ดาวบนพื้นน้ำ
อารัมภบท
งานฉลองวันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่ภาควิชาภาษาไทยจัดขึ้น เพื่อฉลองความสำเร็จและอำลาในโอกาสที่นักศึกษาชั้นปีที่ ๕ ได้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร คบ.๕ ปีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาทั้งชั้นปีที่ ๕ และนักศึกษารุ่นน้อง เสื้อผ้าหลากสีภายใต้ไฟนีออน หนุ่มสาวที่จะเป็นครูในอนาคตต่างรื่นเริงกับอาหารและเครื่องดื่ม เสียงเพลง กลิ่นน้ำหอมและการเคลื่อนไหวไปตามลีลาจังหวะตรีที่คึกคักและเร้าใจ
กนกพิชญ์เป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่มาร่วมงานในคืนนี้ หล่อนนั่งอยู่กับกลุ่มผองเพื่อนบนโต๊ะเดียวกัน ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีบายศรีสู่ขวัญและการขอพรจากเหล่าคณาจารย์ในภาควิชาภาษาไทยที่มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีการดังกล่าวแล้ว หล่อนกับเพื่อนๆนักศึกษาชั้นปีที่ ๕ นั่งชมการแสดงของเหล่ารุ่นน้องที่ผลัดกัน ทั้งร้อง และเต้น เพื่อสร้างความประทับใจให้พวกหล่อน และ พวกหล่อนเองก็ได้ไปร่วมวง ร้อง และ เต้น สร้างความสนุกสนานและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรุ่นพี่ รุ่นน้องเป็นอย่างมาก
กนกพิชญ์นั่งดูผองเพื่อนต่างร่วมร้องเพลงกันจนตัวเองรู้สึกเบื่อ จึงปลีกตัวออกจากห้องโถงของหอประชุมแห่งนั้น เพื่อรับลมเย็นๆที่ศาลาท่าน้ำ กนกพิชญ์เป็นหญิงสาวที่มีความตั้งใจแน่วแน่และกระวนกระวายที่จะออกไปหางานทำหลังเรียนจบ หล่อนได้ถามไถ่ตนเองมาหลายวันแล้วว่า เมื่อเรียนจบแล้วจะทำงานในตัวเมืองหรือจะกลับบ้าน ซึ่งในค่ำคืนนี้หล่อนได้คำตอบแล้วว่าจะเป็นครูที่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อจะพัฒนาเด็กนักเรียนในชนบทให้มีความรู้เทียบเท่ากับเด็กนักเรียนในเมือง
กนกพิชญ์กลับถึงหอพักอันเป็นที่พักเมื่อประมาณสี่ทุ่ม เสียงอลวลของงานเลี้ยงค่อยๆแผ่วเบาลง เมื่อเข้าสู่บริเวณหอพักหญิงที่อยู่หลังมหาวิทยาลัย เมื่อขึ้นไปยังห้องพักก็พบว่ากัญจน์ภัส น้องสาวของเธอซึ่งพักอยู่ด้วยกันกำลังดูละครโทรทัศน์อยู่
“กลับมาแล้วเหรอคะพี่แพม ทำไมกลับเร็วนักล่ะคะ” กัญจน์ภัสถามขณะที่สายตาจ้องไปที่โทรทัศน์ที่กำลังฉายละครเรื่องหนึ่ง “ไหนว่าจะให้พิมพ์ไปรับตอนเที่ยงคืนไงคะ”
“ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม ร้องเพลงก็ไม่เป็น จะเต้นเหรอก็ไม่เป็นอีกนั่นแหละจ๊ะ” กนกพิชญ์พูดกับนั่งลงบนเตียงนอนข้างๆ กัญจน์ภัส
“ของอย่างนี้มันต้องหัดสิคะพี่แพม เอาไหมคะเดี๋ยวพิมพ์จะหัดให้” กัญจน์ภัสถามหันมามองกนกพิชญ์แวบหนึ่งก่อนที่จะกลับไปสนใจละครต่อ
“ไม่เอาหรอก พี่จะเป็นครู ไม่ได้ไปเป็นนักร้อง จะหัดร้อง หัดเต้นไปทำไม” กนกพิชญ์พูดก่อนลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าเตรียมตัวจะอาบน้ำ
“แล้วพี่แพมจะเป็นครูในเมืองหรือจะไปเป็นครูแถวบ้านเราล่ะคะ?”
“กลับบ้าน พี่อยากเป็นครูบ้านนอก พี่อยากจะพัฒนาเด็กบ้านเราให้มีความรู้เทียบเท่ากับเด็กในเมือง” กนกพิชญ์ตอบหนักแน่นก่อนลับหายไปในห้องน้ำ
“พี่แพมอยากจะพัฒนาเด็กบ้านเราให้มีความรู้เทียบเท่ากับเด็กในเมือง หรือต้องการหนีใครกันแน่ พี่อาจจะหนีเขาได้แต่หนีหัวใจตัวเองไม่ได้หรอกนะคะ” กัญจน์ภัสตะโกนไล่หลังพี่สาว
วันต่อมากนกพิชญ์จึงเดินทางไปอำเภอหนึ่งในจังหวัดแห่งนั้นเพื่อรอการสอบบรรจุเข้ารับราชการครู ก็ในวันนั้นหญิงสาวในวัยยังไม่ถึงยี่สิบสี่ปีก็ออกเดินทางจากสถานีขนส่งสุรินทร์ด้วยรถสองแถวคันสีส้ม พร้อมด้วยใบปริญญาบัตรและใบประกอบวิชาชีพครูด้วยปณิธานและความมุ่งมั่นของตัวเอง เมื่อทางสำนักงานพื้นที่ทั่วประเทศได้เปิดสอบ เธอจึงเดินทางไปสอบที่จังหวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีฉายาว่าเมืองดอกลำดวน จังหวัดเล็กๆซึ่งอยู่ไกลจากจังหวัดที่เธออาศัยอยู่ไม่มากนัก ในวันประกาศผลสอบครั้งสุดท้าย คือ หลังจากการสัมภาษณ์แล้วปรากฏว่าผู้ที่สอบขึ้นทะเบียนในสาขาที่กนกพิชญ์เรียนจบออกมานั้นมีเพียง ๑๒๖ คน เท่ากับตำแหน่งที่ว่าง นับว่าเป็นความโชคดีของกนกพิชญ์ที่หล่อนสอบได้ลำดับที่ ๓๔ จัดว่าเป็นลำดับที่ค่อนข้างต้น ซึ่งกนกพิชญ์เฝ้ารอวันที่จะได้รับการบรรจุเข้ารับข้าราชการครูด้วยไฟฝันของครูพันธุ์ใหม่ คบ. ๕ ปี
วันที่ ๑๗ สิงหาคม กนกพิชญ์และพวกครูบรรจุใหม่ได้ไปรายงานตัวและเลือกโรงเรียนที่สำนักงานเขตพื้นที่แห่งหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนต่างๆ ที่มีให้เลือกนั้นล้วนแต่อยู่บ้านนอกห่างจากไกลจากตัวเมืองทั้งสิ้น เพียงแค่อ่านชื่อ กนกพิชญ์ก็ไม่รู้ว่าโรงเรียนเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ใด
“สวัสดีค่ะน้อง พี่ชื่อภา – ภาวิณี แล้วน้องล่ะชื่ออะไร และจะเลือกโรงเรียนอะไรคะ” เสียงครูสาวคนหนึ่งทักทายหล่อนขึ้นมา
“สวัสดีค่ะพี่ภา หนูชื่อ แพม – กนกพิชญ์ค่ะ หนูยังไม่รู้เลยว่าจะเลือกโรงเรียนอะไร แล้วพี่ภาล่ะคะจะเลือกโรงเรียนอะไร” หล่อนกระพุ่มมือไหว้ครูสาวคนดังกล่าวเนื่องจากดูแล้วอายุอานามมากกว่าเธอหลายปี
“มีสองโรงเรียนที่น่าสนใจจ้า คือ โรงเรียนบ้านบึงพัดซึ่งเป็นโรงเรียนประถมกับโรงเรียนโนนทรายวิทยาซึ่งเป็นมัธยมจ๊ะ โรงเรียนโนนทรายวิทยาอยู่ก่อนถึงตัวอำเภอ ๖ กิโล ส่วนโรงเรียนบ้านบึงพัดอยู่ห่างจากตัวอำเภอ ๑๐ กว่า กิโลจ้า พี่อยากสอนประถมแล้วน้องล่ะ”
“หนูอยากสอนมัธยมค่ะพี่ เอาอย่างนี้ไหมคะ หนูจะเลือกโรงเรียนโนนทรายวิทยา ส่วนพี่ก็เลือกโรงเรียนบ้านบึงพัดนะคะ” หญิงสาวเสนอความเห็นออกไป
“ดีเลยค่ะ พี่อยากได้โรงเรียนบ้านบึงพัดพอดีเลยค่ะ แต่พอดีน้องอยู่ลำดับก่อนพี่นะค่ะพี่เลยมาถามดูก่อน”
“ค่ะพี่ ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้นะคะ” ในที่สุดหล่อนจึงเลือกเอาโรงเรียนที่ไม่คุ้นชื่อโรงนั้น
“โรงเรียนโนนทรายวิทยา” หล่อนกรอกแบบฟอร์มต่างๆหลังจากตัดสินใจเลือกโรงเรียนแล้ว
“ตอนบ่ายนำหนังสือส่งตัวที่ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาออกให้ไปโรงเรียนที่เลือกนะครับ แล้วเริ่มปฏิบัติงานได้เลย ยินดีต้อนรับครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ทุกท่านเข้าสู่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของเราครับ”
ต่อจากนั้นกนกพิชญ์จึงเดินทางไปโรงเรียนโนนทรายวิทยาด้วยรถบัสสีฟ้าคันยาวขนาดกลาง ได้กระโจนออกจากท่ารถไปตามถนนราดยางสวยสด รถแล่นไปเรื่อยๆ เกือบห้าสิบนาทีจึงจอดกึกที่หน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง
“โรงเรียนโนนทรายวิทยา ต้องเข้าตรงถนนคอนกรีตตรงนั้นครับอาจารย์” ชายคนขับรถชี้มือบอกทางกับหญิงสาว
“ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้คนขับรถก่อนลงจากรถคันนั้น
เบื้องหน้าของหญิงสาวมีถนนคอนกรีตเส้นเล็กๆตัดผ่าน และมีป้ายสีขาวข้างทางระบุข้อความความว่า “โรงเรียนโนนทรายวิทยา ๓๐๐ เมตร” หญิงสาวจึงเดินตรงเข้าไปพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าหนึ่งใบโดยเดินไปตามถนนคอนกรีตเส้นเล็กๆนั้น
อ้า ! ชีวิตของการเป็นครูของกนกพิชญ์เริ่มต้นขึ้นแล้ว
..................................................................................
“เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
แต่ทรามวัยใสสุกทุกเวลา ในอกข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม”
ปิญารัตน์ หญิงสาวหน้าหวานกำลังนั่งชมพระจันทร์อยู่ริมระเบียงบ้านพักครูที่อยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดแถบชายแดนกัมพูชา เมื่อเธอมองเห็นความงามของดวงจันทร์หัวใจของเธอก็ได้หวนหาใครคนนั้นที่เธอยังคะนึงหาอยู่มิคลาย....
เมื่อสองปีก่อน
“อย่ามายุ่งกับลูกสาวฉันอีก” เสียงแหลมๆของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น เมื่อโยนกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของปิญารัตน์ลงตรงหน้าผู้เจ้าของ
“คุณแม่หมายความว่าอย่างไรคะ เจนกับแพมคบด้วยกันมานานแล้วคุณแม่ก็ทราบ แล้วทำไม...” เธอถามออกไปอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆมารดาของคนรักมากีดกันเอาตอนนี้ทั้งๆทราบว่าพวกเธอคบหากันเกินกว่าคำว่าพี่น้องมานานนักหนา
“เพราะฉันทนเห็นพวกแกทำผิดอีกต่อไม่ไหวแล้วนะสิ ออกไปจากห้องของลูกสาวฉันได้แล้ว และอย่ากลับมาที่นี่อีก” หญิงวัยกลางคนกล่าวน้ำเสียงกร้าว
“ถ้าคุณแม่ไม่เห็นด้วย เจนก็จะไปและจะไม่กลับมาที่นี่อีก...พี่ไปแล้วนะแพม ดูแลตัวเองด้วย” เธอหยิบกระเป๋าแล้วสาวเท้าออกจากห้องของคนรักด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พี่เจนอย่าไป อยู่กับแพมนะคะ พี่เจน” กนกพิชญ์รีบวิ่งตามคนรักแต่มารดาก็ดึงแขนเธอเอาไว้
“เข้าไปในห้อง ยัยแพม...แม่มีอะไรจะให้ดู...แกจะได้หูตาสว่างสักที”
นางกาญจนาดึงมือของบุตรเข้าไปในห้องพัก ขณะที่ปิญารัตน์หันกลับมามองอีกครั้ง ก่อนออกเดินจากไปจาหอพักแห่งนี้ด้วยน้ำตานองหน้า...........
“คิดอะไรอยู่เหรอคะเจน ไปอาบน้ำได้แล้วนะ...ดึกแล้ว” เสียงหวานใสของธนัญญาดังขึ้น ทำให้ปิญารัตน์หลุดออกภวังค์ ก่อนส่งรอยยิ้มหวานไปให้
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ แล้วนี่เรย์อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอคะ” ปิญารัตน์เมื่อเห็นใบหน้ารูปไข่เนียนใสของหญิงสาวร่างเล็กในชุดนอนกระโปรงสีชมพูหวานมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเธอ
กลิ่นหอมอ่อนๆจากเนื้อกายสาวลอยมาเตะจมูก ปิญารัตน์จึงดึงร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดก่อนพรมจูบไปทั่วใบหน้าหวาน
“จั๊กจี้ค่ะ ไปอาบน้ำได้แล้วนะ เหม็นจะแย่แล้ว” ร่างบางทำหน้ายี้พร้อมกับย่นจมูกเล็กน้อยก่อนผละออกจากอ้อมกอดและลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาส่งให้
“ขอบใจจ๊ะ งั้นเจนไปอาบน้ำดีกว่า” ปิญารัตน์รับผ้าเช็ดตัวจากมือหล่อนมาคล้องคอไว้ก่อนเดินออกห้องไป
ในใจนึกผิดนักที่อยู่กับอีกคนแท้ๆแต่กลับหวนหาอีกคนที่เป็นเพียงเงาฝันที่ตามหลอกหลอนเธอมาจนถึงวันนี้
..................................................................................