนี้ตัวเองยังอยู่ในวงแขนของเด็กบ๊องอยู่เลย

“จะกอดกันอีกนานไหมครับน้อง พี่จะวิ่งรถต่อแล้ว จะลงเองหรือจะให้พี่ไปอุ้มลง” คำพูดกึ่งๆ แซวของพลขับดังขึ้นจากด้านข้างตัวรถ ทำเอาสองสาวรีบผละออกจากกันในทันที ต่างคนต่างรีบลงจากตัวรถก่อนที่คนขับมันจะมาอุ้มลงไปจริงๆ
 
“เฮ้ย! น้องๆ ยังไม่ได้จ่ายตังค์กันเลย” เสียงตะโกนตามหลังของคนขับรั้งขาที่กำลังเร่งรีบของทั้งคู่เอาไว้

ไอ้หนุ่มสองแถววิ่งเยาะๆ เข้ามาหาสองสาวที่ยืนยิ้มหน้าเจื่อน ก่อนจะรับเงินค่าโดยสารของเขาแล้วขับรถจากไป สองสาวหันมามองหน้ากันนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมกัน

“เฮอ...เกือบจะโกงค่ารถเขาซะแล้วสิ โดนทวงเลย” คนอายุมากกว่าเอ่ยขึ้นมาก่อนหลังจากหยุดหัวเราะกันแล้ว

“น่านดิ ดันตะโกนมาซะได้ เสียงอย่างดังเลย อายคนอื่นจะแย่” พอชลธิดาพูดจบ แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกันอีกครั้ง

“พี่อยู่ ม.4 ห้อง 2 แล้วเราล่ะอยู่ห้องไหน” ถามออกไปแค่นั้น เพราะเธอเห็นจุดเล็กๆ สีน้ำเงินสามจุด เหนืออักษรย่อของโรงเรียนบนเสื้อขาวปกทหารเรือนั้นแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนอีกเรียนอยู่ชั้นไหน

“ห้อง 4 ค่ะ ม.3/4” ตอบเสียงเรียบ แต่ในใจออกสเต็ปเต้นฮิบฮอปกันแล้ว ก็แหม...แม่นางฟ้าของเธอช่างน่ารักเสียจริงๆ เสียงก็หว๊านหวาน ซื้อกาแฟไม่ต้องใส่น้ำตาลได้เลยนะเนี่ย

เดินคุยกันมาได้แค่เพียงเล็กน้อย ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้ว สายตาตี่เรียวเหลียวมองไปยังตำแหน่งเก้านาฬิกาก็ต้องเหงื่อตกหัวคิ้วกระตุก เมื่อเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของโรงเรียนอยู่เบื้องหน้า อาจารย์กุสุมา อาจารย์สอนภาษาไทยที่ขึ้นชื่อว่าดุที่สุดในบรรดาอาจารย์ด้วยกัน ความเป็นระเบียบเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ของหล่อน ยิ่งกว่าอาจารย์ขาโหดของฝ่ายปกครองเสียอีก

ชลธิดาขยับสาวเท้าให้ทันเดินคู่ไปกับรุ่นพี่หน้าหวาน พลางนึกขอโทษขอโพยที่เอานางฟ้าของตน (ขี้ตู่เอาเอง) มาเป็นเกาะกำบังกายในยามนี้ แค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียว....ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ

“อ้อ...พี่ชื่อโอค่ะ ไม่ได้ชื่อนางฟ้า ล่ะก็ขอบคุณที่ชมว่าพี่สวยนะคะน้องเดียร์” เสียงหวานล่องลอยกระทบเข้ากับโสตประสาทของชลธิดา ขายาวหยุดชะงักในทันที

‘โอ้ว..นี่แม่นางฟ้าของเธอมีสัมผัสที่หกหรืออย่างไรกัน ถึงได้รู้ชื่อเธอแถมยังรู้อีกว่าเราชมเขาว่าสวย’ มัวแต่นึกถึงคำพูดของนางฟ้า จนเผลอเรอกระทำสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงเข้าซะแล้ว

“โอ๊ย!!....เจ็บๆๆๆ” ชลธิดาแหกปากร้องลั่น ความเจ็บแปลบใกล้กับขมับทำให้ตื่นจากความคิด พร้อมกับมือเรียวข้างซ้ายรีบตะปบเข้าที่ใบหูข้างเดียวกันทันที

“เจ็บงั้นเหรอ แสดงว่าหูเธอยังใช้การได้นี่ชลธิดา” เสียงดุแสนคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างกาย ทำเอาชลธิดาถึงกับหน้าซีดเหงื่อซึมกันเลยทีเดียว

“ง่า~~ จารย์อ่ะ  หูคนนะไม่ใช่แฮนด์มอไซด์จะได้บิดไปบิดมาอ่า~” ชลธิดาร้องประท้วงเล็กๆ เหมือนจะขอความเห็นใจ แต่อาจารย์สาวใหญ่ก็ยังไม่ปล่อยมือจากหูเธออยู่ดี

“อ้าวเหรอ...ครูก็นึกว่าใช่ เห็นเรียกเท่าไรก็ไม่หันมาสักที แล้วก็ไม่ต้องมาพูดมากเลย เธอใส่กระโปรงผิดระเบียบมาอีกแล้ว มานี่เลยแม่ตัวดีทำโทษเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเข็ดจักหลาบ” อาจารย์สาววัยสี่สิบห้ารูปร่างท้วมต่อว่า พลางดึงหูเจ้าลูกศิษย์ตัวแสบเดินไปยังห้องฝ่ายปกครอง

โอ หรือดรุณี  อาภากร เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ได้ยินเสียงร้องโว้ยวายของรุ่นน้อง  ได้เห็นเด็กบ๊องต่อล้อต่อเถียงกับอาจารย์สุกุมา แล้วยังถูกบิดหูให้เดินตามมาซะหน้าแดง ทั้งคู่เดินผ่านทางที่เธอยืนอยู่ ดรุณีเห็นหน้ากลมมนนั้นไม่ได้สลดลงเลยซักกะนิด แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่เธอเสียอีก แล้วยังโบกไม้โบกมือให้อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่หูยังโดนอาจารย์ดึงอยู่เลย หึ..เด็กบ๊องเอ๊ย!

“โอ๊ยยย...จารย์เบ๊าๆ” ชลธิดาร้องโอดโอยเสียงสูงขึ้นอีกครั้ง เมื่ออาจารย์สาวใหญ่ออกแรงดึงที่ใบหูเจ้าตัวแสบประจำโรงเรียนอีก

“ก็เดินให้มันเร็วๆ หน่อย มัวแต่โอ้เอ้อ้อยอิ่งอยู่ได้ เดี๋ยวก็หักคะแนนจิตพิสัยเพิ่มซะนี่” อาจารย์สาวใหญ่หันมาว่า

“โห้...จารย์ หนูยังเหลือคะแนนให้หักอีกเหรอเนี่ย” ชลธิดาทำตาโต

“ก็ถ้ายังขืนพูดมากไม่ยอมเดินอีก ได้หมดจริงๆ วันนี้แน่” อาจารย์บอกพร้อมกับออกแรงดึงใบหูอีกครั้ง

“โอ้ยยยยย จ้าๆ เดินแล้วจร้าาาาาาาาาาาา”

“ฮะๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”

“หัวเราะเข้าไป ขำอะไรของมึงนักหนา” เสียงหัวเราะของทัศนีย์เป็นอันต้องสงบลง เพราะคำพูดของเพื่อนร่างสูง แต่ก็ยังมีเสียงกลั้นขำเล็ดรอดออกมาให้เคืองหูอยู่ดี

“แหมๆ แค่นี้ทำเป็นเหวี่ยงนะตัวเธอ อ่ะๆ ไม่ขำแล้วก็ได้ อิอิ” ทัศนีย์พูดยิ้มๆ ก็จะไม่ให้พวกเธอหัวเราะได้ยังไง ในเมื่อเพื่อนสาวของเธอเดินลูบหูตัวเองป้อยๆ เข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับใบหน้าที่บูดเป็นข้าวเน่า แล้วไอ้ผ้าถุงสีน้ำเงินที่นางใส่มามันก็ช่าง mix&match กับเสื้อและรองเท้านักเรียนเสียเหลือเกิน

“พอเลยๆ เลิกขำกันได้แหล่ะ กูเสียสมาธิหมด” ว่าแล้วชลธิดาก็ก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ ในสมุดต่อไป

“เออ ดีเน๊อะ  พอจะลอกการบ้านเพื่อนเนี่ยแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าได้ ทุกทีเห็นนอนอย่างกับคนตายมาเกือบสายได้ทุกวัน” นุชนารถแขวะใส่ร่างสูง ใจจริงก็ไม่ได้มายด์อะไรนักหรอก ก็แค่อยากเห็นหน้าคนที่ชอบให้ไวขึ้นเท่านั้นเอง

“ก็ฉันไม่ชอบตื่นเช้านี่ ให้นอนดึกซะยังจะดีกว่า” ชลธิดาบอก โดยที่ยังคงปั่นงานยิกๆ ไม่ยอมเสียเวลาเงยหน้ามองคู่สนทนา

“มันเกี่ยวกันไหมเนี่ย  นอนดึกกับตื่นเช้าอ่ะ” นุชนารถชักตงิดๆ กับเหตุผลแปลกๆ ของคนขยันผิดเวลา

“เกี่ยวดิ..ให้ฉันนอนดึกแล้วตื่นสาย ยังดีกว่าให้นอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นเช้าอ่ะ” ชลธิดาเถียง

“โอ้ยยย ให้มันได้อย่างนี้ซิ คุยกับแกทีไรชวนให้หงุดหงิดใจทุกทีเลย สรุปง่ายๆ คือขี้เกียจนั้นแหละ” นุชนารถอ่อนใจกับการโต้เถียงแบบข้างๆ คูๆ ของอีกคน

“เอมๆ ไอ้ตัวนี้เขียนว่าอะไรอ่ะ” ชลธิดาหันหน้ามาเรียกเจ้าของให้ช่วยดูสมุดการบ้านให้หน่อย เพราะมันมีรอยลบทำให้เธออ่านไม่ออก

“ไหนล่ะ”  สาวหมวยเดินตรงเข้าไปหาและหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่ชลธิดานั่งอยู่ เธอวางมือเล็กข้างซ้ายไว้ตรงพนักพิงของเก้าอี้ ส่วนมือขวาวางทาบลงไปบนโต๊ะ

“นี้ไงตรงเนี่ย”  ชลธิดาเลื่อนสมุดไปให้ พลางชี้นิ้วให้สาวหมวยดูว่าตรงจุดไหนที่เธอข้องใจ แต่ดูเหมือนจะยังห่างเกินไป เจ้าของสมุดเห็นไม่ชัดจึงต้องโน้มตัวลงเข้าไปใกล้คนถามอีก

“อ๋อ อ่านว่า..อุ๊บ!” ยังไม่ทันที่นุชนารถจะได้บอกอะไร ศีรษะของเธอก็ถูกมือดีดันเข้าเสียเต็มแรง จมูกโด่งรั้นของสาวหมวยถูกกดเข้าที่แก้มนุ่มนิ่มของอีกคน อดไม่ได้ที่จะฉวยจังหวะสูดดมกลิ่มหอมของแป้งเด็กยี่ห้อดังบนแก้มนวลเสียเต็มปอด

อีกฝ่ายที่จู่ๆ ถูกขโมยแก้มทีแรกก็ตกใจ แต่ก็รีบเบี่ยงหน้าหลบทันทีที่ตั้งสติได้ เหลียวมองไปที่สาวหน้าหมวยที่ตอนนี้ได้แต่ยืนหน้าแดงสั่นหัวปฏิเสธไปมาจนคอแถบหลุด ก่อนจะมองเลยไปยังสาวหน้าคมคนสวยประจำกลุ่ม ที่ยืนผิวปากเบาๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ด้านหลังของสาวหมวย

หัวคิ้วบางกระตุกขึ้นลงเล็กน้อย ‘แหม...อินี่มันช่างทำหน้าได้ยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างดีจริงๆ แต่เอาเถอะเดี๋ยวค่อยจัดการมันทีหลัง ไว้ตอนพักเที่ยงเมื่อไหร่ แม่จะเอาน้ำปลาผสมโค้กให้มันกิน เหอๆ’ ชลธิดาคิดในใจ กากบาทคาดโทษจำเลยที่สองไว้แล้วเรียบร้อย

ปลายตามองกลับมาที่จำเลยที่หนึ่ง ซึ่งบัดนี้กลายร่างเป็นนางอายก้มหน้างุดมองแต่พื้นห้องไปเสียแล้ว

‘อ้าว ก้มหน้าหาเศษตังค์หรือไงแก แต่เอ๊ะ! ดูๆ ไปอาการมันแปลกๆ ปกติยัยนี่ไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่หว่า มันต้องมีเหวี่ยงบ้างซิถึงจะถูก หรือว่ามันตกใจจนสมองมันเบลอ? แต่จะว่าไปไอ้ท่าอายๆ ของมันก็น่ารักดีนะ ดีล่ะ  งั้นขอเอาคืนจำเลยที่หนึ่งก่อนแล้วกัน หึหึๆ’

คิดหาวิธีแกล้งได้แล้วชลธิดาก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่ง เดินเข้าไปใกล้เป้าหมาย ลีลาจีบหญิงที่ถูกพับเก็บไปแล้วถูกงัดขึ้นออกมาใช้อีกครั้ง ‘แกเสร็จฉันแน่ไอ้เอม...หุหุ’

“ตัวเองแอบคิดอะไรกับเค้าอยู่หรือเปล่าเนี่ย ทำแบบนี้เค้าเขินน้า เอมจ๋าาาาได้แก้มเค้าไปแล้วก็อย่าลืมรับผิดชอบเค้าด้วยล่ะ” ชลธิดาเข้าไปกระแซะหยอกล้อกับคนตัวเล็ก ก่อนจะยื่นมือเข้าจับเข้าที่ไหล่บาง แล้วพลิกตัวนุชนารถให้หันหน้าเข้าหากัน เรียวนิ้วยาวยื่นไปเชยคางมนให้เงยขึ้น จนคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเมื่อครู่แหงนหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาให้เห็น ชลธิดาส่งยิ้มหวานหยดให้คนตรงหน้า มือนุ่มลากจากปลายคางไล้ไปตามผิวหน้านวลอย่างอ้อยอิ่ง แล้วหยุดลงที่แก้มเนียนใสเพื่อลูบไล้เล่นอย่างเบามือ

แม้ลึกๆ จะรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของอีกคน แต่เวลานี้นุชนารถเผลอปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนของคนตรงหน้า จนเผลอไผลโอนอ่อนตามไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเจ้าแสบแล้ว แต่ก็นะ ไอ้แสบก็คงยังเป็นไอ้แสบอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเช่นฉะนี้......

“อ้อยยยยยยย....อ้ายเอียยอ๊อยอั๊นอ๊า”  (โอ้ยยยยยยย....ไอ้เดียร์ปล่อยฉันนะ)  นุชนารถร้องโอดครวญไม่เป็นภาษา เพราะถูกมือดีดึงจนแก้มโย้

“แหมๆ ทำหน้าเคลิ้มเชียวนะแก นี่แน่ะๆ ฮ่าๆ  ฮ่าๆ”  ชลธิดาหัวเราะร่า ดึงแก้มสาวหมวยอย่างสนุกมือ จนกระทั้งเป็นที่พอใจเจ้าตัวนั่นแหละ ถึงได้ยอมปล่อยแต่โดยดี

“อ่ะๆ พอใจแหล่ะ ปล่อยก้ออด้ายยยย....คิกคิก”

“ไอ้บ้าเดียร์ ทำเจ็บแก้มไปหมดเลย เอามานี่เลยไม่ต้องลงไม่ต้องลอกมันแล้ว ไอ้การบ้านเนี่ย” สาวหมวยต่อว่าอย่างฉุดเฉียว พลางทุบไหล่ใส่คนที่ยังหัวเราะไม่ยอมหยุด ทั้งโมโหทั้งอายรีบเข้าไปหยิบสมุดการบ้านตัวเองคืน

“เฮ้ย เอมได้ไง ฉันยังลอกไม่เสร็จเลย”  ชลธิดาร้องประท้วง

“ไม่รู้ไม่สน เชอะ!”  นุชนารถเชิดหน้าหนี

“โอ๋ๆ เอมจ๋าาาา...เค้าแค่ล้อเล่นเองนะ ใจรุมๆ นะจ๊ะคนสวย น้องเอมใจดี๊ใจดีคงไม่อยากเห็นเค้าถูกตีใช่หม้าาา”  เห็นท่าไม่ดีรีบง้อก่อนดีกว่าเดี๋ยวการบ้านไม่เสร็จ ได้ซวยแน่ๆ ไอ้เดียร์เอ้ย

“ง่า~~ เค้าผิดไปแย้ววว~ จะให้เค้าทำอะไรก็ได้เค้ายอมหมดทุกอย่าง แต่เค้าขอสมุดตัวคืนน้า~~ นะคะเอมขาาาา~ พลีสสสสๆ”

“ทุกอย่างจริงอ่ะ”  ชโลธรได้ทีรีบพูดแทรก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏที่มุมปาก หรี่ตาคาดคั้นถามเจ้าคนที่กำลังอ้อนวอนเพื่อนสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย นึกแผนการดีๆ ที่คิดขึ้นมาได้สดๆ ร้อนๆ หวังว่ามันจะช่วยให้สาวหมวยขี้กลัวได้มีโอกาสเผยความรู้สึกซะที

“Everything จริงๆ จ๊ะ”  รับปากทันทีโดยไม่คิดอะไร

“Excellent! เอม เอาสมุดให้มันไป”  ชโลธรหันไปบอกกับเพื่อนสาว แต่เจ้าตัวกลับยืนทำหน้ามึน เลยเดือดร้อนให้คนเจ้าเล่ห์ต้องเดินไปหยิบสมุดออกจากมือเล็กนั่น แล้วส่งให้กับชลธิดาเอง




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.