บทที่เจ็ด Help Is On The Way
วรินธรเห็นแสงรำไรเบื้องหน้า อา... มันจ้าบาดตาเหลือเกิน ใครกันหนอเอาแสงมาส่องตา คนกำลังจะนอน วรินธรพลิกตัวตะแคง พลันก็รู้สึกปวดแปลบตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ท้อง แขน หลัง ใบหน้า...
เกิดอะไรขึ้น... คิ้วสองข้างขยับเข้าหากัน พลางเริ่มตั้งคำถามเพื่อรำลึกความทรงจำ เธอมานอนอยู่ทำไมตรงนี้หนอ... คิดอะไรไม่ค่อยออกเลย ลืมตาขึ้นมาเต็มตา สติก็บอกให้รู้ว่านั่นคือท้องฟ้า ฉากของท้องฟ้าเจือริ้วสีส้มบอกเวลาย่ำเข้าสู่โพล้เพล้ มีสายลมอุ่นพัดผ่าน นำพากลิ่นสะอาดปะทะจมูก...
กลิ่นสะอาด?
ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงเมื่อรับรู้ว่ากลิ่นสะอาดที่ว่านั้นคือกลิ่นของยาฆ่าเชื้อ มันคือกลิ่นของโรงพยาบาล พลันถลันกายขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อม ความเจ็บระบมก็วิ่งแล่นทันควันจนเสียวแปลบต้นแขนอันมีผ้าพันแผลสีขาวปกคลุมอย่างเรียบร้อย วรินธรนิ่วหน้าข่มความเจ็บ พลางสำรวจรอบห้องสี่เหลี่ยมสีฟ้าเทาอันเงียบเชียบ เป็นห้องพักคนไข้พิเศษขนาดปกติ มีผนังล้อมรอบสามด้าน ประตูไปสู่ภายนอก และท้องฟ้าที่เห็นก็คือฉากเมื่อมองผ่านหน้าต่างกระจกนี้เอง
ที่แขนของเธอมีสายน้ำเกลือโยงไปถึงขวดใสด้านบนซึ่งพร่องไปเกินครึ่ง วรินธรเพ่งมองอัตราการหยดก็คิดในใจว่าเธอนอนเป็นผักอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าสามชม.อย่างแน่นอน ตอนที่เธอเข้าไปในโรงหลอมก็บ่ายคล้อยมากแล้ว กว่าจะปะทะกับผู้คนมากมาย กว่าจะเอาตัวรอดออกมา...
มาถึงตอนนี้ ในห้วงคิดของเธอมองเห็นใบหน้าขาวซีดของผู้หญิงคนหนึ่งในมุมกลับหัวกลับหาง เห็นแค่ปลายคางของหล่อน หล่อนกำลังลากเธอเข้าสู่โพรงหญ้า มีกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้ง หลังจากที่หล่อนไขพวงกุญแจมือออกจากราวเหล็กได้ราวกับปาฏิหาริย์ มองข้อมือยังคงมีรอยแดงอมม่วงอยู่ชัดเจน เป็นหลักฐานสำคัญว่าเธอไม่น่าจะรอดจากการกลายร่างเป็นไก่อบ ถ้าหากไม่มีใครช่วยเธอเอาไว้ทัน
ผู้หญิงคนนั้น...
หล่อนปรากฏกาย หยิบกุญแจจากบนพื้นขึ้นมา ดวงตากลมโตที่แสนจะร้อนรนจ้องมองตรงมา พร้อมกับรีบไขกุญแจข้อมือเธอออกให้ แล้วก็ตะโกนเรียกชื่อเธอ พายวรินธร...
วรินธรถอนหายใจ แม้จำใบหน้าหล่อนไม่ได้ แต่จำสัมผัสได้ว่าต้องเป็นหล่อน เวลาที่หล่อนแตะตัวเธอจะให้ความรู้สึกเย็นวาบ ความเย็นนั้นเหมือนกับสายน้ำตรงข้ามกับความร้อนระอุในโรงหลอม ไม่มีใครรู้ว่าจู่ๆ หล่อนปรากฏตัวมาจากไหน ในโรงหลอมห่างไกลชุมชน ไม่มีใครนอกจากคนร้าย ระบบล็อกออโตเมติกกำลังทำงาน จะเป็นไปได้อย่างไรที่หล่อนจะเข้าไปภายในอาคาร
“เธอช่วยฉัน แล้วก็หายไปอีกแล้วนะ...”
วรินธรรำพึงรำพัน เธออธิบายความเป็นหล่อนไม่ได้ รอยยิ้มจึงจืดจางลง ความระแวงมีมากพอๆ กับความสงสัย รู้สึกว่าหล่อนไม่ได้คิดร้าย เพราะไม่อย่างนั้นจะช่วยชีวิตเธอไว้ทำไมตั้งสองครั้ง เธอรู้สึกเหนื่อยล้าอยากหลับ เลิกคิดอะไรต่ออะไร เลิกเคลื่อนไหวดิ้นรน ชักจะมีเรื่องไม่เป็นสุขเพิ่มมาอีกเรื่องแล้ว และเรื่องนี้ดูท่าจะบอกเล่าให้เพื่อนในทีมฟังไม่ได้ง่ายๆ เสียด้วย
สรุปก็คือเธอน่าจะนอนเป็นผักล่วงเลยกว่าหนึ่งวัน หรือไม่แน่อาจจะมากกว่าหนึ่ง จากการสำรวจอาการตัวเองคร่าวๆ นอกจากแขนที่โดนกรีดเย็บหลายเข็มแล้ว ข้อมือของเธอยังใส่เฝือกอ่อน ข้อเท้าเคล็ด เข่าบวม และระบมที่ท้องจนออกแรงลุกขึ้นนั่งยังทำไม่ไหว อาการหนักใช้ได้
สงสัยก็แต่ว่าผู้หญิงล่องหนคนนั้นสามารถพาเธอมาส่งถึงโรงพยาบาลได้เชียวหรือ?
เสียงประตูห้องเปิดแอ๊ด วรินธรเกร็งตัวเตรียมพร้อมตวัดสายตามองไปยังประตูทันที
ร่างสูงเพรียวของแพทย์ในชุดขาวก้าวเข้ามาพร้อมกับกระดานตรวจในมือ ใบหน้าของหมอทำให้คนไข้อึ้ง
ใบหน้าขาวเรียวของหมอยังคงไร้รอยยิ้ม เส้นผมเรียบพับม้วนอย่างเก๋ไก๋ที่ด้านหลังเคลือบสีทองแดงนิดๆ บอกให้รู้ว่าไม่ใช่สีธรรมชาติ ดวงตาคมกริบเจือแววดุซ่อนอยู่ใต้แว่นตามนแบบครึ่งกรอบไม่มิด ยังคงชวนให้ดูน่าเกรงใจเหมือนเดิม
“ไนท์?”
วรินธรส่งเสียงทักแทบไม่พ้นลำคอ จ้องตาโตไปได้สักครู่จึงหุบปากที่อ้าค้างไว้ลง เธอไม่คิดว่าจะได้เจอหล่อน จำได้ว่าปีที่แล้วหล่อนยังเรียนสายเฉพาะทางอยู่เลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่หล่อนเลือก สมองของวรินธรประมวลผลทันทีว่ามีโรงพยาบาลไหนซึ่งแพทย์หญิงศัลยกรรมหัวใจผู้นี้จะเข้าทำงานอยู่ได้บ้าง เพราะนั่นหมายถึงเธอจะได้รู้ว่ากำลังนอนอยู่ที่ใด แพทย์หญิงก็ถามเสียงเรียบ
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
วรินธรยิ้มแห้ง ความคุ้นเคยกลับคืนมาอีกครั้ง เธอจำน้ำเสียงเนี้ยบๆ ผสมโมโหหน่อยๆ แบบนี้ได้ แม้ไม่ได้พบเจอกันหลายปี เอ้อ แล้วนี่อย่าบอกนะว่าหล่อนเป็นหมอเจ้าของไข้ของเธอ
หล่อนมองสภาพเธอขึ้นลงพลางส่ายหน้า แต่ปากก็เอ่ยตรงข้าม “สภาพดูดีขึ้นแล้วนี่” พลางก้มหน้าก้มตาจดอะไรยิกๆ ใส่กระดาษบนกระดานตรวจ
“ฉันนอนหลับไปกี่วัน”
“เค้าไม่เรียกหลับ เค้าเรียกสลบ”
วรินธรอ้าปากเหวอ มองหมอที่เอาแต่มองไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเธอแล้วจดยิกๆ อย่างไม่สนใจอย่างอื่น
“ไนท์มาทำอะไรที่นี่”
สายตาคมตวัดแวบ พลางหลุบมองลายมือตัวเองต่อ “เห็นฉันกำลังทำอะไรล่ะ”
คำยอกย้อนทำให้คนป่วยเพิ่งฟื้นต้องใช้เวลาอึ้งไปพักใหญ่ จนกระทั่งหมอเดินเข้ามาใกล้แล้วส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าใครบังคับให้หล่อนมารักษาเธอหรือไม่ เพ่งมองบาดแผลที่แขนก็สั่งให้เธอนอนราบลงไป จับนั่นนี่ รวมถึงการกดท้องจนต้องเด้งงอตัวทันใด
“โอ้ย เบาหน่อยยยยยไนท์”
ดวงตาสีดำสนิทของนีรนาทมีรอยยิ้มเคลือบแวบหนึ่ง ทำเอาคนเจ็บครางในลำคออย่างเจ็บใจ
“ผิดจรรยาบรรณแพทย์”
แพทย์ผู้ถูกว่ายิ้มมุมปาก สายตาคมจ้องมองเธอดูฉลาดเหมือนเคย ทำให้รู้สึกว่ากำลังมองส่องทะลุไปยังความคิด
“ไปฟัดกับใครข้างถนนมาหรือเปล่า ถึงได้หมดท่าได้ขนาดนี้”
“ฉันไม่ใช่หมานะ” วรินธรค่อยทำตัวผ่อนคลายลงกล้าต่อล้อต่อเถียง
“ไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย อย่างกับเธอไปผ่านสนามรบมา”
วรินธรเอนตัวลงนอนดังเดิมอย่างข่มความเจ็บปวด แต่ปากยังยิ้มหวานส่งให้ “ฉันผ่านมาหลายสนามเลยล่ะ ถ้าครบทุกสนามเมื่อไหร่จะเขียนพ๊อกเก็ตบุ้กแจก ว่าแต่ไนท์ทำไมมาเป็นหมออยู่ที่นี่ ฉันไม่เห็นรู้”
มือหมอกดลงบริเวณหน้าท้องอีกครั้ง เธอสะดุ้งพรวดงอตัว “เบาๆ หน่อยหมออออ”
หมอยิ้มพึมพำแบบไม่มีเสียง แต่เธออ่านปากออกนะ มันเป็นคำว่าสมน้ำหน้า “ฉันก็เป็นหมอได้ทุกที่นั่นแหละ ทำไมฉันทำอะไรเธอต้องรู้ทุกเรื่องด้วยล่ะ ทีฉันถามคำถามเธอไม่เห็นจะตอบ”
“มีด้วยเหรอไนท์ถามอะไรแล้วฉันไม่ตอบ... โอ้ยไนท์ เบาหน่อยยย”
น้ำเสียงโวยวายทำให้นีรนาถขำ ขยับนิดเดียวร้องลั่นเชียว วรินธรส่งสายตาเขียวปั้ดให้ ถามอย่างหากเรื่อง “แกล้งกันใช่ไหมเนี่ย”
“รู้ตัวรึเปล่าว่ากระดูกข้อมือเกือบจะหัก”
วรินธรขมวดคิ้ว แต่ปากยังพูดดี “แต่มันก็ไม่หักนี่นา แค่เคล็ดนี่ หมอก็ขยับนิดหน่อยให้เข้าที่สิ พรุ่งนี้ใช้การได้เป็นพอนะ”
นีรนาถถอนหายใจ “ร่างกายคนไม่ใช่อะไหล่รถนะพาย” สายตาของหมอยังคงจ้องมองดูรอยช้ำม่วงรอบข้อมือ แล้วหมอก็เงยหน้าสบตาคนไข้ที่นิ่ง นัยน์ตานั้นมีทั้งคำถามและการคาดเดาคำตอบ วรินธรยิ้มอย่างไม่รู้ไม่ชี้เพราะทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น สายตาของหมอมีความโกรธกรุ่นชัด ไล่ไปสำรวจบาดแผลฟกช้ำบริเวณอื่น และหยุดที่ดูรอยแผลตรงต้นแขนซึ่งมีเลือดซึมออกมา จนทำให้ต้องแกะผ้าขาวออก
“ตรงนี้แผลค่อนข้างลึก แถมยังเย็บไม่ดีจนแผลเปิด”
คนฟังขมวดคิ้ว “ใครเย็บให้ฉันล่ะ”
แพทย์หญิงขมวดคิ้วและไม่ตอบ รู้เพียงแต่ว่าคำถามนั้นทำให้หล่อนอารมณ์เสียอย่างหนัก วรินธรร้องซู้ดกับการโดนดึงไหมเย็บออกแบบสดๆ
“บอกฉันหน่อยซิพาย เธอไปสู้กับใครมา”
“ไนท์ยังไม่บอกฉันเลยว่าทำไมถึงมาเป็นหมออยู่ที่นี่ ไม่เป็นอะไรนะ Resident แล้วเหรอหรือว่าสอบ board ผ่านแล้ว” (resident: แพทย์ประจำบ้าน ใช้เรียกแพทย์ที่กำลังเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง, สอบboard คือสอบประเมินหลังเรียนจบการเป็นแพทย์ประจำบ้านแล้ว) วรินธรถามไปยังเรื่องที่อยากจะรู้ดีกว่า
“รู้เยอะจริงนะ”
วรินธรยิ้ม “แล้วตกลงอันไหนถูกล่ะ”
“ทีเธอไม่เห็นตอบว่าไปสู้กับใครมา”
ย้อนมาเรื่องเดิมจนได้ วรินธรตัดสินใจว่าค่อยไปสืบเองก็ได้ว่าหมอไนท์กำลังทำอะไร พลางตอบอย่างกวนอารมณ์ “ฉันไม่รู้จักชื่อเขา”
คนถามเลิกคิ้ว ไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่เธอพูดจริงนี่นา แล้วเธอก็อยากรู้ชื่อของเขาใจจะขาด นายเครารุงรังคนนั้น เมื่อหมอไม่ได้คำตอบ ก็จำเป็นต้องทำหน้าที่หมอต่อ จึงเลื่อนอุปกรณ์ล้างแผลซึ่งเตรียมไว้พร้อมแล้วเข้ามาใกล้ เทของเหลวราดๆ อย่างไม่ปรานี ทำเอาคนไข้ร้องซี้ดๆ “เบาๆ หมอออ”
“ถ้าไม่ตอบความจริง งั้นฉันเปลี่ยนใจไม่เย็บแผลให้แล้ว”
พูดจบก็วางอุปกรณ์ ทำเอาคนเจ็บอ้าปากพะงาบๆ ทิ้งกันกลางทางแบบนี้ไม่ดีแน่ “คนร้ายอ่ะ ฉันสู้กับคนร้ายมา เย็บให้เสร็จก่อนดีไหมไนท์ นะนะ”
“ฉันควรเชื่อคำพูดของเธอรึเปล่า”
“โธ่ ถ้าไม่เชื่อแล้วจะถามทำไม”
“แล้วทำไมเธอถึงต้องไปสู้กับคนร้าย เธอไม่ใช่ตำรวจ”
“ก็ฉันเป็นสายลับไงไนท์” อาการปั้นหน้ายิ้มตอบทำให้แพทย์สุดทน ถอดถุงมือออกทิ้ง “งั้นเย็บแผลเองก็แล้วกัน”
“ไนท์! โอ้ย เย็บให้ก่อนฉันเย็บไม่เป็น”
“ฉันไม่เชื่อว่าอย่างเธอจะเย็บไม่เป็น”
“ถ้าฉันทำเป็นแล้วฉันจะมาหาหมอทำไมล่ะเอ้า” วรินธรกวักมือเรียกอีกฝ่ายให้ทำต่อ ฝ่ายหมอมองหน้าชั่งใจ แต่คงเพราะเห็นหน้าซีดเซียวของคนไข้ปากดีแม้ร่างกายจะย่ำแย่ก็ตาม นีรนาถก็ใจอ่อนขยับเข้ามาทำแผลให้ต่อจนเสร็จ วรินธรจึงถอนหายใจโล่งอก ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีที่ได้เจอหมอไนท์เป็นเจ้าของไข้เนี่ย
วรินธรมองปลายเข็มที่หมอเตรียมมาก็ถาม “ยาอะไร”
นีรนาถไม่ตอบ จิ้มยาเข้าสายน้ำเกลือจนหมดเข็ม ความเย็นของตัวยาซึมวาบตามเส้นเลือดบริเวณแขน รวมทั้งความปวดวิ่งแล่นพร้อมกับตัวยาด้วย จากนั้นหมอก็จัดการดูแขนดูขาเธอ ส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีก แต่ก็นำยามาทาให้ พลางขยับตามข้อต่างๆ ถามอาการความบาดเจ็บ สายตานิ่งของหมอขยับมาสบตาเธอ วรินธรอ่านสายตานั้นออก ร่องรอยหลายอย่างทำให้หมอรู้ได้ไม่ยากว่าก่อนหน้านี้เจ้าตัวไปเจอกับอะไรมาบ้าง
“ฉันไม่ได้เป็นคนร้ายหนีตำรวจน่าไนท์” วรินธรรีบแก้ตัวอย่างรู้ใจว่ากำลังโดนสงสัย
“นี่ฉันกำลังรักษาโจรอยู่รึเปล่า”
วรินธรส่ายหน้าจริงจัง “บอกแล้วไงว่าฉันเป็นสายลับ”
“ไม่มีสายลับในหนังเรื่องไหนจะประกาศว่าตัวเองเป็นสายลับหรอกนะ”
แม้จะถูกต้อนจนจนมุม แต่วรินธรก็หัวเราะ เอ่ยชมอย่างจริงใจ “เก่ง” คนถูกชมยังคงหน้าบึ้ง
“แนะนำให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลต่ออีกสักคืน...”
วรินธรส่ายหน้าพลางลุกขึ้นนั่ง เมื่อหมอรักษาเสร็จแล้วก็เตรียมเผ่นได้ จะอยู่ทำไมให้คนร้ายแกะรอยได้กันล่ะ
นีรนาถหรี่สายตามอง “เธออาจบาดเจ็บภายใน”
“ไนท์ตรวจแล้วนี่ ไม่เป็นไรหรอก” พูดพร้อมกับลุกขึ้น ทำให้หมอขมวดคิ้วไม่พอใจ
“เมื่อไหร่จะทำตัวปกติเหมือนคนอื่นเค้าสักทีนะพาย”
“ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้”
“ตกลงไปทำอะไรมา”
วรินธรยิ้มหวาน เปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนอย่างรวดเร็ว แล้วก็เกิดอาการวูบเซลงไปจนคนเป็นหมอต้องถลามาพยุงไว้
ตายแล้ว เธอมั่นใจว่าถึงเจ็บหนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นอ่อนแอปวกเปียก ยิ่งได้หลับไปหนึ่งตื่นยิ่งควรแข็งแรงสิ นี่คงไม่ใช่ว่า...
“หมอฉีดยาอะไรให้ฉัน”
นีรนาถมองใบหน้าของคนไข้อันซีดเซียวดูอ่อนเพลียแต่สายตาเด็ดเดี่ยวจริงจังและเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เท่านี้วรินธรก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายฉีดยาที่ทำให้เธอง่วง เธอจึงยืดตัวขึ้น ดึงแขนออกจากอีกฝ่าย พลางบอก “ฉันไม่รู้ว่าทำไมเป็นไนท์ที่มารักษาฉันไปได้ แต่ฉันก็ขอบคุณไนท์มาก ฉันจะกลับบ้านล่ะ อยู่ที่นี่นานไม่ดี ค่ารักษาเดี๋ยววันหลังฉันเอามาให้นะ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินไปทางประตูห้องทันที แต่ร่างสูงที่โผล่เข้ามาจากปากประตูก็ทำให้วรินธรชะงัก
“เฮ๊ย จะออกไปไหนวะพาย”
เจ้าหนุ่มฝรั่งมองเธอขึ้นลงอย่างสงสัย รีบวางถุงของกินไว้บนโต๊ะแล้วก้าวมาจับแขนเพื่อน พลางมองเลยไปยังหมอคนเดียวในห้อง
“คุณหมอตรวจเสร็จแล้วเหรอครับ ให้มันออกไปเดินเล่นหรือยังไง”
“ไอ้เจฟ?” เอาล่ะสิ ตอนนี้เธองงอย่างหนัก
“เออสิวะ” เจฟขมวดคิ้วตอบ พลันชะเง้อคอไปหาคุณหมอหน้าบึ้งที่ดูจะบึ้งหนักเมื่อเห็นเขา
วรินธรประมวลผลอย่างหนักเท่าที่สมองโดนมอมยานอนหลับจะคิดได้
“คุณอยากรู้ก็ถามเจ้าตัวเขาดูสิ” หมอหันไปหยิบกระดานตรวจด้วยอาการกึ่งบึ้งกึ่งโมโห “เสร็จธุระฉันแล้ว ฉันขอตัวค่ะ”
แล้วร่างสูงของนีรนาถก็เดินผ่านคนไข้ไปอย่างไม่ไยดี ทำเอาวรินธรงงยิ่งใหญ่ มองใบหน้าเพื่อนที่ส่งยิ้มหวานขอบคุณหมอก็ร้องอ้อ นี่มันไปบังคับเขามารักษาเธอหรอกเหรอ
“ขอบคุณที่รับเป็นเจ้าของไข้เจ้าพายให้นะครับ คุณหมอนีรนาถ”
เสียงประตูปังเป็นคำยืนยันว่า ...ไม่เป็นไร... ได้อย่างดี เจฟหัวเราะก๊าก ยักคิ้วให้เธอ
“โชคยังดีนะแกที่ไนท์รับแกเป็นคนไข้”
วรินธรเดินกลับมานั่งบนโซฟา “นี่มันอะไรกัน ไหนเล่าเรื่องให้ฉันฟังให้หมดซิ”
เจฟยักไหล่ เดินไปหยิบเงาะออกมาแกะกินพร้อมกับทิ้งเปลือกใส่ถังขยะ “เล่าทำไม แกก็น่าจะเดาได้”
“โถ่เอ๊ยไอ้นี่ ใครจะไปตรัสรู้ได้หมดล่ะวะ”
“โอ๊ยขี้หงุดหงิดจังแฮะวันนี้ หมอไนท์ฉีดยาบ้าให้แกเหรอวะพาย”
วรินธรอยากจะโบกหลังมือใส่ใบหน้ากวนๆ ของฝรั่งสักที ติดตรงสายน้ำเกลือกับระยะห่างเกินเอื้อมเท่านั้นแหละ
“เล่าก็ได้” เจฟหัวเราะ แกะเงาะผลที่สองให้ตัวเอง ไม่รู้ว่ามันซื้อผลไม้มาเยี่ยมไข้หรือซื้อมาให้ตัวเองกันแน่
“เมื่อวานฉันกับสนฝ่าวงล้อมจากไอ้พวกนั้นได้ก็รีบไปโรงหลอม ตอนไปถึงโรงหลอมไหม้ไปหมดแล้วเหลือแต่ตอ บอสเดือดใหญ่ สั่งการให้หาพิกัดมือถือแก เพราะแกส่งข้อความมาบอกว่าเดือดร้อน เราพบแกนอนเกือบตายอยู่บนกอหญ้า อยากรีบพาแกส่งโรงพยาบาลเหมือนกัน ติดที่ว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะฝ่ายอาสินก็จ้องงับเราอยู่ สุดท้ายฉันก็เลยต้องปฐมพยาบาล”
วรินธรชะงักกึก “แกนี่เอง”
เจฟเลิกคิ้ว “นี่ฉันช่วยชีวิตแกนะเว้ย”
วรินธรไม่สนคนลำเลิกบุญคุณ ชี้ไปยังแขนตัวเอง “ก็เพราะแกเย็บซังกะบ๊วย หมอไนท์ก็เลยรูดไหมออกอย่างกับรูดด้ายเย็บผ้า”
“จริงเหรอวะ” เจฟเขยิบเข้าไปมองแผลพลางครางฮือ “สมกับเป็นแพทย์ศัลยกรรมหัวใจ เนี้ยบสุดๆ ไปเลย”
เธอชี้และสั่งให้คนวิจารณ์จัดการพันแผลให้ด้วย ซึ่งเจฟก็ทำให้อย่างเต็มใจ
“แกจะมาเอาอะไรกับนักศึกษาแพทย์นอกตำราอย่างฉัน เย็บแผลให้เลือดไม่ไหลจนหมดตัวก็บุญแล้ว”
เธอก็ไม่อยากถือสาหาความมาก ติดที่สายตาวิบวับๆ ทำให้กวนอารมณ์นัก
“แล้วไงต่อล่ะ แล้วตกลงได้หมอไนท์เป็นหมอเจ้าของไข้ได้ไง”
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่พยายามนึกถึงคนที่ไว้ใจได้ ฉันไม่แน่ใจอาการภายในของแก บอสก็บอกว่าต้องพาแกไปถึงมือหมอให้ได้ ฉันไม่มีทางเลือกมากนัก เวลาก็จำกัด ฉันก็นึกได้แค่หมอไนท์ สืบรู้ว่าเธอเป็นเรสิเด้นท์ที่นี่เป็นปีสุดท้าย ก็เลยจัดการส่งแกมาหาหมอมือดีโดยไม่ลงทะเบียนประวัติคนไข้”
วรินธรครางอ๋อในใจ ถึงว่าสิ ใบหน้าของนีรนาถถึงได้ยับยู่เป็นกระดาษขยำอย่างนั้น โดนบังคับให้มารักษาเธอจริงด้วย
“แกไม่รู้หรอกว่าหมอไนท์เป็นหมอที่ยุ่งมาก กว่าจะมีเวลาออกมาตรวจแกได้ ก็ปาเข้าไปค่อนวันแล้ว...”
เมื่อได้คำตอบในสิ่งที่ต้องการ วรินธรก็ไม่มีปัญญารับรู้เสียงจ้อยๆ ของเพื่อนอีกต่อไป เปลือกตาคล้อยต่ำ จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
...........................................................................
ร่างเพรียวสูงก้าวออกจากลิฟต์เข้าสู่แผนกบุคคลบนชั้นสิบของอาคารสูงอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้ามีเค้าโครงต่างชาติชัดแม้สีผมและสีตาจะเหมือนคนเอเชียที่จะเหลือบน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ไม่ใช่ผมบรอนด์ทองตาสีฟ้าก็ตาม ใส่สูทบางทับเสื้อเชิ้ตตัวในอย่างเรียบร้อยและเรียบง่าย ความสบายๆ ฉายชัดอาจเป็นเพราะรอยยิ้มละมุนละไมที่ประดับบนริมฝีปากโค้งมนสวยนั่น ที่ชวนทำให้พนักงานซึ่งกำลังเลิกงานอดไม่ได้หันมองเขาด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มหน้าใหม่ก้าวเข้าไปสู่ห้องของผู้จัดการฝ่ายบุคคลตามเวลานัด เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการคนใหม่ซึ่งมาแทนคนเก่าที่ได้ลาออกไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้
มันเป็นประจวบเหมาะกับคำสั่งของบอสที่บอกว่า ควรให้ปิแอร์หางานทำได้แล้ว ว่างงานมานาน เดี๋ยวจะไม่มีอะไรกิน หนึ่งในสามบริษัทที่เขาหมายตา และคงไม่ใช่เพราะชื่อยาวที่สุดอย่างที่บอกเพื่อนสาวไป เฟเดอริกสตาร์ เป็นบริษัทที่น่าสงสัยมากกว่านั้น
ปิแอร์ส่งยิ้มให้กับผู้จัดการอย่างเป็นกันเอง เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้ผ่านงานมามาก ได้พูดคุยกันแค่ช่วงสัมภาษณ์ไม่กี่อึดใจ เขาก็ถูกชะตากับเจ้าหนุ่มหน้าฝรั่งผู้นี้ทันที ปิแอร์ยอมรับกับตัวเองว่าได้รับเข้าทำงานเพราะโชคชะตาของแท้ แต่ผลงานต่อจากนี้คงจะพึ่งพาโชคชะตาอย่างเดียวไม่ได้
ปิแอร์ได้รับมอบหมายงานชิ้นแรกพร้อมกับห้องทำงานซึ่งแบ่งโซนกับพนักงานตำแหน่งอื่น งานของเขากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
สายตาสีน้ำตาลกวาดไปทั่วทั้งห้องออฟฟิศแห่งนั้น กล่าวสวัสดีกับพนักงานคนอื่น ทุกคนดูสนใจเขา ก็แน่ล่ะ หน้าตาปิแอร์เนี่ยจำลองมาจากจอนนี่ เดปป์ เชียวนะ งานนี้หนุ่มฝรั่งจึงเหมือนเป็นดาวเด่น ก่อนจะออกปากล่ำลาใครต่อใครและพาตัวเองออกจากตึกสูงใจกลางเมืองในที่สุด พลันร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินผ่านหน้าตนไปหยุดที่ลานหน้าอาคาร เพื่อก้าวขึ้นรถที่มารอคอยรับอยู่แล้ว
...ภาพทิวา...
ลูกสาวเจ้าพ่อ ไข่ในหินของอาสิน มาทำอะไรที่เฟเดอริกสตาร์กันล่ะ
นักศึกษาปีสามมีกิจกรรมนอกสถานที่ให้ทำไม่กี่อย่าง ปิแอร์สันนิษฐานเอาไว้ในใจ หล่อนคงมาฝึกงาน และพรุ่งนี้คงจะต้องตรวจสอบ ว่าเป็นจริงตามที่คิดหรือไม่ ร่างสูงยืนยิ้มมุมปาก ฐานข้อมูลบุคคลของเฟเดอริกสตาร์นี่ก็น่าค้นหาดี
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังกรุ๋งกริ๋งเรียกความสนใจเขา ชายหนุ่มมองรหัสบนหน้าจอก็แค่นยิ้ม กดรับสาย
“สวัสดีตอนบ่าย”
“หวัดดี ฉันไม่มีน้ำชา แกอยู่ไหนตอนนี้” ปลายสายเสียงทุ้มห้วนจัด อันเป็นลักษณะปกติของคนพูด ตอนไหนมันอารมณ์ดีสิแปลก
“ฉันก็ไม่ได้กินสักแก้ว อยู่หน้าที่ทำงานใหม่ ฉันได้งานใหม่แล้วว่ะ”
“แล้วไอ้พายล่ะ”
“นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลสิ โดนมาซะขนาดนั้น” ปิแอร์ส่งน้ำเสียงสดใสตรงข้ามกับรอยยิ้มเหยียดบนใบหน้า นัยน์ตาส่องประกายขุ่นใจแวบหนึ่งก่อนจะกะพริบตาแล้วหายไป
“โชคดีที่ไม่ถึงตาย”
“ถ้าเราไปช้าก็อาจจะถึงตาย”
ปลายสายสบถหยาบหลายคำ จนปิแอร์หัวเราะ “อย่าห่วงอะไรมากเลยสน แผลของแกเป็นยังไง ดีขึ้นหรือยัง”
“แค่ถากๆ พักวันสองวันก็หายแล้ว” นั่นเป็นคำตอบของคนที่เจนสนามแห่งการต่อสู้มาอย่างโชกโชน กระสุนแฉลบแขนของเขาไม่ถูกจุดสำคัญก็จริง แต่ค่อนข้างลึกและยาว เจ้าตัวยังว่าแค่นี้สบาย “ว่าแต่แกได้งานใหม่อะไร”
“คำสั่งบอส” คำตอบสั้นไม่ตรงคำถาม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบอสเป็นผู้มองไกลเสมอ และเขามักจะแก้ปัญหาถูกจุดฉับไว
“เพราะฉันเข้าไปในบ้านเจ้าพ่อไม่ได้ ฉันเลยต้องมาสืบทางนี้ แต่งานนี้อาจได้สองเด้ง เมื่อกี้ฉันเห็นภาพทิวาเดินผ่านหน้าฉันไป”
สนฉัตรเงียบไปครู่ “ไปฝึกงานในเฟเดอริกสตาร์รึ”
ปิแอร์หัวเราะหึ “ถ้ามาฝึกที่นี่จริง ฉันว่าบอสคงสงสัยถูกบริษัทแล้วล่ะ”
“งั้นแกจับตาแม่นั่นเอาไว้ ฉันจะจับตาอาสินต่อ อย่างน้อยพายก็ไม่เจ็บตัวเปล่า ได้ทั้งหลอกล่อให้อาสินโผล่หัว ได้ทั้งหน้าตาของคนที่อาสินนัดพบ”
ปิแอร์เลิกคิ้ว “นี่โทนมันทำได้แล้วรึ” เอ่ยอย่างตื่นเต้น ก่อนโรงหลอมจะไหม้ เครื่องส่งสัญญาณสามมิติได้ทำงานส่งออกข้อมูลมายังสำนักงานอีเว้นท์แห่งใหม่ได้ทัน คอมพิวเตอร์ใช้เวลาประมวลผลไม่นานก็พบว่าเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง แกะใบหน้าและรูปร่างออกมาได้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร
“โทนบอกให้จิงจ้อไปสืบหารายละเอียด แต่เหมือนว่าจะไม่ง่าย คนผู้ชายมีเคราเต็มหน้าแทบหาใบหน้าจริงไม่เจอ คนผู้หญิง ก็ไม่ตรงกับภาพใครในฐานข้อมูลที่เรามี แกไปอยู่ตรงนั้น ลองเช็คจากที่นั่นก็ดี”
ปิแอร์พาตัวเองออกจากบริเวณพลุกพล่าน เข้าสู่รถเก๋งคันเล็ก สตาร์ตรถเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำพลางกวาดสายตาไปทั่ว
“อืม ฉันจะลองดู แค่นี้ก่อน จิงจ้อมาแล้ว”
ปิแอร์วางสายพร้อมกับประตูฝั่งผู้โดยสารเปิดออก ร่างสันทัดของจิงจ้อกระโดดมานั่งไม่ทันแตะพื้นเบาะ ปิแอร์ก็กระชากคันเร่งเข้าสู่ถนนใหญ่อย่างวัยรุ่นใจร้อน ทั้งที่อายุจริงก็เกินวัยรุ่นมาหลายปีแล้ว
...........................................................................
ร่างโปร่งในชุดขาวพราวระยับเหมือนสายหมอก รวมตัวกันจนเป็นรูปร่างของหญิงสาวจนเกิดเงาใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืนสาดทับร่างคุดคู้บนเตียงคนไข้ ที่ยังคงหลับใหลไม่รับรู้ว่ามีใครยืนอยู่ใกล้ และกำลังทอดสายตามองด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งสงสัยในความเป็นตัวหล่อน ทั้งเวทนา
พาย...วรินธร ผู้หญิงที่มีชีวิตแสนประหลาด
กานต์ชนิตมองใบหน้ามอมแมมและปรากฏรอยช้ำจากการต่อสู้ เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ต่อสู้กับผู้ชายทั้งตัวใหญ่ทั้งแข็งแรงกว่าแล้วสามารถล้มพวกเขาได้ ทำไมผู้หญิงคนนี้จะต้องทำตัวเสี่ยงภัยอันตรายก็ไม่รู้ คนแบบนี้มีในโลกด้วยหรือ เธอนึกว่ามีแต่ในละคร
เออ จะว่าไปการที่เธอเป็นผีมานั่งดูคนนี่ ถ้าไปเล่าให้ใครฟังก็เหมือนละครเหมือนกัน
เธอย่อตัวลงและยื่นมือของตนเข้าใกล้ร่างเบื้องหน้า ได้รับรังสีความอุ่นจากเนื้อตัวหล่อน อุ่นร้อนขจัดความเย็นเยียบของสายน้ำ บางทีก็ทำให้รู้สึกล่องลอยเคว้งคว้าง บางทีก็ทำให้ละมุนละไมเหมือนปุยนุ่น
...ประหลาด...
มันคงต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญเกี่ยวกับเธอและหล่อนอย่างแน่นอน จึงทำให้จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวได้อีกครั้ง ทั้งที่วันนี้ทั้งวันเธอพยายามจับตัวพายวรินธรตั้งนาน แต่ก็คว้าได้แต่ความว่างเปล่า จนกระทั่งวินาทีที่หล่อนล้มลงไปกับพื้น เธอก็สามารถเขย่าตัวหล่อนได้ในที่สุด
เหมือนเช่นตอนนี้ เธอคงจะแตะหล่อนได้อีกตามเคย พอวางมือลงบนแขนของวรินธร เธอก็ต้องตกใจเพราะได้รับความร้อนมหาศาลจากร่างกายนั้นสู่ฝ่ามือ ธรรมดาเธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนเตาถ่านอยู่แล้ว มาตอนนี้หล่อนร้อนยิ่งกว่าเดิม หล่อนกำลังมีไข้สูง แล้วจะหันซ้ายหันขวา มองหาใครสักคนมาช่วย เธอคงไม่มีทางเรียกใครได้
ไม่ดีแน่ถ้าหากจะปล่อยให้วรินธรนอนคุดคู้ตากลม เธอจึงหยิบผ้าห่มสำรองอีกผืนบนโซฟาช่วยคลุมห่มให้ หล่อนก็ได้แต่ครางฮือไม่ได้ลืมตา กัดฟันแน่นจนฟันกระทบกัน ระหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นบ่งบอกถึงความทรมานไม่สบายตัว
เฮ้อ...
“ฉันควรทำอย่างไรกับเธอดีล่ะเนี่ย”
กานต์ชนิตรำพึงและกังวล เธอรู้ว่าคนเดียวที่ได้ยินคือเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง เขาคงกำลังฟังอยู่ แต่เขาคงไม่ตอบ เพราะเขาย่อมไม่ยุ่งกับเรื่องของมนุษย์ แล้วเธอล่ะควรยุ่งหรือไม่ เพราะเธอก็ไม่ใช่มนุษย์เหมือนกัน
แล้วก็เหมือนเคย ถึงเธอจะไม่พอใจในสิ่งที่หล่อนทำแค่ไหน แต่ก็อดไม่ได้จะช่วยเหลือหล่อน
กานต์ชนิตตัดสินใจค้นในกองถุงยาของชายหนุ่มที่ชื่อเจฟบริเวณโต๊ะข้างเตียง เมื่อพบยาลดไข้ก็หยิบออกมา สะกิดหล่อนให้รู้สึกตัว ก็เป็นดังคาดว่าหล่อนได้แต่ครางฮือ กัดฟันดังกั่กๆๆ ฮือ กั่กๆ ยิ่งสร้างความเวทนาไปใหญ่ จึงออกแรงเขย่าโดยแรงและพยุงต้นคออันร้อนผ่าวขึ้น
“เธอต้องทานยานะพายวรินธร อ้าปากแล้วกลืนยาซะ”
คนไข้ทำตามอย่างว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ หล่อนอ้าปากกินยาดื่มน้ำแต่ตายังปิดสนิท เธอแตะตามเนื้อตัวหล่อนและรู้สึกถึงความร้อนไหลวนวูบวาบ ถ้าตอนนี้เธอยังอยู่ในโลกปกติและไม่ได้นอกเหนือกฎแห่งฟิสิกส์ เธอควรจะระบายความร้อนจากตัวหล่อนได้บ้าง ตามหลักสมดุลของพลังงาน (Conservation of energy) ถ้าหากว่าตัวเธอเย็นเหมือนน้ำที่ก้นบึง ความร้อนจากหล่อนก็ควรจะเข้ามาหามือเธอสิ แล้วอาการเป็นไข้ของหล่อนก็ควรจะลดลงได้แล้ว
ความคิดของกานต์ชนิตนั้นเป็นเหมือนดั่งมนต์สะกด มวลความร้อนระอุแล่นผ่านจากเนื้อหนังของหล่อนเข้าสู่ร่างกายเธอจนอุ่นวูบวาบ พลันดวงหน้าร้อนของวรินธรก็เลิกขมวดคิ้ว เลิกกัดฟัน พร้อมกับระบายลมหายใจและหายใจเข้าออกด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ไม่ทุรนทุรายเหมือนเมื่อครู่ กานต์ชนิตจึงลองแตะที่หน้าผากและซอกคอ ก็พบว่าความร้อนลดลงแล้ว เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เธอช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้เอาไว้ หรือเธอจะตายกลายเป็นผีเพื่อพิทักษ์คุ้มภัยหล่อนกันหนอ
คิดแล้วก็ขำ กานต์ชนิตนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับเอนตัวลงพิงเตียงคนไข้ นอนตรงนี้ก็อุ่นดี เธอรู้สึกง่วงขึ้นมาเหมือนกันเพราะตามหล่อนแบบโลดโผนมาตลอด เพิ่งค้นพบว่าเป็นผีก็หลับได้ หวังว่าตื่นขึ้นมาแล้ว หล่อนจะเห็นเธอนะ เธอมีเรื่องมากมายอยากถามหล่อน แล้วก็เชื่อว่าหล่อนก็คงมีเรื่องมากมายอยากจะถามเธอ....
......................................................................................... จบบทที่เจ็ด Help Is On The Way