Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๕ : นครา ณ อดีตกาลอันไกลโพ้น
นครบุปผาลัย ณ อดีตกาลอันไกลโพ้น
ยามนั้นเป็นเพลาดึกดื่นค่อนคืนแล้วพระจันทร์เสี้ยวสีเงินแขวนอยู่บนผืนฟ้า แสงอันสลัวรางสาดส่องลงมาที่เฉลียงน้อย ณ ตำหนักของเจ้าหญิงมณีจันทร์ พระธิดาพระเจ้าชัยวรรธนะกับพระมเหสีศุภาวลัยเจ้าเมืองแห่งนี้
ผู้เป็นเจ้าของตำหนักแก้วอันงดงามนี้เป็นสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้น นุ่งผ้ายกปักดิ้นทองห่มสไบแพรสีนวลอวดผิวเนื้อผุดผ่องราวกับแสงจันทร์ทรงกลด ตัดกับเส้นเกศาอันละเอียดสีดำขลับที่ยาวสลวยประดุจเส้นไหม ใบหน้าอันงดงามแต่งแต้มด้วยแป้งขมิ้นอบร่ำและชาดแดง งดงามราวกับนางอัปสรที่สถิตอยู่ ณ ฟากฟ้าสุราลัย พระนางเจริญพระชนมายุ ๑๗ ชันษาแล้ว แต่ยังไร้พระสวามีมาแนบชิดพระวรกาย ดวงตาอันงดงามราวกับตาเนื้อทรายของนางเพ่งมองพระจันทร์ด้วยความแช่มชื่น
“พระธิดาเพคะ บรรทมเถอะนะเพคะ หม่อมฉันจัดเตรียมพระยี่ภู่เรียบร้อยแต่นานแล้ว” เกสรพระพี่เลี้ยงคนสนิทของพระธิดามณีจันทร์ได้กราบทูลเชิญพระธิดาให้เสด็จบรรทม
“เกสร เรายังไม่อยากนอนเลย...” พระธิดาตรัสกับพระพี่เลี้ยงด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวาน
“บรรทมเถอะนะเพคะพระธิดา วันพรุ่งจะมีพระราชอาคันตุกะจากเมืองพินทุปุระมาเยือนเมืองของเรานะเพคะ” เกสรพระพี่เลี้ยงคนสนิทได้กราบทูลเชิญพระธิดาไปบรรทมอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้านี่ชอบยุ่งย่ามกับเราเสียนี่กระไร มีแขกบ้านแขกเมืองมาก็เป็นหน้าที่ของเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่อติรัณณ์ คอยรับหน้าอยู่แล้วมิใช่รึ มิใช่หน้าที่ของเราสักหน่อย” พระสุรเสียงพระธิดาเข้มขึ้นเมื่อพระพี่เลี้ยงยังกราบทูลเชิญให้พระองค์เสด็จบรรทม
“แต่พระธิดาเพคะ หม่อมฉันว่า....”
“ไม่มีแต่เกสร เจ้านั่นแหละนอนได้แล้ว เราอยากชมจันทร์เงียบๆคนเดียว”
“โถ่!พระธิดาเพคะ ถ้าวันพรุ่งพระองค์ไม่ทรงตื่นบรรทมไปรับหน้าพระราชอาคันตุกะจากเมืองพินทุปุระ องค์เหนือหัวกับองค์ราชินีจะทรงกริ้วนะเพคะ” เกสรพยายามโน้มน้าวพระทัยของเจ้าหญิงมณีจันทร์
“เฮ้อ...เรานอนแล้วก็ได้ ว่าแต่เกสรวันพรุ่งชาวเมืองพินทูปุระจะมาทำอันใดที่เมืองเรา เจ้าทราบฤๅไม่” เจ้าหญิงมณีจันทร์ตรัสถามพระพี่เลี้ยงเกสรในขณะที่ทรงบรรทมบนพระแท่นบรรจถรณ์แล้ว
“หม่อนฉันมิทราบเพคะ แต่เห็นเหล่านางกำนัลจัดเตรียมตำหนักรับรองกันอยู่เพคะ”
“อย่างนั้นรึ เรานอนแล้วนะ เราก็อยากเห็นราชอาคันตุกะเช่นกัน” ตรัสจบพระธิดามณีจันทร์ก็ทรงหลับพระเนตรพริ้มก่อนจะบรรทมหลับไปในเพลาไม่นานนัก ท่ามกลางการปรนนิบัติพัดวีของเกสรพระพี่เลี้ยงคนสนิทและเหล่านางกำนัลที่จงรักภักดีต่อนาง
...........................................................................
นครพินทุปุระ
นครพินทุปุระ อยู่ทางเหนือของนครบุปผาลัย ปกครองโดยองค์ชัยวรเมธกับพระนางสวรินทร์เทวีพระมเหสีคู่บุญบารมี ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระโอรสและพระธิดา ๒ พระองค์ คือ เจ้าชายธราเทพกับเจ้าหญิงนลินยุพา ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุ ๒๐ ชันษา และ ๑๘ ชันษา ตามลำดับ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือว่าพระโอรสและพระธิดาของนครแห่งนี้มีพระศิริโฉมงดงามราวกับเทวัญและเทวีที่สถิตอยู่ ณ สรวงสวรรค์
พินทุปุระนครนี้กว้างใหญ่ไพศาล ราวกับมีเทวดามาเนรมิตให้ มีปราสาทหินและตำหนักที่งดงาม หลังคาและผนังทั้งภายในและภายนอกทำด้วยหินอ่อนสวยงาม ปราสาทมียอดเล็กยอดใหญ่เป็นทรงไม้สิบสอง ประตูและหน้าต่างทำด้วยแก้วสีทับทิม มีพรรณไม้ดอกไม้ประดับรายรอบและมีอิฐทองปูพื้นเป็นทางเดิน นอกจากนี้ยังมีท้องสนามอันกว้างใหญ่เตียนสะอาดปูด้วยดินทรายทอง มีสุวรรณพลับพลาตั้งอยู่บนกำแพงเมืองสูงตระหง่านเทียมฟ้า สำหรับทอดพระเนตรการประลองฝีมือของเหล่าทหาร
ทางทิศตะวันออกของเมืองมีอุทยานหลวง ภายในอุทยานมีสระรมย์นลิน ซึ่งเป็นสระบัวหลากหลายสายพันธุ์ที่มีน้ำใสสะอาดราวกับแก้วอันรุจี รอบๆสระเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ ซึ่งทำให้สวนแห่งนี้เป็นที่สราญพระทัยของเจ้าหญิงนลินยุพาเป็นอย่างยิ่ง ทุกค่ำคืนพระธิดาจะทรงมาสรงน้ำและเล่นน้ำที่นี่ ไม่เว้นแม้แต่ค่ำคืนนี้พระธิดาก็ยังทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยังสระรมย์นลิน เมื่อเจ้าหญิงนลินยุพาเสด็จถึงสระรมย์นลินพระองค์ก็ทรงลงเล่นน้ำพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงและเหล่านางกำนัล เสียงน้ำตกไหลกระทบโขดหินดังกังวาน พระธิดาทรงเล่นน้ำอย่างเบิกบานพระทัย จวบจนเพลาล่วงเลยใกล้ถึงสองยาม พระพักตร์ของพระธิดาก็ต้องขุ่นมัวเมื่อกันตาพระพี่เลี้ยงคนสนิทได้กราบทูลให้พระองค์ทรงกลับพระตำหนัก
“พระธิดาเพคะใกล้จะสองยามแล้วนะเพคะ หม่อมฉันว่าพระองค์ทรงเสด็จกลับพระตำหนักเถอะนะเพคะ”
“เรายังไม่อยากกลับเลยกันตา เจ้าอยากกลับก่อนก็ตามแต่ ปล่อยเราไว้ที่นี่ก็ได้จะเป็นไรมี” พระธิดาทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงขุ่น พระขนงขมวดมุ่นอย่างไม่พอพระทัย
“แต่วันพรุ่ง พระองค์ต้องร่วมเสด็จไปเยือนเมืองบุปผาลัยนะเพคะพระธิดา”
“แล้วทำไมเจ้าพึ่งมาแจ้งเรา จริงสิเราได้ข่าวว่าพระธิดาของเมืองนั้นงามมากมิใช่ฤๅกันตา” เจ้าหญิงนลินยุพาตรัสถามพระพี่เลี้ยงด้วยพระพักตร์เบิกบานแววพระเนตรสุกใสออกอาการกรุ้มกริ่มเล็กน้อยราวบุรุษเอ่ยถึงอิสตรีทั้งๆที่พระธิดาทรงเป็นอิสตรีเยี่ยงเดียวกัน
“หม่อมฉันมิทราบเพคะ แต่หม่อมฉันได้ยินนางกำนัลลือว่า
พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงโก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์ พิศทรงดั่งเทพกินรา
พิศถันดั่งปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา
พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา พิศจริตกิริยาก็จับใจ” ๑
“งามถึงเพียงนั้นเชียวรึ เราชักอยากจะยลโฉมนางเสียแล้วสิ” ตรัสจบเจ้าหญิงก็ทรงขึ้นจากสระรมย์นลินและทรงแต่งพระองค์เตรียมพร้อมกลับตำหนัก
กันตามองพระธิดานลินยุพาผู้ทรงงดงามราวกับนางอัปสรด้วยสีหน้ากังวล พระฉวีของพระธิดานั้นขาวผ่องจนคล้ายส่องแสงเรืองรอง ริมฝีพระโอษฐ์แดงประดุจใบไม้อ่อน พระเกศายาวสลวยสีนิล พระพักตร์ละอองนวลเปล่งปลั่งดังดวงจันทร์วันเพ็ญ ทั้งพระวรกายก็ทรงอรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ งดงามยิ่งกว่านางใดในพิภพจบแดน แต่เหตุไฉนพระธิดาของนางกลับทรงตรัสชื่นชมอิสตรีเยี่ยงนี้
“กันตา ! เจ้ายืนเหม่ออะไร แล้วนี่จ้องหน้าเราทำไม หน้าเรามีอันใดติดอยู่ฤๅ” เจ้าหญิงนลินยุพาทรงตรัสถามเมื่อพระพี่เลี้ยงกันตาจ้องพักตร์ของพระองค์ด้วยแววตาแปลกๆ
“ไม่มีอันใดเพคะพระธิดา เพียงแต่พระพักตร์ของพระองค์งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในแผ่นดินเพคะ”
“เจ้าปดเรารึ....เมื่อครู่ เจ้ายังบอกว่าเจ้าหญิงมณีจันทร์แห่งนครบุปผาลัยงดงามกว่านางสวรรค์มิใช่รึ”
“หม่อมฉันมิกล้าปดพระองค์เพคะ เพียงแต่พูดตามที่ได้ยินมาเพคะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็เตรียมตัวเข้า ขืนเจ้าชักช้าเราจักทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ ! ” พระธิดาทรงตรัสขู่พระพี่เลี้ยงด้วยพระสุรเสียงห้วน
“เพคะ”
หลังจากนั้นขบวนเสด็จของเจ้าหญิงนลินยุพากับพระพี่เลี้ยงกันตาและเหล่านางกำนัลก็เร่งรัดกลับตำหนักและเสด็จกลับถึงตำหนักในเวลาสองยามพอดิบพอดี เจ้าหญิงนลินยุพาทรงบรรทมถึงพระพักตร์เจ้าหญิงมณีจันทร์ที่ร่ำลือกันทั้งนครของพระองค์ว่ามีพระศิริโฉมงดงามหนักหนา
“อา ! วันพรุ่งเราจะได้พบเจ้าแล้วมณีจันทร์ ใคร่รู้นักว่าเจ้าจะงดงามสมคำร่ำลือฤๅไม่”
....................................................................
๑ บทชมโฉมนางสีดา จากเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒