ตอนที่ 19 หลังจากกลับจากเชียงคานดูความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะดีขึ้นมากกว่าเดิมโดยเฉพาะคู่ของอาศิรากับแพรวรุ่งที่ดูจะมีรอยยิ้มและพูดคุยกันด้วยสีหน้าที่ดีมากขึ้น
“ดูอารมณ์ดีนะศิรา”
กำธรเอ่ยแซวบุตรชายที่ช่วงนี้ดูมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไม่อมทุกข์เหมือนแต่ก่อนนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งอกและดีใจที่ได้ลูกชายคนเดิมกลับมาอีกครั้ง
“ก็ไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรนิครับ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้กับคนถามอีกครั้งก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงเตรียมทานมื้อเช้า
“นั่นสินะ”
กำธรพูดออกมาเบาๆก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มรู้สึกงง กับความเปลี่ยนแปลงของบุตรชายจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“แล้วเมียแกล่ะไม่ลงมากินข้าวเหรอ”
อาศิราหน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสรรพนามแบบนี้และก่อนที่จะได้ตอบอะไรคนที่ถูกถามถึงก็เดินลงมาพอดีทำให้ชายหนุ่มถึงกับทำตัวไม่ถูกไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะตื่นเต้นกับคำนี้ทำไม “เมีย” คำสั้นๆที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นทันทีเมื่อได้ยิน
“ทำไมลงมาช้าล่ะหนูรุ้ง”
“วันนี้รุ้งตื่นสายนะค่ะต้องขอโทษด้วยนะคะคุณลุง”
“พ่อไม่โกรธหรอกเรื่องนั้นแต่จะโกรธก็ตอนที่เรียกลุงนี่แหละ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะต้องเรียกว่าพ่อถึงจะถูกจริงมั้ยศิรา”
คนพูดยักคิ้วให้กับบุตรชายก่อนจะหันมายิ้มให้กับลูกสะใภ้คนโตอย่างเอ็นดู
“ไหนเรียกพ่อให้ชื่นใจหน่อยสิ”
แพรวรุ่งออกอาการอ้ำอึ้งเล็กน้อยประจวบกับหันไปเห็นรอยยิ้มของคนข้างๆก็ยิ่งทำให้เธอพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่
“ศิราบอกเมียแกสิ”
“ผมเนี้ยนะ”
“ก็เมียแกไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ…”
อาศิราถึงกับติดอ่างเพราะไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาคนพูดจะรู้มั้ยนะว่าการจูงใจแพรวรุ่งนี่แหละยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“รุ้งขอบคุณคุณลุงนะคะที่กรุณาแต่ท่าทางจะมีคนไม่อยากให้รุ้งเรียกแบบนั้น”
เป็นประโยคตัดพ้อที่ไม่ต้องระบุชื่อก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นใคร แพรวรุ่งชายตาไปมองคนข้างๆที่แสดงท่าทางอึดอัดจนทำให้เธอไม่อยากจะเอ่ยคำนั้นออกมา
“รุ้งขอตัวก่อนนะคะ”
แพรวรุ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกันเตรียมจะลุกแต่กลับถูกคนข้างๆจับแขนเอาไว้ หญิงสาวหันไปมองคนที่ดึงเธอไว้ครู่หนึ่งก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่นไม่คิดว่าจู่ๆโรคเบื่อขี้หน้าของตัวเองจะกำเริบขึ้นมาอีก
“เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”
“ฉันไม่หิว”
“แต่เธอควรจะกินอะไรซะหน่อย”
“ฉันบอกว่าไม่หิวไง! ”
น้ำเสียงที่เหมือนตะคอกทำให้อาศิราจำใจต้องปล่อยมือยอมให้อีกคนได้ไปตามที่ต้องการ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะหันไปมองคนที่ทำให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้
คนถูกมองหันซ้ายหันขวาทำเหมือนไม่เข้าใจจากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเอง
“พ่อเกี่ยวไรด้วย”
“ถ้าพ่อไม่เซ้าซี้แพรวรุ่งก็คงจะไม่เป็นแบบนี้”
“แกคิดเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าแกนั่นแหละสาเหตุหลักเลย”
“แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับขนาดหายใจแรงข้างๆเค้าผมยังไม่กล้า”
คนพูดทำหน้าสลดเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา
“กลัวเขาโกรธ”
ช่างเป็นประโยชน์ที่น่าสงสารปะปนกับความอนาถใจเพราะดูจากท่าทาง น้ำเสียงและแววตาอีกไม่นานลูกชายของเขาคงเข้าสู่ยุคทาสเป็นแน่
“แกแคร์หนูรุ้งตั้งแต่เมื่อไหร่พ่อไม่เห็นจะรู้เลย”
อาศิราก้มหน้าลงโต๊ะพร้อมกับใช้ความคิดเขาไม่เคยนึกถึงข้อนี้มาก่อนเพราะว่าที่ทำทุกอย่างก็ตั้งใจจะไถ่โทษที่ทำไม่ดีไว้กับอีกฝ่ายแต่พอทำไปทำมาเขาก็เริ่มจะสับสนเหมือนกันว่าทำเพราะไถ่โทษหรือว่าเพราะบางอย่างที่เรียกร้องอยู่ข้างในหัวใจกันแน่
“หนูรุ้งเป็นเด็กน่ารักแล้วพ่อก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าแกจะ…รักเค้า”
พูดจบกำธรก็ลุกเดินไปตบไปไหล่บุตรชายเบาๆพร้อมส่งยิ้มไปให้
“แกโตแล้วเพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้มันไม่ยากเลย”
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของบิดาจนลับสายตาทุกคำที่บิดาได้เอ่ยทิ้งไว้เหมือนปริศนาที่เขาต้องค่อยๆขบคิดแม้คำเฉลยมันจะเป็นเรื่องยากแต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจก็คือ ณ เวลานี้ความสำคัญของแพรวรุ่งสำหรับเขาได้เปลี่ยนไปแล้วเธออาจจะเป็นแม่ของลูกที่เขารักหรืออาจเป็นคนคุ้นหน้าที่ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดตราบเท่าที่จะทนกันได้หรือข้อสุดท้ายแพรวรุ่งอาจจะเป็นผู้หญิงที่เขารัก! อาศิราถึงกับยกมือกุมหัวใจเอาไว้เมื่อคิดถึงข้อสุดท้าย…ไม่จริง! มันไม่มีทางเกิดขึ้น หัวใจของเขาคงทนรับกับการสูญเสียไม่ได้อีกแล้วอาจเพราะเขาทำผิดกับเธอไว้มากจนเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางให้อภัยเขาเป็นแน่และที่สำคัญ…คนที่อยู่ในหัวใจแพรวรุ่งเป็นคนอื่น ไม่ใช่อาศิราคนนี้
อวิกานั่งมองคนที่กำลังตั้งใจแต่งตัวไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่กำลังหายใจอยู่ในห้องนี้ก็ยังถูกเมิน หญิงสาวเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อเรียกร้องความสนใจและก็ได้ผลจริงๆเมื่อมาธวีจัดการฟาดกระจกอันเล็กเข้ากลางหัวคนทะเล้นทันที
“เจ็บนะคะ”
“ก็พี่ทำจริงนี่คะ ใครใช้ให้มายืนเกะกะตรงนี้”
“โห…ใช่สิเราไม่สำคัญแล้วนี่นา”
คนพูดเดินกระแทกเท้ากลับไปที่เตียงด้วยท่าทางงอนๆจนมาธวีอดที่จะเดินตามไปไม่ได้
“งอนอะไรคะ”
มาธวีเอ่ยออกมาพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งที่ตักของคนหน้างอทำเอาคนที่ไม่ได้ตั้งตัวถึงกับทำหน้าเอ๋อไปพักใหญ่ก่อนจะรีบเก๊กหน้านิ่งอีกครั้งแต่มันคงไม่ทันซะแล้วเมื่อตอนนี้คนได้เปรียบมองเจ้าของตักนิ่มอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
“เพชรไม่ได้งอนค่ะ”
“อะ ไม่งอนก็ไม่งอน”
“เข้าใจแล้วก็ลุกสิคะ”
คนพูดพยายามสลัดหมีที่อยู่บนตักออกแต่ก็ไม่สามารถทำได้เมื่อหมีที่ว่าเป็นสายพันธ์ผสมของตุ๊กแกด้วยดูสิมือเหนียวจนแกะไม่ออกเลย
“พี่อยากนั่งตรงนี้”
“แต่ที่ตั้งกว้างนะคะ แบ่งไปนั่งทางอื่นบางก็ได้”
อวิกาหันไปมองรอบๆข้างก่อนจะวนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของคนดื้อ
“ก็ใช่แต่พี่ชอบตรงนี้ นิ่มดี”
“ดื้อจัง”
“อะไรนะคะ”
“เปล่าค่ะ งั้นอยากนั่งก็นั่งตามสบายแต่ตอนนี้เพชรชักง่วงแล้วล่ะสิ”
คนพูดผลิกตัวอย่างรวดเร็วจนคนที่นั่งบนตักลุกหนีไม่ทันจึงล้มลงไปกองบนเตียงและยังไม่ทันได้ขยับร่างกายของอวิกาก็ทาบทับลงไปบนตัวของมาธวีเป็นที่เรียบร้อยจนหญิงสาวไม่สามารถขยับได้ ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันอยู่นานก่อนที่อวิกาจะเป็นฝ่ายฉีกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเลห์
“น้ำเพชรเลิกเล่นได้แล้ว”
“ใครว่าเพชรจะเล่นล่ะคะ”
“น้ำเพชร! ”
“จริงๆนิคะเพชรเลิกเล่นตั้งนานแล้วคราวนี้เอาจริง”
คนพูดยกมือขึ้นปัดที่แก้มขาวเนียนที่บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีชมพูเรียบร้อย อวิกามองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างหลงใหลเมื่อก่อนนึกไม่ออกว่าทำไมตัวเองถึงได้ไม่คิดปฏิเสธหรือข้องใจสักนิดที่ถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตร่วมกับมาธวีจนมาตอนนี้ถึงได้รู้เพราะทุกอย่างมันหาใช่การถูกบังคับแต่เพราะเธอเต็มใจมาตั้งแต่ต้นต่างหาก
“เพชรอยากจะบอกพี่ผึ้งว่า…”
คำสารภาพบางอย่างถูกกลืนลงคอทันทีเมื่อคนที่โดนทับควักบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อเท่านั้นแหละอวิกาถึงกับเด้งถอยหลังด้วยความรวดเร็วพร้อมกับการเอามือปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้
“เพชรไม่แกล้งแล้วค่ะ”
“เป็นอะไรคะ”
“เปล่าค่ะแต่พี่ผึ้งเอาสเปรย์พริกไทยไปไกลๆตาเพชรก่อนได้มั้ยคะ”
คนพูดยังคงไม่ยอมลืมตาหากแต่คนฟังนี่สิถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะดึงมือที่ปิดตาของคนขี้กลัวออก
อวิกาค่อยๆหรี่ตาขึ้นดูก่อนจะพบว่าเจ้าสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นสเปรย์พริกไทยจริงๆแล้วเป็นขวดน้ำหอมขนาดเล็กที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนสเปรย์พริกไทยเลยสักนิด หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างอายๆก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“น้ำหอมค่ะไม่ใช่สเปรย์พริกไทย”
คนพูดหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือไปลูบที่ใบหน้าซีดๆของคนขี้กลัว
“พี่เลิกพกตั้งนานแล้ว”
ไม่รู้ทำไมพอเอ่ยประโยคแบบนี้ออกมาถึงทำให้มาธวีรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด หญิงสาวยิ้มออกมาแบบอายๆก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นอาการขัดเขินของตัวเอง
“แล้วตะกี้น้ำเพชรจะบอกอะไรพี่”
เมื่อนึกได้ถึงเรื่องที่อวิกาจะพูดความอยากรู้ก็ทำหน้าที่กลบทุกอณูความรู้สึกจนมาธวีต้องหันกลับไปจ้องหน้าเพื่อเอาคำตอบจากอีกฝ่าย
“ว่าไงคะจะบอกอะไรเอ่ย”
“คือเพชร”
อวิกาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกจู่โจมแบบไม่ได้ตั้งตัว ไม่รู้ความกล้าเมื่อสักครู่หดหายไปไหนหมดตอนนี้จึงเหลือแต่ความเก้อเขินที่ล้นทะลักออกมาแทน
“เพชร…”
“ค่ะพี่รู้แล้วว่าประโยคแรกคือน้ำเพชรแล้วต่อไปล่ะคะคืออะไร”
ดวงตาใสซื่อของคนถามยิ่งทำให้หัวใจของอวิกาสั่นไหวมากขึ้นความกล้าที่พยายามจะเรียกให้กลับมาเป็นศูนย์เพราะความมั่นใจของเธอได้ถูกผู้หญิงคนนี้ทำลายจนหมดสิ้น
“เพชร เพชรเอ่อเพชร…คือเพชร…”
คนฟังนิ่งเงียบตั้งใจรอฟังอย่างใจจดใจจ่อตอนนี้เธอจะปล่อยให้อีกคนเป็นฝ่ายพูดและเธอจะรอฟัง…
ทั้งห้องตกอยูในความเงียบอยู่นานจนในที่สุดอวิกาก็ตัดสินใจว่าจะพูดคำบางคำซะที
“เพชร…เพชร”
สายตาประสานกันนิ่ง อวิกาพยายามเรียกประโยคที่อยากพูดให้กลับคืนมาและในที่สุดรอยยิ้มของคนขี้อายก็ค่อยๆเผยออกมาจนคนรอฟังอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“เพชรหิวแล้วไปกินข้าวกันเถอะค่ะ”
มาธวีมองคนพูดที่เดินออกไปหน้าตาเฉยด้วยอารมณ์หงุดหงิดเธอนึกว่าอีกฝ่ายจะสารภาพรักซะอีก ดูท่าทางเหมือนคนหิวข้าวที่ไหน…ยิ่งคิดยิ่งโมโหหญิงสาวจัดการปาขวดน้ำหอมที่ทำให้เรื่องพลิกลงขยะทันทีไม่รู้ทำไมอวิกาถึงตาถั่วเห็นเป็นขวดสเปรย์พริกไทยไปได้แล้วไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องเอาไอ้ขวดบ้านี่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อแบบนี้ด้วย…ไม่เข้าใจจริง จริง!