รักลวง
บทที่ ๔ : เสียงเคาะประตู...ยามค่ำคืน
ฟ้าเริ่มมืดสลัวพระอาทิตย์ใกล้ลับโลก ส่องแสงเพียงแสงสีแสดจางๆอยู่บนปลายฟ้า กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สะบัดไหวเอนตามแรงลม สายลมพัดแรงขึ้นแรงขึ้น จนกลายเป็นกรรโชกแรง ทำให้ป่องแป้งที่เพิ่งกลับมาจากรับประทานอาหารกับมีนาต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถจักรยานยนตร์ให้มากขึ้น
“ขับระวังๆหน่อยนะป๋องแป้ง ฉันกลัว...” มีนาพูดด้วยอาการหวาดกลัวกับสภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้น
“ไว้ใจฉันเถอะมีนา ใกล้ถึงหอพักเราแล้ว...” ป่องแป้งพูดก่อนที่จะขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดในโรงจอดรถของหอพัก
หญิงสาวทั้งสองเดินตามกันขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของอาคาร ตามทางเดินที่เปิดไฟสว่างจ้าช่วยให้บรรยากาศไม่น่ากลัวเท่าใดนัก ทั้งคู่เดินมาจนถึงห้องพักที่หญิงสาวทั้งสองพักอยู่ ป๋องแป้งไขกุญแจเข้าไปภายในห้อง หญิงสาวทั้งสองเดินตามกันเข้ามาในห้องพัก
“เหนื่อยจังเลย พรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านแล้ว ดีใจจัง” มีนาพูดพร้อมกับล้มตัวลงบนเตียงนอนสีหวานของตนเอง
“ฉันจะไม่กลับบ้านหรอกมีนา อยากจะอยู่ซ้อมกีฬาจนถึงวันแข่งจริง ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เรียนพลศึกษาหรือเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะซ้อมให้เต็มที่เพื่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยของเรา” ป๋องแป้งพูดขึ้นมาบ้าง
“แต่ซ้อมหนักเกินไป ร่างกายจะไม่ไหวเอานะป๋องแป้ง ไปซ้อมบ้านฉันดีกว่า ซ้อมกีฬาท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นสไตล์รีสอร์ท สนใจหรือเปล่าจ๊ะ”
“มันจะดีเหรอมีนา เกรงใจคนที่บ้านเธอ” ป๋องแป้งเอ่ยปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แม้ว่าจะสนใจตามคำเชิญชวนของมีนาก็ตาม
“เกรงจง เกรงใจอะไรกัน เธอเป็นเพื่อนสนิทฉัน บ้านฉันยินดีต้อนรับเสมอ ที่สำคัญบ้านฉันก็มีคนอยู่แค่ไม่กี่คน ฉันเหงา นะป๋องแป้งนะไปอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะแก”
“ขอฉันคิดดูก่อนนะจ๊ะมีนา” ป๋องแป้งพูดด้วยความรู้สึกชั่งใจ....
กลางดึกบรรยากาศภายในห้องพักของป๋องแป้งและมีนาสลัวๆ แต่ไม่มืดสนิท เพราะแสงไฟจากทางเดินด้านหน้าได้สาดส่องเข้ามาภายในห้อง ขณะนี้หญิงสาวทั้งสองกำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงนอนของตนเอง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นในยามวิกาล ปลุกให้หญิงสาวทั้งสองสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ไม่ต้องเปิดหรอกป๋องแป้ง ใครก็ไม่รู้” มีนารีบส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นว่าป๋องแป้งกำลังลุกไปเปิดประตู
“อย่าคิดมากน่ามีนา เผื่อเป็นอาจารย์หรือเพื่อนคนอื่นๆก็เป็นได้” ป๋องแป้งไม่ฟังเสียง หญิงสาวเดินไปเปิดประตู แต่สิ่งที่พบกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่บริเวณหน้าประตูและตลอดแนวทางเดินเลยแม้แต่คนเดียว หญิงสาวได้แต่นิ่งงันด้วยความประหลาดใจ
‘ใครนะ หายไปไหนไวจัง’
ก่อนที่ป่องแป้งจะปิดประตูห้อง สายตาก็ไปสะดุดอยู่ที่ดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งซึ่งตกอยู่ บริเวณหน้าประตูห้องของเธอ หญิงสาวจึงก้มเก็บดอกไม้นั้นเข้ามาในห้องและปิดประตูล็อคกลอนอย่างแน่นหนา
“ใครเหรอป๋องแป้ง....” มีนาถาม เมื่อป๋องแป้งเดินเข้ามาในห้องแล้ว หญิงสาวไม่ตอบแต่ยื่นดอกไม้ดังกล่าวไปตรงหน้ามีนา
“ดอกพญาหงส์ นี่นา หอมเสียด้วย” หญิงสาวพูดพร้อมกับสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ดอกพญาหงส์ ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเเรงในตอนกลางคืน
“ดอกพญาหงส์เหรอมีนา มาอยู่ตรงหน้าห้องเราได้อย่างไร หอพักเราไม่ได้ปลูกไว้สักหน่อย” ป๋องแป้งถามด้วยความสงสัย
“เมื่อตอนหัวค่ำลมกรรโชกแรง ลมอาจจะปลิวมาตอนนั้นก็ได้ พวกเราอาจจะลืมสังเกต ดึกแล้วนอนต่อเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” พูดจบ มีนาก็วางดอกไม้ดังกล่าวที่โต๊ะเล็ก ตรงกลางระหว่างเตียงนอนของพวกเธอทั้งสองคน ป๋องแป้งและมีนาแยกย้ายกันเข้านอนบนเตียงนอนของตนเอง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ยังไม่ทันจะนอนหลับ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ป๋องแป้งกับมีนาหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ก่อนที่ป๋องแป้งจะเดินไปเปิดประตูอีกรอบ เมื่อประตูถูกเปิดออกสิ่งที่รอเธออยู่กลับมีเพียงความว่างเปล่าเหมือนเดิมไม่มีผิด
‘ใครแกล้งเราเนี่ย หลบไปซ่อนตรงไหนไวจัง’ ป๋องแป้งคิดอย่างหัวเสียก่อนที่จะปิดประตูล็อคกลอนไว้อย่างเดิม แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา
‘ทำไมเราไม่แอบดูล่ะว่าใครที่เล่นพิเรนทร์อย่างนี้’ เร็วเท่าความคิด ป๋องแป้งรีบนำเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งไปไว้หน้าประตูห้อง ก่อนปีนขึ้นไปแอบมองดูอยู่ทางช่องลมเหนือประตูห้อง
หญิงสาวยืนรออยู่หลายอึดใจ ก่อนที่จะปรากฏเงาของร่างๆหนึ่ง ค่อยๆ คลานออกมาจากห้องน้ำในหอพัก เมื่อร่างนั้นคลานตามทางเดินมาใกล้ยิ่งขึ้นหญิงสาวก็พบว่าเงาร่างนั้นเป็นหญิงสาวผมยาวใส่ชุดนักศึกษา ค่อยๆคลานมาเรื่อยๆ พร้อมกับเอามือกรีดตามผนังมาด้วย
“แกร๊ก แกร๊ก”
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เมื่อถึงประตูก็จะใช้ศีรษะเคาะไปที่ประตูห้อง เสียงเดียวกับที่เธอได้ยินไม่มีผิด
จนมาถึงห้องของเธอ หญิงสาวคนนั้นก็เคาะประตูพร้อมๆกับค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง ราวกับรู้ว่าเธอแอบมองอยู่ตาสบตากัน ป๋องแป้งขนลุกซู่ความกลัวถาโถมเข้ามาจนยืนแทบไม่อยู่ เพราะหญิงสาวคนนั้นคงไม่ใช่คนแน่ๆแล้ว เพราะใบหน้าส่วนล่างของหญิงสาวคนนั้นหายไป เหลือเพียงลิ้นแดงๆที่โผล่ออกมาจากคอหอย หยดเลือดค่อยๆไหลปรี่ออกมาจากส่วนนั้นจนแดงเถือกไปทั้งลำคอ พร้อมกับย้อมเสื้อนักศึกษาสีขาวหม่นนั้นให้แดงเถือกภาพในพริบตา ดวงตาที่เคยหม่นเศร้าหลับแดงก่ำอย่างน่ากลัว จนหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ขาสั่นจนผลัดตกจากเก้าอี้ โชคดีที่มีนามารับร่างของเธอไว้ได้
“ช่วยด้วยมีนา ช่วยฉันด้วย” ป๋องแป้งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นน้ำตาไหลพรากอาบใบหน้าของเธอด้วยความกลัว ก่อนที่สติสัมปชัญญะของหญิงสาวจะดับวูบไปในอ้อมแขนของมีนานั่นเอง
“ป๋องแป้งๆ เป็นอะไร ป๋องแป้ง” มีนาเขย่าตัวเรียก แต่หญิงสาวยังคงไร้สติ มีนาจึงพยุงเพื่อนสาวไปนอนที่เตียงของตัวหล่อนเองอย่างทุลักทุเล
มีนาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากพยุงป๋องแป้งไปนอนที่เตียงได้สำเร็จ หญิงสาวควานหาหลอดยาดมในกระเป๋า มาจ่อที่ปลายจมูกของป๋องแป้ง พร้อมกับใช้มืออีกข้างเขย่าเรียกเพื่อนไปด้วย
“ป๋องแป้งๆ ฟื้นสิ ป๋องแป้ง” เพียงชั่วครู่ป๋องแป้งก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับลุกขึ้นมาผวากอดมีนาเอาไว้ด้วยความตระหนก
“ใจเย็น ป๋องแป้ง ใจเย็นๆ เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเห็นอะไร” มีนาใช้มือดันร่างของป๋องแป้งออกพร้อมกับถามออกมาด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
ป๋องแป้งจึงเล่าเหตุการณ์ประหลาดทั้งหมดให้เพื่อนฟัง ตั้งแต่เหตุการณ์แรก ซึ่งเธอเล่าไปด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เมื่อป๋องแป้งเล่าจบ มีนาก็ขนลุกซู่
“หมายความว่าสิ่งที่เราเจอทั้งหมด เป็นวิญญาณอย่างนั้นเหรอ น่ากลัวจังเลย” มีนาพูดพร้อมกับกอดป๋องแป้งตัวกลมดิ๊ก
“ก็ใช่นะสิ จะบอกตรงๆก็เกรงว่าเธอจะกลัว มีนาฉันขอไปพักบ้านเธอด้วยนะ ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
“ได้เลยจ๊ะ บ้านฉันยินดีต้อนรับเธอเสมอ แต่ตอนนี้ฉันว่าเรานอนกันก่อนเถอะ” ป่องแป้งกับมีนาจึงนอนเบียดกันบนเตียงนอนเดียวกันภายในห้องพักที่เปิดไฟสว่างโร่จนถึงรุ่งเช้า
เช้าวันรุ่งขึ้น ป๋องแป้งและมีนาก็เดินไปอาบน้ำพร้อมกันด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น จนกระทั่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวทั้งสองก็ขับรถจักรยานยนตร์ออกจากหอพักมุ่งหน้าเข้าสู่วัดเล็กๆในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียนอยู่
หลังทำบุญเสร็จป่องแป้งกับมีนาก็ขับรถจักรยานยนตร์มาซ้อมกีฬาต่อ ด้วยความสบายใจ ท้องฟ้าสีครามสดใสมีเมฆสีขาวดังใยสำลี ลอยสลับซับซ้อนอยู่ที่ขอบฟ้า สมพัดเย็นสบาย ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มข้างทางเอนลู่ตามลมดูสวยงามยิ่งนักในความรู้สึกของมีนา
พวกเธอคิดในแง่ดีว่าการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแกดวงวิญญาณในครั้งนี้ จะสามารถยุติเรื่องราวทั้งหมดลงได้
โดยหารู้ไม่ว่า ทุกอย่างมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น !!!!!!!!!!!!!!!!
.................................................................................
เช้าตรู่อากาศเย็นสบายพัดมาตามหน้าต่างห้องของวีรากานต์ หญิงสาวนอนหลับตาพริ้มบนที่นอน อินทุภาลอบมองเจ้านายสาวด้วยความหลงใหล ผมสั้นระต้นคอแบบบุรุษเพศ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยไฝฝ้าใดๆมีอำนาจดึงดูด ให้หญิงสาวใช้มือบอบบางลูบไล้ไปที่ใบหน้าเนียนอย่างลืมตัว ฉับพลันสายตาของหล่อนก็ไปสะดุดอยู่ที่รูปในกรอบไม้บนโต๊ะเล็กข้างๆเตียงของวีรากานต์
อินทุภาหยิบรูปใบนั้นขี้นมาดู หญิงสาวผมยาวสลวยหน้าตางดงาม ในชุดนักศึกษากำลังยืนยิ้มให้คนถ่ายอย่างสดใสน่ารักน่ามอง จนหญิงสาวรู้สึกอิจฉาและตั้งใจจะหยิบรูปภาพดังกล่าว ออกไปจากห้องเพื่อนำไปทำลาย ดวงตาของหล่อนวาวโรจน์ ด้วยความโกรธแค้นเจ้าของภาพ
“วางรูปใบนั้น ไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้นะอินทุภา เธอไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับข้าวของฉัน ออกไปได้แล้ว” วีรากานต์ส่งเสียงห้ามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด อินทุภาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบวางรูปไว้ที่เดิม และลนลานออกไปจากห้อง
เมื่ออินทุภาออกไปจากห้องแล้ววีรากานต์ลุกขึ้นนั่งบนเตียง และเอื้อมมือไปหยิบรูปใบดังกล่าวมาดู นิ้วเรียวลูปไล้ไปที่ใบหน้าของคนในรูปด้วยความรักและคิดถึง
“คุณอยู่ที่ไหน…รู้บ้างไหมว่าเพลงคิดถึงและรอคอยการกลับมาของคุณ”
วีรากานต์พูดพร้อมกับเอารูปใบนั้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาของสาวหล่อไหลอาบใบหน้า เมื่อคิดถึงคนรักซึ่งหายตัวไปเป็นเวลานับสิบปี....
.................................................................