web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 144
Total: 144

ผู้เขียน หัวข้อ: Part 1 : ขนนกสีเพลิง บทที่ 2  (อ่าน 2032 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ พราวณพัชส์

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 6
Part 1 : ขนนกสีเพลิง บทที่ 2
« เมื่อ: 02 มกราคม 2014 เวลา 11:55:12 »


ตอนที่ 2


โซน SE คือชื่อเรียกเขตแดนที่ณัฐณิชาเกิดและเติบโตขึ้นมา
ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยออกไปนอกเขตนี้เลยสักครั้ง ที่นี่มีคนผิวเหลืองหรือที่คนรุ่นเก่าๆ เรียกกันว่าชาวเอเชียอยู่เป็นจำนวนมากพอๆ กับโซน E ซึ่งเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นสาวเชื้อสายไทยที่เกิดและโตมาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อและแม่เป็นใคร สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้านหน้าย่านสลัมของโซนคือที่ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่จำความได้ โซนนี้เคยมีประเทศนับสิบตั้งอยู่ แต่เพื้นที่กว่าครึ่งยังใช้ประโยชน์ไม่ได้เนื่องด้วยผลจากสงคราม ทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่ออนคตของตัวเองบนโลกแคบๆ นี่
กว่าที่ณัฐณิชาจะสามารถมีทุกวันนี้ได้เธอต้องตั้งใจเรียน และหาโอกาสให้ชีวิตด้วยตัวเองมาโดยตลอด จะว่าเธอโชคดีเหลือเกินก็ได้ที่เธอพลาดทุนเรียนแพทย์ของรัฐที่มีน้อยนิดสำหรับคนไม่มีเงินอย่างเธอ แต่ได้รับการอุปถัมภ์ด้านการเงินจากผู้ให้ทุนนิรนามจนเรียนจบมา
บ่อยครั้งเธอหวนนึกถึงช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย เธอเคยสำรวจกับเพื่อนและค้นพบว่าเขตที่อยู่นั้นมีพื้นที่กว้างมากเพราะเคยเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน แต่เพราะสงครามและการก่อการร้ายเมื่อราวสามสิบปีที่แล้ว ทำให้พื้นที่หลายส่วนปลูกพืชและอาศัยอยู่ไม่ได้ รัฐจะเป็นคนจัดการกับพื้นที่ใช้สอย เกษตรกรยังมีแต่ไม่มากนัก  อากาศมีแต่มลพิษ โลกใช้เวลาฟื้นฟูอยู่นานจนวิวัฒนาการไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าก่อนยุคสงครามสักเท่าไร ร่างกายของคนในจุดเสี่ยงนั้นอ่อนแอ บ้างก็เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร แม้แต่คนทั่วไปยังต้องทำการฉีดวัคซีนทุกสามเดือนเพื่อป้องกันกัมมันตรังสีและสารเคมีปนเปื้อนที่อาจสะสมในร่างกายจนเกิดโรคร้ายได้ทุกเมื่อ นั่นทำให้เธอตัดสินใจเป็นแพทย์อย่างไม่ลังเล
ต้นไม้ต่างๆ เหลือน้อยลง บางต้นก็สูญพันธุ์ไปมีเพียงภาพในห้องสมุดที่หาดูได้ เช่นเดียวกับสัตว์หลายอย่าง แม้แต่มนุษย์เองก็อาศัยอยู่ได้แค่ทวีปเดียว เขตที่เหลือ บ้างก็ยังลุกไหม้ บ้างก็ไม่เหลือดินดีๆ ให้ใช้สอย  มีแต่คราบดำและตอไม้ เป็นอนุสรณ์ที่เตือนใจให้รู้ว่าเราไม่ควรประมาทและต้องอาศัยอยู่บนโลกร่วมกันอย่างมีสติ

‘มาร่วมกันฟื้นฟูโลกเพื่อลูกหลานเถอะครับ...’

ป้ายโฆษณาของรัฐบาลกลางติดอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับเครื่องตรวจจับ เดี๋ยวนี้จะไปไหนนอกเขตแทบไม่ได้ เธอรู้ดีว่าเทคโนโลยีที่ไปไกลที่สุด คือ ส่วนที่สร้างมาเพื่อควบคุมให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง ระบบความปลอดภัย การติดตามตัว เรียกได้ว่าลายนิ้วมือและดีเอ็นเอของทุกคนอยู่ในฐานข้อมูลแทบทั้งสิ้น เธอรู้ดีว่าในความเป็นอิสระของทุกคน มีสายตาของใครจ้องมองมาจากที่ไหนสักแห่ง คอยจับตาดูทุกฝีก้าวว่ามีใครออกนอกระบบหรือไม่
 
และไลเบทกำลังจะแหกกฎเหล่านั้น...

ที่โรงพยาบาลกลาง โซนตะวันออกเฉียงใต้( SE )

แผนกผู้ป่วยสามัญ
   ทุกๆ วัน โต๊ะเก้าอี้ของที่นี่จะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับรอพบแพทย์ และมันเต็มตั้งแต่ยังไมได้เวลาเริ่มงาน แฟ้มประวัติของคนไข้ถูกวางไว้จนเต็มหน้าเคาน์เตอร์พยาบาล ยิ่งพอใกล้เวลาที่เข็มสั้นจะชี้ไปที่เลขแปด ความวุ่นวายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงพูดคุยถกเถียงกันของผู้คนที่นั่งรอดังก้องประสานไปกับเสียงประกาศเรียกชื่อคนไข้ จากลำโพงที่ถูกติดอยู่ทั่วบริเวณ แยกแทบไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงไหน
ณัฐณิชาเจอเรื่องแบบนี้ทุกวันตลอดสองปีที่เธอทำงานในฐานะแพทย์อยู่ที่แผนกนี้ เพื่อนของเธอหลายคนคิดว่าการทำงานที่แผนกนี้ช่างไม่คุ้มค่าตอบแทนเอาเสียเลย เพราะนิยามคำว่าสามัญของที่นี่ คือคนระดับล่าง ยากไร้ ไม่มีจะกิน  หรือไม่ก็พวกเด็กกำพร้า ไร้ญาติ แพทย์ที่สมัครใจทำงานแผนกนี้จะได้รับแค่เงินเดือน ไม่มีค่ารักษาให้เหมือนกับที่แผนกอื่นได้รับกัน แต่ณัฐณิชาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น เธอไม่แคร์เลยซักนิด ความพอใจของเธอคือการได้ดูแล รักษา ให้คำปรึกษาคนเหล่านั้น ซึ่งมันดีกว่าคอยไปประจบพวกลูกคุณหนูผู้ดีที่รู้จักแต่จะใช้เงินซื้อทุกอย่าง
   “แง...ฮือๆ...แม่จ๋า...”
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นขณะที่ณัฐณิชากำลังจะเดินไปที่ห้องตรวจประจำของเธอ นั่นทำให้เธอหยุดชะงักและมองหาที่มาของเสียงทันที
   เด็กหญิงตัวเล็กวัยไม่เกินสี่ขวบกำลังยืนเกาะขาเก้าอี้ที่ตรงที่รอพบแพทย์เอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตากำลังหันรีหันขวางไปมามองหาผู้เป็นแม่ ณัฐณิชาคิดจะเดินเข้าไปปลอบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ผู้ช่วยพยาบาลสาวลูกครึ่งเกาหลี หน้าตาจิ้มลิ้มที่วิ่งออกมาจากเคาน์เตอร์ก็ถึงตัวเด็กน้อยนั่นเสียก่อนแล้ว
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ อย่าร้องนะคะ เดี๋ยวคุณแม่ก็มา” ผู้ช่วยพยาบาลสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเองซับน้ำตาจากใบหน้าเล็กๆ พลางพยายามพูดปลอบเด็กน้อย แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเด็กคนนี้ก็ไม่ยอมหยุดร้องแถมยังไม่ยอมให้อุ้มอีกต่างหาก เห็นแบบนั้นแล้วคุณหมอสาวก็อดที่จะยืนขำก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
“ไหนๆ ร้องไห้ทำไมจ๊ะ ดูซิหน้าตามอมแมมหมดแล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ” ณัฐณิชาย่อตัวลงนั่งข้างเด็กน้อยก่อนจะใช้มือลูบหัวเธอเบาๆ
“สวัสดีค่ะหมอนิ” ผู้ช่วยสาวเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจพลางส่งยิ้มกว้างให้ ณัฐณิชายิ้มตอบ ก่อนจะหยิบอมยิ้มสีชมพูสดจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ของเธอส่งให้กับเด็กหญิงตรงหน้า เสียงร้องงอแงเงียบลงเปลี่ยนเป็นสะอื้นเบาๆ ในลำคอ แววตาไร้เดียงสาจดจ้องอยู่กับของในมือของคุณหมอสาว
“เงียบนะคะคนเก่ง เดี๋ยวคุณหมอจะพาไปหาแม่นะ” เด็กน้อยค่อยรับขนมไปพลางพยักหน้าน้อยๆ คุณหมอสาวจึงค่อยๆ อุ้มร่างเล็กๆ ขึ้นมากอดไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปพูดเล่นกับผู้ช่วยสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ
“ไหนๆ ลองถามพี่พยาบาลซิว่าแม่หนูอยู่ไหนคะ พี่โบอาขา คุณแม่หนูอยู่ไหนคะ?” คุณหมอสาวทำเสียงหยอกเย้า แต่เด็กน้อยก็เอาแต่ทำตาแป๋วไม่พูดไม่จา ทำเอาโบอาที่พยายามปลอบอยู่นานถึงกับชื่นชมในความสามารถของแพทย์สาว ทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
“แม่ของน้องผิงเค้าไปเอ็กซ์เรย์ค่ะหมอนิ ก็เลยฝากน้องผิงไว้กับโบอาน่ะค่ะ โบอาวางน้องเค้าไว้บนเก้าอี้ในเคาน์เตอร์ แล้วก็หันไปเช็คประวัติคนไข้ แป๊บเดียวเอง หันกลับมาอีกที น้องเค้าก็มาอยู่นี่แล้ว” ผู้ช่วยสาวเล่า ใครที่เดินผ่านไปมาพอเห็นคนสวยสองคนคุยกันอยู่กับเด็กหน้าตาน่ารัก ต่างก็เหลือบมองด้วยความสนใจ
“เหรอ? งั้นอีกเดี๋ยวแม่น้องผิงก็คงจะเสร็จแล้วมั้ง เราพาน้องเค้าไปรอหน้าห้อง X-ray แล้วกันนะ” ณัฐณิชาตัดสินใจ เธอเห็นว่ายังมีเวลาพอจะเดินไปกับหนูน้อยจึงเดินคุยกับโบอาไปด้วย...

   ระหว่างที่สองสาวกำลังเดินไปที่พวกเธอด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก สายตาเย็นชาที่เขาใช้มองมาที่คุณหมอสาวบ่งบอกว่าเขาไม่พอใจอะไรเธอสักอย่าง แต่โชคยังดีที่เขาเป็นคนเงียบขรึม ประกอบกับที่เขาเป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการแพทย์ทำให้เขาจำเป็นต้องวางตัวในที่สาธารณะ ทำให้การพบกันครั้งนี้มีเพียงแค่การออกคำสั่งแล้วจากไปเท่านั้น
   “คุณหมอณัฐณิชา เสร็จธุระแล้วไปพบผมที่ห้องด้วย” ชายหนุ่มสั่งการเป็นภาษาสากลอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดูเหมือนเขาจะดูถูกโซน  SE และไม่ชอบลดตัวไปคุยกับใครสักเท่าไร   แน่นอนว่าคุณหมอสาวไม่จำเป็นต้องให้คำตอบใดๆ เพราะมันคือคำสั่ง ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นไม่ว่าเธอจะตอบหรือไม่ ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี
   “หมอนิคะ...” ผู้ช่วยพยาบาลสาวน้อยมองณัฐณิชาอย่างกังวล
   “อ้าว ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะจ้ะโบอา ไม่เอาน่าฉันไม่เป็นไรซักหน่อย เธอก็รู้อยู่แล้วว่าคุณหมอชาร์ลน่ะ เขาไม่ชอบหน้าฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งพอตอนที่ฉันทำเรื่องของบเพิ่มให้แผนกผู้ป่วยสามัญ เขาก็ยิ่งไม่พอใจใหญ่ ต่อให้ฉันไม่ได้ทำไรผิด เค้าก็ตามจิกกัดอยู่ดีน่ะแหละ” ณัฐณิชาส่งยิ้มให้พลางพูดให้โบอาสบายใจขึ้น เมื่อเห็นเธอทำหน้าเป็นกังวลเสียยกใหญ่
   “ก็โบอาไม่อยากให้หมอนิโดนดุนี่คะ ยิ่งเป็นตาด็อกเตอร์ชาร์ลด้วยแล้ว ยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่ เดี๋ยวก็ส่งหมอนิไปทำอะไรแปลกๆ อีก ไม่ชอบเลย”
   ณัฐณิชายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่พลางมองดูสาวสวยที่กำลังทำหน้ามุ่ยเป็นกังวลอย่างเอ็นดู สำหรับเธอแล้วโบอาแทบไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ก็ตาม
   “อืม...งั้นเอาอย่างงี้ไหม ถ้าด็อกเตอร์ชาร์ลบอกให้ไปไหน ฉันจะปฏิเสธให้หมดเลย ไม่ไปไหนทั้งนั้น ดีไหม?”
   “โธ่ หมอนิอ่ะ โบอาเป็นห่วงนะคะ” ผู้ช่วยสาวทำเสียงงอนๆ รู้ว่าคุณหมอสาวประชดเธออย่างเอ็นดู
   “รู้แล้วจ้ะๆ เอ้า เอาน้องผิงไปอุ้มไว้ ฉันต้องไปพบคุณหมอสุดโหดแล้ว” ณัฐณิชาบอกพลางส่งเด็กน้อยในอ้อมกอดให้กับโบอาเอาไปอุ้มไว้แทน ก่อนจะโบกมือลา
   
…………………………………


ทุกครั้งที่ณัฐณิชาก้าวออกจากลิฟท์มาที่ชั้น 12 ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยพิเศษ เธอมักจะคิดว่าเธอหลุดโลกออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่โรงแรมห้าดาวก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็พบแต่ความหรูหราทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตกแต่งด้วยสีขาวและครีมดูสะอาดตา โซฟาหลายตัวหลากไซส์ทั้งเล็กใหญ่ถูกจัดวางไว้ใกล้ๆ ชั้นหนังสือไม้ขนาดกลางที่บรรจุหนังสือไว้เต็มทุกชั้น พนักงานต้อนรับทั้งชายและหญิงอยู่ในชุดสูทสีขาวยืนเตรียมพร้อมรอต้อนรับผู้มาใช้บริการด้วยรอยยิ้ม
  นิยามคำว่าพิเศษของที่นี่คงหมายถึง สถานที่สำหรับผู้ป่วยที่มาจากชนชั้นสูง พวกคุณหนูผู้ดีมีอันจะกิน พวกข้าราชการยศใหญ่ หรือใครก็ตามที่กระเป๋าหนักพอจะจ่ายค่ารักษาและค่าห้องต่อวัน

ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกคนรวยเนี่ย นั่งเก้าอี้สแตนเลสธรรมดาไม่ได้รึยังไงนะ เฮ้อ...

   คุณหมอสาวคิดพลางเดินตรงผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นทางเดินไปยังห้องของชาร์ล พื้นกระเบื้องหินขัดสีขาวทอดยาวไปยังสุดทางเลี้ยว สองข้างซ้ายขวาเป็นห้องคนไข้ที่ขนานไปกับทางเดิน ณัฐณิชาไม่ได้มาชั้นนี้บ่อยมากนัก แต่มันก็บ่อยพอให้จำทางไปยังจุดหมายได้
…………………………………

   รัชชานนท์เปิดประตูออกจากห้องคนไข้หลังจากที่เขาเสร็จงานสอบปากคำไฮโซสาวที่โดนกระชากกระเป๋าและทำร้ายร่างกายก่อนหน้าคดีจอมโจรไลเบทไม่ถึงสามชั่วโมง

   เฮ้อ...เสร็จซักที...

   ผู้กองหนุ่มหน้าเข้มถอนหายใจยาวๆ เขารู้สึกสดชื่นและหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าตอนอยู่ในห้องของคนไข้เสียอีก เจอผู้หญิงเรื่องมากมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอใครที่ทั้งเรื่องมาก ทั้งเวิ่นเว้อ พูดจาวกไปวนมาแถมยังโมโหใส่ได้เท่าเจ้าทุกข์รายนี้เลยจริงๆ ที่สำคัญคำให้การยังกลับไปกลับมา สะเปะสะปะจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกต่างหาก คิดแล้วยังเหนื่อยไม่หาย

   เอ๊ะ...นั่นคุณหมอคนนั้นนี่นา...

รัชชานนท์นึก เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวสวมเสื้อกาวน์สีขาวกำลังเดินมาทางนี้

โลกกลมจริงนะ...

รอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่เผลอจ้องมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ณัฐณิชาหันมาเห็นเขาพอดี คุณหมอสาวส่งยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรก่อนรัชชานนท์จะเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ
“บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณอีก” ผู้กองเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อน
"เอ่อ... เราเพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เองไม่ใช่เหรอคะ?” ณัฐณิชาตั้งคำถามกลับด้วยอาการสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งอำเธอเล่นหรือเปล่าเพราะยังไงทำงานทีมเดียวกันต้องเจอกันอยู่แล้วนี่นา
รัชชานนท์เห็นหน้าตาท่าทางใสซื่อแบบนั้นก็อดที่จะอมยิ้มและจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดูไม่ได้ ณัฐณิชาในสายตาของรัชชานนท์เวลานี้ น่ารักจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน
“ผมหมายถึง...ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นต่างหากล่ะ”
“คราวนั้น?...”
หญิงสาวทวนคำทำหน้าสงสัย แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงเรียกเข้าจากเทเลแกรมของทั้งคู่ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน ต่างคนต่างหยิบมันขึ้นมาดู
“งานเข้าซะแล้ว” ผู้กองไม่ได้รับสาย เขากดปิดเสียงเอาไว้ก่อนจะหันมาพูดกับอีกคนซึ่งก็ทำแบบเดียวกัน ณัฐณิชาตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูด
“เหมือนกันเลยค่ะ”
“งั้น...ไว้ค่อยคุยกันนะ คุณหมอณัฐณิชา” รัชชานนท์เผยยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะขยับตัวเปิดทางพร้อมทั้งผายมืออย่างสุภาพให้อีกคน
“เรียกนิก็ได้ค่ะ” คุณหมอสาวสวยหันมาบอกก่อนจะส่งยิ้มและเดินจากไป
“คร้าบ หมอนิ...” รัชชานนท์พูดขึ้น สำนวนกับน้ำเสียงของเขาทำให้คุณหมอสาวเริ่มนึกอะไรออก เธอหันกลับมามองร่างสูงอีกครั้ง
“นายชานม...?” ร่างบางเรียกขึ้นอย่านึกได้ ผู้กองมาดเข้มเอียงหน้ากลับมายิ้มให้น้อยๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นตำรวจหนุ่มจอมเพ้อคนเดียวกับที่เธอเจอตอนเป็นหมออินเทอร์น ทว่าร่างกายที่ดูแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก ผมเผ้าก็ตัดเรียบร้อยไม่ไว้ยาวรก รวมถึงใบหน้าเข้มๆ เกลี้ยงเกลาที่เมื่อก่อนไม่ดูแลตัวเองนักทำให้เธอแทบจำไม่ได้

ไม่จริงน่า...

ณัฐณิชารู้สึกหัวใจเต้นรัวผิดจังหวะ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก

…………………………………


กว่ายี่สิบนาทีที่ณัฐณิชาต้องนั่งฟังนายแพทย์ชาร์ลยกสารพัดหลักการขึ้นมาพูดอธิบายปนจิกกัดถึงสิ่งที่เธอทำไปเมื่อเช้านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็แค่เรื่องที่เธอดันไปแจ้งให้พยาบาลในห้อง ICU เปลี่ยนสายสวนปัสสาวะใหม่ก่อนหน้าที่จะถึงกำหนดเปลี่ยนเร็วไป 24 ชม. แต่เขาทำราวกลับว่านี่เป็นเรื่องผิดพลาดยิ่งใหญ่ของปีเลยก็ว่าได้
 สำหรับคุณหมอสาวแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดที่สุดคงจะเป็นเพราะเธอไม่ได้ตรวจสอบชื่อแพทย์เจ้าของไข้เสียก่อน ถึงได้หวังดีเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคนไข้ในสังกัดของเขาเข้า
“เขียนรายงานอธิบายเรื่องนี้มาให้ผมด้วย และก็เชิญกลับไปทำหน้าที่ของคุณได้แล้ว...”

 เขียนรายงาน!?!... เอาจริงเหรอเนี่ย...
ใครที่ไหนเขาให้เขียนรายงานกับเรื่องจิ๊บจ้อยแค่นี้กัน!...
ฮึ้ยยย...คิดว่านายเกลียดฉันได้ฝ่ายเดียวรึไง...ฉันก็เกลียดนายเหมือนกันแหละ...
เฮ้อออออ...

 เจ้าของร่างบางเดินคิดหน้ามุ่ยบ่นอุบอยู่ในใจมาตลอดทาง ตั้งแต่ออกจากห้องทำงานนายแพทย์ชาร์ลมาจนถึงหน้าลิฟท์ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครอีกคนเดินตามเธอมาด้วย
 “โดนดุแต่หัววันเลยสิ”
เสียงทักที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้นปลุกหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงความคิดรู้สึกตัวขึ้น รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณหมอสาวทันทีที่เธอหันไปเห็นหญิงชาวต่างชาติยืนอยู่ข้างๆ 
 “อะ... อาจารย์โจลี่ สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ท่าทางใจดี เผยรอยยิ้มจางๆ ยามที่เธอตอบคำถาม
“ก็พร้อมๆ กับหมอนิแหละ พอดีอาจารย์ออกจากห้องมาแล้วเห็นเราเพิ่งออกมาจากห้องพักของด็อกเตอร์ชาร์ล ท่าทางเหมือนจะหงุดหงิด อาจารย์ก็เลยเดินตามเรามาติดๆ ไม่รู้ตัวเลยรึยังไง ฮึ...” สายตาอ่อนโยนปนเอ็นดูที่ถูกส่งมายังคุณหมอสาวมักทำให้เธอรู้สึกว่าเธอยังแค่นักศึกษาแพทย์คนหนึ่งอยู่เสมอ แม้ว่าเวลานั้นจะผ่านมานานแล้วก็ตาม
ในบรรดาอาจารย์หมอทุกคนที่สอนณัฐณิชามา ผู้หญิงคนนี้ถือเป็นอาจารย์ที่เธอรักและเคารพมากที่สุด เธอทั้งอ่อนโยน ใจดีและมีเมตตา แถมยังไม่ถือตัวเลยสักนิดไม่ว่ากับใครจะยากดีมีจนเท่าไหร่ แม้ว่าเธอจะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็ตาม  เรียกได้ว่าเป็นแบบฉบับของคุณหมอที่ณัฐณิชาอยากจะเจริญรอยตามที่สุดก็ว่าได้
“ไม่ทันสังเกตจริงๆ ค่ะ แล้วนี่อาจารย์จะไปไหนต่อรึเปล่าคะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ รู้สึกอายในความเปิ่นของตัวเองก่อนจะรีบตั้งคำถามเปลี่ยนเรื่องแทน
“ก็มีธุระข้างนอกนิดหน่อยจ้ะ และก็ว่าจะแวะไปหาโบอาด้วย ไปแสดงความยินดีกับเค้าหน่อย ในที่สุดก็ได้เป็นผู้ช่วยพยาบาลเต็มตัวสักทีนะ”
“ค่ะ ต้องขอบคุณอาจารย์มากกว่า ถ้าตอนนั้นอาจารย์ไม่ช่วย โบอาก็คงไม่มีวันนี้หรอกค่ะ” ณัฐณิชาบอกพลางผายมือเชิญอีกคนเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งมาถึง
“เพราะตัวของเด็กคนนั้นเองด้วยต่างหาก ที่พยายามขยันเรียนอย่างหนัก จนมีวันนี้ได้ ใครจะคิดล่ะ ว่าคนที่ดูหัวอ่อน กลัวนู่น กลัวนี่อยู่ตลอดเวลาจะทำสำเร็จจนได้”
“นั่นสินะคะ...ไม่น่าเชื่อเลย...”
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ใจจริงแล้วณัฐณิชามั่นใจมาตลอดว่าโบอาจะต้องเรียนจบแน่ เพราะโบอามีความมุ่งมั่นและแรงผลักดันที่คล้ายกับเธอ นั่นคือต้องเรียนให้จบและหางานทำให้ได้ แบบนั้นแล้วถึงจะย้อนกลับไปให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกับพวกเธอได้...
 
เด็กกำพร้า...
 
เด็กที่ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องมาคอยดูแลเอาใจใส่เหมือนคนอื่นๆ แต่พวกเธอยังถือว่าโชคดีกว่าอีกหลายคน เพราะพวกเธอยังได้รับโอกาส และเมื่อได้รับมันมาแล้ว ย่อมจะให้มันเสียเปล่าไม่ได้อย่างเด็ดขาด...

…………………………………

รัชชานนท์เดินมาดูหลักฐานที่ห้องแลบชั้น 22 ของตึกกองสอบสวนพิเศษ ตึกแห่งนี้ตั้งอยู่กลางโซน ถือเป็นจุดศูนย์กลางทางราชการ ความสูงตระหง่านถึง 77 ชั้น และไม่เคยหลับใหลทำให้แสงจากตึกดูไม่ต่างจากประภาคารที่ตั้งเพื่อรอเป็นจุดหมายของนักเดินทาง...
ปกติแล้วรัชชานนท์จะทำงานอยู่ที่ชั้นสิบ ห้องทำงานของเขามองเห็นโรงพยาบาลกลางที่อยู่ด้านข้างตึก ทางเชื่อมระหว่างตึกทั้งสองมักมีคนในชุดเสื้อกาวน์ ไม่ก็ตำรวจเดินขวักไขว่ทั้งวัน เขาไม่ค่อยได้ขึ้นมาชั้นสูงๆ นักเพราะยิ่งสูงเท่าไหร่ หน่วยงานก็ยิ่งระดับสูงมากขึ้น แต่ละคนทำได้แค่แสกนนิ้วมือและทาบบัตรประจำตัวเพื่อขึ้นชั้นของตัวเอง หากไปชั้นอื่นต้องแจ้งกับหน่วยงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งถือได้ว่ามีความสามารถไม่ต่างกับกรมตำรวจเลยทีเดียว

ก๊อกๆ
เขาเคาะประตูกระจกขุ่นทันทีที่เห็นป้ายห้อง จากกระจกมองเข้าไปเห็นเงาคนมัวๆ จึงแน่ใจว่าธารธีอยู่ในนั้น ร่างสูงเปิดประตูเข้าไป
“มีธุระถึงขนาดต้องขึ้นมาบนนี้เลยเหรอ”
เสียงห้าวๆ ของนักนิติวิทยาศาสตร์สาวมาดเท่เอ่ยโดยไม่มอง สายตาของเธอยังอยู่กับกล้องจุลทรรศน์ตรงหน้า
“ฉันเอาของมาให้” รัชชานนท์ตอบ “แล้วก็อยากรู้ผลของหลักฐานบ้านนายพลอีวานนอฟด้วย
“คนร้ายของคดีนี้เข้ามาได้อย่างเงียบเชียบเพราะมีการเจาะข้อมูลแฮกระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีฝีมือไม่ใช่ย่อยเลยล่ะเพราะหลักฐานมีน้อยมาก ว่าแต่เอาอะไรมาล่ะ”
ธารธีละสายตาจากกล้องตรงหน้า หันมามองผู้กองเต็มสองตา รัชชานนท์จึงหยิบของที่เขาเตรียมมาจากในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท
“เดี๋ยวนี้ยูนิฟอร์มสากลของตำรวจดูไม่ต่างจากพวกพ่อบ้านเลยนะ” ธารธีมองสูทสีน้ำตาลเข้มของรัชชานนท์ คำพูดดูถูกกรายๆ ของเธอทำให้เขาขมวดคิ้ว แล้วเปลี่ยนมายิ้มน้อยๆ
“นายนี่ยังไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ นะแทน”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อสนิทสนมขนาดนั้น งานก็ส่วนงานน่ะผู้กอง” ธารธีบอกห้วนๆ พลางหยิบกล่องนั้นมา แค่ความยาวของมัน ธารธีก็พอเดาได้
“ผู้พันเจมส์อยากให้ตรวจเทียบอย่างละเอียด” เสียงของรัชชานนท์ปรับต่ำลงเมื่ออีกฝ่ายวางท่าใส่ “อยากให้นายทำให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ เราต้องรีบจัดการโจรนั่น เวลานี้กลุ่มผู้นำโลกยังไม่จับตามอง แต่ถ้าโซนเรามีปัญหาขึ้นมา นายคงรู้ว่าเป็นยังไง”
ธารธียังคงนิ่ง เธอเปิดกล่องออก สายตาเป็นประกายแวบหนึ่ง
“นี่มัน...”

ขนนกสีเพลิง

“ใช่ ขนนกสีเพลงของแท้เมื่อสิบสองปีก่อนมันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ กรมตำรวจต่างประหลาดใจ มันเหมือนขนนกจริงมาก ดูมีชีวิต สีสวยเหมือนเปลวไฟ สัญลักษณ์ของจอมโจรไลเบท นายหาได้ใช่ไหมว่าอันใหม่มันเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่า"
“อืม” ร่างสูงตอบสั้นๆ รัชชานนท์จึงเดินกลับไป เขาเข้าใจดีที่เธอไม่อยากพูดด้วยสักเท่าไร

แต่ฉันก็หวังว่าการได้ทำงานด้วยกันของเราจะทำให้นายลืมเรื่องนั้นได้นะ แทน...

…………………………………

บ่ายวันเดียวกัน...

เสียงเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพาดังขึ้น ร่างบางหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรฯเข้ามา ก่อนจะกดรับทันทีที่เห็นสัญลักษณ์กลุ่มดาวรูปหงส์ปรากฏอยู่บนหน้าจอเทเลแกรมของเธอ
“ว่าไง ซิกนัส”
“ไงที่รัก คิดถึงซิกนัสมากไหมจ๊ะ?” เสียงปลายสายตอบกลับอย่างยียวน
“ก็ไม่นะ” คนพูดอมยิ้มพลางยักไหล่
“เบื่อจังพวกปากไม่ตรงกับใจเนี่ย... ว่าแต่...รู้สึกไหมว่างานคราวที่แล้วของเรามันเงียบไปนะ มาสร้างความครึกครื้นกันหน่อยดีไหม มีงานใหม่น่าสนใจมาอีกแล้ว แถมเป็นงานด่วนเสียด้วยสิ”
“แหม...ใจตรงกันจัง” หญิงสาวพูดเสียงทะเล้นก่อนจะเอ่ยถาม “แล้ว...งานใหม่ที่ว่ามันคืออะไรล่ะ ลองบอกมาสิ เผื่อฉันจะสนใจอยากทำ”
“ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องสนมันอย่างแน่นอน ฟินิกซ์”
เสียงจากปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงเตือนข้อความใหม่เข้ามาที่เทเลแกรมของอีกคน ฟินิกซ์ใช้นิ้วจิ้มตรงคำว่า...

 1 New massage...

 ภาพของชายวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผมทรงสุภาพสีดำแซมขาวเล็กน้อย ผิวคล้ำออกแดง ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอของเธอ
“นี่มันรูป นายฉลอง ทำนุ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของโซน SE ไม่ใช่เหรอ ฉันรู้มาว่ารัฐบาลให้เขาจัดการกับงบก้อนใหญ่ที่เป็นสวัสดิการให้พวกคนแก่ และเด็กๆ ตามสถานสงค์เคราะห์ต่างๆ นี่” หญิงสาวบอกพลางใช้นิ้วมือขยายภาพจากหน้าจอ
“ถูกต้อง ด้วยความอัจฉริยะของฉัน ทำให้สืบทราบมาว่า หมอนั่นหมกเม็ดเงินงบประมาณก้อนโตเอาไว้ใช้เองส่วนหนึ่ง และในวันพรุ่งนี้ นายฉลองคนนี้มีภารกิจยิ่งใหญ่ที่จะต้องเดินทางไปทำงานต่างโซน ซึ่งนั่นหมายความว่า...”
“หมายความว่า ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ จะเอาเงินที่หมกไว้ไปฟอกมาใช้ให้สบายใจเฉิบล่ะสิ ฉลาดคิดนักนะ” ฟินิกซ์ทำน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เธอเกลียดคนแบบนายฉลองมาก ถึงมากที่สุด เพื่อผลประโยชน์และเพื่อสนองความโลภของตนเอง คนพวกนี้ไม่ได้สนใจสักนิด ว่าคนที่รอความช่วยเหลือนั้นจะเดือดร้อนแค่ไหน
“ฉลาดแค่ไหน ก็ไม่เกินเราหรอก... จัดไหม?”
“ว่าแผนการมาเลย ไลเบทได้เวลาทำงานแล้ว”
               






 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.