ตอนที่ 6 เสียงถอนหายใจดังสลับกันไปมาระหว่างสองพี่น้องที่มีเรื่องกลุ้มไม่ต่างกันหากแต่ดูคนน้องจะถอนหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆจนคนเป็นพี่ต้องหันไปมองอย่างสงสาร
“เครียดมากเลยเหรอเพชร”
“ก็คงพอๆกับพี่ศิรานั่นแหละค่ะ”
อวิกาตอบออกมาแบบเซ็งๆ
“ถ้าไม่เพราะพี่เรื่องราวคงไม่ยุ่งขนาดนี้”
อาศิราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าๆก่อนจะลุกเดินไปนั่งใกล้น้องสาว
“อดีตย้อนกลับมาไม่ได้เราคงต้องเดินไปข้างหน้า”
หญิงสาวหันไปจับมือคนที่เดินมานั่งข้างๆพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆถึงมันจะไม่ใช่ยิ้มที่ดูมีความสุขอะไรแต่ก็ดีกว่าทำหน้าเศร้าอย่างที่เป็นอยู่
“หมีรออยู่ซินะ”
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่เพียงไม่นานรอยยิ้มที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็ค่อยๆเผยออกมาจนอวิกาถึงกับถอนหายใจอย่างระอา
“ตลกตายล่ะ”
“ขำๆน่า”
“อย่าเอาชีวิตจริงมาล้อเล่นสิคะพูดถึงเดี๋ยวก็มาจริงๆ”
“ของแรงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“พี่ศิราไม่รู้หรอกว่ายัยพี่หมีแกล้งอะไรเพชรบ้าง”
อวิกาถึงกับขนลุกเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้จนต้องเอามือลูบที่แขนตัวเองเพื่อบรรเทา
“เป็นเอามากนะเราพี่ก็ว่ายัยหมีก็ดูไม่น่าเกลียดอะไรนิ หรือจะเรียกได้ว่าสวยมากกว่าผู้หญิงทั่วๆไปซะอีก”
อาศิราชื่นชมว่าที่คนรักของน้องสาวอย่างเต็มปากเต็มคำเพราะนี่คือเรื่องจริง เขาแทบไม่อยากเชื่อว่าหมีจะกลายร่างเป็นนางฟ้าได้
“งั้นก็เอาไว้เองสิ”
“บ้าหรือไงพี่มีเมียมีลูกแล้ว”
“แหม๋เต็มปากเต็มคำเลยนะ”
คนถูกแซวถึงกับสะอึกในคำพูดของตัวเองก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
“มันเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่แม้ไม่เต็มใจแต่ก็ต้องทำ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดังจากนั้นสายตาที่เลื่อนลอยก็ไปสะดุดเข้ากับภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุขจนทำให้เขานึกหมั่นไส้ขึ้นมา
การก้าวเดินหยุดลงพร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปยังคนทั้งคู่
“มีความสุขกันจังเลยนะ”
น้ำเสียงกระด้างดังขึ้นแทรกจนคนที่กำลังคุยกันถูกคอต้องหุบยิ้มลงทันทีก่อนจะหันไปมองยังเจ้าของเสียง
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
อาศิราหันไปถามหญิงสาวตรงหน้าอย่างคาดคั้นแต่สายตาของชายหนุ่มไม่ได้มีผลอะไรให้แพรวรุ่งรู้สึกกลัวหรือหวั่นไหวเลยมีเพียงแต่ความรำคาญเท่านั้นที่เธอสามารถตอบกลับทางสายตาได้
“ฉันถามว่าเธอมาทำอะไรตรงนี้”
คราวนี้คนพูดไม่ได้ยืนนิ่งกับที่แต่กลับเดินตรงเข้าไปกระชากตัวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกให้ออกมายืนข้างตัวเอง
“ฉันเจ็บนะ”
“ถามดีๆไม่ตอบก็ต้องเจอแบบนี้”
“ผมว่าคุณปล่อยรุ้งดีกว่านะ”
พงศกรเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าและแววตาเอาเรื่องแต่มีหรือที่อาศิราจะรู้สึกกลัว ชายหนุ่มยิ้มเยาะกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะมองสำรวจคนสวนไม่เจียมตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ฉันไม่ปล่อยและแกควรจะเจียมตัวไว้ด้วยนะว่าแกเป็นใครฉันเป็นใคร”
อาศิราพูดพร้อมกับดึงตัวหญิงสาวคนข้างๆเข้ามากอดเอาไว้
“แล้วนี่ก็เมียฉันฉันจะทำอะไรก็ได้”
พูดจบอาศิราก็จัดการทั้งจูบทั้งหอมคนในอ้อมกอดโชว์เมื่อหน่ำใจแล้วก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างสะใจก่อนจะลากตัวแพรวรุ่งเข้าบ้านทันที
“ปล่อยนะ! ปล่อยฉัน!”
แพรวรุ่งดิ้นรนอยู่นานจนในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาได้ หญิงสาววิ่งไปหลบหลังโซฟาพร้อมกับคว้าหมอนเอามากอดไว้
“คุณจะทำอะไร”
อาศิราถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อภาพที่เห็นมันบ่งบอกได้ว่าหญิงสาวตัวเล็กกำลังระแวงเรื่องอะไรอยู่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับผิงตัวติดกำแพง
“เธอนี่ตลกนะ”
“ฉันไม่ตลกและคุณก็ไม่ควรเข้ามาใกล้ฉันด้วย”
แพรวรุ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะบอกอะไรให้นะถ้าไม่ใช่เพราะยานั่นฉันไม่มีวันพิศวาสอะไรผู้หญิงแบบเธอส่วนเรื่องที่ฉันไปลากเธอเข้าบ้านก็เพราะมันไม่เหมาะที่คนได้ชื่อว่าเป็นเมียเจ้าของบ้านไปจะหยอกล้อกับคนสวนแบบนั้น”
อาศิราเดินเข้าไปหาแพรวรุ่งอย่างเร็วจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ทันจึงถูกชายหนุ่มคว้าแขนเอาไว้ได้
“ฉันรู้นะว่าไอ้คนสวนนั่นไม่ใช่ญาติเธอแต่จะเป็นอะไรกันฉันไม่สนแต่อย่ามาหยามกัน…ฉันไม่ชอบ!”
พูดจบอาศิราก็ปล่อยมือออกทันทีก่อนจะเดินหันหลังจากไปส่วนแพรวรุ่งก็ได้เช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา บางครั้งก็นึกเสียใจที่เลือกมาอยู่ที่นี่แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเธออยากให้ลูกในท้องได้อยู่กับพ่อที่แท้จริง
มาธวีเดินควงแขนเพื่อนหนุ่มไปทำบุญที่วัดจากนั้นทั้งสองจึงลงมาให้อาหารปลาต่อ ไมเคิลมองเพื่อนสาวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขก่อนจะต้องรีบหันไปมองทางอื่นเมื่อคนที่เขามองจ้องกลับมา
“มองอะไร”
หญิงสาวเอ่ยถามออกมาทันทีเมื่อหันไปเห็นว่าคนข้างๆจ้องเธอแทบไม่กระพริบตา
“เปล่าซะหน่อยไมค์มองไปทางนั้นต่างหาก”
ชายหนุ่มชี้ไปทางพุ่มไม้ด้านหลังหญิงสาวก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับปลาในน้ำต่อ
“นึกว่ามองคนสวยซะอีก”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆช่างเป็นภาพที่ทำให้หัวใจของคนมองแทบจะหยุดเต้นหากที่นี่ไม่ใช่วัดเขาคงจะอดใจไม่ไหวจนต้องดึงอีกคนมากอดเป็นแน่ ไมเคิลยิ้มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปเห็นใครบางคนที่เหมือนจะคุ้นหน้า
“นั่นใช่คุณเพชรหรือเปล่าผึ้ง”
ชื่อที่ได้ยินทำให้มาธวีถึงกับโยนอาหารปลาทิ้งทั้งถุงก่อนจะหันไปมองยังจุดที่ชายหนุ่มชี้และไม่รอช้าที่หญิงสาวจะก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิผึ้ง…รอด้วย”
ไมเคิลมองคนที่เดินไปสลับกับถุงในมือที่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งหากแต่ก็ไม่มีทางเลือกเมื่อคนพามาเดินไปแล้วเขาจึงต้องรีบเทอาหารในถุงลงน้ำให้หมดจากนั้นจึงรีบวิ่งตามเพื่อนสาวไป
อวิกาค่อยๆเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ก้มลงไหว้พระอยู่นานและภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้คนที่เพิ่งทำบุญถึงกับตกใจพูดอะไรไม่ออก
“สวัสดีครับคุณเพชร”
เสียงไมเคิลตะโกนมาแต่ไกลแต่หาได้ดึงความสนใจจากเจ้าของชื่อเมื่ออวิกากำลังถูกคนตรงหน้าจ้องมองด้วยสายตาประหลาดที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ
“บังเอิญจังเลยนะครับ”
“ค่ะ”
“แล้วคุณเพชรมากับใครครับคงไม่ได้มาคนเดียวนะ”
ชายหนุ่มถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองรอบๆก็ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตเลยสักคน
“มากับลูกค้าน่ะค่ะพอดีเค้าเข้าไปกราบพระข้างในแต่เพชรไม่อยากเข้าไปเลยยืนไหว้อยู่ด้านนอก”
“ขยันจังนะครับวันหยุดยังต้องทำงานอีก”
ไมเคิลเอ่ยชมจากใจพร้อมกับยกนิ้วให้อย่างอารมณ์ดีแตกต่างจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเพราะตั้งแต่เข้ามาก็ไม่ปริปากพูดเลยสักคำ
“เพชรคะ”
หญิงสาวหน้าหมวยเดินเข้ามาหาทั้งสามคนพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าที่ดูเป็นมิตรมากซะจนไมเคิลต้องยิ้มส่งกลับคืนไปให้
“เจอเพื่อนเหรอคะ”
สาวหน้าหมวยเอ่ยปากถามอวิกาก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับคนแปลกหน้าทั้งคู่
“นี่พี่ผึ้งเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของคุณพ่อค่ะ ส่วนคนนี้ก็คุณไมค์เป็นเพื่อนของพี่ผึ้ง”
อวิกาหันไปแนะนำคนตรงหน้าให้ลูกค้าคนสำคัญได้รู้จักก่อนจากนั้นจึงหันมาแนะนำคนข้างๆบ้าง
“ส่วนนี่คุณลูกเกดค่ะเป็นลูกค้าของเพชร”
มาธวีถึงกับถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างลืมตัวเพียงแค่ประโยคแนะนำก็ทำเอาอารมณ์ที่ดีมาตลอดของเธอเสียทันทีก่อนที่เจ้าตัวจะรีบหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อเก็บอารมณ์บางอย่างเอาไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่าผึ้ง”
“เปล่าแถวนี้แดดมันร้อนไปที่อื่นกันเถอะ”
หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างเช็งๆก่อนจะลากแขนชายหนุ่มให้ปลิวตามไป อวิกาแทบไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะรอดจากการกลั่นแกล้งได้ง่ายแบบนี้แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะหากมาธวีนึกสนุกแกล้งเธอในเวลาแบบนี้คงได้อายลูกค้าเป็นแน่
ทั้งสองสาวเดินพูดคุยหัวเราะมายังรถก่อนที่สายตาของอวิกาจะหันไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมีปัญหากับรถ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ”
อวิกาเลือกที่จะเดินเข้าไปช่วยเหลือทั้งๆที่จริงเธอไม่อยากเข้าไปใกล้หมีหน้าบูดสักเท่าไหร่แต่คนรู้จักกันครั้นจะทิ้งก็ดูจะใจดำเกินไป
“ไม่มี!”
คนหน้าบูดตอบกลับมาทันทีก่อนจะเดินหนีคนหวังดีไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“รถเสียเหรอคะคุณไมค์”
อวิกาก็ไม่คิดที่จะสนใจคนหน้างออยู่แล้วเมื่อเป้าหมายของเธอคือการมาช่วยไม่ได้มาคุยหรือปรับความเข้าใจอะไร
“ครับผมดูแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรคงต้องให้รถมาลาก”
ชายหนุ่มเอ่ยออกมาแบบยอมแพ้ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมองไปรอบๆ
“เพชรว่าคงต้องพรุ่งนี้แหละค่ะถึงจะมีรถมาลากได้เพราะนี่มันเย็นมากแล้ว”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับไม่รู้มาเสียอะไรเวลานี้”
“แล้วไปไหนกันต่อคะเดี่ยวเพชรไปส่ง”
“ว่าจะไปหาอะไรกินแล้วก็กลับบ้านนะครับ”
“ร้านไหนคะเดี๋ยวเพชรไปส่ง”
“ไม่ต้องจะไปเอง”
มาธวีเอ่ยออกมาเสียงแข็งพร้อมกับลากแขนไมเคิลเดินตรงไปยังถนนเพื่อเรียกแท็กซี่ อวิกามองตามคนดื้ออย่างไม่ค่อยเข้าใจนักก่อนจะหันไปรอบๆตัว…มาทำบุญวันนี้ได้เจอผีหมีแบบจัดเต็มจริงๆ หญิงสาวถอนหายใจยาวๆก่อนจะเดินตรงไปคว้าแขนหมีดื้อเอาไว้จากนั้นก็ลากพาไปยังรถ
“ทำอะไรปล่อยนะ!”
มาธวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพร้อมกับดิ้นรนอยู่นานแต่ก็ทำไม่สำเร็จจนตอนนี้เธอถูกจับยัดไว้ที่นั่งข้างคนขับเป็นที่เรียบร้อย
“ขึ้นรถเถอะค่ะเดี๋ยวเราไปกินข้าวด้วยกันแล้วเพชรจะไปส่งทุกคนเอง”
เจ้าของรถหันไปเรียกอีกสองคนที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากนั้นก็กวักมือให้ทุกคนรีบขึ้นรถก่อนจะเคลื่อนรถออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากสั่งอาหารเป็นที่เรียบร้อยทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งที่ดูแย่ที่สุดก็คงจะเป็นไมเคิลที่แทบจะไม่กระดุกกระดิกตัวเพราะเกรงจะไปกระทบกับความรู้สึกของหญิงสาวคนข้างๆจนระเบิดออกมา
“ร้านนี้ท่าทางอร่อยนะคะ”
ลูกเกดเอ่ยแทรกความเงียบออกมาใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของคนในโต๊ะแต่หากปล่อยไว้อาจจะย่ำแย่กว่านี้
“เพชรมาบ่อยเหรอคะ”
“มาไม่บ่อยแต่รับรองความอร่อยได้ค่ะ”
“ชวนชิมแบบนี้แอบเป็นหุ้นส่วนหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวหน้าหมวยเอ่ยแซวเล่นๆก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อคนที่เธอแซวฉีกยิ้มแบบอายๆออกมา
“แซวเล่นแต่ทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องจริงเลย”
“ไม่ใช่หรอกค่ะแค่นี้เพชรก็ยุ่งจะแย่แล้ว”
“ค๊า…คุณนักธุรกิจใหญ่”
สองสาวพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุขช่างแตกต่างกับคู่ตรงหน้าที่คนหนึ่งก็เอาแต่หน้าบูดส่วนชายหนุ่มคนข้างๆก็ได้แต่ปาดเหงื่อตัวสั่น
เวลาผ่านไปนานจนในที่สุดพนักงานก็นำอาหารที่สั่งมาจัดวางบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับยื่นของบางอย่างให้กับอวิกา
“ขอบคุณค่ะ”
อวิกาเอ่ยขอบคุณพร้อมกับหยิบธนบัตรสีเทาให้กับพนักงานคนดังกล่าว
“มีอะไรเรียกใช้ได้เลยนะครับ”
คนพูดรับเงินพร้อมกับฉีกยิ้มก่อนจะเดินออกไปประจำที่ของตัวเอง
อวิกาจ้องของในมือครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบตาขึ้นไปมองคนหน้างอที่นั่งเป็นหมีใบ้อยู่ตรงหน้าจากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสินใจลุกเดินเข้าไปหาหมีหน้างอพร้อมกับส่งของบางอย่างไปให้
มาธวีไม่ได้ตั้งใจจะมองของที่อีกคนให้เป็นอวิกาต่างหากที่จงใจยื่นมาในระดับสายตาของเธอแต่คนหน้างอก็หยิ่งเกินกว่าจะรับของได้ในเวลานี้
“ไม่เอาเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมาอวิกาจึงค่อยๆย่อตัวลงก่อนจะจัดการเกะของด้วยตัวเอง
“อ่ะ…ดีกันนะ”
อวิกายื่นลูกกวาดรูปหมีใส่แว่นให้กับคนตรงหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำ ตลกดีนะทั้งๆที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับต้องมาง้อยัยพี่หมีแบบสมัยเด็กๆ
มาธวีพยายามเก๊กหน้าให้นิ่งที่สุดหากแต่เธอก็ต้องหลุดจนได้เมื่อมองเห็นลูกกวาดที่เป็นรูปหมีใส่แว่นซึ่งมันคือแบบเดียวกับเมื่อตอนเธอเป็นเด็กและนี่ก็คือวิธีการง้อของคนช่างแกล้งที่มักจะทำบ่อยๆเวลาที่เธอโกรธจริงๆ
“เอามาจากไหนเนี้ย”
และแล้วคนขี้เก๊กก็หลุดยิ้มออกมาจนได้ก่อนจะรีบคว้าอมยิ้มหมีใส่แว่นมาไว้กับตัวเอง
“แถวๆนี้แหละค่ะว่าแต่หายโกรธแล้วนะคะ”
คนพูดยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะเดินกลับไปนั่งยังที่เดิม
“ไอ้แคระบ้า! ”
มาธวีสะบัดหน้าไปทางอื่นแต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ใดๆแอบแฝงอีกแล้วเมื่อใบหน้าบึ้งตึงได้มีรอยยิ้มเข้ามาแทนที่ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะหายหงุดหงิดได้เพราะอมยิ้มแท่งเดียว…นี่เธอกำลังเห็นแก่กินใช่มั้ยเนื้ย
อวิกาหันไปยิ้มให้กับคนที่ทำหน้าสงสัยอยู่ข้างๆแต่เธอก็ไม่มีคำอธิบายเมื่อตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นรู้เพียงแต่ว่าการทำแบบนี้จะทำให้พี่หมีตกมันอารมณ์ดีขึ้นอาจเพราะเธอทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็กและลูกอมหมีใส่แว่นมันก็ติดตามเธอมาจนโตไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องคอยพกเจ้าอมยิ้มนี้เอาไว้…อาศิราบ่นอยู่บ่อยๆว่ามันเกะกะและกลัวมดขึ้นแต่เธอก็ไม่คิดทิ้งแล้วมันก็มีประโยชน์จริงๆดูสิหมีอารมณ์ดีใหญ่เลย…