Dream ฝันค้างบนทางรัก Yuri
บทที่ ๑๖ : ยิ่งใกล้...ยิ่งหวั่นไหว
รุ่งสางทะเลหมอกปกคลุมอยู่ทั่วผืนป่า แสงทองของพระอาทิตย์จับขอบฟ้าแลดูระยิบระยับงดงามยิ่งนักในความรู้สึ ก นงนภัสตื่นนอนแต่เช้าตรู่ทั้งๆที่เพิ่งผล็อยหลับเมื่อตอนค่อนรุ่งนี่เอง สายตาของเธอทอดมองไปทิวทัศน์เบื้องหน้าซึ่งสวยราวกับภาพวาด
“อรุณสวัสดิ์พึ่ฟ้า...ทะเลหมอกสวยดีนะคะ” เมธาวีเอ่ยทักขึ้นเบาๆ หล่อนมาหยุดยืนเคียงข้างนงนภัสพร้อมๆกับฐิติณัชชาที่ส่งยิ้มบางๆมาให้เธอ
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะน้องเมย์ น้องฟาง” นงนภัสหันมายิ้มให้เมธาวีและมองเลยไปยังฐิติณัชชา ก่อนหลบซ่อนใบหน้าเขินอายเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอพบเห็นเมื่อคืน....หญิงสาวปริศนาซึ่งมีใบหน้าคล้ายสาวรุ่นน้องคนนี้ที่เปลือยกายอาบแสงจันทร์และธารใส
“น้องหญิงมณีจันทร์...พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน”
“เจ้าพี่นลินยุพา หม่อมฉันก็คิดถึงพระองค์เพคะ”
บทสนทนาอันแสนหวานลอยมากระทบโสตประสาทของนงนภัส เธอหันไปมองเมธาวีและฐิติณัชชาก็พบว่าทั้งสองสาวกำลังดื่มด่ำกับทิวทัศน์เบื้องหน้า โดยมิได้กล่าวถ้อยคำใดออกมา
“เอ่อ...น้องเมย์ น้องฟางคะ ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าคะ” นงนภัสเอ่ยถามปากด้วยความไม่แน่ใจ
“เสียงอะไรเหรอคะพี่ฟ้า เมย์ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงนกที่ร้องอยู่ไกลๆ” เมธาวีตอบคำถามรุ่นพี่สาวด้วยน้ำเสียงสดใส
“พี่ฟ้าได้ยินเหมือนกันเหรอคะ...ฟางได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกันด้วยภาษาโบราณ...” ฐิติณัชชาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาสายตาทอดยาวไปยังทะเลหมอกเบื้องหน้า
“ใช่ค่ะ พี่ก็ได้ยินอย่างที่น้องฟางได้ยินนั่นแหละค่ะ...” นงนภัสตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นรู้สึกยินดียิ่งนักเมื่อรู้ว่าฐิติณัชชาก็ได้ยินเช่นเดียวกันกับเธอ
แต่ก่อนที่จะมีการถามไถ่อะไรกันต่อ ชลชาติก็ถือถาดใส่แก้วเครื่องดื่มร้อนเดินมาหาสามสาว
“ได้ยินอะไรอีกล่ะฟ้า ยังละเมอไม่หายอีกเหรอครับ นี่ครับโกโก้ร้อนๆสำหรับสามสาวที่ตื่นเช้า” ชลชาติพูดก่อนวางถาดไว้บนโต๊ะไม้ก่อนหยิบแก้วเครื่องดื่มร้อนนั้นส่งให้สาวๆทีละคน
“ปล่าวจ๊ะไม่มีอะไร ขอบคุณสำหรับโกโก้แสนอร่อยนะคะต้นน้ำ” นงนภัสพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะพี่ต้นน้ำ” สองสาวกล่าวขอบคุณรุ่นพี่หนุ่มก่อนหยิบถ้วยเครื่องดื่มร้อนที่ชายหนุ่มยื่นให้
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” ชายหนุ่มยิ้มให้เพื่อนสาวร่วมชั้นปีและสองสาวรุ่นน้องอย่างจริงใจ แปลกนักหนาที่เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานานปี ทั้งที่เพิ่งพบกันได้ไม่นานนัก
“ว่าแต่เมื่อคืนมีอะไรกันเหรอคะ ฟางได้ยินพวกพี่คุยกันที่ลานโล่งหน้ารีสอร์ท กันซะดึกเลยค่ะ...” จู่ๆฐิติณัชชาก็ถามขึ้นมาหลังจากนิ่งเงียบกันไปนาน ทำให้รุ่นพี่ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันเลิกลักเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“อ๋อ..พวกพี่นอนไม่หลับ ก็เลยออกไปชมจันทร์พร้อมกับวางแผนเรื่องรับน้องไปด้วยไงคะ...ว่าแต่ฟ้าเถอะตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกมิ้นท์ล่ะคะ” พิมพ์ฤดาชิงพูดขึ้นมา หล่อนไม่อยากให้รุ่นน้องหรือรุ่นพี่ทราบถึงการหายตัวไปของนงนภัสเมื่อคืนนี้
“ใช่ๆ พวกพี่นอนไม่หลับก็เลยออกไปวางแผนรับน้องกันนิดหน่อยจ๊ะ...และที่ฟ้าไม่ปลุกมิ้นท์ ก็เพราะว่าฟ้าเห็นมิ้นท์กำลังนอนหลับสบายนี่คะเลยไม่อยากกวน” นงนภัสรีบยืนยันคำตอบของพิมพ์ฤดา ก่อนตอบคำถามของหล่อนด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เอ่อ...เมื่อคืนพวกพี่นอนห้องเดียวกันเหรอคะ...” ฐิติณัชชาถามออกมาเสียงสั่น ประกายความหึงหวงฉายออกมาจากดวงตาเรียวสีดำสนิทก่อนที่เจ้าตัวจะเบนสายตาให้ทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
“ค่ะ เมื่อคืนพวกพี่นอนด้วยกัน...” พิมพ์ฤดาพูดก่อนเขยิบไปใกล้นงนภัสมากขึ้น และถือโอกาสพาดวงแขนขาวของตนเองไปบนไหล่ของนงนภัสเพื่อกระตุ้นต่อมหึงของอีกฝ่าย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ารุ่นน้องคนนี้รู้สึกพิเศษกับนงนภัสไม่น้อยไปกว่าเธอ
“แต่คนละเตียงนะคะ” นงนภัสพูดต่อ เธอสังเกตแววตาของฐิติณัชชาที่ฉายแววประหลาดแล้วรู้สึกวูบวาบในหัวใจ สาวรุ่นน้องหันมามองรุ่นพี่สาว สองสายตาประสานกันก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนเวลายังหยุดนิ่ง ความรักฉายแววออกมาจากดวงตาของคนทั้งคู่อย่างปิดไม่มิด ก่อนต่างคนต่างหลบตากันอย่างขวยเขินสะเทิ้นอายยิ่งนัก
“ไปทานข้าวกันดีกว่าครับ ป่านนี้คงจะตื่นกันหมดแล้ว จะได้รีบทำกิจกรรมกัน...” เสียงของชลชาติดังขึ้นทำลายความเงียบ ก่อนที่ออกเดินนำหน้าไปยังห้องอาหารตามด้วยนงนภัส พิมพ์ฤดา ฐิติณัชชา และเมธาวีที่สังเกตเห็นความผิดปรกติดังกล่าวแต่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินตามไปอย่างสงสัยเท่านั้น
...............................................................
“ชึ่ง ชึ่ง โป๊ง โป๊ง ชึ่ง...โป๊ง ชึ่ง...โป๊ง ชึ่ง” เสียงกลองอึกทึก คึกคัก ดังมาจากลานโล่งหน้ารีสอร์ท นักศึกษาชั้นปีที่สองและสามได้ให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน รุ่นพี่ชั้นปีที่สองนำแป้งฝุ่นมาทาที่ใบหน้าของรุ่นน้องแต่ละคนจนขาววอกกันถ้วนหน้า หลังจากกิจกรรมเบื้องต้นดำเนินมาสักครู่ นักศึกษารุ่นพี่ก็แบ่งกลุ่มนักศึกษารุ่นน้องเป็นกลุ่มๆ เพื่อนประกอบกิจกรรมตามฐานต่างๆ ซึ่งจะมีพี่รหัสของแต่ละคนคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
เมื่อแบ่งกลุ่มเสร็จแล้วก็ให้นักศึกษารุ่นน้องผูกตาด้วยสีดำซึ่งนงนภัสเป็นผู้นำมาแจกให้น้องๆ ฐิติณัชชารับผ้าสีดำมาไว้ในมือก่อนผูกตาอย่างเก้ๆกังๆ นงนภัสเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วยผูกตาให้ กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อกายสาวลอยมาปะทะจมูก ฐิติณัชชาสูดกลิ่นหอมนั้นเต็มปอดก่อนระบายยิ้มบางๆที่มุมปาก
“ยิ้มอะไรเหรอน้องฟาง” นงนถัสถามด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ ใกล้ชิดกันขนาดนี้มีหรือที่หัวใจของเธอจะไม่หวั่นไหว กลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากกายของรุ่นน้องสาวนั่นเล่าที่ทำให้เธอรู้สึกปั่นป่วนและรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ยิ่งรอยยิ้มหวานของสาวรุ่นน้องนั่นด้วยเพียงแค่นี้จิตใจของเธอก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
“ปล่าวคะ น้ำหอมของพี่หอมดีนะคะ” น้ำเสียงใสๆของสาวรุ่นน้องที่ดังขึ้นพอให้ได้ยินเพียงสองคน แต่กลับหวานนักในความรู้สึกของนงนภัส ทำให้ความขวยเขินบังเกิดมาโดยฉับพลัน เมื่อผูกตาเสร็จแล้ว เธอจึงก้าวฉับๆ ไปหานักศึกษาร่วมชั้นปีเพื่อดำเนินกิจกรรมต่อไป
เมื่อนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งผูกตาเสร็จเรียบร้อยทุกคนแล้ว นักศึกษาก็ได้จูงมือรุ่นน้องแต่ละกลุ่มเพื่อไปยังฐานที่ได้จัดเตรียมเอาไว้โดยให้จูงมือเพื่อนในกลุ่มแล้วออกเดินตามรุ่นพี่ไป ฐิติณัชชาเดินตามเพื่อนๆในกลุ่มอย่างตื่นเต้น เสียงของรุ่นพี่ทำนำทางตังเป็นระยะๆ
“ข้างหน้ามีหลุม หลบหลุมหน่อยนะครับน้องๆ” นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง เดินตามกันมาอย่างระมัดระวังจนมาถึงจุดที่เป็นฐานรับน้องฐานที่หนึ่ง นักศึกษารุ่นพี่ก็ได้ให้นักศึกษารุ่นน้องกลุ่มของฐิติณัชชาลอดซุ้มเล็กๆที่สูงเลยพื้นดินไม่มากนัก
ฐิติณัชชาเอามือคลำหาประตูทางเข้าซุ้ม ที่เต็มไปด้วย กิ่งไม้และใบไม้ระเกะระกะ ก่อนจะค่อยๆคลานเข้าไปในนั้น
“เร็วๆเข้าสิน้อง! คนอื่นเขารออยู่” เสียงว๊ากของรุ่นพี่ดังขึ้นทำให้ฐิติณัชชารีบคลานเข้าไปในนั้น โชคไม่ดีที่ศีรษะของเธอครูดเข้ากับเพดานของซุ้ม จนรู้สึกเจ็บแสบ เธอพยายามข่มความเจ็บค่อยๆคลานไปเรื่อยๆอย่างยากลำบาก
“เร็วๆกันหน่อยน้อง ลอดซุ้มแค่นี้ชักช้าอืดอาดกันอยู่ได้”
เสียงแว๊ดๆของรุ่นพี่ดังขึ้นอีกรอบทำให้หญิงสาวกลั้นใจคลานต่อไปแม้ว่ากิ่งไม้จะขุดขีดตามร่างกายจนเลือดไหลซิบๆก็ไม่หวั่น ซุ้มนี้คับแคบและน่าอึดอัดเพราะอับชื้นยิ่งนัก เธอคลานต่ำๆอยู่กับพื้นอยู่ชั่วครู่ก็โผล่พ้นประตูทางออกออกมาได้ และขณะนั้นเองก็มีนิ่มๆของรุ่นพี่มาจับจูงให้เธอไปนั่งลงยังที่แห่งหนึ่ง
“นั่งลง !” เสียงแหวๆดังขึ้นอีกครั้ง ฐิติณัชชาปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย ด้วยหัวใจที่เต้นระทึกราวกลองเพล โลกมืดที่เธอกำลังเผชิญอยู่มันน่าตื่นเต้นยิ่งนัก
เมื่อนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ลอดซุ้มประตูและมานั่งโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว รุ่นพี่ก็แจกขนมปังแซนวิชให้รุ่นน้องได้รับประทาน เมื่อรุ่นน้องได้กัดเข้าไปคำแรกก็แสดงสีหน้าเหยเกออกมา เพราะแซนวิชเหล่านั้นสอดไส้พริกเม็ดเป้ง ลูกกะปิเค็มๆ หรือชิ้นบอระเพ็ดอันแสนขมเอาไว้คละเคล้ากันไป
โชคร้ายของฐิติณัชชาที่แซนวิชที่เธอได้รับแจกสอดไส้เม็ดพริกเอาไว้ ความเผ็ดร้อนของพริกทำให้ลิ้นของเธอแสบจนพองไปหมด เธอเป่าปากและเอามือพัดแต่ความเผ็ดร้อนก็ยังไม่ยอมจางหายไป
“ทานน้ำหน่อยนะคะ” เสียงหวานๆของนงนภัสรุ่นพี่สาวสวยดังขึ้นและเอาน้ำจรดที่ริมฝีปากของเธอ
“อย่าดูดมากนะคะ...มันเค็ม” นงนภัสกระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน
“แค๊กๆๆๆ” แต่ทว่าไม่ทันเสียแล้วเมื่อฐิติณัชชาดูดน้ำนั้นเข้าไปอึกใหญ่ก่อนสำลักอย่างแรงเมื่อน้ำที่ดื่มเข้าไปเค็มยิ่งกว่าน้ำทะเลเสียอีกและเมื่อเธอหายสำลักแล้วแปลกที่ความเผ็ดร้อนได้หายไปด้วย
ฐิติณัชชารู้สึกหวามไหวในหัวใจ ทำไมนงนภัสเอาใจใส่เธอขนาดนี้ ‘หรือว่า.....หรือว่านงนภัสจะเป็นพี่รหัสของเธอ’ รุ่นน้องสาวนั่งยิ้มอย่างมีความสุขกับความคิดของตัวเอง นงนภัสเบือนหน้าหนีรอยยิ้มเรี่ยราดของสาวเจ้า เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่สร้างความหวั่นไหวในหัวใจเธอยิ่งนัก
“มีใครยังกินขนมปังยังไม่อิ่มบ้าง น้องฟางจะเอาอีกชิ้นไหมคะ!” พิมพ์ฤดาถามออกมาอย่างเคืองๆกับความใกล้ชิดของคนทั้งคู่ ใกล้ชิดเกินไปแล้วในความความคิดของเธอ ใกล้ชิดจนพิมพ์ฤดาหวั่นใจว่านงนภัสจะมีใจให้ฐิติณัชชา
“ไม่ค่ะพี่มิ้นท์ ฟางอิ่มแล้วค่ะ” ฐิติณัชชารีบปฏิเสธออกไป แต่ทว่า...
“ไม่ได้ค่ะ พี่ให้กินก็ต้องกินสิคะ !” เสียงกราดเกรี้ยวของพิมพ์ฤดาดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับยื่นถาดใส่แซนวิชมาให้ รุ่นน้องสาวหยิบมาชิ้นหนึ่งก่อนจ้องมองอย่างช่างใจ และส่งเข้าปากไปในที่สุดพร้อมกับหลับตาปี่ทั้งๆที่มีผ้าปิดตาอยู่ แต่เมื่อลิ้นสัมผัสรสชาติของแซนวิชเธอก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แซนวิชชิ้นนี้ไม่ได้มีรสชาติเผ็ดร้อนอย่างที่นึกกลัว มีเพียงรสเค็มปะแล่มๆชองลูกกะปิเท่านั้น
“อร่อยใช่ไหม งั้นกินให้หมดถาดนี่เลย กินให้หมด!” เสียงแหวๆดังขึ้นมาจากปากรุ่นพี่สาวใบหน้าสวยแต่ใจร้ายอีกครั้งอย่างไม่พอใจ
“พอแล้วมิ้นท์! เป็นอะไรทำไมไปแกล้งน้องเค้าอย่างนั้นล่ะ เอาล่ะครับน้องๆ ลุกขึ้นได้แล้วครับ ได้เวลาเปลี่ยนฐานแล้ว น้องวุธจับมือพี่ไว้นะครับ น้องคนอื่นๆจับมือน้องวุธต่อๆกันนะครับ เรียบร้อยแล้วก็ตามพี่มาเลยนะครับ” ชลชาติให้เนตรดาวมาหยิบถาดบรรจุขนมปังแซนวิชไปวางไว้ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ต่อและพานักศึกษารุ่นน้องกลุ่มนี้เดินไปยังฐานถัดไปซึ่งอยู่ไกลออกไปจากฐานแห่งนี้พอสมควร ทิ้งให้พิมพ์ฤดามองตามอย่างขุ่นเคือง
“น้องๆคะ ออกมาจากซุ้มแล้ว ก็มาที่นี่สิคะ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม !” น้ำเสียงของพิมพ์ฤดาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด หล่อนระบายอารมณ์ขุ่นมัวกับรุ่นน้องอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาลอดซุ้ม
“มิ้นท์คะ ใจเย็นๆก่อนเถอะค่ะ มิ้นท์เป็นอะไรไปคะโมโหใครมาเมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย” นงนภัสเดินมาจับแขนพิมพ์ฤดาเอาไว้ ก่อนพูดเบาๆเป็นเชิงเตือนสติเพื่อนสาว
“มิ้นท์จะเป็นอะไรมันก็เรื่องของมิ้นท์ ไม่เกี่ยวกับฟ้าหรอกค่ะ ไปสนใจยัยน้องฟาง นู่นไป๊!” พิมพ์ฤดาพูดด้วยน้ำสียงกระเง้ากระงอด ความหึงหวงทำให้หล่อนควบคุมสติอารมณ์ไม่อยู่จึงสะบัดแขนนงนภัสออกและหันไปว๊ากรุ่นน้องผู้โชคร้ายกลุ่มนั้นต่อ นงนถัสมองตามอย่างงงๆ ก่อนรีบเข้าไปช่วยแจกแซนวิชรุ่นน้องกลุ่มนี้แต่พิมพ์ฤดาสะบัดหน้าหนีและไม่ยอมให้เธอช่วย
“มิ้นท์เป็นอะไรไปเหรอดาว” นงนภัสเอ่ยปากถามเนตรดาว อย่างสงสัยในการกระทำของพิมพ์ฤดา
“มันจะเป็นอะไรองมันนอกจากหึงฟ้านะสิ มิ้นท์มันแอบชอบฟ้ามานานแล้ว ฟ้าไม่รู้หรอกเหรอ...” คำตอบของเนตรดาวทำให้นงนภัสอึ้งไปชั่วครู่ พิมพ์ฤดาเนี่ยนะหรือแอบชอบเธอ
“ยืนกันอยู่นั่นแหละ มาช่วยแจกน้ำแจกแซนวิชน้องๆหน่อยสิ” พิมพ์ฤดาที่คลายอารมณ์กราดเกรี้ยวลงไปแล้วกวักมือและส่งเสียงเรียกนงนภัสและเนตรดาวไปช่วยดูแลน้องๆ เพื่อนสาวสองคนจึงรีบเข้าไปช่วย
ฐิติณัชชาประกอบกิจกรรมตามฐานต่างๆอย่างเรียบร้อย จนถึงฐานสุดท้ายซึ่งนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ จะต้องข้ามสะพานเชือกที่สร้างไว้สำหรับข้ามลำธารเพื่อไปยังจุดเริ่มต้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยมีพี่รหัสองแต่ละคนรอคอยแก้ผ้าผูกตาให้ หญิงสาวค่อยๆข้ามสะพานเชือกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ใต้สะพานเขือกเป็นธารน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว เสียงของน้ำที่กระทบก้อนหินดังกังวานพาลให้เธอรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เธอไต่สะพานเชือกไปเรื่อยๆจนเกือบจะถึงงกลางสะพาน ความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญกับกิจกรรมสุดหฤโหดประกอบกับรองเท้าผ้าใบที่เธอสวมอยู่มันลื่นแสนลื่น จึงทำให้เธอก้าวพลาดจนพลัดตกจากสะพานท่ามกลางความตกใจของทุกคน
“ตูม!” เเสียงกระจายของน้ำเป็นวงกว้าง ฐิติณัชชาพยายามตะเกียดตะกายดันตัวเองให้โผล่ไปเหนือน้ำแต่ไม่สำเร็จจนในที่สุดร่างของเธอจมหายไปในน้ำ
“ใครว่ายน้ำเป็นบ้าง !” พิมพ์ฤดาถามอย่างตื่นเต้น ก่อนที่เสียงตูม จะดังขึ้นอีกครั้งของผู้ที่ลงไปช่วยเหลือ และคว้าลำคอของฐิติณัชชาจนศีรษะของเธอโผล่พ้นน้ำก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายเธอจะขาดลงพอดี
ฐิติณัชชาลืมตาขึ้นมาดูผู้มาช่วยเหลือที่กำลังดึงร่างของเธอเข้าฝั่งอย่างทุลักทุเล เธอยิ้มให้รุ่นพี่สาวอย่างเซียวๆก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะดับวูบไป!!!!