ตอนที่ 4 At The Beginning
นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาเที่ยงวันพอดีเมื่อคินสิตาพามารดาและไอยดามาถึงร้านอาหารขนาดเล็กแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับคอนโดนั่นเอง เมื่อได้โต๊ะขนาดสี่ที่นั่งตั้งอยู่มุมในสุดติดกระจกมองออกไปเห็นบริเวณโดยรอบภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ได้ชัดเจน ทั้งหมดตกลงกันว่ามื้อเที่ยงนี้ขอเป็นอาหารแบบง่ายๆ และใช้เวลาทานไม่นานมากนัก เพราะรสสุคนธ์บอกว่าไม่ได้เดินห้างเสียนานจึงอยากใช้เวลาให้คุ้มเมื่อมีโอกาส อีกทั้งต้องการพาไอยดาไปเลือกซื้อของใช้จำเป็นทั้งของใช้ส่วนตัวและในการเรียน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จและทั้งสามคนก้าวออกมาจากร้านแล้ว รสสุคนธ์ก็แจ้งความประสงค์ว่าจะไปแวะร้านเครื่องประดับของเพื่อนเก่าที่เปิดหน้าร้านอยู่ที่ห้างนี้ และบอกให้คินสิตาพาไอยดาไปซื้อของกันตามลำพัง
"แม่แน่ใจเหรอว่ายังจำร้านได้ จริงๆ แล้วเราไปด้วยกันทั้งสามคนเลยก็ได้นี่แม่ แล้วค่อยไปซื้อของตอนหลัง"
"จำได้สิ ถึงจะแก่แต่ก็ยังไม่เลอะเลือนหรอกนะ...เราเถอะ ดูแลน้องดีๆ ด้วยล่ะ...ไอย์มีอะไรที่จะต้องซื้อเพิ่มก็บอกพี่เค้านะลูก" รสสุคนธ์กำชับกำชาทิ้งท้ายเอาไว้ แล้วแยกเดินออกไปทันที
ทิ้งให้สองสาวยืนมองตามหลังไปอย่างค่อนข้างงง คินสิตาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้ไอยดารวดเร็วอย่างนี้ จู่ๆ แม่ของเธอก็ปลีกตัวออกไปเสียอย่างนั้นทั้งที่เมื่อครู่ยังบอกว่าอยากจะใช้เวลาเดินเล่นในห้างด้วยกันอยู่เลย ส่วนไอยดาก็ยังทั้งเกรงใจและเกร็งกับการที่ต้องอยู่ตามลำพังกับคินสิตาเช่นนี้ เป็นครู่ใหญ่ที่ต่างคนก็ต่างเงียบด้วยไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร และอะไรก่อนหลังดีในนาทีนี้
"แล้วเธอต้องซื้ออะไรบ้างล่ะ?" คินสิตาถามขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมายืนคว้างกันอยู่อย่างนั้น
"ไม่รู้สิคะ..."
"อ้าว..."
"คือ...อันที่จริงก็ยังไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องซื้อในตอนนี้หรอกค่ะ ของเก่าก็ยังใช้ได้อยู่ทั้งนั้น" ไอยดารีบอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายออกอาการงงและกลัวว่าคินสิตาจะรำคาญเธอขึ้นมาก็ได้ที่ต้องมาทำให้วุ่นวายเอาอย่างนี้
"แน่ใจนะ...ฉันเห็นเธอเอาของมานิดเดียวเอง ซื้อไปไว้เผื่อต้องใช้ก็ได้นี่ อีกอย่างเมื่อแม่ฉันบอกว่าให้ซื้อก็ต้องซื้อล่ะ เธอน่าจะรู้จักแม่ของฉันดี" จริงอย่างที่คินสิตาว่า รสสุคนธ์ถึงจะใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่ชอบที่จะให้ใครมาขัดคำสั่งหรือขัดใจแต่อย่างใด
"แต่ฉันยังคิดไม่ออกว่าต้องซื้ออะไรบ้างนี่คะ" เด็กสาวบอกไปตามจริงซึ่งคินสิตาก็ต้องเชื่อตามนั้นเพราะความลำบากใจของไอยดาแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างเปิดเผยจนน่าเห็นใจ
"อืมม...งั้นเอาเป็นว่าเราเดินดูกันไปเรื่อยๆ ก่อนดีมั้ยบางทีเธออาจจะนึกออกขึ้นมาเองก็ได้ว่าต้องซื้ออะไรบ้าง" คินสิตาเสนอแนะ
"ค่ะ...ฉันทำให้คุณยุ่งยากไปหรือเปล่าคะ?" สาวน้อยถามด้วยความเกรงใจอันเป็นนิสัยของเธอ
"ไม่หรอก...ไปกันเถอะ ฉันว่าเราไปดูทางโน้นกันดีกว่า" ตอบออกไปแล้วก็เดินนำไปยังแผนกเสื้อผ้าของห้างเพราะคิดว่าเด็กสาวอาจจะอยากซื้อชุดใหม่บ้างตามประสาของผู้หญิง เพราะส่วนมากแล้วสาวๆ ที่เธอเคยพามาเดินซื้อของก็หนีไม่พ้นที่จะสนใจของจำพวกเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์พวกนี้ล่ะ แต่ผิดไปถนัดไอยดาดูจะไม่สนใจอยากได้เสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางค์เลย อย่างวันนี้หล่อนก็ไม่ได้แต่งหน้าแต่อย่างใด ความสดใสเปล่งปรั่งที่เห็นก็เป็นไปตามธรรมชาติโดยแท้ เครื่องแต่งกายของหล่อนก็ดูง่ายสบายๆ ทว่าก็เหมาะสมดี คินสิตาคาดว่าเธอคงเตรียมเสื้อผ้ามาไม่กี่ชุด เมื่อไอยดายังไม่มีทีท่าว่าต้องการจะซื้อสิ่งใดเธอจึงแนะนำให้เด็กสาวซื้อเสื้อผ้าไปสักสองสามชุดอย่างน้อยก็ให้ได้อะไรติดมือไปบ้างประเดี๋ยวแม่ของเธอจะมาเขม่นเอากับเธอได้ว่าไม่ใส่ใจดูแลเด็กในปกครอง
"ราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลย อย่างนี้ฉันซื้อไม่ลงหรอกค่ะ"
"ไม่เป็นไรมีแม่ฉันเป็นนายทุนใหญ่ซะอย่าง ที่เธอต้องกังวลก็คือเลือกซื้ออะไรไปบ้างแค่นั้นล่ะ โอเคมั้ย ฉันเห็นทางนั้นมีเสื้อผ้าวัยรุ่นทั้งนั้นเลยเธอน่าจะชอบนะ ลองไปเลือกดูสิ" เมื่อคินสิตาคะยั้นคะยออย่างนั้นสาวน้อยจึงต้องยอมทำตาม
โดยปกติแล้วนานๆ ทีเธอถึงจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เสียชุดนึงและส่วนมาก็จะซื้อตามตลาดนัดหรือเสื้อผ้าที่วางขายกันตามฟุตบาทที่ราคาไม่แพงแถมคุณภาพก็ไม่ด้อยไปกว่าซื้อในห้างอย่างนี้เลย ไอยดายังคงเดินดูไปเรื่อยๆ โดยมีคินสิตาเดินตามหลังมาเงียบๆ บ่อยครั้งที่พอเธอเหลือบไปมองก็จะต้องเจอกับสายตาจดจ้องของอีกฝ่ายอยู่เสมอแล้วก็เป็นเธอเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน
ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเสื้อผ้ามาได้สองชุด เมื่อคินสิตาจ่ายเงินและรับถุงใบสวยมาจากพนักงานขายมาถือเรียบร้อยแล้วจึงชักชวนให้ไอยดาเดินต่อไปอีกทางหนึ่ง เมื่อผ่านร้านหนังสือไอยดาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอาหนังสือสำหรับอ่านก่อนนอนมาจากหัวหินเลย เธอชอบอ่านหนังสือและอ่านได้ทุกประเภท เป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นของเธอเลยก็ว่าได้ ก่อนนอนทุกคืนอย่างน้อยก็ต้องให้ได้อ่านอะไรบ้าง มันช่วยให้เธอนอนหลับได้สนิทและที่สำคัญในบางคืนที่เธอฝันร้ายจนไม่อาจข่มตาให้หลับต่อได้หนังสือก็จะเป็นเพื่อนเธอ ช่วยให้ความหวาดกลัวที่เกิดจากฝันร้ายของเธอลดน้อยลงได้บ้าง
"คุณ...ฉันขอเข้าไปดูหนังสือหน่อยได้มั้ยคะ"
"เอาสิ..." คินสิตานำไอยดาเข้าไปในร้านหนังสือ "เธอก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอ...จริงๆ ที่คอนโดมีห้องหนังสือด้วยนะ ถ้าเธออยากเข้าไปหาอะไรอ่านก็ตามสบายเลย"
"จริงหรือคะ...ฉันชอบอ่านหนังสือค่ะ อ่านได้ทุกประเภทเลยด้วย" สาวน้อยตอบแล้วยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่ว่าเธอเป็นพวกที่ช่างรู้ไปหมดเสียทุกเรื่องเพราะนิสัยอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้านี่เอง
"งั้นเธออยากได้เล่มไหนก็เลือกเอาเลยนะ...ฉันก็ว่าจะหาหนังสือไปอ่านอยู่เหมือนกัน" ต่างคนต่างก็หาเลือกหนังสือที่ต้องการตามชั้นหนังสือที่มีอยู่มากมายด้วยเพราะเป็นร้านหนังสือที่ค่อนข้างใหญ่ไอยดาหายเข้าไปในมุมหนังสือนิยายส่วนคินสิตาก็เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวหนังสือแนวจิตวิทยาและปรัชญาที่ตัวเองชื่นชอบ เมื่อหยิบได้หนังสือชีวประวัติของนักปรัชญาคนโปรดมาหนึ่งเล่มจึงถือติดมือไปอ่านที่โซฟาที่ทางร้านจัดไว้บริการลูกค้าที่ทางด้านหน้าของร้านเป็นการรอไอยดาไปพลาง ยังไม่ทันที่จะได้หย่อนตัวลงนั่งก็รู้สึกว่ามีอะไรวิ่งมาชนขาตัวเองจากด้านหลัง คินสิตาหันไปดูก็เจอกับหนุ่มน้อยอายุประมาณสามขวบหน้าตาน่ารักคนหนึ่งนอนหงายอยู่กับพื้นคงเกิดจากแรงปะทะเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง
"เป็นอะไรหรือเปล่า หนูเจ็บตรงไหนมั้ยคับ" คินสิตาถามหลังจากช่วยประครองให้เด็กน้อยลุกขึ้นยืนแล้ว เด็กชายส่ายหน้าแทนเป็นคำตอบ เธอมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะมีใครที่รู้จักเด็กคนนี้ตามมาบ้างแต่ก็ไร้วี่แวว
"แล้วมากับใครนี่ คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ไหนเหรอ" เด็กชายส่ายหน้าตอบอีกหน จนคินสิตาเองต้องเกาหัวแกรกเพราะดูเหมือนว่าเด็กจะพลัดหลงกับพ่อแม่เสียแล้วกระมัง
"โอเค...งั้นหนูชื่ออะไรคับ...เดี๋ยวจะได้พาไปหาพ่อกับแม่ได้ถูกนะ"
"ชื่อพีทค้าบ" เสียงเล็กๆ ตอบออกมาเป็นครั้งแรก "จาหาแม่..." เด็กน้อยทำหน้าเบ้จวนเจียนจะร้องไห้
"ชื่อน้องพีทเหรอคับ...ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวจะพาไปหาคุณแม่ ไม่ต้องร้องไห้นะคนเก่ง เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งนะคับโอเคมั้ย"
เธอพยายามจะปลอบเด็กชาย สังเกตุจากเสื้อผ้าเนื้อดีติดแบรนด์ที่เด็กคนนี้สวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่ลูกตาสียายสาหรอกแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่มัวไปอยู่ที่ไหนนะถึงได้ปล่อยให้ลูกชายมาเดินหลงอยู่กลางห้างอย่างนี้ได้ พาไปที่ประชาสัมพันธ์ของห้างให้ช่วยประกาศหาพ่อแม่ให้น่าจะได้ผลเพราะอย่างน้อยก็รู้จักชื่อเด็กแล้ว คินสิตาจูงมือเด็กชายพีทพาเดินตรงไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่อยู่ไม่ไกลเมื่อแจ้งกับเจ้าหน้าที่สาวสวยให้ประกาศตามที่เธอบอกแล้วจึงยืนคอยอยู่ตรงนั้น ส่วนหนูน้อยก็ยึดมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย เธอเข้าใจว่าเด็กคงจะกำลังกลัวนั่นเอง เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความดีใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาดึงตัวเด็กชายเข้าไปกอดไว้แนบแน่น
"ลูกพีท...รู้มั้ยว่าแม่ตกใจแค่ไหน แม่เป็นห่วงหนูมากๆ เลยนะคะรู้มั้ย"
เป็นแม่ของเด็กนั่นเอง จากที่เห็นทางด้านหลังหล่อนกำลังย่อตัวลงกอดรัดเด็กชายพีทเอาไว้พร้อมทั้งละล่ำละลักถามไถ่ลูกชายด้วยความเป็นห่วงตามประสาของคนเป็นแม่ หล่อนเป็นผู้หญิงแต่งตัวดีและคงจะยังอยู่ในวัยสาวอยู่มากเสียด้วย แต่หน้าตาท่าทางจะเป็นเช่นไรนั้นคินสิตาก็ยังไม่ทันได้เห็นถนัดดีเพราะตอนที่หล่อนวิ่งพรวดเข้ามานั้นก็เร็วปานจรวดเลยทีเดียว คินสิตาจึงเพียงแต่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ที่ด้านหลังของสองแม่ลูกนั่นเอง
"แม่บอกให้ยืนรอก่อน แม่ไปเข้าห้องน้ำแป๊ปเดียวไงคะลูก...ไหนบอกแม่สิคะว่าหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เด็กชายตัวน้อยยิ้มหน้าบานให้ผู้เป็นแม่แล้วชี้นิ้วมายังคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่ครั้นพอคินสิตาเห็นหน้าแม่ของหนูน้อยที่ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเผชิญหน้ากันในนาทีถัดมานั้นเข้าก็ทำเอาหัวใจชาไปในทันที
"แพท...!!!"
"คิน...!!!"
สองเสียงแผ่วเบาพอกันราวกับเสียงกระซิบ ต่างคนต่างตกตะลึงและยืนมองกันนิ่งงันไม่มีฝ่ายใดสามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้ ช่างเป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ได้มาพบหล่อนอีกครั้งคินสิตาคิด เธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกเช่นไรจะดีใจเสียใจหรือว่าแบบไหนกันแต่ที่แน่ๆ คงเป็นความประหลาดใจเสียมากกว่า จากที่เคยคิดเอาไว้ว่าจะยังไม่ขอเจอพรรษมนต์ในระยะนี้ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วเมื่อเหตุการณ์นำพามาขนาดนี้ ทางฝ่ายของพรรษมนต์นั้นนอกประหลาดใจแล้วหล่อนก็ยังมีความตื่นเต้นและดีใจอยู่มากกับการที่ได้พบกับคินสิตาอีกครั้ง เพราะนี่มันช่างรวดเร็วกว่าที่เธอตั้งใจเอาไว้เสียอีกแถมเธอยังไม่ต้องคิดให้ปวดสมองอีกด้วยว่าจะหาเหตุผลใดมาอ้างในการที่จะทำให้เธอได้เจอกับคินสิตา นับว่าโชคเข้าข้างเธออยู่มากสำหรับเรื่องนี้
.................................
มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ