ตอนที่ 18 เช้าวันแรกที่เชียงคานอากาศที่หนาวเย็นทำให้คนที่นอนต้องขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มจนมิดหัว มาธวีเดินออกมาจากห้องน้ำถึงกับหัวเราะออกมาน้อยๆเมื่อภาพที่ปรากฏเสมือนภาพซ้อนเมื่อวันวาน หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้คนบนเตียงก่อนจะจัดการดึงภาพห่มที่ปิดมิดหัวของคนขี้เซาลงมา
อวิกาปรือตามองคนกวนใจครู่หนึ่งก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดอีกครั้งออย่างไม่ใส่ใจ
“ตื่นได้แล้ว”
มาธวีเอ่ยออกมาพร้อมกับการดึงผ้าห่มที่ปิดหน้าคนที่นอนอยู่อีกครั้งและก็เป็นเหมือนเดิมเมื่อคนขี้เซาดึงผ้าห่มเอาไว้และดึงขึ้นปิดหน้าอย่างเดิม
“น้ำเพชรสายแล้วนะ”
เงียบไร้เสียงตอบรับหรือแม้แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบจนคนเรียกต้องจัดการขั้นเด็ดขาดโดยการดึงผ้าห่มออกอีกครั้งและครั้งนี้ไม่ใช่เปิดแค่หน้าแต่มันคือทั้งตัวเลยต่างหาก
“พี่ผึ้ง! ”
ทันทีที่ผ้าห่มถูกดึงออกคนที่นอนขดตัวอยู่ก็ตะโกนเรียกชื่อคนที่แกล้งทันทีพร้อมกับการหันไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เรียกเสียงดังทำไมพี่อยู่แค่นี้เอง”
คนพูดแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะลากผ้าห่มไปกองไว้ข้างๆตู้เสื้อผ้าและเมื่อจัดการสิ่งกีดขว้างเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เดินกลับมาเผชิญหน้ากับคนอารมณ์บูดอีกครั้ง
“สายมากแล้วนะคะ”
อวิกาทำหน้าเซ็งๆก่อนจะจำใจทำตามที่อีกคนสั่งอย่างว่าง่ายและเพียงไม่นานคนขี้หนาวก็เดินตัวกลมออกมาทำเอาคนนั่งรอถึงกับหลุดหัวเราะเป็นรอบที่สองกับภาพที่เห็น
“ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบหนาว”
เป็นเพียงเสียงบ่นพึมพำเท่านั้นเพราะตอนนี้คนพูดกำลังปลิวไปตามแรงหมีแบบไม่สามารถขัดขืนได้
กว่าจะขึ้นมาถึงยังภูทอกก็หนักหนาเอาการเพราะรถส่วนตัวไม่สามารถวิ่งขึ้นไปเองได้ดังนั้นการจะขึ้นไปสัมผัสกับกลิ่นไอของความหนาวเย็นต้องอาศัยรถที่ทางพื้นที่จัดเอาไว้ให้เท่านั้น
อวิกาตัวสั่นเล็กน้อยเพราะอากาศที่นี่เย็นกว่าที่ที่เธอพักมากเหลือเกินหน่ำซ้ำตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามืดจึงไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเลยสักนิด หญิงสาวหันไปส่งสายตาค้อนให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะรีบเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะการมองกลับมาของมาธวี เธอล่ะไม่อยากจะเชื่อว่าพี่หมีจะลงทุนหมุนเข็มนาฬิกาทั่วทั้งห้องให้เร็วขึ้นเพื่อหลอกเธอและมันก็ได้ผลเมื่อเธอคิดว่ามันสายอย่างที่คนมาปลุกพูดจริงๆแต่เพียงก้าวออกมาจากที่พักแค่นั้นแหละ…ถึงได้รู้ว่าโดนหมีต้ม!
“อากาศเย็นมากเลยเนาะ”
มาธวีเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับมือคนข้างๆเอาไว้
“จะได้อุ่น”
คนพูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดียิ่งได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งของคนข้างๆที่พยายามไม่แสดงออกมา มาธวีก็ยิ่งอดที่จะหัวเราะไม่ได้ หากเป็นสมัยตอนเด็กๆเธอคงถูกเหวี่ยงไปนานแล้วแต่เด็กน้อยเอาแต่ใจโตขึ้นมากจริงๆถึงสามารถระงับอารมณ์ได้แบบนี้และดูท่าทางคนที่เอาแต่ใจจะกลับกลายมาเป็นเธอเสียเอง
เมื่อขึ้นมาถึงยังจุดชมวิวของภูทอก คนที่ตื่นเต้นดูจะไม่ใช่คนที่อยากมาแต่กลับเป็นคนขี้หนาวที่ตอนนี้กำลังฉุดมือเธอให้เดินไปดูทะเลหมอกพร้อมกัน
“สวยใข่มั้ยล่ะ”
มาธวีเอ่ยแซวคนที่ยิ้มไม่ยอมหุบตั้งแต่ขึ้นมาพร้อมกับกระชับมือที่จับมืออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
“สวยค่ะ เพิ่งเคยเห็นทะเลหมอกของจริงก็วันนี้”
“ตื่นเต้นจนลืมหนาวเลยนะ”
“ใครบอกว่าลืมคะ ยังหนาวอยู่เลย ดีที่ได้…”
จู่ๆคนพูดก็ชะงักพร้อมกับก้มดูมือของตัวเองที่ตอนนี้ถูกเกาะกุมไว้โดยมือของคนข้างๆ มาธวีก้มดูตามก่อนจะพบเข้ากับต้นเหตุที่ทำให้คนขี้หนาวหยุดพูด
“ได้อะไรคะ”
มาธวีเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับการจ้องหน้าคนที่เธอถามแบบไม่กระพริบตา
“ได้ เอ่อได้เสื้อแขนยาวที่ใส่มาหลายชั้นช่วยไว้ไม่งั้นล่ะแย่แน่”
จบประโยคคนที่คิดคำตอบล่วงหน้าไว้อีกแบบถึงกับหุบยิ้มทันทีก่อนจะดึงมือของตัวเองไปเก็บในกระเป๋าเสื้อแทนทำเอาอวิกาถึงกับหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจของคนข้างๆเสียงดังจนมาธวีต้องหันมาส่งสายตาดุปรามจากนั้นก็เดินทิ้งคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเธอไว้ด้าวหลังและเพียงไม่นานคนขี้แกล้งก็เดินตามไปได้ทันก่อนจะเอามือของตัวเองล้วงไปจับมือของคนขี้งอนขึ้นมา
“ไม่ต้อง! ”
มาธวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆหากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดแล้วแบบนี้มีหรือที่คนถูกปฏิเสธจะยอมปล่อยมือง่ายๆ
“เพชรยังพูดไม่จบเลยเดินหนีมาทำไมคะ”
“ไม่อยากรู้แล้ว”
“แต่เพชรอยากบอกนี่นา”
“จะกวนพี่ให้ได้เลยใช่มั้ย”
คนพูดส่งสายตาดุไปให้คนที่เอาแต่เซ้าซี้ไม่เลิกแต่สิ่งที่เธอทำคงไร้ประโยชน์เพราะดูเหมือนจะใม่มีความกลัวในดวงตาคู่ที่มองมายังเธอแม้แต่น้อย
“ถึงเสื้อพวกนี้จะทำให้เพชรรู้สึกอุ่นได้ก็จริงแต่มือคู่นี้ต่างหากที่ทำให้เพชรเผชิญกับความเหน็บหนาวแบบนี้ได้ ขอบคุณนะคะ”
อวิกาพูดแบบอายๆพร้อมกับกระชับมือที่ประสานกับมือของคนตรงหน้าให้แน่ขึ้นจากนั้นก็จ้องมองลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายเธอเห็นทุกอย่างในนั้น เรื่องราวความผูกพันธ์มากมายระหว่างเธอทั้งสองและที่เห็นชัดเจนมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือความรู้สึกดีๆบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้มีเหมือนกันกับเธอ
ตอนนี้ที่บ้านพักเหลืออีกคู่หนึ่งที่ไม่ได้ไปชื่นชมความหนาวเย็นบนภูทอกอาจเพราะเส้นทางที่มันดูจะโหดจนเกินไปสำหรับคนที่กำลังท้องทำให้อาศิราต้องปฏิเสธการชมทะเลหมอกในครั้งนี้
ท่าทางและหน้าตาที่ดูซึมๆของชายหนุ่มที่กำลังเดินมานั่งที่โต๊ะทำให้แพรวรุ่งรู้สึกห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเธอพอจะดูออกว่าสาเหตุมาจากอะไรและต้นเหตุของเรื่องคือใครไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสมองต้องประเมินเรื่องราวออกมาให้วุ่นวายทั้งความคิดและหัวใจแบบนี้
อาศิราวางอาหารที่ไปตักมาให้กับหญิงสาวที่ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ หรือบางทีแพรวรุ่งอาจจะไม่พอใจที่เขาห้ามไม่ให้ขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทอกแต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นเขาก็ยอมไม่ได้เพราะเขาจะไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงเหมือนกัน
“อาหารก็อร่อยดีนะ”
คนพูดเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถ้าเธอไม่ชอบข้าวผัดงั้นกินข้าวต้มก็ได้นะกำลังร้อนๆเลย”
อาศิรายกข้าวผัดออกพร้อมกับเอาถ้วยข้าวต้มเข้าไปแทนที่จากนั้นก็ยื่นช้อนให้กับคนหน้านิ่งแต่เมื่อไร้ปฏิกิริยาตอบรับชายหนุ่มจึงดึงมือกับข้าวต้มที่ยกให้อีกคนกลับก่อนจะใช้ช้อนตักขี้นมาเป่าเบาๆ เพียงไม่นานรอยยิ้มและข้าวต้มอุ่นๆก็ถูกส่งไปยังแพรวรุ่งทำให้หญิงสาวต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“อ้าปากสิ ไม่ต้องกลัวร้อนนะฉันเป่าแล้ว อั้มๆหน่อย”
พูดจบชายหนุ่มก็อ้าปากทำเป็นตัวอย่างให้กับคนที่ทำหน้างง
“คุณจะบ้าหรือไง”
ทันทีที่แพรวรุ่งเข้าใจในท่าทางที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหญิงสาวก็ชักสีหน้าใส่ทันทีส่วนคนที่คิดจะเอาใจก็ต้องทำหน้าสลดไปตามระเบียบ
“ฉันแค่อยากให้เธอกินอะไรบ้าง”
“เดี๋ยวฉันหิวฉันก็กินเอง”
“แต่เธอควรกินให้เป็นเวลานะอย่าลืมว่าเธอไม่ได้กินเพื่อตัวเองเท่านั้น”
แพรวรุ่งมองตามสายตาของคนพูดที่จับจ้องมาที่ท้องของเธอก่อนจะเอามือมาปิดเอาไว้
“โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
อาศิราเอ่ยออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังมองตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ชายหนุ่มรีบเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด
“เอามาสิจะให้กินแต่เลื่อนไปซะไกลเลยใครจะไปตักถึง”
แพรวรุ่งตะโกนใส่คนที่จู่ๆก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะรับถ้วยข้าวต้มมากินแบบจริงจังจนคนแอบมองอดที่จะยิ้มให้กับสิ่งที่เห็นไม่ได้
“ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!”
การจามของอาศิราเหมือนนกหวีดที่เป่าให้คนที่กำลังตั้งใจกินต้องหยุดทันทีก่อนจะเงยขึ้นไปมองหน้าคนที่ยังไม่หยุดจาม
“โทษทีฉันว่าอากาศที่นี่คงทำพิษซะแล้ว”
“คุณไม่สบายเหรอ”
“ไม่ๆแค่เป็นหวัด”
“แบบนั้นที่บ้านฉันก็เรียกไม่สบาย”
หญิงสาววางช้อนลงก่อนเอื้อมมือไปแตะที่หัวของคนตรงหน้าเบาๆ
“เหมือนตัวจะอุ่นด้วย”
อาศิราเกือบหยุดหายใจเมื่อมือน้อยๆของคนตรงหน้าสัมผัสที่บริเวณหน้าผากของเขาแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่กลับทำให้เขารู้สึกดีอย่างประหลาด รอยยิ้มค่อยๆปรากฏแต่กลับทำให้คนที่ลืมตัวได้สติขึ้นมาแพรวรุ่งจึงรีบดึงมือออกก่อนจะตีหน้าขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มวิ่งพล่านในหัวใจของตัวเอง
“คุณมียามั้ย”
“ไม่มี”
“ไม่เตรียมพร้อมเอาซะเลยมาเที่ยวแต่กลับลืมสิ่งสำคัญ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย”
คนพูดยิ้มกว้างยืนยันในคำตอบของตัวเองหากแต่หญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะหาได้ยิ้มตอบกลับมาและเพียงไม่นานแพรวรุ่งก็ลุกขึ้นเดินออกไปแบบดื้อๆทำเอาอาศิราถึงกับงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรจนทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจจนถึงกับต้องลุกหนีไปอีก
อาศิราออกมารับลมที่บริเวณด้านหน้าที่พัก ตอนนี้เขา ยังไม่พร้อมที่จะเข้าไปเจอกับแพรวรุ่งบอกตามตรงไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงหรือทักทายด้วยถ้อยคำแบบไหนถึงจะทำให้อีกคนพอใจและไม่โมโหได้
ความคิดสาระวนกระเจิดกระเจิงไปหมดเมื่อมือน้อยๆของใครบางคนยื่นเข้ามาใกล้หน้า อาศิราแทบจะหัวใจวายเพราะจู่ๆคนที่อยู่ในความคิดก็ออกมาปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกับของบางอย่างในมือที่ยื่นมาให้เขา
“แพรวรุ่งเธอ…”
เธอ…มาทำอะไรตรงนี้ นี่คือประโยคความรวมที่อาศิราอยากจะเอ่ยถามออกมาแต่ทุกคำมันกลับติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขาจนทำให้ไม่สามารถพูดออกมาได้
“กินซะจะได้ไม่เป็นภาระคนอื่น”
ถึงแม้จะเป็นประโยคที่ฟังดูแข็งๆเหมือนคนพูดต้องการเอ่ยออกมาแบบผ่านๆแต่กลับทำให้คนฟังยิ้มกว้างออกมาได้ แม้ถ้อยคำจะฟังแล้วไม่รื่นหูแต่การกระทำต่างหากที่ทำให้หัวใจอ่อนแรงของคนฟังกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง…นี่สินะยาวิเศษที่ไม่ต้องกินก็สามารถสัมผัสได้ถึงอานุภาพของมัน