web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 141
Total: 141

ผู้เขียน หัวข้อ: Fake Love Chapter IX : ชัดเจน  (อ่าน 2708 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ drunk_ladii

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 10
Fake Love Chapter IX : ชัดเจน
« เมื่อ: 25 มกราคม 2014 เวลา 01:09:08 »
   สิตางค์สลบไสลไปหลายชั่วโมงตั้งแต่กลับมาถึงที่พัก ก่อนจะก้าวเข้าสู่วันใหม่เพียงสิบนาที

   เธอค่อยๆปรือตาเพ่งมองแสงสลัวที่ส่องจากโคมไฟซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

   เมื่อขยับร่างกายขับไล่ความเมื่อยล้า หญิงสาวก็กระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ ขยี้ตา มองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังผ่านแสงสลัว

   แต่แล้วแววตาก็แปรเปลี่ยนเมื่อเธอไม่พบร่างของผู้เป็นนายบนเตียงนอนนุ่ม แต่กลับเป็นโต๊ะทำงานที่สาวหล่อเลือกจะปักหลักตั้งแต่กลับมาถึง แถมยังจดจ่อกับแลบท็อปตรงหน้าโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด แม้แต่เวลาที่สมควรต้องพักผ่อนเช่นคนปกติทั่วไป
   
   สี่วันมานี้เจ้านายของเธอทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ ละเลยเวลานอนจนเธอเป็นห่วง และนี่ก็ยังไม่ถึงเดทไลน์ที่จะต้องส่งงานแก่สำนักพิมพ์ แทนที่จะรีบมาพักซะก่อน กลับนั่งทำงานต่ออยู่ได้

   จะตีสี่อยู่แล้ว ไม่รู้จักเวลาร่ำเวลาแบบนี้อย่างนี้ เห็นทีสวมบทบาทคุณครูจะดุเด็กน้อยจอมดื้อกันหน่อยแล้ว



   อลิซเบซจะรู้สึกตัวหรือไม่?

   ในขณะที่เธอมัวแต่จดจ่อกับงานที่อยู่ตรงหน้า ใครบางคนก็ลุกจากที่นอนปิกนิกมายืนอยู่ข้างหลัง

   สมาธิของสาวหล่อหลุดออกจากงานชั่วขณะ ร่างของเธอชาวาบ เมื่อได้ยินเสียงลากเท้าดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับสายตาที่เหลือบเห็นเงาสะท้อนที่ผนังกำแพงด้านข้าง ก่อนจะกลั้นใจหันกลับไปมองช้าๆพร้อมกับสวดภาวนาถึงสิ่งที่คาดหวังให้ดังก้องอยู่ในใจ

   ขออย่า! ให้เจอในสิ่งที่ไม่อยากเจอเลยด้วยเถิดนะ

   สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ผี แต่กลับเป็นสาวน้อยผมยุ่งที่เพิ่งลุกจากที่นอนที่จ้องมองเธอด้วยสีหน้าบึ้งตึงต่างหาก
 
   “ตกใจหมดเลย ทำไมตื่นเร็วนักล่ะคะ? ไปนอนต่อเถอะยังไม่เช้าเลย”

   “คุณนั่นแหละที่ต้องไปนอน รู้ตัวไหมว่าคุณทำงานเกินเวลาที่กฎหมายแรงงานกำหนดแล้วนะ? ถึงคุณจะทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ บริษัทของเราก็ไม่จ่ายเบี้ยขยันหรอกแล้วถ้าป่วยขึ้นมาจะว่ายังไง?”

   ถามแค่ประโยคเดียว นางตอบกลับมาเป็นชุดเลยเว้ยเฮ้ย

   “เป็นห่วงเค้าเหรอตัวเอง?” 

   คนตีเล็กนิ่งเงียบไม่กล้าโต้ตอบไปมากกว่านี้ เมื่อโดนคนร่างสูงตัวรวน สิ่งที่ทำได้คงเป็นเพียงตีหน้าบึ้งและหันหลังกลับไปเท่านั้น

   ยังต้องให้บอกอีกเหรอ? ชิส์! ไม่พูดด้วยแล้ว

   คนร่างสูงหัวเราะกับท่าทางของหญิงสาวก่อนจะลุกขึ้น รีบตรงไปฉวยมือของเธอให้หันกลับมามอง

   “งานมันกำลังติดพันน่ะ เหลืออีกไม่เยอะแล้วด้วย ขออนุญาตทำต่ออีกหน่อยได้ไหม? เสร็จแล้วจะรีบนอนเลย”

   “ก็ทำไปซิคะ ไม่ได้ว่าอะไรนี่?”

   “แล้วคุณจะไปไหนน่ะ ไปนอนต่อหรือเปล่า?”

   “เปล่า” สิตางค์เสียงแข็ง แกะมือของคนร่างสูงที่ฉวยมือเธอไว้แน่นเมื่อครู่ให้คลายออก

   “เมื่อเย็นเห็นคุณทานข้าวที่กองไปนิดเดียว เดี๋ยวฉันจะไปอุ่นนมมาให้ดื่ม กลับไปตั้งใจทำงานไปก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบคนตัวเล็กก็เดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้คนตัวสูงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับการใส่ใจของคนปากแข็ง

   หลายวันที่ผ่านมา สิตางค์ไม่เพียงทำหน้าที่ผู้จัดการส่วนตัวที่ดี ทั้งคอยประสานกับฝ่ายต่างๆให้เธอทำงานไปโดยราบรื่น แต่เธอยังเป็น ทุกอย่าง เพื่อให้ผู้เป็นนายอย่างเธอได้รับความสะดวกสบายอย่างมาก

   ทั้งอาหารการกินที่ไม่เคยขาด น้ำผลไม้ที่คอยเสิร์ฟให้เธอรู้สึกสดชื่นได้ตลอดเวลา รวมถึงเป็นสารถีคอยขับรถให้เพื่อให้เธอสามารถพักผ่อนได้ในระหว่างการเดินทางได้อย่างเต็มที่

   ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่มีผู้จัดการสาวคนนี้อยู่ข้างกายและคอยดูแลทุกอย่าง ราวกับชีวิตเธอเป็น ซุปตาร์ ยังไงอย่างงั้น

   แม้จะยังไม่รู้ว่า การกระทำของสิตางค์จะเป็นไปตามหน้าที่หรือ?

   แต่มันก็เป็นความสุขที่เธอเต็มใจรับ และมันคงจะดีไม่น้อยนะ ถ้าเธอจะเป็นคนเดียวที่ได้รับสิทธิ์เช่นนี้ไปตลอดชีวิต

   อลิซเบซยิ้ม พยายามสะกิดตัวเองให้หยุดเพ้อฝันและกลับมาสนใจที่คั่งค้างจนเสร็จ ปิดแล็ปท็อป และหันไปยิ้มให้ร่างบางที่เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมนมอุ่นแก้วใหญ่

   “งานเสร็จแล้วเหรอคะ?” สิตางค์ยื่นแก้วนมให้ร่างสูงที่เพิ่งลุกออกจากเก้าอี้และเดินตรงมายืนอยู่ที่ด้านหน้าเธอ

   “เสร็จแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกใจเจ้าของงานไหม?”

   แหม! ฝีมือขั้นเทพขนาดนั้นแถมพ่วงด้วยตำแหน่งว่าที่สะไภ้ของห้องเสื้อใหญ่  ใครหน้าไหน มันจะไปกล้าไม่พอใจกันเล่า?

   เชื่อหัวสตางค์ได้ งานนี้ไม่มีการถ่ายซ่อม ผ่านฉลุยทุกด่านอย่างแน่นอน ฟันธง!

   “แล้วทำไมต้องรีบทำขนาดนั้น กว่าจะส่งงานให้ลูกค้าอีกตั้งสองวันนะคะ”

   “ใครบอก เรามีเวลาว่างอีกแค่สองวันต่างหาก”

   “คุณพูดเหมือนคุณจะไปไหน?”

   “ก็ใช่น่ะซิ อย่า! บอกนะว่าลืมไปแล้วว่าสัญญาอะไรไว้กับฉัน?”

   “สัญญา..สัญญาอะไรคะ?”

   อลิซเบซรีบยกแก้วนมและกระดกเข้าปากอึกใหญ่จนเกลี้ยงและแก้วคืนแก้วกลับให้คนร่างเล็กที่มองแบบงงงวย

   “น่านไง ลืมแล้วจริงๆด้วย ก็ที่คุณสัญญาว่าจะพาฉันไปทะเลไงล่ะ โถ่! นี่ขนาดยังไม่แก่เลยนะเนี่ย”

   ใช่ซิ! เธอเคยรับปากอลิซเบซไว้จริงๆด้วย แต่คราวนั้นต้องปฏิเสธไปเพราะเวลาไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางหนำซ้ำผู้เป็นนายก็ยังไม่แข็งแรงจากไข้ที่เพิ่งจะหายดีมาไม่กี่วัน

   แต่นี่มีเวลามากกว่าคราวก่อนแค่วันเดียวเองนะ อะไรมันจะว๊อนท์ขนาดนั้นคะบอส?
   
   “ไม่ได้ลืมนะคะ แต่เอาไว้หลังงานแฟชั่นวีคก่อนไม่ได้เหรอคะ ช่วงนั้นเราจะว่างเกือบอาทิตย์นึงแน่ะ ไปทะเลมันต้องใช้เวลา มันถึงจะเรียกว่าเป็นการพักผ่อนที่คุ้มค่า”

   “ไม่เอาอ่ะ แฟชั่นวีคมันเป็นงานยาว กว่าจะทำเสร็จคงหมดไฟพอดี งานที่ฉันทำมันต้องอาศัยแรงบันดาลใจ ถ้าไม่มี มันก็ถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นๆรู้สึกไม่ได้ ขอไปเห็นทะเลสักนิดนึงก็ยังดี ให้เท้าได้แตะน้ำทะเลสักหน่อยเถอะนะ”

   คนตัวสูงพยายามต่อรองโดยนำเรื่องการทำงานมาอ้างแถมยังส่งสายตาออดอ้อนจ้องมองผู้จัดการสาวให้ใจอ่อนยอมรับข้อเสนอ

   “ก็ได้ แต่…” สิตางค์กอดอก ท่าทางของเธอดูจริงจังจนอลิซเบซแทบอดกลั้นขำไม่ไหว แต่ต้องแกล้งตีหน้าซื่อตาใส เพื่อไม่ให้ผู้จัดการของเธออารมณ์เสียพาลยกเลิกและไม่ยอมพาเธอไปทะเลตามที่คาดหวัง

   “แต่..อะไรคะ?”

   “แต่เราจะไปทะเลแบบวันเดย์ทริป ไม่มีการค้างอ้างแรมโดยเด็ดขาด พรุ่งนี้แปดโมงเช้าเราจะออกเดินทาง งานนี้ไม่มีการปลุก ถ้าอยากไปคุณต้องตื่นเอง เข้าใจไหม?”

   “โหดไปนะคะ..ไปยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยก็ต้องกลับซะแล้ว ข้างคืนไม่ได้เหรอ?”

   “ไม่ได้ ในเมื่อฉันต้องดูแลคุณนี่คือสิ่งที่คิดว่าสมควรแล้ว คุณมีหน้าที่แค่เลือก จะไปหรือไม่ไปเลือกเอา?”

   “ไป..ซิ แต่ว่า ”

   “เวลานี้ห้ามต่อรองโดยเด็ดขาด เข้าใจไหมคะ? และสิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือ ไปอาบน้ำและรีบกลับมานอนได้แล้ว”

   คนร่างบางยิ้มเหี้ยม เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ที่ราวด้านข้างตู้เสื้อผ้าแล้วส่งให้คนร่างสูงที่ยืนหน้ามุ่ยที่รับผ้าเช็ดตัวอย่างว่าง่าย เดินเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง เอื้อมมือไปผลักประตูด้วยท่าทางเศร้าสร้อยอย่างน่าสงสารราวกับเด็กน้อยที่ถูกบังคับโดยมีสายตาของครูอนุบาลอย่างมองตามโดยไม่หันไปสนใจในสิ่งอื่น  มีเพียงใบหน้าที่บึ้งบูดและจมูกที่ย่นให้เห็นว่าเธอไม่พอใจเพียงเล็กๆพอเป็นกระไสย์เท่านั้นที่อลิซเบซแสดงออกให้เห็นก่อนที่ประตูปิดลงช้าๆ แต่ท้ายที่สุดสาวหล่อกลับยอมปฏิบัติคำบอกของผู้จัดการสาวอย่างเธอแต่โดยดี

   เป็นเด็กดีและว่าง่ายอย่างนี้ซิคะบอส..น่ารักที่สุดในโลกเลย



   วงจรชีวิตของ ภัทร กลับเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อบทบาทกำมะลอในงานถ่ายแบบห้องเสื้อของมารดากับนิตยสารมาดามทูสโซ่จบลงเมื่อช่วงค่ำวานนี้

   แต่สิ่งที่เขาควรจะต้องทำ นั่นคือการเริ่มต้นสานความสัมพันธ์ระหว่างเขาและว่าที่ภรรยา กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น

   ถึงได้ใกล้ชิด และใช้เวลาอยู่ด้วยกันในกองถ่ายเกือบตลอดเวลา แต่อลิซเบซกลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้สนทนากับเธอเป็นการส่วนตัว แม้แต่รอยยิ้มที่เธอแจกจ่ายให้กับคนทั้งกองก็ยังไม่เคยคิดที่จะส่งให้เขาได้รับบ้าง


   หากไม่เพียงเพราะคำสัญญาของสองครอบครัวที่ผูกพันกันมานาน เขาคงไม่ลงทุนตามตื้อเธอให้เสียเวลาเช่นนี้  ทั้งๆที่มีผู้หญิงนับพันนับหมื่นที่รอคอยให้เขาเลือกสรรด้วยความเต็มใจ

   “เช้านี้ผมไม่รับกาแฟ ขอเป็นน้ำผลไม้ซักแก้วแล้วกันครับ” เขาหันไปสั่งสาวใช้อีกคนที่กำลังจะนำกาแฟมาเสิร์ฟ ในขณะที่ตัวเองกำลังสอดกายลงบนเก้าอี้และรับประทานข้าวต้มทรงเครื่องตรงหน้าที่ถูกเตรียมไว้ให้ ใบหน้าอิดโรยของชายหนุ่ม กลายเป็นจุดสนใจของทุกๆคนไม่เว้นแต่ คุณพรพรรณ ผู้เป็นแม่ที่จ้องมองด้วยความประหลาดใจ

   “หน้าโทรมมาเชียวเช้านี้ ทำงานมาตั้งหลายวัน แทนที่จะพักผ่อนให้พอ กลับเอาเวลาไปไปว่ายน้ำตั้งแต่เช้ามืด” 

   “พอดีผมตื่นกลางดึก นอนต่อไปก็ไม่หลับ เลยตัดสินใจลงมาว่ายน้ำน่ะครับ”

   “แล้วเรื่องแกกับหนูอลิซล่ะ ไปถึงไหนแล้ว?”

   “ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะไม่รู้เรื่องมาก่อน คนของแม่ไม่ได้รายงานอะไรบ้างเลยเหรอครับ?”

   “ก็บอก แต่ฉันอยากได้ยินจากปากของแกเองมากกว่า ว่ายังไงตาภัทร มีอะไรคืบหน้าไหม?”

   “ยังครับ ไม่มีอะไรคืบหน้า”

   เมื่อได้ฟังคำตอบของภัทรทำให้เธอแทบหมดลุ้น คุณพรพรรณวางช้อนที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปากลงอย่างเซ็งๆ จ้องมองลูกชายด้วยสายตาไม่พอใจแถมตั้งใจถอนหายใจเสียงดัง หวังจะให้ลูกชายที่กำลังรับประทานข้าวต้มอย่างนิ่งเงียบได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่กลัดกลุ่มของเธอที่กำลังเป็นอยู่ ก่อนจะส่งเสียงประชดประชันเมื่อทุกสิ่งที่เธอคาดไว้ไม่เป็นดังหวัง

   “เหอะ! ฉันน่ะเคยมั่นใจนักหนาว่าเสน่ห์ของแกมัดใจผู้หญิงได้อยู่หมัด แต่นี่อะไรกัน แค่ผู้หญิงคนเดียวยังเอาไม่อยู่  อย่างนี้มันคงเป็นเพียงราคาคุยซินะตาภัทร”

   “เหลือเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่าๆ ผมยังรีบเลย ยังไงผมกับกับอลิซก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว อย่า! เพิ่งเครียดซิครับแม่”

   “แกแน่ใจเหรอ? ฉันได้ข่าวมาว่าลำพังแกจะผ่านด่านผู้จัดการส่วนตัวเข้าไปหาหนูอลิซยังยากเลยไม่ใช่เหรอ?”

   เมื่อพูดถึงผู้จัดการคนสวยของว่าที่ลูกสะไภ้ดูเหมือนจะกระตุ้นให้คุณพรพรรณคิดหาวิธีช่วยเหลือลูกชายได้

   “ถ้าการมีผู้จัดการคนนั้นอยู่ใกล้ๆ กลายเป็นอุปสรรคสำหรับแกมากล่ะก็ฉันจะจัดการให้เอง”

   ภัทรวางช้อนที่กำลังจะตักข้าวต้มเข้าปาก หันมองผู้เป็นแม่ที่ทิ้งท้ายประโยคไว้เป็นปริศนาก่อนจะก้มหน้ารับประทานอาหารตรงหน้าเธอต่อ

   “แม่จะทำอะไรครับ?”

   “ยังมาสงสัยอีก..ฉันจะโทรบอกคุณลุงให้เอง ให้เขาเปลี่ยนตัวผู้จัดการคนนั้นเป็นแกแทน อยู่ด้วยกัน ใกล้ชิดกันทุกๆวัน ไม่ต้องถึงสามเดือนหรอก ฉันคงได้ร่อนการ์ดงานแต่งของแกแน่ๆ”

   “มันคงไม่ง่ายอย่างที่แม่คิดหรอกนะครับ ความคิดนี้ไม่ผ่าน ผมขอค้านครับ”


   “ทำไมล่ะ? แค่เอาไม้กันหมาออกไปเท่านั้น ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”

   “ใช่ครับ ผมไม่เถียง แต่ผมว่าแม่อาจจะยังไม่รู้จักยัยน้ำแข็งดีพอ สิ่งหนึ่งที่เด็กคนนี้เหมือนกับน้าอร คือแกรักอิสระและไม่ชอบการถูกบังคับ ถ้าแม่รู้จักเพื่อนของแม่ดี ผมว่าแม่ก็น่าจะเข้าใจว่าการเลือกใช้วิธีนี้กับยัยน้ำแข็งมันเปล่าประโยชน์”

   ใช่  ลูกชายของเธอพูดถูกทุกคำ

   แม้เธอจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของว่าที่ลูกสะไภ้ แต่หากพูดถึงเพื่อนรักอย่าง อรชร นี่คือสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด และหากในคราวนั้น เธอไม่ถูก คุณทรงชัย ผู้เป็นบิดา บังคับให้แต่งงาน อรชรคงไม่ต้องเลือกที่จะทิ้งชีวิตที่นี่ไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ในอีกซีกโลก

   และ เธอ คงไม่ต้องถูกเลือกให้ทำหน้าที่เจ้าสาวแทนเพื่อนรักจวบจนทุกวันนี้
   
   “ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น ถ้าแม่จะช่วยในเรื่องนั้น ผมขอให้แม่บอกคุณตาและคนที่เกี่ยวข้องให้ช่วยแยกอลิซกับผู้จัดการของเธอออกเพียงแค่วันเดียวพอ”

   “วันเดียว..มันจะไปพออะไรกัน?”

   “ก็แม่พูดเองไม่ใช่เหรอครับว่าลูกชายของแม่มีเสน่ห์ และผมก็จะใช้สิ่งที่ผมมีนี่แหละแยกทั้งสองให้ออกจากกันเอง”

   “หมายถึงแกจะทำหน้าที่เป็นตาอยู่เข้าไปแทรกกลางอย่างนั้นน่ะเหรอ?”

   “ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

   หลังจากชั่งใจสักครู่ เธอจึงหันไปบอกสาวใช้ให้ไปหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนตัวของเธอมาให้ทันทีโดยไม่รอที่จะจัดการอาหารเช้าตรงหน้าให้หมดซะก่อน

   คุณพรพรรณวางโทรศัพท์ เมื่อปลายสายยอมรับในสิ่งที่เธอร้องขอ เธอหันมามองลูกชายที่นั่งรับประทานอาหารเช้าในชามจนหมด เสียงการสนทนาที่ได้ยินระหว่างผู้เป็นแม่และปลายสายน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี  หันมามองหน้าลูกชายที่กำลังรอคำตอบอย่างเงียบๆ
 
   “ฉันจัดการให้แล้ว หวังว่าคราวนี้คงมีอะไรคืบหน้า และอย่า! ทำให้ฉันผิดหวังอีกเป็นอันขาด”

   
   และแล้วก็ถึงเวลาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้เป็นนาย

   สิตางค์ทำหน้าที่อาศัยขับรถมินิคูเปอร์สีดำคาดขาวเพื่อพาคนทั้งคู่ออกจากเมืองหลวงตามหมายกำหนดการณ์ที่วางไว้ ถึงแหลมบาลีฮาลในตัวเมืองพัทยา ในช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงเศษ

   เธอสังเกตเห็นท่าทีของผู้เป็นนายเปลี่ยนไปเมื่อรถถูกจอดเทียบท่าในที่ที่กำหนดให้จอด

   จากใบหน้าเปื้อนยิ้มและดูมีความหวังกลายเป็นหดหู่ชั่วขณะ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นป้ายที่อยู่บนเขาพระตำหนัก

   เป็นตัวอักษรสีแดงของภาษาอังกฤษขนาดใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าที่นี่คือ  PATTAYA CITY

   สีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นนาย ทำให้สิตางค์ต้องรีบออกตัวอธิบายถึงที่หมายปลายทางก่อนที่จะเกิดการเข้าใจผิดจนเป็นเหตุให้การเที่ยวทะเลระหว่างคนทั้งคู่หมดสนุกลง

   “ฉันไม่ได้พาคุณมาพัทยานะคะ อย่า! เข้าใจผิด”

   “แล้วเราจะไปไหนกัน?”

   “ไม่บอก คุณมีหน้าที่ถือกล้องของคุณแล้วเดินตามฉันมา เร็วๆด้วยนะคะ เพราะถ้าช้าเราอาจที่จะต้องรอเรืออีกสองชั่วโมง และกว่าจะไปถึงคุณคงมีเวลาน้อยลงที่จะอยู่กับทะเลที่นั่นก็ได้นะ”

   เมื่อถูกอีกฝ่ายหนึ่งชักชวน อลิซเบซจึงไม่รอช้า รีบหยิบกระเป๋าที่มีกล้องถ่ายรูปคู่ใจและลงจากรถเดินตามร่างบางที่นำหน้าตรงไปยังท่าเทียบเรือที่มีผู้คนที่พลุกพล่าน

   “นี่ไงคะ ที่เราจะไปกัน” สิตางค์ชี้แผนที่ให้ผู้เป็นนายดู ก่อนจะเดินออกจากท่าและลงไปทีสะพานปลาเพื่อขึ้นเรือโดยสาร

   “เกาะล้านเหรอ?”

   “ใช่ค่ะ เกาะล้าน คุณเคยไปไหม?”

   อลิซเบซส่ายหน้า สิตางค์จึงขยายความเพื่อเป็นความรู้ใหม่ของคนที่ไม่เคยไปยังเกาะนี้มาก่อนให้ได้ฟัง

   “เกาะล้าน เป็นเกาะหนึ่งในจังหวัดชลบุรีค่ะ อยู่ห่างจากตัวเมืองพัทยาประมาณเจ็ดกิโลเมตรเห็นจะได้ เป็นเกาะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพแต่มีสภาพแวดล้อมที่ยังคงสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง น้ำใส หากทรายขาว และยังมีแนวประการังน้ำตื้นให้ดำดูได้อีกด้วย แถมที่นี่ยังมีอาคารปลากระเบน  สำหรับควบคุมการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมและโซล่าเซลล์ ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาการใช้พลังงานทดแทนอีกแห่งหนึ่งของไทยด้วยนะคะ”

   “โห! รู้เยอะจังนะ”

   “ก็มาชอบมาเที่ยวที่นี่บ่อยๆ ได้เห็นทุกอย่างจนชิน มันก็เลยเป็นธรรมดาที่ต้องรู้”

   “แล้วที่บอกว่ามาที่นี่บ่อยๆ บ่อยขนาดไหน แล้วมากับใครบ้างล่ะ?”

   “ส่วนใหญ่จะมาช่วงปิดเทอม มากับเพื่อนๆ ในกลุ่ม ณี เอวี่ และเจน เพื่อนฉันที่คุณได้ไปเจอนั่นแหละค่ะ ตอนที่ยังเรียนอยู่พวกเราบ้าที่จะมาที่นี่มาก พวกเราชอบทะเลที่นี่ มันเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนช่วงหลังสอบมากที่สุดละ”

   “แล้วคนที่ไม่ใช่เพื่อนล่ะคะ มีบ้างไหม?”

   “ก็มีนะคะ”

   ห๊า! ยังไม่หมดอีกเหรอ? สิตางค์..เธอยังเคยพาใครมาที่นี่อีก คนๆนั้นใช่ คนพิเศษ ของเธอหรือเปล่า?

   “แล้วก็เคยพาป๊า แม่และพี่ชายมาที่นี่ครั้งนึงก่อนที่พี่ชายฉันจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศน่ะค่ะ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มาที่นี่ เกือบจะสองปีนะแล้วก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะคุณ แต่เอ๊ะ! คุณถามทำไมเหรอ?”

   “เปล่าหรอกค่ะ ไม่มีอะไร”  แม้ปากปฏิเสธแต่หน้าของสาวหล่อไม่ได้เศร้าเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับยิ้มออกมาอย่างดีใจซะมากกว่าที่คนที่เธอเอ่ยออกมาไม่ได้พูดถึงชื่อหรือบ่งบอกให้รู้ถึงคนรู้ใจให้ระคายหู

   สี่สิบห้านาทีกับการโดยสารเรือสองชั้นข้ามฝั่งจนพาคนทั้งคู่มาส่งยังอีกที่หมายปลายทาง ณ ท่าเรือหน้าบ้าน

   ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่บรรยากาศบนเกาะก็ยังคงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวก็ยังคงทะยอยมาพักผ่อนที่นี่กันมากมาย

   ทั้งคู่เลือกจะเช่ามอเตอร์ไซด์ ยานพาหนะที่พาคนทั้งคู่ไปชมทัศนียภาพรอบๆตั้งแต่หาดหน้าบ้าน หาดตาแหวน หาดเทียน จุดชมวิวเขานม จนมาถึงหาดตายายและหัวโขด หาดที่เงียบสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อนชมทะเลที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะล้าน

   อลิซเบซดูตื่นตากับธรรมชาติที่นี่มาก แม้แดดจะแรง แต่สีน้ำสีทะเลฟ้า หาดทรายขาวๆ และท้องฟ้าที่สดใสกลับดึดดูดให้เธอลั่นชัตเตอร์เก็บภาพในมุมต่างๆอย่างมีความสุข

   ปล่อยให้ผู้เป็นนายมีความสุขไปคนเดียว ผู้นำเที่ยวอย่างสิตางค์ ขอฟังเพลงในจังหวะบอสซ่าในไอพอดเครื่องเล็กที่นำมาด้วยและนั่งหลบแดด เอนกายลงบนเตียงผ้าใบรอไปพลางๆ

   แดดแรงแบบนี้ สตางค์ไม่ฟินค่ะ ขอนั่งชิวๆบนเตียงผ้าใบดีกว่า

   สายลมเย็นที่พัดผ่าน ทำให้เธอเผลอหลับไปและสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นที่แนบแก้มใสของเธอ

   เปลือกของมะพร้าวแช่เย็นที่ผู้เป็นนายถือมาแนบแก้ม ปลุกให้เธอตื่นตัวก่อนจะหันไปรับมะพร้าวจากมือผู้เป็นนายมาดื่ม

 หญิงสาวกวาดสายตามองผู้คนรอบข้างที่บางตาลงทุกที

   นี่มันสี่โมงกว่าแล้วนี่..ถึงเวลาต้องกลับแล้วซินะ

   “จะรีบไปไหน เรือเที่ยวสุดท้ายออกตั้งหกโมงแน่ะ ยังไม่ได้ไปเก็บภาพกังหันลมที่หาดแสมเลยนะ ลืมไปแล้วเหรอ?” อลิซเบซทักท้วงเมื่อผู้นำทริปชวนกลับไปขึ้นเรือในช่วงห้าโมงเย็นเพื่อกลับสู่เมืองหลวง
   
   ตอนที่เพิ่งมาถึงทั้งคู่ได้แต่ขี่รถผ่าน แม้ผู้เป็นนายต้องการที่จะขึ้นไปเก็บภาพและชมทัศนียภาพที่อยู่ด้านบน เนื่องจากแสงแดดที่เจิดจ้าเกินกว่าที่ร่างกายของพวกเธอจะรับไหว สิตางค์จึงขอให้ผู้เป็นนายไปยังจุดอื่นก่อนและจะพากลับไปที่นั่นอีกครั้งเมื่อแดดร่มลมตกแล้ว

   “ถ้าอย่างงั้นก็ได้ งั้นเรารีบไปกันเถอะ ฉันไม่อยากกลับถึงกรุงเทพฯดึกนัก”

   อลิซเบซรับปาก เธอรีบพาตัวเองและสาวร่างบางขึ้นพาหนะไปยังกังหันลมที่หาดแสมซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไป เนื่องจากสามารถเห็นเกาะล้านในมุมภาพกว้างและสามารถเห็นชายหาดของที่นี่ได้ทุกแห่ง

   อลิซเบซขี่มาจนถึงปากทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างชันและมีความสูงพอสมควร เธอหันไปมองคนข้างหลังด้วยสายตาที่เป็นกังวลสอบถามความสมัครใจก่อนที่จะตัดสินใจพาเธอขึ้นไปที่นั่น เมื่อคนตัวเล็กออกปากอนุญาตให้เธอพาขึ้นไปที่นั่นได้

   แม้จะต้องแลกมาด้วยความหวาดเสียว แถมยังดึงเสื้อคนขี่จนเสื้อยืดที่ใส่มาแทบจะย้วย แต่เมื่อมาถึงด้านบน ความสวยงามของทิวทัศน์รอบข้างที่สามารถเห็นเกาะล้านในมุมกว้างทั่วทั้งเกาะทำให้สิตางค์ลืมตัวว่าเคยกลัวความสูงมาก่อน

   พระอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าค่อยๆทอแสงอ่อนๆสะท้อนกับน้ำทะเลใสจนกลายเป็นความงามที่ไม่อาจจะหาที่เปรียบได้

   “สวยเลยจัง ฉันเพิ่งเคยขึ้นมาครั้งบนนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะสามารถเห็นอะไรสวยๆได้แบบนี้ เสียดายจังที่ไม่ได้เอากล้องมาด้วย อย่างนั้นคงได้มีโอกาสนำภาพไปฝากเพื่อนๆให้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ด้วยกันบ้าง”

   “เอาซิคะ ฉันให้ยืมถ่ายได้ตามสบายเลย” สิตางค์หน้านิ่วแม้คนร่างสูงจะยื่นกล้องที่อยู่ในมือมาให้ด้วยความเต็มใจ แต่เธอก็ไม่อาจรับมันมาถ่ายได้

   “ไม่เอาอ่ะ ฉันใช้กล้องราคาแพงแบบนี้ไม่เป็นหรอกค่ะ คุณถ่ายเถอะ ฉันขอเก็บวิวข้างบนนี้ไว้ในหัวของฉันก็พอ”

   “ทำไมล่ะ ใช้ไม่เห็นจะยากเลยแค่มองผ่านเลนส์แล้วก็กดชัตเตอร์ง่ายๆเท่านี้เอง”

   “ก็ฉันถ่ายไม่เป็นนี่ ถ้าเกิดซุ่มซ่ามทำกล้องคุณหล่นขึ้นมาจะว่ายังไง?”

   “งั้นมานี่ ฉันจะสอนนะ” อลิซเบซยื่นกล้องมาใกล้ๆ ย้ายสายสะพายกล้องที่คล้องคอตัวเองไปไว้ที่คอระหงของสาวน้อยโดยที่ไม่รอฟังคำตอบของเธอ ก่อนจะใช้มือของตัวเองเอื้อมไปจับมือของคนร่างบางที่อยู่ข้างๆให้จับตัวกล้อง แขนอีกข้างเอื้อมไปโอบแผ่นหลังของหญิงสาวและจับมือที่อยู่อีกฝั่งของเธอไปวางไว้ที่เลนส์ด้านหน้า

   “จับกล้องแบบนี้นะคะ จากนั้นก็ค่อยๆยกมันขึ้นในระดับสายตา” ร่างบางค่อยๆทำตามที่ผู้เป็นนายบอก เธอค่อยๆปรับความชัดเจนของเลนส์ที่อยู่ด้านหน้าตามผู้เป็นนายคอยสอนอยู่ที่ข้างหู และกดชัตเตอร์ลงด้วยนิ้วเรียวยาวเมื่อพอใจกับภาพตรงหน้าปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

   หญิงสาวลดกล้องลงมาและเปิดภาพที่เพิ่งถ่ายด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกให้ผู้เป็นอาจารย์ได้ชื่นชม

   “สวยนะ ทำได้ดีมาก”

   “ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณแนะนำฉันคงถ่ายออกมาได้ไม่ดีเท่านี้แน่ๆเลย”

   สิตางค์ยิ้มแหงนหน้ามองคนร่างสูงเพิ่งที่ละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมและจ้องมองเธอที่ตนประคองไว้ในวงแขนอย่างหลวมๆ 

   ไม่นะสตางค์..ไม่นะ หันหน้าออกเดี๋ยวนี้นะ!

   แม้สมองจะคอยสั่งให้ถอย แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ตอบสนอง สายตาของอลิซเบซที่จ้องมองมาคล้ายสะกดให้เธอหยุดนิ่งแม้แต่ความคิดที่เพียรบอกตนเองให้ขยับร่างกายหนีและปฏิเสธคนร่างสูงที่กำลังเคลื่อนหน้าลงมาใกล้มากขึ้นทุกที..ทุกที ยังไม่สามารถสั่งตัวเองให้ทำเช่นนั้นได้

   และโลกของสิตางค์แทบจะหยุดหมุน ลมหายใจของเธอเองแผ่วเบาลงในบัดนั้น รวมถึงเรี่ยวแรงกลับเหือดหายจนต้องเกาะร่างสูงเพื่อทรงตัวเอาไว้

   เมื่อริมฝีปากที่อยู่ด้านบนเคลื่อนประกบเข้ากับปากบางของเธอเพื่อลิ้มลองรสหวานละมุนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด โดยที่เธออาจต้านทานการกระทำจากคนร่างสูงได้เลย




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.