บทที่สิบเก้า Runaway
...แน่ใจเหรอว่าใช่เหตุผลจริงๆ น่ะ...
ประโยคนี้ทำเอาเธอแทบสะดุ้ง เหมือนกับกำลังโดนล้วงความลับสำคัญออกมาประกาศ
ดีที่หล่อนคิดไปคนละแบบ ไม่งั้นเธอคงหาข้อแก้ตัวดีๆ ไม่ทันเหมือนกัน
วรินธรโบกมือให้ชายหนุ่มตรงหน้าถามกลับไปว่าขวดชาเขียวกิโลละเท่าไหร่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบแจ้วๆ รอให้เดินเข้ามาใกล้กันจึงกระซิบลอดไรฟัน
“ไอ้พาย เกือบไปแล้วมั้ยล่ะแก แกทำบ้าอะไรห๊ะ นี่หน้าจริง แถมยังบ้านแกอีก ปล่อยให้หมอรสตามมาได้ยังไง”
เธอเกือบขำ ติดที่สายตาดุทำให้เก็บอาการ
“เอาน่า มีเพื่อนบ้านมาช่วยทัน ไม่ต้องกลัวไป”
“นี่ก็อีกเรื่อง ไหนแกบอกว่าจะปิดหน้าปิดตาไม่ให้ใครรู้ว่าบ้านนี้มีคนอยู่ แล้วนึกยังไงเดินไปแนะนำตัวกับพวกเขาหือ แกคิดอะไรไอ้พาย บ้าไปแล้วเหรอ”
“โหยสน บ่นเป็นไอ้เจฟเลยว่ะ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่บังเอิญเหตุการณ์มันพาไป”
สนฉัตรมองเธออย่างรู้ทัน แน่ล่ะเขารู้ เพราะเขาส่งลูกน้องตามติดเธออยู่ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น
“แกไม่เคยทำตัวประมาทขนาดนี้ แกเคยรอบคอบ”
วรินธรเห็นด้วยอย่างที่สุด... แต่ตั้งแต่มีกานตชนิตเข้ามา ชีวิตเธอก็วุ่นวายไปหมด คำถามต่อมาคล้ายเสียงคอรัสก้องในหู
เพราะอารายล่ะ...เพราะอาราย...
ก่อนที่คอรัสจะร้องบอกคำตอบ เธอจึงปัดเสียงเหล่านั้นทิ้งไปเสีย สบตาอ่านใจของสนฉัตรก็รีบหาข้อแก้ตัว เพราะกลัวเหมือนกันว่าเขาจะคาดเดาถูก
“อันนี้ถึงจะนอกเหนือแผนไปหน่อย แต่ฉันคิดก็เข้าไปสำรวจบ้านหลังนั้นพร้อมสืบประวัติคร่าวๆแล้วล่ะ ปลอดภัยไม่มีพิษร้าย ไม่อย่างนั้นเมื่อเช้าเขาไม่เข้ามาช่วยฉันไว้หรอก”
“งั้นแผนการของแกคืออะไร”
เธอยิ้มแหะ พยายามไม่หลบตาเขาเพื่อให้เขาคิดว่าเธอไม่ได้โกหก สมองก็พลันวิ่งวุ่นแต่งเรื่อง
“รู้หรือเปล่าว่ามีคนพยายามสืบเรื่องของพราวพิลาศ ทั้งประวัติส่วนตัว อาชีพ การศึกษา... แกควรรู้ว่าครั้งนี้มันอันตรายมาก”
วรินธรพยักหน้าหงึกๆ ร้องพึมพำว่างั้นเหรอๆ คงไม่ใช่ใครอื่นจะอยากรู้จักพราวพิลาศช่วงข้ามคืน
“ไว้ใจเถอะ ฉันไม่โง่วิ่งเข้ารังศัตรูตัวเปล่าหรอก”
“ฉันว่าทางที่ดีแกปล่อยตัวหมอหนึ่งซะแล้วรีบเผ่นออกมาจากเรื่องนี้เถอะ”
วรินธรไม่ตอบรับ ส่งยิ้มแหยให้เขา เห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะโวยวายจึงรีบหยอดความเห็น “หมอรสคนนี้มีอะไรแปลกหลายอย่างแกว่าป่ะ”
“เรื่องแปลกน่ะมันแน่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะร่วมก๊วนเดียวกับอาสินได้เหรอ” แหมดูมันย้อน
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงว่าหมอรสนั้นเป็นหมอ แต่ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับเฟเดอริกสตาร์ได้ล่ะ”
สนฉัตรเหล่ตามองเธอ “นี่แกสงสัยเรื่องนี้หรอกเหรอ” เธอรีบพยักหน้าหงึกๆ ทำหน้าจริงจัง
“แน่นะ ไม่ใช่ว่าแก...”
“ไม่ใช่หรอก” เธอตอบทันควัน
“ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่าแกอะไร”
“เออฉันรู้ทันแกน่า”
“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ถ้าแกเกิดชอบเธอขึ้นมาจริง เกิดเรื่องยุ่งแน่”
เธอหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนคำว่าชอบที่แสนเสียดแทงใจ สายตาไวเหลือบไปเห็นรถสปอร์ตสีขาวจอดชิดทางเท้าห่างออกไป นี่พวกมันสงสัยเธอหนักขนาดต้องยกโขยงกันมาเชียว
“แกสืบได้เท่าที่สืบก็แล้วกัน แกควรรู้ว่าเสี่ยงได้แค่ไหน อย่าให้มากนัก”
ไม่ต้องเตือนเธอมากหรอกน่า เธอรู้ดีว่าเสี่ยง เฮ้อ
“อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ช่วยถ่วงเวลาเรื่องกล่องที่เราขโมยออกมาได้ระยะหนึ่ง แล้วตกลงกล่องที่ขโมยจากหมอรสคือกล่องอะไร”
การเปลี่ยนเรื่องเป็นผลสำเร็จ สนฉัตรไม่เอะใจเรื่องหมอหนึ่งอีกต่อไป เขาเล่าถึงรายละเอียดของกล่องซึ่งพวกเจฟขโมยออกมาว่าเหมือนเซฟตี้บล็อก เอาไว้เก็บข้อมูลยามฉุกเฉิน
“ยังอยู่ในขั้นตอนถอดรหัส แต่โทนบอกว่าไม่ซับซ้อนเท่าเซฟตี้บ๊อกของโฮลแลป คงสบายใจได้ว่าทางนั้นคงไม่สามารถถอดรหัสเซฟตี้บ๊อกที่ขโมยไปได้ง่ายๆ”
เธอพยักหน้าและถามอีกเรื่อง “แกพอจะรู้ไหมว่าทำไมหมอรสถึงตามถึงบ้านฉันได้ง่ายนัก จริงๆ ฉันคิดว่าหนีเธอพ้นแล้วเชียว”
“แกคงเดาได้ จากกล้องจราจรนั่นแหละ หมอรสค่อนข้างรู้จักกับคนใหญ่คนโต ต้นตระกูลของหมอรสเป็นเศรษฐีเก่า มียศมีตำแหน่งตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่า และก็ยังคงมีอิทธิพลจนมาถึงรุ่นนี้ ไม่แปลกหรอกจะมีเส้นสาย แม่หมอรสตายไปแล้ว เหลือแต่พ่อ พ่อเคยเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลมาก่อน ไม่มีใครเห็นหน้าเขามาหลายเดือนแล้ว จึงสงสัยว่าป่วยหนัก”
เขาดาวน์โหลดแผนที่กล้องจราจรใส่มือถือให้เธอ
งั้นถ้ามันฉุกเฉินเธอต้องเข้าไปพัวพันกับสองหมอสาวนี่จริง คงได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้างล่ะ
“ฉันว่าถ้าแกอยากรู้เรื่องหมอรส ทางที่เสี่ยงน้อยที่สุดคือหลอกถามจากหมอหนึ่ง ไหนๆ เธอก็ยอมตามแกกลับมาบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ”
เธอหัวเราะเหอะๆ ในใจ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นกลวงโบ๋ล่ะสิ
“ก็เธอความจำเสื่อม ตอนนี้ก็ยังมึนๆ อยู่เลย ถามอะไรก็ตะกุกตะกัก ถามมากก็ปวดหัว”
“อ้าวท่าทางไม่พร้อมแบบนี้ แล้วแกจะเอาตัวเธอมาเก็บไว้ทำไม” ไอ้สนมันเป็นนักจี้ เวลามันจี้ทีสมองเธอแทบวุ่น สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ยิ่งสายตาคมนั้นบอกกำลังส่องทะลุถึงเหตุผลที่แท้จริงทำให้เธอยิ่งอึดอัด
“เคยได้ยินภาษิตรึเปล่าว่าปลาอ่อนแอจะไม่ติดเบ็ด เพราะคนตกเบ็ดสนใจแต่ปลาแข็งแรง”
คราวนี้สนฉัตรงง “ไม่เคย ภาษิตประเทศไหนวะแปลว่าอะไร”
เธอจึงยิ้มยืดตัวพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋า “ประเทศไหนอย่าไปสนใจเลย” เพราะเธอตั้งเองสดๆ “สำคัญที่ว่าได้เรื่องได้ราวมาก็พอแล้ว”
สนฉัตรคิดตามอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ด้วยความที่เธอไม่เคยประวัติการทำงานเสีย เขาจึงเชื่อใจ
ข้อความเข้ามือถือเธอ เธอเหลือมองเจฟในรถสปอร์ตขาว เขาโบกมือยิ้มๆ ก่อนจะขับรถออกไป คงจะรีบไปทำงาน ชุดมันเป็นหนุ่มออฟฟิศของปิแอร์
“ยามคงมาดูแลบ้านแกบ่อยหน่อย ยังไงก็แล้วแต่ฉันว่าหมอรสคงย้อนกลับมาไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ถ้าเธอมาฉันจะรีบบอกข่าวแกจะได้หนีทัน ทางที่ดีหนีตั้งแต่วันนี้เลยยิ่งดี”
วรินธรส่งยิ้มพร้อมบ้ายบายซาเล้งหนุ่ม รอจนเขาหายไปลับสายตาจึงถอนหายใจฟู่ เธอล่ะไม่ค่อยชอบโกหกเพื่อนในทีมสักเท่าไหร่ ถ้าไม่จำเป็นจริงคงไม่ทำ แล้วก็สะดุ้งกับข้อความของเจฟจนได้ ไอ้บ้านี่
...แกหลงรักหมอหนึ่งเข้าแล้วล่ะสิ ฉันรู้...
วรินธรกัดปากล่างตัวเอง พยายามแก้ต่างว่าไม่ใช่โว้ย ทั้งที่ใจก็เริ่มหวั่น เพราะจะหาใครเข้าใจเธอทุกเรื่องอย่างเจฟนั้นไม่มี และบางทีเขาเข้าใจเธอมากกว่าที่ตัวเธอเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำไป
ข้อความที่สองเพิ่งเข้ามา จากคนเดิม
...เพราะเวลาแกมีความรักมักจะทำอะไรบ้าๆ แบบนี้แหละ ฉันรู้...
คนอ่านขยี้หัว พึมพำๆ ไม่ใช่โว้ย ไม่ใช่ แง่มๆ กับตัวเองคนเดียว
เปิดประตูบ้านได้ไม่ทันไร ก็พบกับตัวต้นเหตุยืนจังก้าคอยอยู่ปากประตู ทำเอาเธอขมวดคิ้ว
“อะไรของเธอ แอบฟังฉันคุยกับเพื่อนเหรอ”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก ฉันจะถามเรื่องข้าวของพวกนี้ต่างหาก”
กานต์ชนิตชูเสื้อผ้าหนังสือและเม้าธ์ออแกนที่เธอไปฉกมาจากบ้านหลังนั้น
“นี่เมื่อคืนเธอแอบเข้าไปในบ้านฉันมาเหรอ”
กานต์ชนิตถามเสียงเรียบๆ แต่ก็ชวนทำให้เธอปวดหัวได้เหมือนกันเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน ประกอบกับเมื่อเช้ามีเรื่องวุ่นๆ เข้ามาไม่ได้หยุด
วรินธรพยักหน้าตอบง่ายๆ ก้าวหลบคนยืนขวางไปทางหนึ่งเพื่อไปหาอะไรกินเติมพลังก่อนดีกว่า เดี๋ยวต้องหาทางแก้ปัญหาเรื่องหมอรสอีก หวังว่าหมอรสจะยังไม่ย้อนกลับมาไวนักนะ เพราะเธอคิดไม่ออกว่าทำอย่างไรต่อดี
“ถึงว่าทำไมหน้าเธอซีดๆ” กานต์ชนิตทักพร้อมกับคว้าต้นแขนเธอให้หยุดเดิน ทีแรกคิดว่าหล่อนจะโมโหอะไรซะอีก แต่กานต์ชนิตก็ยังเป็นกานต์ชนิต ที่มักจะใช้ความเป็นห่วงนำหน้าทุกสิ่ง พลันทำให้นึกถึงสาเหตุการตายในใบมรณะบัตร เพราะอย่างนั้นหล่อนถึงตายยังไงล่ะ เพราะหล่อนเป็นคนแบบนี้ เมื่อคิดได้ก็ทำให้ใจที่ร้อนรุ่มเย็นลง
“นี่ไงล่ะฉันถึงต้องรีบไปกินข้าว”
“ทำไมต้องทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงเสมอเลยนะพาย”
วรินธรยิ้มออกพลางหลุดปากแซว “เธอเป็นห่วงฉันงั้นเหรอ เธอหลงรักฉันแล้วล่ะสิ”
ทำเอาอีกฝ่ายปล่อยแขนเธอทันใดราวกับเจอของร้อน “ฉันไม่หลงกลเธอง่ายๆ หรอก ฉันรู้ทันเธอหมดแล้ว”
“โอ๊ย เก่งจ้ะเก่ง ฉันก็แหย่เธอไปอย่างนั้นน่ะ เผื่อว่าจะหว่านเสน่ห์ผีได้อีกสักตัว คุยอวดไปได้สามบ้านล่ะทีนี้”
“อ้อ ยอมรับแล้วเหรอว่าฉันเป็นผี เธอเจอหลักฐานอะไรแล้วงั้นสิ”
วรินธรมองใบหน้ากระตือรือร้นแล้วเดินหนีเข้าไปในครัว ยิ่งทำให้คนถามเซ้าซี้หนัก “เธอไปเจออะไรมาใช่ไหม ทำไมเงียบไปล่ะ”
“เธอจะคาดคั้นให้ได้อะไรน้ากานต์” วรินธรบอกปัดก้มลงคว้าอาหารอุ่นในไมโครเวฟ รอจนสุกเช่นเดียวกับที่คนถามยืนรอคำตอบอยู่ข้างเตา เธอจึงต้องเหลือบมองตาหล่อน
“เจออะไรพาย”
ไม่รู้ทำไมเธอมักจะแพ้เสียงนิ่งๆ อย่างนี้ เหมือนจะสั่งแต่ก็ไม่ได้สั่ง เหมือนจะขอร้องแต่ก็ไม่ได้ขอร้อง คงต้องมาทั้งคำพูดทั้งหน้าตา เธอถึงรู้สึกอยากทำตามคำสั่งหล่อน อย่างเช่นตอนนี้เธอรู้สึกอยากตอบคำถามหล่อน
เสียงไมโครเวฟดังติ๊ง บอกว่าเอาออกจากเตาได้ คำตอบของเธอมันคงดังติ๊งออกจากปากเหมือนกัน
“เจอใบมรณะบัตร”
พร้อมกับเหลือบมองสีหน้าคนฟัง หล่อนอึ้งไปพลางกะพริบตา วรินธรรู้ว่ากานต์ชนิตเป็นคนอ่อนไหว เวลาหวั่นไหวกานต์ชนิตจะกะพริบตาเพื่อขจัดความรู้สึก
“เหรอ... แล้วเขาบอกว่าไง จะว่าไปฉันก็ยังไม่เคยเจอใบมรณะบัตรของตัวเองเหมือนกัน”
“ทำไมเธอถึงได้ชอบทำร้ายตัวเอง คาดคั้นถามฉันเพื่อให้ฉันตอบ แล้วตัวเองก็เสียใจ มีประโยชน์อะไรกันล่ะกานต์”
กานต์ชนิตหัวเราะฝืดๆ เอ่ยปากชมจนคนฟังทำหน้าไม่ถูก “เธอนี่เก่งจังนะ” ไม่รู้ชมจริงหรือชมประชดกันล่ะนั่น
“กินข้าวกันเถอะ ฉันบอกแล้วให้กินก่อน เธอนี่ก็เซ้าซี้ฉันเรื่อยเลย อุตส่าห์เอาเสื้อผ้าพวกนั้นมาให้เผื่อเธอจะเลิกยืมชั้นในฉันใส่สักที”
มือของอีกฝ่ายฟาดป้าบลงต้นแขนเธอทันที “โอ๊ย กานต์ มือไวจริง”
“ถ้ามีเงินฉันจะซื้อยกโหลให้เธอเลยเรื่องชั้นในเนี่ย ทวงอยู่ได้”
วรินธรหัวเราะ ชักชวนให้หล่อนยกจานอาหารวางและนั่งกินบนโต๊ะอาหารขนาดเล็ก
“ฉันเห็นโล่กับเกียรติบัตรในห้องของเธอ เธอนี่เก่งดนตรีเหมือนกันนะ ฉันเพิ่งจะรู้”
กานต์ชนิตยิ้มออกมาหน่อยๆ “พอเล่นได้ ไม่เก่งอะไร”
“ทำไมไม่เห็นบอกว่าเธอเป็นลูกบุญธรรมของคุณพจน์”
คราวนี้หล่อนตาโต คงคาดไม่ถึงล่ะสิว่าเธอจะเจอความจริงข้อนี้ “เธอค้นของฉันจนหมดห้องเลยหรือไงเนี่ย”
“มันก็รวมอยู่กับพวกเอกสารอย่างอื่นนั่นแหละน่า”
“แล้วไง จะล้อฉันว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อแม่หรือไง”
วรินธรซดน้ำแกงจืดพลางขำ มองสีหน้าจริงจังตรงหน้าแล้วบอก “ฉันจะล้อทำไม พ่อแม่ของฉันก็ตายไปแล้ว”
“เชื่อได้หรือ”
“อ้าว เห็นหน้าสวยๆ แบบนี้ แต่เชื่อได้นา”
กานต์ชนิตขำ “หน้าขี้เหร่ๆ แบบนี้แหละ เชื่อไม่ได้ที่สุดในโลก”
“อู้ย อย่างกับเธอสวยตายล่ะ”
“อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็สวยล่ะ” ว่าแล้วแตะใบหน้าหมอหนึ่งยิ้มโชว์ วรินธรหัวเราะ อาหารเหลือจากเมื่อวาน จริงๆ แล้วค่อนข้างชืด รสชาติก็เดิมๆ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต คงเพราะมีคนตรงหน้ามาช่วยกิน ช่วยคุย ทำให้อาหารรสชาติดีขึ้น
....................................................................................
กานต์ชนิตนั่งมองเจ้าของบ้านกางแผนที่อธิบายเส้นทางที่กำลังจะออกเดินทาง หล่อนชี้ว่าตรงไหนมีกล้องวงจรปิดแล้วตรงไหนปลอดภัย ซึ่งมันเยอะแยะจนเธอจำได้ไม่หมดว่ามีตรงไหนบ้าง จะว่าไปแล้ววรินธรไม่จำเป็นต้องอธิบายก็ได้ ยังไงเธอก็ออกเดินทางไปกับหล่อนอยู่ดี เธอจึงเปลี่ยนเป็นเก็บของสำคัญใส่กระเป๋าเป้แทน แล้วนั่งฟังอีกฝ่ายอย่างหูทวนลม
“จำได้หมดหรือเปล่ากานต์”
เธอส่ายหน้าทันที วรินธรยิ้มแยกเขี้ยว “ฉันก็ว่าอย่างงั้น เห็นหน้าตาเอ๋อๆ ของเธอก็พอจะเดาได้ ไม่รู้จะอธิบายทำไมให้เปลืองน้ำลายนะ”
กานต์ชนิตทำปากยื่นนิดหน่อยก่อนจะคุยต่อ “รู้แต่ว่ากล้องส่วนใหญ่มีแต่ในกรุงเทพฯ เธอพยายามจะออกต่างจังหวัดใช่ไหมล่ะ”
วรินธรทำนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นเครื่องหมายถูก อย่างน้อยเธอก็ใช้ได้ล่ะน่า พลางชี้ไปยังจังหวัดหนึ่งไม่ไกลนักก่อนพับแผนที่ใส่กระเป๋าเป้ของตนเอง
“ทีแรกฉันคิดว่าเธอจะวางแผนเข้าใกล้หมอรสให้ได้ซะอีก เธอไม่อยากสืบเรื่องราวอะไรของเธอแล้วเหรอ”
คนถูกถามชะงัก เหลือบสายตามองแดดยามบ่ายพลางเอ่ยตอบ “ไม่ล่ะ ฉันเปลี่ยนใจ ใช้วิธีอื่นที่ปลอดภัยกว่า”
กานต์ชนิตร้องอ้อ คงจะอันตรายมากจริงๆ ขนาดคนชอบเสี่ยงอย่างพายยังหลีกเลี่ยง
“แล้วทำไมถึงต้องไปที่นั่น” มีอะไรน่าสนใจรึเปล่า
“เธอไม่อยากค้นหาเหรอว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ในร่างนี้ได้”
“อยากสิทำไมจะไม่อยาก เธอจะหาคำตอบให้ฉันได้หรือไง”
หล่อนเอียงคอ “ก็ทำนองนั้น แต่ฉันไม่รับปากหรอกนะว่าจะได้คำตอบ แค่คิดว่าไปหาคนที่มีความรู้ดีช่วยอธิบาย”
เธอเอียงคอตามหล่อนบ้าง “ใครล่ะที่เธอว่ามีความรู้ดีเรื่องผีๆ เนี่ย”
วรินธรเงียบไปนิด ประสานสายตากับเธอ ตอบสั้นๆ
“พระ”
ห๊ะ...
เธออึ้งไปจนคนตอบยกมือเกาหัวแกรกๆ ราวกับว่าไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มากความ
“ไม่น่าเชื่อว่าอย่างเธอจะศรัทธาในศาสนากับเค้าด้วย”
วรินธรหน้าเหวอ “อ้าว เห็นหน้าอย่างงี้ก็ใจบุญนะเออ”
เธอส่ายหน้าตอบทันที “ไม่เชื่อหรอก แค่นี้ก็ผิดศีลข้อสี่แล้ว”
หล่อนยังตีสีหน้าจริงจัง “พ่อฉันเป็นมัคนายกนะจะบอกให้ ไม่อยากจะอวด”
เธอหัวเราะเพราะหน้าตาจริงจังเกินเหตุจนดูไม่น่าเชื่อถือ “เอาเถอะน่า ฉันก็คิดได้แค่นี้แหละ ถ้าโชคดีพระอาจจะช่วยหาวิธีให้เธอออกจากร่างนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ หรือถ้าดี๊ดีมาก พระอาจจะเสกข้าวสารใส่แล้วเธอก็ไปผุดไปเกิดเลยก็ได้”
เธอปากหล่อนนี่ชวนให้ทั้งหมั่นไส้ทั้งขำไปพร้อมกัน จินตนาการตามหล่อนว่าทำให้รู้สึกเหมือนพระกลายเป็นหมอผียังไงไม่ทราบ แต่ก็จริงของหล่อน คงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ลองดูสักหน่อยเป็นไร เธอต้องหาวิธีออกจากร่างนี้ให้เร็วที่สุด หมอจอมโหดนั่นจะได้เลิกรังควานกันเสียที
“อู้ย ขอให้สมพรปากเธอเถอะ” เธอยกมือไหว้ท่วมหัว “เอ๊ะ แต่ไหนเธอว่าพ่อกับแม่ของเธอเสียไปหมดแล้วไง”
วรินธรหน้าเหวอเป็นรอบสอง พลางรีบอธิบายท่ามกลางสายตาจับผิดของเธอ “พ่อกับแม่จริงๆ น่ะเสียไปแล้ว คนนี้เป็นลุงฉันไง แต่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่เด็กก็เลยเรียกพ่อ”
นี่ถ้าหล่อนพูดจริงละก็ ครอบครัวหล่อนก็ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ
“จริงเหรอ”
หล่อนขำ “ไม่จริงหรอก อย่าไปเชื่อนะ ที่พูดมานั่นโม้หมด”
คำตอบน่าหมั่นไส้น้อยที่ไหน สงสัยตอนเด็กแม่คงกวนอะไรให้กินบ่อยถึงได้โตมาเป็นอย่างนี้ วรินธรทิ้งท้าย
“หลวงตารูปนี้ค่อนข้างเป็นที่นับถือ พ่อฉันก็เคยไปบวชเรียนด้วยตั้งหลายปี ฉันเคยเจอท่านเมื่อน้านนานมาแล้ว”
จากนั้นหล่อนหันไปคว้าแจ็กเก็ตหนังบอมเบอร์ขนาดพอดีตัวสีน้ำตาลสวมทับเสื้อยืดตัวบางภายใน ก่อนจะลุกขึ้นยืนบอกถึงอาการเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง เมื่อได้ยืนเต็มตัวอย่างนี้แล้วเธอจึงมองเห็นเครื่องแต่งกายของหล่อนชัด หล่อนกลัดซิปเสื้อเข้าหากันพลางรูดขึ้นครึ่งหนึ่ง เพราะเป็นเสื้อจั้มเอวจึงอวดเอวคอดที่รับกับสะโพกในกางเกงยีนส์สีเข้มอย่างได้สัดส่วน ขอบกางเกงมีเข็มขัดหนังคาดไว้อย่างขอไปทีในคราวแรก หล่อนจึงเหน็บปลายเข้าหูกางเกงจนเรียบร้อย จากนั้นหันมองเธอที่ยังนั่งมองตาแป๋ว
“อ้าว ทำไมไม่ลุกล่ะ จะไปมั้ยเนี่ย” เธอจึงอ้าปากค้าง หัวเราะแก้เก้อพลางพยักหน้าเร็วๆ
อาจเพราะว่าก่อนหน้านั้นวรินธรอยู่ในชุดคนไข้ซะเป็นส่วนใหญ่ เธอจึงไม่ได้สังเกตสังกาเสื้อผ้าหล่อนมากนัก และพอออกจากโรงพยาบาลก็มีเรื่องกวนใจได้ไม่หยุด เธอว่าหล่อนเป็นไม้แขวนเสื้อที่ดี ไม่ว่าจับใส่ชุดไหนก็ดูดีไปคนละแบบ หรือเพราะเสื้อแจ็กเก็ตตัวนั้นช่วยทำให้ช่วงไหล่กว้างขึ้นรึเปล่านะ หล่อนถึงได้ดูเท่
“ไม่เห็นฉันมีเสื้อแบบเธอมั่งเลยพาย” จู่ๆ เธอก็เกิดเป็นเด็กขี้อิจฉาขึ้นมา หล่อนเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วร้องอ้อ
“ที่แท้โอ้เอ้ไม่ยอมไปนี่เพราะกลัวดำ? โหย แขนก็ไม่ใช่ของเธอจะกลัวอะไรกัน” เธออยากเถียงว่าไม่ใช่สักหน่อย แหม แล้วคนบ่นก็เดินกลับไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อแจ็กเก็ตอีกตัวส่งให้ “อ่ะรีบใส่แล้วรีบไปเข้าเถอะ เดี๋ยวเจ้าแม่มาเฟียกลับมาแล้วเราจะยุ่ง”
เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางสวมเสื้อที่แม้ไม่ใช่แบบเดียวกับหล่อน แต่ก็ออกแบบให้ปกป้ายปัดไปมาไม่เหมือนปกติ หรือที่ดูดีเพราะหล่อนมีรสนิยมในการเลือกเสื้อผ้ากันล่ะ แต่พอสวมเสร็จแล้วก้มมองตัวอักษรกลางอกเท่านั้นเธอก็ต้องรีบเก็บคำชมแทบไม่ทัน
“ไอ้พาย นี่มันเสื้ออะไรของเธอ”
วรินธรหันมองคำว่า SUPER X พาดกลางอกที่ความนูนความเว้าช่วยส่งเสริมตัว U กับ E ให้เด่นขึ้นมา แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ซึ่งน่าหมั่นไส้จนเธออยากถอดเสื้อทิ้ง หล่อนรีบโบกมือและบอก
“เอาน่า เธอนี่ขี้โวยวายจริง ปิดประตูรั้วด้วยแล้วรีบมาซ้อนท้าย อย่าสนใจกับเรื่องไร้สาระเลย”
แหมถ้ามันไร้สาระจริงทำไมต้องยิ้มด้วยล่ะ ร้ายกาจนักนะ แกล้งกันแล้วยังมีหน้ามาเร่งอีก
“ห้ามเบรกพร่ำเพรื่อนะจะบอกให้” เมื่อซ้อนท้ายได้เธอจึงบอกเสียงเขียว คนขี่หันมาและก้มมองคำว่า SUPER อย่างเปิดเผย ยิ่งทำให้นิ้วเธอขยับตีป้าบเข้าที่แขนหล่อนโดยอัตโนมัติ
“โอ๊ย เจ็บนะเนี่ย”
“มองอะไร ทะลึ่งอีกแล้ว”
วรินธรหัวเราะ “ใครจะไปตายด้านอย่างเธอล่ะ ใส่หมวกกันน็อคแล้วเกาะดีๆ ฉันจะซิ่งแล้ว”
เธอทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำตามคำสั่ง ว่าแต่ว่าวรินธรจะพาเธอออกต่างจังหวัดด้วยมอเตอร์ไซด์คันเก่านี่น่ะเหรอ มันจะไหวเหรอ
คำถามนั้นมีคำตอบเมื่อวรินธรขี่ฉวัดเฉวียนเพื่อหลบกล้องวงจรปิดได้ไม่นาน จึงแอบเข้าข้างทางทิ้งรถไว้ใต้ต้นไม้พลางเอนตัวบอกเธอเบาๆ “มีลูกน้องของหมอรสตามเรามา เธอห้ามลอกแล่กสิ...นั่นไงว่าแล้วเชียว ยัยขี้ตื่น”
กานต์ชนิตหัวเราะแหะเมื่ออุ้งมืออีกฝ่ายคว้าใบหน้าเธอให้หันเข้าหา เมื่อได้มองหน้าในระยะใกล้อย่างนี้ ทำให้เธอรู้ว่าวรินธรนั้นมีปากกับดวงตาไปคนละทิศทางกัน ปากหล่อนจะมีสุนัขเพ่นพ่านบ่อยแต่ดวงตาหล่อนนั้นฉายรอยยิ้มขำขันและเจือความเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน ถ้ามองแต่หน้าหล่อนไม่ฟังเสียงละก็ เข้าที
“ตามฉันมาแบบคนปกติๆ อ่ะเป็นป่ะ” หล่อนยิ้มหวาน เธอพยักหน้าตอบหงึกๆ
“คนนำก็นำให้ปกติก็แล้วกัน”
มือหล่อนเขกหัวเธอโป๊กก่อนจะเลื่อนมาจับมือกันไว้ลากให้เดินเข้าตรอกแคบ วรินธรเหลียวหลังแวบเดียวก็ออกวิ่ง ดึงเธอให้วิ่งตาม อยู่กับหล่อนนี่ตื่นเต้นได้ตลอดเวลาจริงๆ ว่าแต่ว่า
“พายแล้วรถมอเตอร์ไซด์เธอล่ะ”
หล่อนเบรกบริเวณสี่แยก เลี้ยวไปทางไหนเธอไม่รู้หรอก งงไปหมดแล้วตอนนี้ “ปล่อยมันไว้อย่างงั้นแหละ เดี๋ยวลูกน้องฉันมาจัดการต่อเอง”
กานต์ชนิตร้องอ้อในลำคอ วรินธรมีลูกน้องด้วยเหรอ จะว่าไปก็เคยได้ยินเจฟพูดหนหนึ่ง ความคิดหยุดลงเมื่ออีกฝ่ายเร่งฝีเท้า และเธอพยายามวิ่งตามด้วยความเหนื่อย ฟากหนึ่งของถนนเป็นตึกแถวเรียงราย วรินธรเลือกเข้าไปในคูหาหนึ่ง เดินดุ่มๆ ผ่านคนสองสามคนในนั้นที่ร้องทัก “คุณพริ้งครับมันมากี่คน”
คำถามทำเอาเธองงถึงกับมองหน้าคุณพริ้งอีกที วันนี้หล่อนอยู่ในหน้าจริงนี่นา
วรินธรชูสองนิ้ว คนถามพยักหน้ายื่นแฟ้มหนึ่งส่งให้ “ผมฝากเอกสารด่วนด้วยครับ ต้องรีบจัดการก่อนอาทิตย์หน้า...” เธอเห็นหล่อนรับมาอ่านลวกๆ ร้องในลำคอว่าอืม ขายาวยังเดินหน้าต่อไปยังหลังตึก เด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นหน้าออกมา
“เจ๊ ผมเตรียมรถไว้ด้านหลัง”
“เออดี แล้วช่วยขี่มอเตอร์ไซด์ฉันหน้าปากซอยเก็บให้ที นี่กุญแจ” เธอโยนให้เขาพร้อมกับเขาโยนกุญแจอีกดอกให้เธอ “น้ำมันยังไม่ได้เติมนะเจ๊”
“อ้าวไอ้นี่ ทำงานไม่ครบ”
“ใครจะไปมีเวลา แค่หารถให้ทันก็ดีเท่าไหร่แล้ว แล้วผมมีหลักฐานจากคดีส.ส.มาให้เจ๊ดู”
“เออเอาไว้ก่อนฉันรีบ แล้วช่วยกันไอ้สองคนข้างนอกให้ฉันด้วย มีอะไรคุยทางโทรศัพท์”
“โทรศัพท์อีกแล้ว โทรไปเจ้ก็ยุ่งตลอดเลยช่วยรับสายผมด้วยนะครับเจ้ แล้วสาวสวยนี่ใครไม่เห็นแนะนำผม”
วรินธรชี้ให้เธอรีบขึ้นรถ สายตากวาดไปรอบตัว ปากหล่อนก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่พกพร่อง “อย่าเสือกน่าให้ทำไรก็ทำไปเถอะ ฉันไปล่ะ” พร้อมกับติดเครื่องรถยนต์คันเก่ากระหึ่ม กานต์ชนิตยังปิดประตูไม่สนิทดีด้วยซ้ำ หล่อนก็ออกรถแล้ว เฮ้ออย่าให้จับเวลาเลยว่าตั้งแต่หน้าอาคารจนถึงรถเนี่ยใช้เวลากี่วินาที เอาเป็นว่าทุกคนในออฟฟิศแห่งนี้คงจะเป็นลูกน้องหล่อนนั่นแหละ เพราะสั่งได้ทันใจ แล้วลูกน้องก็เสิร์ฟงานให้หัวหน้าทันใจอีกด้วย ฟังดูแล้วหล่อนน่าจะทำงานด้านกฎหมาย หรือนี่จะเป็นบริษัทลูกแยกออกจากอีเว้นท์ดีเทคทีฟอีกทีหนึ่ง
“กานต์รัดเข็มขัด” วรินธรสั่งเรียบๆ เธอใช้เวลางุนงงชั่วเสี้ยววินาที เห็นหล่อนเปลี่ยนเกียร์ก็รีบทำตามคำสั่งโดยฉับพลัน นี่แม่คุณจะแสดงแอ็คชั่นอีกแล้ว ขืนไม่รีบละก็เดี๋ยวได้กระเด็นออกนอกรถ และก็จริงด้วย จากนั้นหล่อนก็กระชากคันเร่งเหยียบจนหงายหลัง พาทั้งรถทั้งคนพุ่งทะยานออกจากซอยแคบเข้าสู่ย่านชุมชน ก่อนจะใช้ทางลัดระหว่างตลาดสดเลี้ยวสู่ถนนใหญ่ได้ในที่สุด ถ้าใครคิดจะตามละก็ นอกจากควรขับรถเร็วยังต้องรู้เส้นทางเป็นอย่างดีอีกต่างหาก
เฮ้อ ไม่หวังให้หล่อนทำอะไรเหมือนคนปกติล่ะ
รถทำความเร็วคงที่และคงจะออกนอกเมืองในไม่ช้า เธอจึงได้หายใจโล่งคอขึ้น วรินธรจึงได้หันมองเธอแวบหนึ่ง พลางกดเปิดเครื่องเล่นเพลงเลื่อนไปมาหาเพลงถูกใจ ก่อนจะครางในลำคอหงิงๆ อย่างอารมณ์ดี
“เธอเนี่ยเปลี่ยนอารมณ์เร็วจริงนะ ตะกี้ยังเครียดจะตาย”
หล่อนตวัดสายตามองเธอ “เธอสิเครียด หน้าซีดเป็นไก่ต้มเชียว เติมหน้าหน่อยมั้ยฉันมีเครื่องสำอางในกระเป๋า อ้อแล้วกานต์ช่วยเก็บแฟ้มงานใส่กระเป๋าให้ที”
เธอส่ายหน้า “เติมไปทำไม หน้าก็ไม่ใช่หน้าฉันสักหน่อย”
วรินธรหัวเราะ “เธอไม่รู้เหรอ สิ่งที่ทำให้คนเราอารมณ์ดีนอกจากการกินจนอิ่มท้องแล้วก็คือการแต่งหน้าทำผมนะรู้ไหม โดยเฉพาะผู้หญิง”
“เธอใช่ผู้หญิงกับเค้าด้วยเหรอ” ได้ทีขอแซว อีกฝ่ายยักไหล่
“ถ้าเธอสงสัยมากนักเดี๋ยวคืนนี้ฉันเปิดให้ดู”
เท่านั้นแหละเธอก็ร้อนวืด “ยัยลามก!” วรินธรขำก๊าก พลางตบไฟเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันเก่าๆ แห่งหนึ่ง แวะเติมน้ำมันพลางใช้ให้เธอลงไปซื้อขนมและน้ำ เสบียงอาหารอีกนิดหน่อย ก่อนให้เงินเธอยังยิ้มหวานทิ้งท้าย
“แต่ถ้าไม่อยากดูตรงๆ ฉันถ่ายรูปออกมาให้ดูก็ได้นะ” เธอปิดประตูใส่หน้าหล่อนปังกลบเสียงหัวเราะหล่อนให้พ้นๆ ไปเสียแล้วรีบเดินดุ่มๆ เข้ามินิมาร์ท
.......................................................................................
ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงเศษวรินธรก็เข้าสู่ตัวจังหวัดที่ว่า หล่อนผ่านย่านชุมชน ตลาดและโรงเรียน จนกระทั่งเลี้ยวสู่ถนนเล็กกว่าผ่านทุ่งนาแห้งแล้ง มีกลุ่มเด็กชายเตะบอลนับสิบคน ทุ่งนากลายเป็นลานบอลไปในที่สุดเมื่อไม่ใช่ฤดูปลูก ไม่มีน้ำเพียงพอจะปลูกได้ปีละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นปกติเพราะผู้คนในชุมชนนี้ส่วนใหญ่ปลูกพืชสวน ภูมิประเทศที่ติดเขาทำให้เหมาะกับไม้ยืนต้นมากกว่าต้นข้าว กานต์ชนิตนั่งขมวดคิ้วจนคนขับอดไม่ได้หันมาถาม
“เป็นอะไรรึเปล่ากานต์”
เธอเริ่มไม่แน่ใจว่ากานต์ชนิตจะเข้าวัดได้หรือเปล่า ก็ในหนังนั้นผีเข้าวัดไม่ได้นี่นา แต่แล้วสิ่งที่กานต์ชนิตตอบทำให้ผิดคาด
“ฉันคุ้นๆ กับที่นี่”
“คุ้นยังไง?”
กานต์ชนิตตาลอยรำลึกและส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ช่างมันเถอะ แล้วเธอจะขับไปไหนต่อ”
รถเก๋งคันเก่าเคลื่อนเลยเรื่อยจนกระทั่งเห็นซุ้มประตูหน้าวัดไม่ไกล กานต์ชนิตจึงร้องอ๋อ “ที่นี่เหรอ” มองเห็นยอดไม้ครึ้มภายในอาณาเขตวัดบรรยากาศร่มเย็นแผ่ตัวจนเธออดไม่ได้เลื่อนกระจกลงและปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถ ลอดผ่านซุ้มประตูโดยสะดวก และกานต์ชนิตก็ยังนั่งปกติไม่ได้บิดตัวไปมาเพราะความทรมานแต่อย่างใด ค่อยโล่งใจ
วรินธรจอดรถบนลานตัวหนอน ดูนาฬิกาแล้วถอนหายใจ ได้ยินเสียงสวดทำวัดเย็นดังมาจากศาลา เธอมาช้ากันเกินไป แต่ไหนๆ ก็ไม่ได้เข้าวัดนานแล้ว ได้ยินเสียงสวดอย่างนี้เธอจึงหันไปชักชวนอีกคนข้างกัน
“เราเข้าไปในศาลากันเถอะกานต์ ไปป่ะ”
กานต์ชนิตสะดุ้งเมื่อเธอสะกิดมือ “อะไรเหรอพาย”
“เหม่ออะไร ทำไมมือเย็นอย่างงี้ล่ะ” เธอประหลาดใจ ความคิดที่ว่ากานต์ชนิตเข้าวัดได้ดูจะไม่มั่นใจเสียแล้ว
“ฉันรู้สึก...แปลกๆ”
วรินธรเลิกคิ้ว “แปลกนี่ทางดีหรือทางร้าย”
กานต์ชนิตคิดหนักจนคิ้วขมวดติดกัน เธอก็อดไม่ได้ยื่นนิ้วไปดันระหว่างหัวคิ้วของหล่อนให้คลายออก “คิดว่าทางดีมั้ง”
“ดีแล้วจะขมวดคิ้วทำไม”
หล่อนลังเลจะตอบ สุดท้ายก็ส่งยิ้มบางๆ ให้เธอ “เพราะมันแปลกๆ ไง ฉันก็เลยกลัว...นิดหน่อย”
คำสารภาพทำให้คนฟังยิ้มบ้าง มองมือคนกลัวที่กำแน่น จากนั้นจับมือหล่อนดึงนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออกมาทั้งสองมือ แล้วนำนิ้วชี้ข้างหนึ่งแตะนิ้วโป้งของอีกข้างหนึ่งสลับไขว้กันไว้มองไปเหมือนเลขแปดนอน
“แล้วเธอก็ปล่อยนิ้วชี้ที่แตะกับนิ้วโป้งคู่ล่าง เลื่อนมาแตะกันด้านบนอย่างนี้ จากนั้นก็เอาคู่ล่างปล่อยมาแตะกันด้านบนใหม่ ไต่ขึ้นไปแบบนี้เรื่อยๆ ทำได้หรือเปล่า”
เธอทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อีกฝ่ายก็มองแล้วพยายามทำตามอย่างเก้ๆ กังๆ นิ้วมือพลันจะหลุดจากกันอยู่เรื่อย ในที่สุดหล่อนก็พอจะแตะกันได้
“มันคือการทำสมาธิ”
เธอเฉลยเมื่ออีกฝ่ายส่งสายตามีคำถาม
“ถ้าใจเธอมีสมาธิซะอย่าง สิ่งภายนอกก็ทำร้ายเราไม่ได้”
กานต์ชนิตทำหน้าเหลือเชื่ออีกแล้ว เธอจึงกลอกสายตาหนีอย่างขำๆ
“หน้าตาเธอไม่ให้เลยอ่ะพาย”
“แหม โทษทีที่หน้าฉันไม่เหมือนพระอ่ะนะ”
หล่อนหัวเราะ “บาปนะ เล่นถึงพระถึงเจ้า”
“แล้วตกลงจะลงไปฟังสวดรึเปล่า นี่ชวนไปทำดีนะเนี่ยจะไปไหม”
กานต์ชนิตรีบเปิดประตูลงไปเป็นคำตอบว่าโอเค เราสองคนจึงเดินขึ้นไปบนศาลา นั่งพับเพียบท่ามกลางพุทธศาสนิกชนราวสิบคนเบื้องหน้า และมีพระภิกษุหลายรูปนั่งอยู่บนอาสน์ กำลังนำสวดถึงปุพพภาคนมการ ช่วงธัมมานุสติเท่านั้น ยังมีเวลาร่วมสวดต่อได้อีกพักใหญ่ทีเดียว
เธอยกมือประนมหันมองคนข้างกัน หล่อนดูปกติดี เธอจึงหันมองเบื้องหน้าเอ่ยบทสวดตามพระสงฆ์เบาๆ คำสวดที่เคยท่องอย่างนกแก้วนกขุนทองเมื่อสมัยเด็ก ผ่านริมฝีปากสะท้อนเป็นเสียงเข้าสู่จิตใจก่อให้เกิดสมาธิได้ชั่วขณะหนึ่งจนลืมทุกสิ่งรอบตัวไปเสียสิ้น ตราบจนกระทั่งกรวดน้ำ มีคนแก่ใจดีแบ่งขันให้หนึ่งใบ เธอจึงล้วงขวดน้ำในกระเป๋าเปิดฝาพึมพำบทสวด แว่วเสียงคนข้างกัน
“ฉันหวังว่าผลบุญในวันนี้จะส่งถึงหมอหนึ่งด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแย่งร่างกายของเขาเลย”
วรินธรยิ้มนิดๆ ตั้งจิตอธิษฐานแผ่ผลบุญให้กับอินทนิลตัวจริง และยังเผื่อแผ่ให้แก่กานต์ชนิตที่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะระบุหล่อนไว้ในสถานะไหน เอาเป็นว่าให้แบบรวมๆ ยกแพ๊กเก็ตแล้วกัน หวังว่าจะได้กันถ้วนหน้า จากนั้นรำลึกถึงชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่เคยต่อสู้ก่อนหน้า รวมทั้งชายคนหนึ่งซึ่งสิ้นชีวิตในมือเธอด้วย ขออโหสิแก่เขา และแผ่เมตตาให้
หลังจากเสร็จสิ้นเธอจึงได้ขยับตัวถามคุณยายคนใจดีให้ยืมขัน ถามถึงหลวงตาเจ้าอาวาส ยายบอกว่าท่านมรณภาพไปหลายปีแล้ว ตอนนี้มีเจ้าอาวาทใหม่เป็นค่อนข้างหนุ่ม มาจากหมู่บ้านนั้นนี้ ซึ่งเธอไม่ได้ฟังอีกต่อไป ได้แต่เก็บความผิดหวังเอาไว้ ถ้าจะให้ถามพระที่นี่ เธอว่าสู้กลับไปถามพ่อที่บ้านดีกว่า
ระหว่างทางเดินกลับมายังรถ เธอพบกับแม่ชีผู้หนึ่ง ร้องทักกานต์ชนิตว่า “หนู ใช่หนูหนึ่งหรือเปล่า”