บทที่สิบ Trust
วรินธรตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดเนื้อเมื่อยตัวและหนักหัว แต่จะให้เธอทนนอนต่อโดยไม่สนเดือนสนตะวันคงจะยากสักหน่อย เพราะต้องรีบกลับโรงพยาบาล ไม่อย่างนั้นทางนั้นจะโกลาหลเพราะคนไข้หาย สองเท้าก้าวลงจากเตียง พลันก็ชักเท้ากลับอีกหน รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ซ้ำรอยนะ แต่วันนี้ร่างที่นอนอยู่บนพื้นมีผ้าห่มและหมอนอย่างดีคลุมกาย สงสัยหล่อนคงค้นเอาจากตู้เสื้อผ้าหน้าห้องน้ำ ดูท่าทางกำลังหลับสบายทีเดียว
แล้วนี่หล่อนสามารถสำรวจบ้านเธอได้ตามใจชอบเลยอย่างนั้นสิ เจ้าของบ้านนิ่งไปอึดใจ ความทรงจำของเมื่อคืนก็กลับมา พลันก็ทำให้ความหวาดระแวงคลายลงอย่างน่าประหลาดใจ
ความร้อนวูบวาบวิ่งเป็นริ้วขึ้นสู่ใบหน้า จนทำให้ต้องรีบระงับอาการให้นิ่งเข้าไว้เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาเห็น เมื่อพิจารณาจนแน่ใจว่าหล่อนหลับลึก ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
เป็นไปได้ว่าเธออาจจะไม่ชินกับการที่มีใครมาดูแล เรียกได้ว่าตั้งแต่เลิกใส่คอซองเธอก็ดูแลตนเองมาตลอด ยิ่งให้ใครมาเช็ดตัวให้นี่ยิ่งไม่เคย นึกย้อนไปแล้วเธอป่วยครั้งล่าสุดเมื่อไหร่หนอ เธอก็นึกไม่ออกเหมือนกัน
วรินธรยกมือลูบศีรษะตนเอง
ลูบเอง... ก็ไม่ยักกะรู้สึกอะไรเท่า วรินธรเริ่มเข้าใจความรู้สึกเจ้าตูบเวลาเจ้าของมันลูบหัวให้ซะแล้วสิ จะว่าไปก็นึกถึงสุนัขที่เธอเคยเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง มันชื่อว่าด่างทับทิม เปล่าหรอก มันไม่ได้เป็นสุนัขสีม่วงเหมือนสารโพแตสเซียมเปอร์แมงกาเนต ตัวมันลายด่างเหมือนหมาทั่วไป แต่ดันไปเกิดใต้ต้นทับทิม...
ก่อนความคิดจะไหลเรื่อยไปไกล ความคิดของวรินธรหยุดลง เมื่อร่างที่นอนเหยียดยาวบนพื้นขยับตัว เธอรู้สึกว่าตนเองกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ
แล้วหล่อนก็นิ่งไปอย่างคนกำลังหลับสบาย เธอค่อยๆ ยื่นแขนจิ้มนิ้วที่ไหล่ของหล่อน ก็จิ้มได้ ไม่มีอาการวูบวาบอีกต่อไป และนั่นทำให้เธอตัดสินใจจะทดสอบ จึงยื่นเท้าลงไปวางบนพื้นอย่างแผ่วเบา แล้วย่องอ้อมไปยังหลังโซฟา หันหน้าเข้าหาตู้เก็บของและตู้หนังสือซึ่งทำแบบบิ้วอินเรียงรายจรดเพดาน คว้านหากุญแจในซอกตู้ได้ก็ไขไปยังตู้หนึ่งชั้นล่างสุด
กุกกักๆ อยู่ไม่นานก็ดึงมัลติมิเตอร์สี่เหลี่ยมออกมาจากกล่องพร้อมสายเชื่อมไปยังหัววัดสองเส้น ทดสอบแบตเตอรีเสียหน่อย ไม่ย่ำแย่เกินไปนัก จากนั้นเจ้าของบ้านก็เดินย่องกลับไปยังคนหลับ พลางค่อยๆ จิ้มหัววัดลงบนแขนของหล่อน เข็มไม่กระดิก ไม่ว่าจะเลื่อนไปอ่านกระแสไฟฟ้าหรือโวลท์ หรือจะเป็นค่าต้านทานก็อินฟินิท ซึ่งปกติ เนื้อตัวหล่อนไม่ได้เป็นตัวนำที่หล่อเลี้ยงด้วยไฟฟ้า แต่ภายในใครเล่าจะรู้
วรินธรเดินกลับไปยังกล่องเดิมใหม่อีกครั้ง คราวนี้หยิบกล่องสี่เหลี่ยมกล่องใหม่ขึ้นมา มีตัวอักษรเขียนติดไว้ว่า ‘EMF’ (electromagnetic fields) เป็นเครื่องวัดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หมุนปรับแก๊กๆ ครู่ใหญ่เพื่อเช็คแบตเตอรี่ของเครื่อง ก็ปรากฏว่าพอใช้ได้ จึงได้เดินกลับไปยัง “ร่างทดลอง” ที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่อง ขยับเครื่องมือเข้าไปใกล้เนื้อตัวหล่อนพลางอ่านค่า เข็มกลับกระดิกขึ้นมานิดหน่อยอย่างน่าตื่นเต้น เธอพยายามหาส่วนที่อ่านค่าได้มากที่สุด ไล่จนถึงส่วนอกหรือใกล้หัวใจ เจ้าเครื่องอีเอมเอฟก็ส่งเสียงร้องรัวแหลม “ปิ๊บๆๆๆ” ทำเอาเครื่องแทบร่วงหลุดจากมือด้วยความตกใจ จึงรีบลุกขึ้นยืนเอาเครื่องซ่อนไว้ด้านหลัง พลางมองร่างนอนที่ขมวดคิ้วขยับตัวกำลังจะตื่น ในใจสบถคำด่าเจ้าเครื่องฉลาดนี่มากมาย แล้วคิดได้ว่าควรใช้เวลาที่หล่อนสะลึมสะลือ ทดสอบสมมติฐานสุดท้าย
วรินธรก้าวยาวสองสามทีถึงกล่องเครื่องมือ คุ้ยเจ้าไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์ออกมา และก้าวไปยังคนตื่นที่มองซ้ายขวาแบบงุนงง เมื่อเห็นใบหน้าเธอหล่อนก็ร้อง
“เอ้อ วรินธร”
เจ้าของชื่อแกล้งยิ้มชั่ววินาทีเอ่ยทักทาย “อืม อรุณสวัสดิ์” ซึ่งเป็นใครก็ดูรู้ว่าเสแสร้ง แต่เธอสนใจจะเลื่อนกระบอกของเครื่องไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์หันเข้าหาหล่อนมากกว่า
“ทำอะไรน่ะ” กานต์ชนิตร้องถามอย่างประหลาดใจ มองลึกเข้าไปในรูของกระบอกสีดำอย่างสงสัย
“ตรวจสอบ”
“ตรวจอะไร ฮัลโหลๆ” พอเจ้าหล่อนทำเหมือนเครื่องนี้เป็นโทรศัพท์เท่านั้น เจ้าเครื่องก็ส่งเสียงร้องปิ๊บๆ วรินธรตาโตมองมิเตอร์ วินาทีเดียวกันมันก็วูบหายไปพร้อมกับเสียง
“พูดใหม่ซิ”
“หืม ฉันเหรอ”
“ก็มีกันอยู่สองคน พูดใหม่ซิ อะไรก็ได้”
กานต์ชนิตดึงผ้าห่มออกจากตัว ชะโงกมองเครื่องตรงหน้าอึดใจก็ถาม
“ไข้ลดแล้วเหรอ”
ไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์ไม่ร้องอีกต่อไป ทำเอาเจ้าของบ้านขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อสบตากลมโตที่มองอย่างรอคำตอบ เธอก็ต้องตอบโดยอัตโนมัติ
“ลดแล้ว”
เมื่อแววตากลมโตของกานต์ชนิตมีแววระลึกได้ วรินธรแอบสะดุ้งในใจโดยไม่มีเหตุผล ทำไมเธอจึงรู้สึกไม่อยากให้คนตรงหน้าจำเรื่องเมื่อคืนได้ก็ไม่รู้ จึงปัดเรื่องนั้นทิ้งไปเสีย กลับมาจดจ่อกับผลการตรวจสอบที่ได้
“เธอต้องไม่ใช่คนแน่ๆ”
การเปิดประเด็นทำให้หล่อนชะงักไป ปรายตามองเครื่องที่หน้าตาเหมือนกล่องข้าวห่อไปโรงเรียนและมีสายเชื่อมกับกระบอกกลวงๆ เหมือนโทรศัพท์ด้วยความระอา
“ยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีก ฉันก็บอกไปแล้วว่า...”
“เป็นผีน่ะเหรอ ฉันจะเรียงลำดับไว้เป็นคำตอบสุดท้ายก็แล้วกัน”
“เอ้า ถ้าอย่างงั้นเธอคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร หุ่นยนต์งั้นเหรอ”
วรินธรดีดนิ้วเปาะ ทำหน้าตาถูกใจ “เธอเป็นมนุษย์เทียมไงล่ะ”
คิ้วของกานต์ชนิตขยับเข้าหากัน พลางส่ายหน้าเหนื่อยใจ “เธอนี่เป็นพวกระแวงขึ้นสมองไปแล้วหรือไง คิดอะไรประหลาดจริง”
“ฉันไม่ได้แค่คิด นี่เธอคงไม่รู้ตัวว่าเธอนั้นปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกจากตัวได้”
สีหน้าของกานต์ชนิตเปลี่ยนไป มองเครื่องมือในมือวรินธร
“ด้วยเจ้าเครื่องนี้น่ะเหรอ”
“เปล่า นี่มันไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์”
“เจ้าเครื่องวัดกัมมันตภาพรังสีน่ะเหรอ”
วรินธรหรี่สายตามองคนตอบ “รู้จักหรือ?”
กานต์ชนิตพยักหน้าสบตากับคนถาม นัยน์ตาของหล่อนไม่ได้โกหก หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนคนขี้โม้
“ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ เพิ่งเคยได้เห็นของจริงก็วันนี้แหละ หน้าตามันเก่าจังเนอะ”
วรินธรค่อนข้างประหลาดใจในความรอบรู้ของหล่อน แต่ก็เป็นไปได้ที่ใครจะรู้จักเครื่องนี้ เพราะมันก็ใช้งานเป็นที่แพร่หลาย เพียงแค่ต้องอยู่ในสาขาที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นนอกจากหล่อนจะเล่นดนตรีได้แล้ว หล่อนยังรอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อีกด้วย เธออดไม่ได้จะยิ้มมุมปากขณะมองใบหน้าขาวที่เริ่มมีริ้วรอยเลือดฝาดของหล่อน
“ตะกี้มันร้องตอนเธอพูด แต่ตอนนี้มันไม่เห็นจะร้องอะไรเลย”
“หมายความว่าตัวฉันปล่อยรังสีได้น่ะเหรอ”
วรินธรเองก็ไม่แน่ใจ มองสำรวจเครื่องวัดรังสีครู่ใหญ่ แต่ก็ตอบแบบหลอกให้อีกฝ่ายมั่นใจเอาไว้ก่อน “ช่าย ตัวเธอปล่อยรังสีได้เหมือนกับสารกัมมันตภาพรังสี”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินกลับไปเอาเครื่อง EMF ออกมาใหม่ “แล้วดูเจ้าเครื่องนี้”
เธอยื่นมิเตอร์ให้หล่อนดูเข็มซึ่งเบนเอียงเพิ่มขึ้นเมื่อนำหัววัดเข้าใกล้ตัวของหล่อน กานต์ชนิตรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ยิ่งจ่อใกล้หัวใจยิ่งรู้สึกว่าเข็มเบนมากกว่าปกติ
“เครื่องนี้มันวัดอะไร”
“วัดปริมาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ดูสิ มันค่อนข้างมาก” วรินธรขยับหัววัดกลับมาที่แขนตัวเอง เข็มกลับตกลง เมื่อยื่นเข้าใกล้แขนของกานต์ชนิตใหม่ เข็มก็กระเด้งสูงขึ้นใหม่
“เธอน่ะกำลังปล่อยคลื่นออกจากตัวอีกด้วย รู้ตัวหรือเปล่า”
กานต์ชนิตมองอย่างสนใจร้องถาม “มันแปลว่าอะไร”
วรินธรยักไหล่เล็กๆ ชักรู้สึกดีที่เจ้าหล่อนสนใจจะฟังเรื่องเหล่านี้ “ก็แปลว่าเป็นไปได้ว่าเธออาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ยังไงล่ะ ต้องมีแหล่งกำเนิดพลังงานภายในร่างกายด้วย”
คำตอบทำเอากานต์ชนิตมุ่ยหน้า มองหน้าเธอเหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่ครูเพียรจะสอนแต่ไม่รู้จักจำ “ไม่มีทาง”
วรินธรยังไม่ละความพยายามจะอธิบาย “เธออาจจะโดนย้ายจิตวิญญาณมาใส่เครื่องจักรอันใหม่ก็ได้ รู้ไหมว่าจิตของคนเรานั้นจริงๆ มีมวลและมีการสั่นสะเทือนด้วยความถี่อ่อนๆ ตามความเชื่อของ...”
“ไม่มีทาง ฉันรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร” กานต์ชนิตลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดตรงหน้าต่างกระจก มองออกไปยังรั้วบ้าน คิ้วทั้งคู่ขมวดมุ่น
วรินธรลุกขึ้นยืนตาม เดินตามไปหยุดข้างหล่อน “ทำไมมั่นใจนักล่ะ?”
“ฉันจะอธิบายเธอยังไงได้ล่ะ ถ้าเธอได้ลองตายดูสักหนเธอคงจะมั่นใจล่ะมั้ง” รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าที่เริ่มขาวซีด วรินธรขมวดคิ้ว เธอเชื่อในหลักการเสมอ และก็พยายามจะโน้มน้าวให้เจ้าตัวเชื่อด้วย แสงแดดสาดส่องกระทบเนื้อตัวหล่อนทำให้หล่อนเริ่มโปร่งใส จึงยื่นมือจับไหล่ของหล่อนเอาไว้ ทำให้ร่างกายของหล่อนกลับเป็นเนื้อหนังได้เหมือนเดิม ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะมีการถ่ายเทพลังงานอยู่หรือเปล่า
“เห็นรึเปล่า มันประหลาด” วรินธรปล่อยมือจากไหล่ของหล่อนพลางชี้บอก
กานต์ชนิตมองตามเนื้อตัวของตนเองที่เริ่มโปร่งใสจนแสงทะลุผ่านไปได้ และเมื่อวรินธรแตะมือลงไปอีกครั้ง เนื้อตัวก็กลับเป็นทึบแสงจนเกิดเงาเหมือนเดิม
“มันมีการถ่ายเทพลังงาน เธอเห็นไหม เธอจะอธิบายว่ายังไง”
ใบหน้าขาวซีดดูตื่นเต้นระคนดูตกใจ วรินธรมองหน้าหล่อนด้วยความรู้สึกเดียวกัน
“ถ้าเธอไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์จากองค์กรอื่นจริง เธอต้องพิสูจน์”
กานต์ชนิตมะลายความรู้สึกตื่นเต้นไปจนสิ้น เปลี่ยนเป็นความอ่อนใจ วรินธรพยายามส่งสายตาบอกถึงความจริงจังนะไม่ได้พูดเล่น ทำเอาอีกฝ่ายถอนหายใจพรืด “พิสูจน์ยังไง เมื่อวานฉันก็บอกให้เธอเข้าไปค้นหาข้อมูลในบ้านของฉันแล้ว”
“เมื่อวานไม่สำเร็จ งั้นวันนี้เราจะเข้าไปด้วยกันใหม่”
“เธอนี่มัน...” กานต์ชนิตพูดไม่จบ แต่วรินธรก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไร จึงได้แต่ยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก
“ยังไม่หายป่วยดีด้วยซ้ำ เมื่อวานยังสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่เลย วันนี้ยังวางแผนไปซ่าได้อีก”
“ก็แค่เดินไปเที่ยวบ้านเพื่อนบ้าน ไม่เรียกซ่าหรอกมั้ง”
กานต์ชนิตหัวเราะ “ฉันเห็นนะว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
วรินธรเก้อไปทันใด เธอกระแอมเรียกฟอร์มกลับคืน พลางเอ่ยสั่ง “วันนี้ไม่พลาดแน่ เธอต้องเข้าไปด้วยเพื่อหาหลักฐานมายืนยันกับฉัน”
กานต์ชนิตขมวดคิ้ว สีหน้าลังเลก่อนจะหัวเราะหึๆ ฟังดูรันทด “ถ้าหากว่าฉันเข้าไปได้นะ”
วรินธรเลิกคิ้ว “พูดงี้แปลว่าอะไร จะบอกว่าเข้าไม่ได้รึ”
กานต์ชนิตเบนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มวาววับไปด้วยความชุ่มชื้น “ฉันก็ถามคำถามนี้กับตัวเองมาตลอด ถ้าเธอมีน้ำใจละก็ ช่วยหาคำตอบมาให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน”
วรินธรตามอารมณ์ของหล่อนไม่ค่อยจะทันนัก รู้แค่เพียงว่ามีเรื่องบางอย่างกระทบใจอย่างแรงในการเข้าไปในบ้านหลังนั้น
“มันยากตรงไหนแค่เดินเข้าไปในบ้านที่เธอว่าเป็นของเธอ ทีบ้านของฉันเธอยังเข้ามาได้ง่ายๆ เลย” กานต์ชนิตอ้าปากจะเถียง วรินธรยิ้มใส่รีบเอ่ย “พิสูจน์อีกรอบแล้วกันว่าเธอจะเข้าได้หรือไม่ได้ วันนี้แหละ”
พูดเสร็จก็วางไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์ลง พร้อมกับฉุดแขนอีกฝ่ายให้เดินตามกันออกไปนอกบ้าน กานต์ชนิตขืนตัวอยู่พักใหญ่ก็ต้องเดินตามและท้วง “เธอลืมไปแล้วเหรอว่าต้องรีบกลับโรงพยาบาลน่ะวรินธร ปล่อยฉันนะ...”
วรินธรออกกำลังสุดแรงลากเจ้าตัวประหลาดให้เดินตามกัน แต่แล้วเมื่อเธอก้าวออกจากประตูบ้านไม่ทันไร สายตาก็เหลือบลอดลูกกรงของรั้วบ้านจนเห็นร่างสูงเพรียวเดินบนทางเท้ากำลังมุ่งหน้ามาทางนี้เสียก่อน สีผมน้ำตาลปลายทองสะท้อนแดดในยามเช้าสดใสผิดกับใบหน้าเคร่งเครียด จะดีมากถ้าหากเขาจะมองไม่เห็นเธอ แต่ท่าจะยาก นั่นไง ตาไวเหลือบมาทางนี้แล้ว เฮ้อ เธออยากทำตัวล่องหนอย่างผู้หญิงข้างเธอบ้างจัง
เธอหันมองกานต์ชนิตพลางสลับมองเพื่อน สักพักเขาก็เปิดประตูรั้วที่ล็อกไว้อย่างดีอย่างง่ายดาย พลางก้าวเข้ามายืนในบ้าน
“แกหนีออกจากโรงพยาบาลทำไม”
วรินธรเลิ่กลั่ก หันมองหลังทีหน้าทีจนเจฟเพ่งมองใกล้ “เป็นอะไรของแก”
เมื่อเธอปรายตามองกานต์ชนิตก็เห็นรอยยิ้มขบขัน “ไม่ต้องกลัวหรอก เขาไม่เห็นฉัน”
เธอพยายามระงับความตื่นเต้น หันมองใบหน้าสงสัยของเพื่อนช้าๆ “แก... รู้ได้ยังไงอ่ะว่าฉันอยู่นี่”
วรินธรไหลลื่นไปจนได้ ทั้งที่ดวงตายังเหล่มองกานต์ชนิต ปล่อยมือหล่อนพลางมองขึ้นลง หล่อนยังคงมีตัวตน เพียงแค่เพื่อนของเธอไม่สามารถมองเห็นหล่อนได้ ใบหน้าของเจฟจึงยังคงสงสัยในอาการของเธอไม่คลาย
“แกซ่อนอะไรไว้”
“ถามประหลาด ฉันจะซ่อนอะไร” วรินธรยังคงจ้องมองกานต์ชนิตพักหนึ่ง แน่ใจว่าเพื่อนเธอมองทะลุผ่านหล่อนมายังเธอ จึงลอบถอนหายใจรีบเดินล้วงกระเป๋าเข้าไปในบ้าน เจ้าฝรั่งร่างสูงรีบหนีบมือกาวคว้าต้นแขนเธอหมับทันที อีกมือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าล้วงมือถือโทรออก
“เฮ๊ย แกมาจับฉันทำไมวะ”
เจฟกรอกคำพูดใส่ปลายสาย “จิงจ้อเหรอ เออฉันเจอมันแล้วอยู่ที่บ้านมันเนี่ยแหละ เอารถมาที่นี่ได้เลย”
วรินธรเอียงคอมองเพื่อน “เฮ๊ยนี่วางแผนลักพาตัวนี่หว่า”
“ไม่ได้เรียกลักพาตัว เรียกพาคนไข้กลับโรงพยาบาล”
“เอ๊ย เดี๋ยวฉันกลับเองได้”
“รอแกกลับเอง ฉันว่าแผลแกคงได้ติดเชื้อลุกลามไปกันใหญ่ นี่ดูซิ...” เจฟชี้ไปยังผ้าพันแผลบริเวณต้นแขนที่หลุดลุ่ย แขนบวมเป่งแถมยังมีสีชมพูดซึมให้เห็นอีกต่างหาก “ฉันบอกแกแล้วว่าห้ามโดนน้ำ บอกให้นอนพักผ่อน ไม่ฟังสักอย่าง แล้วนี่มีอะไรสำคัญนักหนาถึงต้องรีบกลับบ้าน”
ปกติเจฟเป็นคนร่าเริง แต่คราวนี้เธอรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงต่ำเรียบเจือความกังวล และแววตาที่ซ่อนความเครียดกังวลเอาไว้ไม่มิดบอกให้รู้ว่าคราวนี้อาการเธอหนักเพียงใด เธอหันมองแขนตัวเองมองเท้าที่บวมและข้อมืออันปวดระบม การมีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นอุปสรรคแรกในการเอาตัวให้รอด เธอและเพื่อนรู้ดีว่าการรักษาร่างกายให้แข็งแรงนั้นสำคัญเพียงใด แม้จะเจอปัญหาหนักแค่ไหน ถ้าร่างกายเราพร้อม ถ้าใจเราพร้อม ก็เต็มที่ได้ทุกเรื่อง...
แต่นี่อาการกำเริบ... เพราะความใจร้อนของเธออีกแล้ว
เจฟหรี่ตาครุ่นคิด เธอประสานสายตากับเพื่อน พลางส่งยิ้มบางๆ และตบไหล่หนึ่งทีเป็นเชิงปลอบ
“ขอโทษทีเจฟ ฉันมีเรื่องต้องมา...ค้นหานิดหน่อยน่ะ ไม่ได้สำคัญอะไร แค่มันสงสัย” เจฟอ้าปากจะถามว่าเรื่องอะไร เธอจึงรีบชิงบอก “ถ้าฉันแน่ใจคำตอบแล้วจะบอก”
ทำเอาชายหนุ่มต้องงับปากให้หุบดังเดิม เปลี่ยนเป็นเปรยเรียบๆ “ปกติแกไม่ใช่เป็นคนแบบนี้ แกก็รู้ตัวว่าอาการของตัวเองเป็นยังไง...”
วรินธรประสานสายตากับเพื่อนนิ่ง ชั่งใจตัวเองว่าควรเล่าเรื่องนี้หรือไม่ แต่เจฟมีนิสัยเหมือนเธออย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้เห็นกับตา หรือไม่ได้พิสูจน์จนรู้แจ้ง ไม่มีวันเชื่อหรอก
วรินธรตัดสินใจไม่บอกมันดีกว่า เรื่องอะไรจะบอกให้กลายเป็นตัวตลกล่ะ
พอดีกับรถสปอร์ตคันขาวเบรกเอี๊ยดหน้าบ้านช่วยหยุดการซักถามแต่เพียงเท่านั้น เจฟได้แต่สะกดอารมณ์อยากรู้ไว้ หันไปล็อกประตูบ้านแล้วดันหลังเพื่อนให้ออกเดิน “ไป จิงจ้อมาแล้ว”
ถ้ามันมีปืนจี้หลังเธอด้วยจะเหมือนมาก...
วรินธรหันไปมองหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็มองไม่เห็นหล่อน ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวา จิงจ้อลงจากรถมาได้ก็บ่น “ไอ้พาย ไอ้ตัวแสบ ไปไหนไม่ยอมบอก ฉันก็นึกว่ามีคนอุ้มแกไปซะแล้ว รู้ไหมพยาบาลเค้าวุ่นวายกันใหญ่ หมอหนึ่งงี้หน้าเครียดเชียว...”
คำพูดของจิงจ้อผ่านหูไปไม่น่าสนใจ เมื่อเธอหาเจอแล้วว่าเจ้าหล่อนที่อ้างตัวว่าเป็นผี บัดนี้นั่งยิ้มคอยอยู่ในรถของเพื่อนเธอเรียบร้อย บอกความจำนงว่าจะติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง
“เธอเข้าไปทำไม”
จิงจ้อหยุดกึก “อ้าว ไอ้นี่ ทำมาเป็นขึ้นเสียง ไม่เข้ามาในบ้านแกแล้วจะพาตัวแกไปได้ยังไง ไม่เอาโซ่มาล่ามก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
วรินธรเหลือบมองเพื่อนอย่างเสียมิได้ พลางครางในคออย่างขัดใจ กานต์ชนิตหัวเราะและตอบ
“ก็ฉันไม่อยากอยู่แถวนี้คนเดียวนี่นา มานี่เถอะ ไหนๆ ฉันก็ดูแลเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไปดูต่อที่โรงพยาบาลจะเป็นไรไป”
สายตานั้นกลับระริกไหว เธอรู้สึกว่ากำลังโดนเยาะเย้ยชอบกล นี่หล่อนกำลังสนุกที่ได้เห็นเธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแน่ๆ
“แกมองอะไรของแก” เจฟหันไปมองเข้าไปภายในรถอันว่างเปล่า พลางกลับมองเธอ วรินธรส่งเสียงจิ๊กจั๊กๆ แล้วรีบก้าวเข้าไปนั่งเบาะหลังเคียงข้างกับผู้หญิงประหลาด สายตายังขวางๆ ใส่อากาศทำเอาคนถามงุนงง
“ท่าจะไม่ดีแล้วจิงจ้อ วันนี้ไอ้พายมันป่วยหนัก” เจฟกระซิบกับเพื่อน เดิมทีอยากต่อว่าอะไรมันเพิ่ม แต่เขาว่ากันว่าผู้หญิงเวลาโมโหแล้วร้ายกาจยิ่งกว่าช้างตกมัน หลบได้ก็ควรหลบ
“รีบพามันกลับไปส่งหมอเถอะเจฟ”
ทั้งคู่แตะมือกัน เจฟเป็นฝ่ายประจำคนขับ จากนั้นทั้งสามคน บวกอีกหนึ่งผีก็ออกเดินทางกลับสู่โรงพยาบาลด้วยความว่องไว
......................................................................................
ปิแอร์ปิดแฟ้มตรงหน้าฉับ พลางก้าวออกจากห้องทำงานส่วนตัวเพื่อเข้าสู่ห้องประชุม เขาทำหน้าที่เพียงผู้ติดตามผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็จริง แต่รายงานทั้งหมดที่ผู้จัดการถือเพื่อไปพูดในที่ประชุมนั้นล้วนเป็นฝีมือของเขาทั้งหมด
ผู้จัดการคนนี้ชื่อคุณกันเกราวัยสามสิบเก้าปี ชื่อแปลกหูจนทำให้ปิแอร์ต้องกลับไปค้นหาว่ามันแปลว่าอะไร เขาเป็นหนุ่มใหญ่ท่าทางใจดี มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ใต้รอยยิ้มนั้นแฝงความน่ากลัวเอาไว้ เช่นการมอบหมายรายงานการประชุมครั้งนี้ให้เขารวบรวมทั้งหมดภายในวันเดียว ช่างยื่นบททดสอบได้สาหัส ทำเอาเขาต้องงมโข่งอยู่ตั้งนานกว่าจะปั้นเจ้ารายงานฉบับนั้นออกมาได้
เพราะไอ้ยางโทนมันใส่ประวัติของนายปิแอร์ไปว่าเคยทำงานฝ่ายบุคคลมาก่อน แถมยังคร่ำวอดขนาดไต่ถึงพนักงานชั้นซีเนียร์ได้อีก ความเก่งกาจทำให้สมัครงานง่าย แต่มันไม่คิดว่าตอนเข้าทำงานจริงจะเกิดอะไรขึ้น! เขาไม่เคยมีความรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ประสบการณ์สักวันยังไม่เคย ให้ปลอมเป็นหมอยังจะง่ายกว่า
ขณะคิดอย่างแค้นใจสีหน้าภายนอกยังคงรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ได้ คุณกันเกราเอนตัวมากระซิบบอกเรียบๆ “รายงานของคุณใช้ได้”
คำชมง่ายๆ ที่เกิดจากความยากเย็นแสนเข็นทำให้เจ้าตัวยิ้มออก แอบพยักหน้าขอบคุณอีกฝ่ายด้วยใจจริง
การประชุมดำเนินไปจนสิ้นสุด ปิแอร์ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมหัวหน้าของเขา กวาดตามองและเก็บภาพใบหน้าของแต่ละคนใส่สมอง และเลือกจะเดินออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายกลับสู่แผนกตนเอง ระหว่างนั้นเขาเดินผ่านแผนกบัญชีจึงได้เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องถ่ายเอกสาร สองเท้าของปิแอร์ชะงัก มองด้านหลังของหญิงผู้นั้นจนกระทั่งหล่อนนั่งประจำที่โต๊ะตัวเอง เขาก็ยังไม่ถอนสายตาหนี
สองครั้งที่เจอ คงไม่เรียกบังเอิญ ไหนๆ ก็ไหนๆ เขาคงต้องสืบเรื่องอื่นควบคู่ไปด้วย คงจะไม่เสียเที่ยวและประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณของอีเว้นท์อีกด้วย
“เฮ้ ปิแอร์” เสียงเรียกมาพร้อมกับการตบบ่าแรงๆ หนึ่งที เขาหันไปมอง ชายหนุ่มเชื้อชาติออสเตรเลียนซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของที่นี่ เมื่อวานได้มีการพูดคุยกันเล็กน้อย เขาไม่ใช่หุ่นส่วนโดยตรง แต่ญาติผู้ใหญ่ของเขาเป็น อีกฝ่ายแสดงความสนิทสนมเมื่อเห็นว่าพบเพื่อนคุยในภาษาเดียวกันได้อย่างคล่องปรื๋อ แล้วยังชวนไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นเมื่อคืนด้วย ปิแอร์ไม่รีรอยินดีจะสนิทตอบ
“มองสาวคนนั้นตาไม่กะพริบเลย สนใจรึ”
ปิแอร์มองหน้าผู้พูดยิ้มๆ พลางหันมองภาพทิวาใหม่อีกครั้ง ทีแรกจะตอบว่าไม่ แต่แผนการนี้ก็ไม่เลว
“คุณรู้จักเธอหรือ”
พอลส่ายหน้า “ฝ่ายบุคคลมาถามฉันอย่างนี้ ฉันจะไปถามใครต่อล่ะ”
ปิแอร์หัวเราะผสมโรง พลางเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น แต่สายตายังคงคอยจะเหล่มองภาพทิวาอยู่เรื่อยไป สงสัยต้องหาเรื่องสนุกทำ
บ่ายคล้อยปิแอร์คุยกับพนักงานเสร็จก็เดินลงมายังโถงใหญ่ของบริษัท ตราเฟเดอริกสตาร์ใหญ่อวดศักดิ์ศรี แม้จะเล็กกว่าเมื่อเทียบกับมิทซึคิง แต่ไม่ควรประมาทบริษัทที่กำลังเติบโต เบื้องหน้าของเขานั้นคือผู้หญิงชื่อภาพทิวา หล่อนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์คอยใครอยู่ เขาได้แต่นั่งมองหล่อนเงียบๆ แค่มองก็พอ ไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก เพราะรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นเป้าสนใจเพียงใด เมื่อคนขับรถของภาพทิวามา หล่อนก็ลุกจากไป ปิแอร์เดินตามไปเงียบๆ มองร่างสมส่วนของสาวรุ่นเดินขึ้นรถ พลางออกเดินไปสู่รถของตนเองและขับออกไป ท่ามกลางสายตาสนใจของพนักงานหลายคน
...
จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวสั่นเป็นพักๆ อีกประเดี๋ยวเธอก็รู้สึกร้อนตับแตกอย่างกับอยู่ในรถยนต์ตากแดด ไม่ทันไรก็หนาวอีกแล้ว
ทรมาน... เป็นความทรมานที่วนเวียนไปมา ซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างนี้ไม่ไหวนะ เธออยากตื่นแล้ว เธอรู้ตัวว่ากำลังหลับ เธออยากลืมตา เบื่อความทรมาน ปวดเนื้อปวดตัวไม่มีสาเหตุ
วรินธรครางในลำคอ พยายามฝืนอะไรก็ตามเพื่อตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาได้เพียงนิดหน่อย เห็นก็แค่ผนังห้องสลัว คนเดินไปเดินมารอบตัว พยายามจะหันศีรษะไปมองรอบกาย ก็ดูจะหนักอึ้งเกินกำลัง
นี่ใครมอมยาเธอ?
ไอ้เจฟอยู่ไหน ทำไมไม่มาช่วยกัน ชอบอู้งานอยู่เรื่อย
จิงจ้อล่ะ? เมื่อกี้ยังเห็นอยู่แหม็บๆ
ชายเสื้อสีขาวขยับไปมาในสายตา ลักษณะรูปร่างและรอยตะเข็บทำให้รู้ว่านี่คือชุดกราวน์ของหมอ
ปลายเข็มเงาวับสะท้อนกับแสงไฟระยิบเข้าตา เธอไม่ได้เห็นการฉีดยา แต่ก็จินตนาการได้ว่าอีกไม่นานของเหลวในหลอดนั้นต้องเข้าสู่ร่างกายของเธออย่างแน่นอน
ปวดหัว หนาวอีกแล้ว ใครเปิดแอร์แรงเกินไปรึเปล่านะ เดี๋ยวก็ได้จ่ายค่าไฟบานเบอะรู้ไหม
ชั่วครู่เธอรู้สึกผ่อนคลายลง ดวงตาที่พอจะมองเห็นได้ ก็โดนหนังตาหนักอึ้งทาบทับลงมาใหม่
เฮ้อ... หมอไนท์แน่เลย ชอบฉีดยาให้เธอหลับ สงสัยจะรำคาญที่เธอแวบไปนั่นไปนี่ไม่ได้หยุด
วรินธรได้แต่นึกบ่นกับตนเองก่อนสติจะเลือนหายไปอีกครา เนิ่นนานที่เดินทางสู่โลกแห่งความฝัน เนิ่นนานจนกระทั่งแสงสว่างเดินทางมาถึง...
การได้กลับมาเป็นคนป่วยในชุดขาวของโรงพยาบาล นอนบนที่นอนแหงนหน้ามองหมอเจ้าของไข้ที่ยืนยิ้มเย็นอยู่ข้างๆ เป็นเรื่องน่าอึดอัดพิกลสำหรับเธอ โดยเฉพาะยามที่เธอเพิ่งจะออกจากความฝันเหมือนเช่นตอนนี้
ใบหน้าของคนป่วยฉายความพิศวงสงสัยให้กับผู้ยืนมอง แพทย์หญิงอินทนิล ไม่อยากบอกนามสกุล
หมอก้มลงมาตรวจจังหวะการเต้นหัวใจ หันไปคุยกับพยาบาลที่วัดความดันและวัดไข้ เอ่ยคำพูดมากมายที่คนไข้ผู้ซึมมึนตามไม่ทัน หมออธิบายเป็นทำนองว่าแผลที่ต้นแขนได้รับการรักษาใหม่ ไฉไลกว่าเดิมด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ พร้อมด้วยประโคมยากันการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายเธอแบบจัดเต็ม สองวันเต็มๆ ที่เธอมีอาการไข้สูง ลดลงมาได้พักหนึ่งก็พุ่งสูงใหม่ ส่งผลให้หน้าตาเธอซีดเซียวโดยไม่ต้องแต่งเติม
“ทำไมหนีออกจากโรงพยาบาลคะ” น้ำเสียงฟังดูเป็นหมอเรียบๆ แต่ก็ละมุนละไมใจดี คนไข้มองใบหน้าขาวสะอาดอย่างพินิจ นี่คงยังเช้าอยู่มาก และหมอคงไม่ได้เข้าเวรเมื่อคืน หน้าตาจึงได้ดูผ่องใส ชวนทำให้เธอยิ้มหวานตอบ
“เพราะฉันกลัวผีค่ะ”
เสียงหัวเราะพรืดดังขึ้นทันที วรินธรพยายามหันหัวมอง ยากนิดหน่อยรู้สึกมันหนักอึ้ง แต่พอเหล่สายตามองได้ว่าใครก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยจิงจ้อก็อยู่แถวนี้
อินทนิลเองก็หลุดขำ แม้จะไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่ใบหน้ายิ้มหวานแก้มตุ่ยเหมือนเด็ก ทำให้จินตนาการไปได้เหมือนกันว่าเธอจะกลัวผี
“คุณเชื่อว่าผีมีจริงในโลกเหรอ คุณพราวพิลาศ”
“เรียกฉันว่าพราวก็ได้ค่ะ” เจ้าตัวตั้งชื่อเล่นให้ตัวเองเสร็จสับ จิงจ้อพยายามกลืนขำอีกรอบ ดูท่าทางมันตอนนี้คงจะโดนมอมยาซะจนลืมตัว ถึงได้ชวนหมอคุย ยิ้มหวานเรี่ยราดให้พยาบาลอย่างนี้
“ค่ะ คุณพราว นี่รู้หรือเปล่าว่าการหนีออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง”
“ฉันรู้...” เจ้าตัวลากเสียงยาว “มันอักเสบใช่ไหมล่ะ ฉันรู้สึกปวดมันเหมือนกัน”
ผู้พูดจิ้มไปยังแขนตัวเอง หมอมองตามก็ยิ้มอ่อนใจ
“ค่ะ คราวหน้าห้ามหนีอีกนะคะ อยู่รักษาอีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”
วรินธรยังคงยิ้มทั้งใบหน้าทั้งดวงตาให้กับหมอ “ฉันรู้ค่ะ... หมอไม่ต้องห่วง แค่นี้ฉันทนไหว”
อินทนิลสบตาแวววาวของผู้พูด ถ้อยคำฟังดูอวดเก่ง แต่สายตากลับเผยคำปลอบใจ ทั้งที่เจ้าตัวเอาตัวแทบไม่รอดเมื่อคืน ผู้หญิงคนนี้ช่างรวมหลายสิ่งที่ขัดแย้งกันเหลือเกิน แทนที่จะมาปลอบใจหมอ ควรปลอบใจตัวเองก่อนดีกว่าไหม
“กำลังใจดีอย่างงี้ ค่อยน่ารักษาหน่อย”
วรินธรปรือนัยน์ตาลง เบนสายตาไปที่มุมห้องซึ่งมีร่างของใครอีกคนในชุดเดรสขาวยืนมองดูอยู่ รอยยิ้มของเธอคลายลง
“ถ้าฉันรักษาตัวดีๆ กี่วันจะหายคะหมอ”
“ต้องขึ้นอยู่กับว่าแผลคุณจะติดเชื้ออีกหรือไม่ถ้าแผลไม่ติดเชื้ออีก ก็อาจจะรักษาในโรงพยาบาลไม่เกินสัปดาห์ แต่ก็ต้องรักษาความสะอาดให้แผลอย่างดี ส่วนอาการอย่างอื่นหมอเอ๊กซเรย์ข้อมือและข้อเท้าของคุณดูใหม่แล้ว มันไม่ได้หัก แค่ระบมมาก เดิมทีถ้าไม่เกิดการติดเชื้อ วันพรุ่งนี้คุณคงสามารถเดินกลับบ้านได้อย่างชิลๆ”
วรินธรหัวเราะด้วยลำคอแห้งผาก กลืนน้ำลายก็เจ็บคอ ดูท่าที่เจ้าจิงจ้ออยากให้เธออาการหนัก คงจะสมใจมันจริงๆ แล้ว
“ฉันสามารถดื่มน้ำได้หรือเปล่าคะ” คนป่วยขออนุญาตหมอแต่ยังไม่สิ้นฤทธิ์จะยันกายขึ้นนั่ง หันหาแก้วน้ำด้วยตนเอง ความอวดดีไม่ได้มีแค่ปากและแววตา แถมท่าทางยังเป็นเหมือนกันอีกด้วย
อินทนิลอดไม่ได้ต้องหยิบแก้วและรินน้ำส่งให้ คนป่วยรับมาค่อยๆ จิบ แววตาเมื่อขจัดความอ่อนล้าออกไปแล้ว ฉายแววเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ
“แล้วฉันสามารถกินข้าวได้หรือเปล่า”
และนั่นทำให้คนเป็นหมอเลิกคิ้ว “คุณหิว?”
วรินธรยิ้มอ่อนๆ “ก็ไม่ได้กินมาตั้งสองวัน เป็นหมอหมอไม่หิวเหรอ”
อินทนิลหัวเราะทันที คนจ้อยังคงจ้อต่อราวกับการได้จิบน้ำเป็นการเติมพลังอย่างหนึ่งให้สามารถจ้อได้ต่อ “หมอรู้ไหม ฉันได้กินข้าวแค่วันเว้นสองวัน คราวก่อนหน้าฉันฟื้น ฉันก็สลบไปสองวัน ไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน คราวนี้ก็อีก ฉันว่าหมอควรตรวจกระเพาะอาหารฉันด้วยนะคะ ว่ามันอักเสบรึเปล่า”
แววตาหมอวาววับด้วยความขบขัน “หมอว่าถ้ามันอักเสบจริง ยาที่หมอฉีดให้คุณคงฆ่าเชื้อให้ไปหมดแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่สิคุณหมอ มันคงจะอักเสบแบบเป็นแผลเฉยๆ ไม่ได้อักเสบเพราะเชื้อแบคทีเรีย” คนป่วยยังต่อคำได้ไม่หยุด ทำเอาหมอหรี่ตามองอย่างสนใจ
วรินธรยิ้มดวงตาระยิบล้อเล่นกับแสงสบตา ทำให้สีหน้าของหมอนิ่งไป เกิดรอยยิ้มเล็กๆ บริเวณมุมปาก พอรู้ตัวจึงได้กะพริบตา เปลี่ยนเป็นเสมองพยาบาล ก่อนจะปรับสีหน้ากลับมามองคนไข้ได้ใหม่ ซึ่งหล่อนยังคงส่งสายตาแวววาวไม่คลาย จนญาติคนไข้ร่างสันทัดที่ยืนอยู่อีกข้างของเตียงได้แต่มองอย่างลุ้นๆ
เอาแล้วไง...เขาเคยได้ยินแต่เจฟเล่าเรื่องพายหว่านเสน่ห์สาว เพิ่งเคยได้เห็นกับตาจะๆ ก็วันนี้ล่ะ
นี่ถ้ามันรู้ว่าจริงๆ แล้วรสนิยมของหมอเป็นยังไง มันจะตกใจไหมนะ
“ถ้าเกิดว่าคุณหิวก็สามารถกินได้ค่ะ แค่อย่ากินจนจุกก็พอ”
หมอพูดปิดท้ายพร้อมกับโบกมือลาทิ้งท้าย วรินธรมองตามร่างในชุดกราวน์ที่เดินออกจากห้อง ก่อนหันสบตาเพื่อนที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่แล้ว
“มองอย่างงั้นฉันไม่หลงเสน่ห์แกหรอกนะ” เธอรีบบอกตัดสัมพันธ์ จิงจ้อแค่ยักคิ้ว
“รู้หรือไม่ หมอหนึ่งที่แท้แล้วมีอะไรไม่ธรรมดา”
วรินธรรินน้ำให้ตัวเองเป็นแก้วที่สอง สบตายิ้มๆ ของเพื่อน มันไม่ได้ยากเกินคาดเดา เธอจึงยักคิ้วตอบ “รู้ หล่อนชอบผู้หญิงเหมือนกัน”