ตอนที่ 2. A Match Made by Mom
หนึ่งสัปดาห์หลังจากค่ำคืนที่ชายหาดหัวหินนั้น...
บริษัท ส่งออกจิวเวลรี่ ขนาดกลาง ที่กินพื้นที่หัวมุมทั้งหมดด้านตะวันตกของชั้นที่ 30 บนตึกโดมทองสูงกว่าหกสิบชั้น...กรุงเทพฯ
ณ ห้องประชุมใหญ่ที่มีเฉพาะระดับผู้บริหารนั่งรายล้อมโต๊ะประชุมรูปตัวยูซึ่งตั้งอยู่ใจกลางห้อง สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังผู้หญิงคนเดียวในเสื้อสูทผ้าลูกฟูกสีเทาที่สวมทับเชิ้ตแบบพอดีตัวสีขาวสะอาดสะอ้าน กับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าคัทชูคู่เรียวยาวนั้น เธอกำลังพรีเซนต์โปรเจ็คสำคัญอยู่ด้านหน้าเครื่องฉายโปรเจคเตอร์อย่างตั้งใจ
"อย่างที่ทุกท่านทราบแล้วจากเอกสารแจ้งวาระการประชุมที่ได้แจกให้นะคะ...เนื่องจากฉันได้รับมอบหมายจากท่านประธานให้ศึกษาและนำเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งแผนกใหม่ขึ้นมาในบริษัทของเรา...นั่นคือ 'แผนกดีไซด์และพัฒนาผลิตภัณฑ์'..." คินสิตาเว้นจังหวะการอภิปรายพร้อมทั้งกวาดตามองผู้ฟังเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไป
"ซึ่ง...ก่อนหน้านี้เราจะจ่ายงานการออกแบบทั้งหมดให้กับดีไซเนอร์อิสระ...แล้วก็อย่างที่เราตระหนักกันดีว่านั่นค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมถึงการควบคุมการรั่วไหลออกไปของแม่แบบที่ควรจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราโดยชอบธรรมนั่นอีก และคงจะดีกว่ามากถ้าเราจะมีทุกอย่างให้พร้อมอยู่ในมือ...พูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ การจัดตั้งแผนกใหม่ดังกล่าวนี้จะช่วยให้เราสามารถควบคุมการออกแบบได้เองและตรงกับดีความต้องการที่แท้จริงได้มากที่สุด...เราจะสามารถสร้างต้นแบบหรือแม่พิมพ์ไว้เป็นของเราเองได้...แก้ไขได้เองตามต้องการ...และแน่นอนว่าการที่มีโรงงานรองรับอยู่แล้ว...จะช่วยให้เราไม่มีปัญหาในส่วนของการผลิตด้วย"
คินสิตาหยุดพูดอีกครั้งเป็นช่วงสั้นๆ หันไปกดสวิทซ์เปิดโปรเจคเตอร์ที่เชื่อมต่อไว้กับโน้ตบุ๊กของตัวเองเพื่อที่จะเปิดพรีเซนต์เทชั่นที่เธอจัดเตรียมเอาไว้สำหรับนำเสนอในที่ประชุมวันนี้ เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างตั้งใจจดจ่อรอฟังเธอ คินสิตาจึงนำเสนอต่อทันที
"และนี่...คือโครงสร้างคร่าว ๆ และเวิร์คโฟล์วของแผนกดีไซน์ที่ฉันร่างเอาไว้ในเบื้องต้น" เมื่อสไลด์หน้าแรกแว่บผ่านไป หญิงสาวก็เริ่มร่ายยาวอธิบายถึงแต่ละลำดับขั้นตอนในการทำงานของแผนกที่เธอต้องรับผิดชอบโดยสรุปตามที่ได้วางแผนไว้
"เราจะผสานงานและรับงานผ่านทางฝ่ายการตลาดอีกทีหนึ่ง ซึ่งจะทราบถึงความต้องการของลูกค้าได้โดยตรงมากกว่าเรา และจะช่วยให้เรามีแนวทางในการออกแบบให้ตรงจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น"
"ไม่มีปัญหาครับ คุณคินสิตา หลังการประชุมนี่ผมก็มีสองสามโปรเจคใหม่ที่จะให้คุณช่วยออกแบบให้ ผมเพิ่งได้รับอีเมล์จากลูกค้ามาเมื่อเช้านี้เอง" แมนรัช ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดตอบรับเธอในทันที เขาเป็นผู้ชายมาดเนี๊ยบหน้าตาดีและแต่งตัวเป็น อายุอานามคงใกล้เคียงกับวาคิมพี่ชายของเธอ
"นอกจากนี้ เราจะไม่รอให้ลูกค้าเสนอไอเดียมาให้เราทำเพียงอย่างเดียว เรายังจะศึกษาและออกแบบสไตล์ใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกที่มากกว่า และแตกต่างกว่า ในแบบที่ลูกค้าจะหาไม่ได้จากที่ไหนนอกจากเรา"
"จากนั้นเราต้องขอความร่วมมือจากฝ่ายผลิตด้วย...การขึ้นแบบแม่พิมพ์ต้องแน่ใจว่าตรงตามสเป็คที่ดีไซเนอร์สร้าง...เรา...แผนกดีไซน์จะตรวจสอบคุณภาพแม่พิมพ์ร่วมกับฝ่ายการตลาดอีกทีหนึ่ง"
"ยินดีครับ คุณคินสิตา เรามีช่างพิมพ์มืออาชีพอยู่กับเราหลายคนเลยทีเดียว" คราวนี้เป็นพิชาญ ผู้จัดการฝ่ายผลิตซึ่งเป็นชายสูงวัยพุงพลุ้ยท่าทางใจดีที่เป็นผู้ตอบรับคำขอของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ขอบคุณมากค่ะ...ทุกท่าน...ทีนี้ก็เป็นข้อเสนอที่ฉันอยากให้ท่านประธานและทุกท่านในที่นี้รับไว้พิจารณา..." วาคิมเลิกคิ้วมองน้องสาวพลางคิดสงสัย เพราะเธอไม่ได้เกริ่นเรื่องนี้ให้พี่ชายได้รับรู้มาก่อน เพราะไม่ต้องการให้ใครๆ มองว่าเธอทำงานภายใต้เงาและบารมีของพี่ชาย เธอต้องการทำงานตามขั้นตอนอีกทั้งไม่อยากได้อภิสิทธิ์ใดๆ และเพราะรู้ด้วยว่าวาคิมนั้นคงจะคล้อยตามเธอทันทีถ้าเธอเสนอเขาเองโดยตรง คินสิตาจึงได้แต่เพียงยิ้มตอบกลับไปให้พี่ชายพร้อมกล่าวต่อว่า
"ฉันอยากให้ท่านประธานและทุกท่านพิจารณาอนุมัติงบประมาณให้จัดซื้อโปรแกรมและเครื่องขึ้นแม่พิมพ์ต้นแบบ...ซึ่งจะช่วยให้การออกแบบและทำให้เราขึ้นแม่พิมพ์ได้ตรงตามแบบและรวดเร็วได้ชนิดที่เรียกว่าไร้ที่ติ โดยแบบจะถูกดีไซน์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราจะสั่งให้ตัวเครื่องปริ้นท์แม่พิมพ์ต้นแบบออกมาตามแบบที่เราได้ออกแบบไว้คล้ายกับเราสั่งให้ปริ้นเตอร์พิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป เพียงแต่เจ้าเครื่องนี้จะปริ้นท์ผลงานให้เราเป็นแม่พิมพ์ต้นแบบแทน..."
"สำหรับรายละเอียดกรุณาอ่านจากเอกสารที่จะแจกให้นี้นะคะ...พี่ศศิช่วยเอาเอกสารที่เตรียมไว้แจกให้ทุกคนด้วยค่ะ ขอบคุณมาก" เธอหันไปร้องขอกับศศินา ซึ่งวาคิมจัดมาให้เป็นผู้ช่วยของเธอ เมื่อเธอเห็นว่าทุกคนในที่ประชุมได้เอกสารแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า
"ฉันขอจบการนำเสนอไว้เท่านี้ก่อน หากมีข้อสงสัย...หรือว่ามีอะไรจะเสนอแนะ ฉันก็ยินดีมากค่ะ" คินสิตากล่าวปิดท้ายสั้นๆ
"สำหรับเรื่องการจัดตั้งแผนกใหม่พี่เห็นด้วยอย่างนะ...ส่วนเรื่องที่เสนอมาท้ายสุดนี้ก็ฟังดูน่าสนใจและเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์มากๆ กับบริษัทของเรา...แต่พี่ขอไปศึกษารายละเอียดก่อน แล้วอาทิตย์หน้าเราจะเปิดประชุมกันเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง ช่วยเตรียมตัวเลขเรื่องงบประมาณในการดำเนินการให้ด้วยก็จะดีนะคิน" วาคิมพูดกับน้องสาว
"เอาล่ะคับใครมีคำถาม หรืออยากจะพูดอะไร เชิญได้ตอนนี้เลย" คราวนี้ชายหนุ่มพูดกับคนอื่นๆ ในที่ประชุม
"ผมคิดว่าการอภิปรายของคุณคินสิตาก็ชัดเจนเป็นที่เข้าใจได้ดีอยู่แล้วครับ ก็เลยยังไม่มีอะไรจะเสนอในตอนนี้ หรือท่านอื่นจะว่ายังไงครับ" เป็นคุณพิชาญที่พูดขึ้นมา ซึ่งก็เป็นผลให้คนอื่นๆ พากันพยักหน้าเห็นด้วย
"ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอปิดการประชุมในวันนี้ไว้เท่านี้ก็แล้วกันนะ ขอบคุณมากครับทุกๆ คน" วาคิมกล่าวปิดการประชุม
"ทำได้ดีนี่" ชายหนุ่มพูดขึ้นหลังจากเหลือเพียงเขากับคินสิตา
"ไม่เท่าไหร่หรอกพี่คิม...ก็ทำอย่างที่ใครๆ เขาก็ทำกันนั่นล่ะ" หญิงสาวตอบอย่างที่ตนเองรู้สึก เพราะเธอก็รู้ว่าเธอยังไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษไปกว่าใคร
"ถึงงั้นก็เถอะ...นี่...ยังไงพี่ก็ภูมิใจ" วาคิมตบท้ายยิ้มๆ "พี่ไปก่อนล่ะ...ต้องออกไปดูโรงงานสักหน่อย..." วาคิมตบบ่าน้องสาวเบาๆ ก่อนจะผละไป เสียงประตูปิดลงเมื่อเขาลับกายไปแล้ว
คินสิตายังคงอยู่รั้งท้ายเพื่อเก็บโน๊ตบุ๊กและเอกสารส่วนตัว ในใจคิดว่าก็ไม่เลวนักหรอกสำหรับการกลับมาเมืองไทยและอาทิตย์แรกของการทำงานก็ดูว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว
--------------------------
...ยามเย็น ห้องทำงานส่วนตัว ณ มุมในสุด ซึ่งมองเห็นวิวแม่น้ำเป็นฉากหลัง
เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น ทำให้คินสิตาซึ่งกำลังตั้งใจจดจ่ออยู่กับงานออกแบบจิวเวลรี่เซ็ตใหม่ที่เพิ่งลงมือทำไปได้ไม่นานต้องละงานตรงหน้าแล้วหันมากดปุ่มรับสาย
"ว่าไงคะ พี่ศศิ" ตอบรับไปด้วยเสียงราบเรียบ
"คุณคินคะ...มีสายนอกบอกว่าจากเพื่อนสนิทค่ะ...ให้โอนไปเลยมั้ยคะ" ศศินาผู้ช่วยของเธอรายงานมาตามสาย
"เพื่อนสนิทเหรอ...บอกชื่อหรือเปล่าว่าใคร" หญิงสาวแปลกใจเพราะตั้งแต่เธอกลับมาก็ยังไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว
"พี่พยายามถามแล้วค่ะ...แต่เธอ...เอ่อ...เค้าไม่ยอมตอบ...บอกว่าอยากเซอร์ไพร์สน่ะค่ะ" เสียงศศินาบ่งบอกว่ามีความลำบากใจ
"ก็ได้...โอนเข้ามาเลยค่ะ" เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครนะช่างจมูกไวราวกับจมูกมด
"คินซี่ ทายซิใครเอ่ย..." คินสิตาหัวเราะพรืด เมื่อได้ยินเสียงดัดจริตที่พยายามทำให้อ่อนหวานยังไง แต่ก็ยังปิดความแหบห้าวในน้ำเสียงได้ไม่มิดนั้น เธอรู้แล้วล่ะว่าเป็นเสียงของผู้ใด
"จั๊ก..." เธอตอบไปด้วยความมั่นใจว่าไม่ผิดแน่
"เดี๋ยวตบปากซะนี่...บอกกี่หนละ...ว่าให้เรียก จั๊กกรี้..." จักรี หรือ จั๊กกรี้ สาวประเภทสองเพื่อนสนิทของเธอที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนถึงจบมหาวิทยาลัยและยังคงคบหากันมาจนถึงตอนนี้
"ก็เหมือนกันนั่นล่ะ...แล้วนี่รู้ได้ไงว่าฉันกลับมาแล้ว" คินสิตาถามคำถามที่ยังคาใจอยู่
"แหมๆ ดูถามเข้าซิ นี่ฉันยังคิดอยู่เลยว่าแกกลับมาตั้งหลายวันแล้วทำไมฉันถึงเพิ่งจะรู้ เหอะน่ะ..ไม่สำคัญหรอกว่ารู้ได้ยังไง แต่ฉันงอนอยู่นะเนี๊ยะที่แกกลับมาแล้วไม่ยอมติดต่อกันมั่ง" เสียงจักกรี้ประชดประชันตัดพ้อแต่ก็ไม่วายเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้
"เออ...ขอโทษ ก็กำลังยุ่งเรื่องงานน่ะ ฉันเพิ่งเริ่มทำงานให้พี่คิม" หญิงสาวเอ่ยขอโทษขอโพย
"ย่ะ...ก็นี่ล่ะ ถ้าฉันไม่บังเอิญไปเจอพี่ชายสุดหล่อของแกเข้าก็คงจะยังมาได้รู้ไปอีกเป็นชาติล่ะมั้ง" เป็นวาคิมนั่นเองที่บอกข่าวการกลับมาให้แก่เพื่อนของเธอ คินสิตารับทราบในที่สุด
"อื้มม...แล้วยังไงต่อล่ะ นี่คงไม่ได้โทรมาต่อว่ากันอย่างเดียวหรอกนะ" คินสิตาถามกลับไป
"ก็วันศุกร์ทั้งที...ไอ้เราก็ยังโสดแล้วจะรีบกลับบ้านไปทำไมกันเล่า...นะ...ออกมาเจอกันหน่อยซี...คิดถึงจะแย่" จั๊กกรี้ส่งเสียงออดอ้อนชวนมา
"เฮ้ย...ไม่ไปแล้วนะ บาร์เกย์น่ะ" ยังจำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยเธอเคยยอมทำตามความคิดพิเรนของเพื่อนคนนี้ แต่งตัวเป็นผู้ชายใส่หนวดปลอม เพื่อเข้าไปเที่ยวในบาร์เกย์กัน แล้วเพื่อนของเธอก็ระริกระรี้ไปกับหนุ่มหล่อล่ำคนหนึ่ง ทิ้งให้เธอนั่งขนลุกอยู่ตามลำพัง และยังต้องคอยหลบสายตากระเหี้ยนกระหือลือของบรรดากระซู่กระทิงที่คอยเหล่มองมา นั่นก็ทำให้จั๊กกรีหัวเราะคิกคักบ้าง
"ยังจำได้อีก...ทำไมเหรอจะแก้แค้นแล้วชวนไปผับเลดี้แทนก็ได้นะ"
" ผับที่ว่านั่นเค้าคงยอมให้แกเข้าไปหรอกนะ ถึกยังกับนักมวย" คินสิตารู้ว่าเดี๋ยวคงจะได้ยินอีกฝ่ายกรีดเสียงใส่อย่างแน่นอนหลังจากเจอคำพูดแสบๆ คันๆ ของเธอแล้ว และก็เป็นจริงตามคาด จั๊กกรี้ โวยวายใส่เธอยกใหญ่ ทั้งสบถกร่นด่าไปตามประสา
"ไอ้คินบ้า อย่ามาพูดอย่างนี้นะ ฉันออกจะสวยบอบบางน่าถนุถนอมยังกะเจ้าหญิง" จั๊กกรี้ไม่ยอมเสียล่ะ เมื่อรู้สึกราวกับว่าโดนสบประมาทอย่างรุนแรง คินสิตารู้สึกสนุกที่ได้แหย่เพื่อนเล่น เธอจึงเอาแต่หัวเราะและไม่ได้ตอบโต้ใดๆ อีก
"ตกลงจะให้ไปเจอที่ไหนดี" หญิงสาวถามออกไป เมื่อจั๊กกรี้สงบลงบ้างแล้ว
"ไม่รู้...ยังคิดไม่ออก...แกมารับฉันก่อนแล้วค่อยว่ากัน...ฉันทำงานอยู่ที่..." น้ำเสียงของเพื่อนที่อยากสาวยังคงมีแววขุ่นเคืองขณะบอกเส้นทางไปที่ทำงานของตัวเองให้คินสิตาฟัง
"โอเคๆ เสร็จงานแล้วจะรีบไปรับ" เธอหัวเราะให้คำมั่นกับเพื่อนก่อนที่จะวางสายไป เฉพาะกับเพื่อนของเธอคนนี้เท่านั้นที่คินสิตาจะเล่นหัวจนหัวเราะร่วนได้ ยามปกติกับคนรู้จักคนอื่นๆ เธอมักจะมีทีท่าเงียบขรึม และพูดคุยด้วยอย่างเป็นการเป็นงาน
ย้อนนึกถึงเมื่อตอนยังเป็นนักเรียนแล้วหญิงสาวก็ต้องเผลอยิ้มออกมา ผู้คนที่พบเห็นไม่ว่าจะเป็นบรรดาอาจารย์หรือเพื่อนนักเรียนด้วยกันต่างพากันชี้ชวนให้ดูคู่ซี้อย่างเธอกับจั๊กกรี้แล้วพากันทำขมุบขมิบปากซุบซิบ แต่เธอก็ไม่คิดแปลกใจหรือใส่ใจจะเอาความเลยซักครั้ง ก็มันคงดูประหลาดอยู่ไม่น้อยจริงๆ นั่นล่ะ เด็กสาวมาดแมน กระโดกกระเดก กับเด็กชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งที่เดินกอดคอกอดเอว หรือแม้แต่นอนหนุนตักกันตามระเบียงหน้าห้องเรียน ใครเห็นอย่างนั้นก็คงจะต้องรู้สึกประดักประเดิดเป็นธรรมดา
--------------------------
...ร้านอาหารติดริมแม่น้ำ ย่านพระราม 3
ตัวร้านเป็นบ้านไม้สไตล์ไทยแท้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ให้บรรยากาศที่ร่มรื่น ล้อมรอบด้วยพรรณไม้หายาก ที่สามารถชมวิวได้ทั้งสามทิศ มองเห็นสะพานพระราม 9 ในยามค่ำคืนได้ แถมยังมีอากาศเย็นสบาย คินสิตาและจั๊กกรี้เลือกนั่งที่โต๊ะหัวมุมหนึ่งของชานกว้างกลางแจ้ง
หลังจากจัดการกับอาหารรสเลิศที่จั๊กกรี้กระหน่ำสั่งมาจนล้นโต๊ะนั้นแล้ว สองคนเพื่อนซี้ก็ยังนั่งพูดคุยกันต่ออย่างออกรส ส่วนมากแล้วก็จะเป็นจั๊กกรี้ที่เดี๋ยวก็หยิบยกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อสนทนา หรือไม่หล่อนก็เฝ้าถามโน่นถามนี่กับคินสิตาไม่ได้หยุดหย่อน จนกระทั่งมาถึงหัวข้ออัพเดทถึงความเป็นไปของบุคคลที่ทั้งสองต่างก็รู้จัก นั่นเองที่ทำให้คนที่ทำหน้าทีผู้ฟังที่ดีตลอดมาเริ่มมีสีหน้านิ่งเฉย จิตใจเริ่มล่องลอยไปตกอยู่ในภวังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง และเธอก็ได้หยุดการโต้ตอบกับคนที่ยังคงคุยจ้ออยู่นั่นแล้ว โดยที่จั๊กกรี้ไม่ทันได้สังเกตุเห็นถึงอาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
"จั๊ก..." เสียงของคินสิตาเปล่งออกมาได้เพียงแผ่วเบา แต่แววตาของเธอต่างหากที่ทำให้จั๊กกรี้หยุดพูดไปได้
"............." จั๊กกรี้เลือกที่จะเงียบและรอให้เพื่อนพูดต่อให้จบ
"จั๊ก...แกได้ข่าวแพทบ้างมั้ย" เธอถามคำถามเดียวในใจออกมาในที่สุด คำถามถึงคนที่คินสิตาตั้งใจและหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลานี้ที่ความต้องการอยากจะรู้ถึงความเป็นไปของใครคนนั้นมีอำนาจเหนือการควบคุมของเธอ
"จะถามถึงค้าทำไมอีกฮึ" คราวนี้จั๊กกรี้พูดพร้อมกับจ้องมาราวกับว่าจะใช้สายตามองให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจของเธอว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
"บอกมาเถอะ...ระหว่างฉันกับเขา...มันไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว" คนฟังได้แต่ทอดถอนใจ แล้วตัดสินใจบอกออกไป
"เท่าที่ฉันรู้มาก็นะ...ชีแต่งงานแล้ว...แต่แหม...อีกแค่หกเดือนหลังงานแต่งชีก็คลอดลูกชายออกมาซะงั้น..." คินสิตาได้แต่พยักหน้ารับรู้ด้วยอาการเนิบช้า ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวพรืด
"ยังไม่ลืมเค้าอีกเหรอ เค้ามีครอบครัวไปแล้ว อย่าไปคิดถึงเค้าอีกเลย" จั๊กกรี้พูดหลังจากนิ่งมองเพื่อนอยู่พักใหญ่
"ที่จริงฉันก็สบายดีแล้วนะ...เพียงแต่...บางครั้งก็คิดเป็นห่วงเค้าขึ้นมาแค่นั้น" จริงหรือคินสิตา เธอทำได้อย่างที่พูดออกไปจริงๆ น่ะหรือ? หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองในใจ
"ห่วงตัวเองก่อนเหอะ...อย่าให้พูดอีกเลย...หมั่นไส้" จั๊กกรี้ว่าแล้วยกชาหวานในแก้วใบสวยขึ้นมาดื่ม และไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นเพื่อนรักนั่งนิ่งสายตาเหม่อมองออกไปนอกตัวร้านซึ่งมองเห็นแม่น้ำใหญ่ทอดยาวไปสุดตา
"ไปเดินเล่นตรงโน้นกันมั้ย..." คินสิตาเอ่ยชวนหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่ เธอเห็นว่าทางร้านมีส่วนที่จัดไว้สำหรับให้ลูกค้าได้เดินชมบรรยากาศริมแม่น้ำ ซึ่งอยู่ห่างไปทางอีกฟากหนึ่งของโต๊ะที่เธอกำลังนั่งอยู่
"โอเค...งั้นจ่ายตังค์เลยดีกว่า...มื้อนี้หน้าที่ฉันเอง...ถือว่าเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็เรียกพนักงานของร้านมาคิดเงิน คินสิตาเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปก่อน
เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ...และก็ต้องการศรัทธา ถึงแม้ไม่มากนัก แต่หากได้บ้างก็ยังดี หากในสองอย่างนี้ อากาศบริสุทธิ์คงหาได้ง่ายกว่า...
หญิงสาวเดินเรื่อยๆ เลาะไปตามสะพานไม้ที่สร้างไว้ติดกับริมตลิ่ง พยายามผ่อนคลายอารมณ์ที่จมลึกและกดดันของตัวเองเมื่อครู่นี้ หวังให้บรรยากาศสบายๆ ที่รายล้อมช่วยปลดปล่อยจิตใจให้ปลอดโปร่งแจ่มใส
"อากาศดีใช่ม้า..." เสียงจั๊กกรี้แว่วมาจากด้านหลัง
"อื้มม...ใช่" คินสิตา หยุดเดินและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาเหม่อมองไปตามคลุ้งน้ำสายยาวที่ตัดผ่านกลางเมืองหลวง
"แล้วนี่...แกไม่คิดจะเปิดใจรับใครใหม่ๆ เข้ามามั่งเหรอ..." จั๊กกรี้ถามทีเล่นทีจริง แต่คินสิตาไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มและส่ายหน้าตอบช้าๆ
คินสิตานึกถึงช่วงเวลาเกือบๆ สี่ปีที่ผ่านมานี้ แล้วก็ต้องยอมรับว่ามีหลายคนทีเดียวที่พร้อมจะเดินเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตกับเธอ และแม้บางเวลาเธอจะมีคู่ควงบ้างเป็นครั้งคราวแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่านั้น ปีแรกที่เธอทำปริญญาโทอยู่ที่ฝรั่งเศส
เธอก็ได้รู้จักกับมินตรา สาวไทยที่ไปศึกษาต่ออยู่ที่เมืองเดียวกัน หล่อนอายุเท่ากันกับคินสิตา ทั้งคู่เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน ปรึกษาปัญหาการใช้ชีวิตในต่างแดนกัน หล่อนค่อนข้างเก่งและเข้ากันได้ดีกับคินสิตา ควงกันอยู่ซักระยะ พอมินตราคิดที่จะจริงจังในการคบหามากขึ้น คินสิตากลับบอกหล่อนว่าเธอยังไม่พร้อม มันเป็นภาวะที่น่ากระอักกระอ่วนจนทั้งสองต้องหลบหน้ากัน ในที่สุดก็ต่างคนต่างเดินไปคนละเส้นทาง...แม้ว่ามินตราจะสวยพร้อมและแสนดีเหมาะควรกับการเป็นคนรักของเธอมากเพียงใดหากแต่คินสิตาก็รู้ว่ายังไม่ใช่คนที่จะเปิดหัวใจของตนเองได้
ปีต่อมาเธอก็พบกับฟ้าใส ซึ่งอ่อนวัยกว่าคินสิตาปีสองปี หล่อนเป็นถึงหลานสาวของท่านทูตไทยที่ประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส ตอนพบกันใหม่ๆ ฟ้าใสเพิ่งไปอยู่ที่เมืองนั้น และขอร้องให้คินสิตาพาหล่อนชมเมืองจนความสัมพันธ์เริ่มแน่นแฟ้นขึ้น ฟ้าใสเหมือนเด็กๆ ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร ที่อยากให้คินสิตาคอยปกป้องดูแล แต่ก็อีกนั่นล่ะ พอฟ้าใสเริ่มจริงจังและเรียกร้องต้องการจากคินสิตามากกว่าการเป็นแค่คู่ควงธรรมดา ก็เป็นอันทำให้ทั้งคู่ต้องเลิกร้างต่อกันไป...
แล้วเธอก็ได้เดทกับสาวอีกคนสองคนแต่ก็ลงเอยเช่นเดิมคือคบกันได้เพียงชั่วระยะสั้นๆ ก่อนที่จะจบกันไป นับจากนั้นหญิงสาวก็รู้ตัวว่าเธอปิดกั้นหัวใจตัวเองไว้แน่นหนาเพียงใด เพื่อนของเธอที่โน่นพยายามจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก แต่ก็ไม่สำเร็จสักราย จะว่าไปแล้วนั่นเป็นเพราะคินสิตาไม่ได้รู้สึกจริงจังเองมากกว่า อย่างที่มินตราเคยบอกกับเธอไว้ว่า
'ฉันปรารถนาจะมอบสิ่งที่คุณกำลังมองหาแต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ประตูหัวใจของคุณปิดตายสำหรับผู้หญิงทุกคนรวมทั้งฉันด้วย มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า กายคุณอยู่กับฉัน แต่ใจคุณรอคอยใครบางคนอยู่'
ดังนั้นช่วงปีหลังๆ ที่อยู่ต่างแดนเธอจึงไม่ได้คิดจะคบหากับใครเป็นพิเศษอีกเลย ไม่อยากจะมีใครเพราะแค่เหงา หรือไม่อยากจะดึงใครเข้ามาทำให้ชีวิตต้องวุ่นวายโดยที่เธอเองก็ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังกับใครได้อีก ถ้าเธอจะมีความรักอีกครั้ง...คราวนี้เธอต้องการผู้หญิงที่ทำให้เธอรักและนับถือได้...แล้วมันจะมีละหรือ...
หากแล้ว...ภาพใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏในความทรงจำ สาวน้อยที่งามสะดุดตา มีเส้นผมสีดำขลับ ดวงตาดำมีแววกระจ่างใสไร้ริ้วรอยตำหนิ...และยังมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มีไหวพริบเฉลียวฉลาดเกินวัย แต่ก็ดูใสซื่อปราศจากจริตมารยา...ไอยดา...เด็กสาวที่ฝากคำกระซิบบอกความปรารถนาของตนเองไว้กับเธอ...เสียงกระซิบที่ยังคงก้องอยู่ในหูของคินสิตามาจนเดี๋ยวนี้
'ฉันอยากให้คุณกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว...มาช่วยปลดปล่อยฉันให้หลุดพ้นจากฝันร้ายที่ฉันมีค่ะ...'
จริงสิ...หลายวันมานี้คินสิตาคิดถึงไอยดาบ่อยๆ ความรู้สึกนั้นกระวนกระวาย เป็นความรู้สึกซึ่งแฝงได้ด้วยความต้องการอันซ่อนเร้นอยู่ในความทรงจำแปลกๆ ต้องการจะได้พบหล่อน ด้วยยังจดจำความเพลิดเพลินเวลาที่มีหล่อนเป็นเพื่อนคุยด้วยได้ดี แต่ก็มีความคิดบางอย่างที่คอยยับยั้งตนเองเอาไว้ ความคิดที่คอยห้ามปรามก็คือ...หล่อนยังเด็ก...เด็กมากเกินไปสำหรับเธอ...และก็อาจจะปฏิเสธความเป็นตัวตนเธอก็เป็นได้
ทว่า...ไอยดาก็กระตุ้นอารมณ์หลายอย่างในตัวคินสิตาขึ้นมา เป็นอารมณ์ที่ห่างหายไปจากความรู้สึกของเธอนานแสนนานมาแล้ว และเธอเองก็อยากจะปล่อยให้ความรู้สึกล้ำลึกที่เกิดขึ้นมาให้คงอยู่ต่อไปเช่นนี้ โดยไม่ต้องไปสืบหาว่ามีสาเหตุมาจากอะไร...หรือจะดำเนินต่อไปอย่างไร
คินสิตายกมือขึ้นกอดอก มองเหม่อไปยังทิศทางที่เป็นที่ตั้งของสะพานสูง ท่ามกลางบรรยากาศและท้องฟ้ายามค่ำที่มืดครึ้มลงไปทุกขณะ
--------------------------
มีต่อในเม้นที่ 1 นะคะ