รักลวง
บทที่ ๑๔ : เวรย่อมระงับด้วยการจองเวร
เช้าวันอังคารอากาศสดชื่นแจ่มใสแสงแดดยามเช้าหลังพระอาทิตย์โผล่ขึ้นพ้นขอบฟ้าสว่างวาบเป็นสีทองอาบไล้ไปทั่วบริเวณ แสงทองค่อยๆลอดผ่านม่านหน้าต่างปลุกให้ป๋องแป้งค่อยๆตื่นจากความหลับใหลแต่เช้าตรู่ หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ ท้องฟ้าสีครามสดใสมีก้อนเมฆขาวเป็นปุยค่อยๆเคลื่อนผ่านไป มารดาของเธอกำลังทำอาหารอยู่ในครัว กลิ่นหอมของอาหารทำให้ป๋องแป้งรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อคอปกตัวเก่งสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงยีนส์ห้าส่วนสีสนิมเหล็ก แล้วเดินเข้าไปหามารดาในครัว ผู้ให้กำเนิดของป๋องแป้งกำลังปรุงรสแกงจืดเต้าหู้ใส่หมูสับด้วยซีอิ๊วขาวจากนั้นจึงใส่ต้นหอมหั่นเป็นท่อนๆ
“หอม...น่าทานจังเลยค่ะคุณแม่” ป๋องแป้งบอกแล้วสูดหายใจเอากลิ่นหอมๆนั้นเข้าปอดอย่างสุขใจ
“ตื่นมาทำไมแต่เช้าลูกเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาแท้ๆ น่าจะนอนต่ออีกสักหน่อย” มารดาพูดอย่างห่วงใย
“หนูหายเป็นปรกติแล้วค่ะคุณแม่ คุณแม่ทำอะไรอยู่เหรอคะ หอมฟุ้งน่าทานที่สุดเลยค่ะ” บุตรสาวพูดพร้อมชะโงกหน้าลงไปดูอาหารที่อยู่ในหม้อ
“แกงจืดเต้าหู้หมูสับจ๊ะ ช่วยแม่ชิมหน่อยสิลูกรสชาติกลมกล่อมรึยัง” นางจันทร์ประภายิ้มกับบุตรสาวคนกลางแล้วใช้ทัพพีตักแกงจืดใส่ถ้วยเล็กให้ป๋องแป้งชิมรส
“ทานได้หรือคะคุณแม่ คุณยายเคยบอกหนูว่า การรับประทานอาหารก่อนที่จะถวายพระฉันจะเป็นบาป” ป๋องแป้งบอกมารดาตามที่คุณยายเคยสอน
“เราชิมเพื่อปรุงรสชาติจ๊ะลูก ไม่บาปหรอก” มารดาอธิบาย ป๋องแป้งจึงใช้ช้อนตักน้ำแกงเข้าปาก เธอกลืนน้ำแกงลงคอแล้วจึงบอกมารดาว่า
“อร่อยมากเลยค่ะ” คำชมของป่องแป้งทำให้นางจันทร์ประภายิ้มอย่างพอใจ
“แม่ทำกล้วยบวชชีด้วยนะ” มารดาบอกขณะตักกล้วยบวชชีสีสันน่ารับประทานใส่ในปิ่นโต แล้วพูดกับป๋องแป้งต่อว่า
“แม่จะไปจัดดอกไม้และผลไม้สำหรับถวายพระก่อน หนูช่วยช่วยเตรียมอาหารต่อนะลูก” มารดาพูดพร้อมกับเดินออกไปจากห้องครัว
“ค่ะ” ป่องแป้งรับคำมารดาก่อนที่ตักอาหารใส่ปิ่นโต
วันนี้วันพระบิดากับมารดาจึงพาจิระวดีและจิรัฏฐ์ไปทำบุญและฟังเทศน์ที่วัดด้วยเพราะบุตรทั้งสองยังอยู่ในช่วงปิดเทอม ในขณะที่จิณห์วราบุตรสาวคนโตรีบไปทำงานแต่เช้า
เมื่อไปถึงวัด ป๋องแป้งก้มกราบหลวงปู่เจ้าอาวาสด้วยความนอบน้อมแล้วถวายภัตตาหารที่เตรียมมา หลังจากที่พระภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่ก็เทศนาสั่งสอนญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด เรื่องอาณิสงส์ของการรักษาศีลห้าหรือเบญจศีลด้วยน้ำเสียงเนิบๆน่าฟัง ป๋องแป้งนิ่งฟังด้วยความตั้งใจ
พระภิกษุชราสวดให้ศีลให้พรเสร็จ ชาวบ้านต่างก็ทยอยลงไปศาลา บิดามารดาของป๋องแป้งและจิรัฏฐ์นั่งสนทนาธรรมต่อกับเจ้าอาวาสวัด สองพี่น้องจึงขออนุญาตลงมาเดินเล่นยังบริเวณวัด
ป๋องแป้งเดินชมอาณาบริเวณของวัดด้วยจิตใจที่สงบสุขเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการที่เธอหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลอย่างสม่ำเสมอ ผลบุญจะส่งผลให้ดวงวิญญาณที่ติดตามเธออยู่ไปสู่สุขคติเสียที แต่ทว่าในขณะที่หญิงสาวกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั่นเองจู่ๆกระแสลมก็กรรโชกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนฝุ่นดินแดงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ หญิงสาวจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ติดตัวมากำบังดวงตาและใบหน้าเอาไว้เพื่อไม่ให้ผงฝุ่นเข้าตา
เมื่อป๋องแป้งลืมตาขึ้นมาอีกครั้งฝุ่นแดงที่คละคลุ้งอยู่ก็จางลงเหลือเพียงท้องฟ้าที่มืดสนิท มีเพียงแสงรำไรจากพระจันทร์ที่ไม่เต็มดวง ทำเอาบรรยากาศวังเวงจับหัวใจ ความเงียบรอบข้างทำให้ได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรที่พากันประสานเสียงกันระงม ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ขึ้นรกครึ้มราวกับป่ายืนสงบนิ่งมองผิวเผินคล้ายกับมนุษย์ร่างใหญ่ที่ยืนจ้องผู้มาเยือนอย่างหิวกระหาย ยามเมื่อลมพัดผ่านยอดไม้ปลิวไสวไม่ต่างจากสัมภเวสีโบกมือทักทาย
ทุกอย่างช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก มิหนำซ้ำเสียงสุนัขที่เห่าหอนรับกับเป็นทอดๆอย่างต่อเนื่องฟังดูโหนหวนชวนขวัญผวาเข้าไปอีก ป๋องแป้งมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความหวาดหวั่นแกมประหลาดใจ เธอเพิ่งลงมาจากศาลาการเปรียญของวัดในตอนสายนี้เองมิใช่หรือแต่ทำไมในเวลานี้ท้องฟ้ากลับมืดมิด ยิ่งคิดหญิงสาวยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของสิ่งต่างๆรอบๆตัว
ป๋องแป้งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมกับเปิดฟังก์ชั่นไฟฉายที่ติดมากับโทรศัพท์มือถือ หญิงสาวหยุดกึกเมื่อแสงสว่างจากไฟฉายดังกล่าวส่องไปกระทบกับวัตถุทรงกรวยแหลมสูงที่ตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงหน้า สิ่งนั้น คือ ‘โกศ’ คนตายนับร้อยๆที่ตั้งอยู่ในพงหญ้ารก
เสียงฟ้าร้องครืนๆดังมาแต่ไกล พร้อมกับแสงฟ้าแลบ เมฆสีดำทะมึนค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ป๋องแป้งค่อยๆเดินอย่างเชื่องช้าเพื่อหาทางออกจากที่นี่ สายตามองหญิงสาวมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง
“ซวบ...ซวบ”
เสียงเหมือนมีใครสักคนเหยียบหญ้าแห้งๆอยู่ทางด้านหลังของหญิงสาว เธอรีบหันหลังไปมองพร้อมใช้ไฟฉายส่องไปทั่วบริเวณแต่ไม่พบใคร แต่ยังไม่ทันจะได้เดินต่อไป เสียงนั้นก็มาเยือนอีกครั้ง
“ซวบ...ซวบ”
คราวนี้ป๋องแป้งชะงักกึกเหงื่อแตกซิกทั้งที่ลมพัดแรง เธอค่อยๆหันไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่พบอะไรอยู่เช่นเดิม แต่ในขณะที่ป๋องแป้งตั้งท่าจะวิ่ง ของเหลวจากบนฟ้าก็เริ่มร่วงหล่น หญิงสาวค่อยๆใช้มือเช็ดออกจากใบหน้า แล้วพบว่าสิ่งที่หล่นมาจากฟ้าหาใช่หยาดฝนไม่ แต่เป็นหยดเลือดสีแดงสดที่ไหลมาจากข้างบนศีรษะของเธอ
ป๋องแป้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองข้างบนอย่างตระหนก แต่แล้วภาพที่เธอเห็นก็คือร่างอันน่าสยดสยองของวิญญาณดวงเดิมที่เธอพบในห้องน้ำของตึกคณะมนุษยศาสตร์กำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนกรามฉีกถึงติ่งหู เลือดไหลหยดลงมาตรงหน้าของป๋องแป้ง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด พลอยนิล อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย....”
......................................................................
ภายในศาลาการเปรียญ ณ วัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่ป๋องแป้งอาศัยอยู่มากนัก นายกุลพิธาน์กับนางจันทร์ประภา บิดารมารดาของป๋องแป้งกำลังนั่งสนทนาธรรมกับท่านเจ้าอาวาสวัดด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
“ดีแล้วล่ะโยม หมั่นทำบุญบ่อยๆผลบุญกุศลที่ทำจะได้ส่งถึงดวงวิญญาณที่กำลังติดตามบุตรสาวของโยม” พระภิกษุชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ท่านกำลังหมายถึงอะไรเจ้าคะ” นางจันทร์ประภาถามด้วยน้ำเสียงสั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ตอนนี้บุตรสาวของโยมมีดวงวิญญาณคอยติดตามอยู่ บอกบุตรสาวของโยมด้วยนะว่าให้หมั่นอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา เพราะบุญกุศลจะส่งผลให้พวกเขาได้ไปในทีที่ควรจะไปสักที”
“แล้วดวงวิญญาณเหล่านั้นจะทำให้ลูกสาวของกระผมมีอันตรายหรือไม่ขอรับ” น้ำเสียงของผู้เป็นบิดานั้นขรึมลงด้วยเพราะความรู้สึกห่วงใยในตัวบุตรสาวยิ่งนัก
“ผลบุญเท่านั้นโยมที่จะให้ช่วยคุ้มครองแม่หนูจากอันตรายทั้งปวง” ท่านเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ก่อนที่จะหลับตาทำสมาธิ
“ช้ามิได้แล้วโยม รีบไปเร็ว ประเดี๋ยวจะไปทันกาล” ผู้ทรงศีลกล่าวก่อนที่จะรีบลุกจากอาสนะ
“ไปไหนเจ้าคะหลวงปู่”
“ไปช่วยบุดรสาวของโยม ตอนนี้แม่หนูกำลังตกอยู่ในอันตราย”
สมณะสูงวัยรีบลงจากสาลาการเปรียญเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าช้าท้ายวัดซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโกศบรรจุอัฐิของผู้วายชนม์ทั้งหลาย ตามด้วยบิดามารดาของหญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย ผู้ให้กำเนิดทั้งสองต่างเร่งรีบติดตามพระภิกษุสูงวัยไปด้วยความห่วงใยในตัวบุตรสาว
ระยะทางจากศาลาการเปรียญมายังป่าช้าท้ายวัดไกลพอสมควร แต่พระภิกษุชรากับโยมอุปัฏฐากและโยมอุปัฏฐายิกาทั้งสองกลับใช้เวลามาถึงรวดเร็วราวติดปีกบิน แต่เมื่อมาถึงแล้วสิ่งที่เห็นทำให้บิดามารดาของป๋องแป้งถึงกับเข่าอ่อน เพราะเป็นภาพของวิญญาณตนหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่กำลังเอื้อมมือหมายจะยกร่างของป๋องแป้งให้ลอยขึ้นจากพื้นดิน โดยมีเบื้องหลังเป็นท้องฟ้าสีดำทมิฬและมีสายฟ้าฟาดอยู่ไกลๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะโยม โยมป๋องแป้งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย โยมอย่าทำอะไรโยมป๋องแป้งเลย บาปกรรมเปล่าๆ” เสียงของพระภิกษุชราดังขึ้นมา พร้อมกับประกายเรืองรองของบุญบารมีที่แผ่ออกมาจากกายท่าน
ผีสาวหันมาอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะหันมาทางพระภิกษุชราแทน บิดามารดาของป๋องแป้งจึงรีบวิ่งไปหาบุตรสาวพร้อมโอบกอดร่างบางเอาไว้
“ท่านนั่นแหละอย่ามายุ่ง เพราะมันไม่ช่วยฉัน ฉันให้โอกาสมันแล้วแต่มันก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นมันต้องตาย!!”
“โยมจะทำอย่างนั้นไม่ได้ โยมกำลังจะทำบาปหนักอีกครั้ง ปล่อยวางเถอะโยมมิฉะนั้นวิญญาณของโยมจะไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์” พระภิกษุชรากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“ฉันไม่กลัว บาปกรรมอะไรฉันไม่กลัวทั้งนั้น ฉันจะเอามันไปอยู่ด้วย”
“อโหสิกรรมเถิดโยม อย่างไรเสียคนที่ก่อกรรมกับโยมก็ตายไปแล้วคนหนึ่ง คนที่เหลือโยมก็ปล่อยให้ผลกรรมตามทันพวกเขาเองเถอะนะ”
“ไม่ ถ้าไม่มีพวกมันฉันก็คงจะไม่ต้องตาย เพราะพวกมันทำเรื่องเลวระยำไว้กับฉัน!” วิญญาณสาวตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงกร้าวสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“แต่โยมป๋องแป้งเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“ไม่ ฉันจะฆ่ามัน ท่านเป็นพระก็อยู่ส่วนพระ อย่ามายุ่งเรื่องทางโลก” วิญญาณพูดพร้อมกับเอื้อมมือยาวเฟื้อยมาตรงที่ป๋องแป้งและบิดามารดายืนอยู่
“อาตมาคงไม่ยอมให้โยมทำแบบนั้น” พระชราพูดก่อนที่จะหยิบดินตรงหน้ามาหนึ่งกำมือแล้วกำกับคาถาลงไปแล้วจึงเขวี้ยงเศษดินเหล่านั้นใส่ร่างของผีสาว
วิญญาณสาวร้องอย่างเจ็บปวดก่อนที่ร่างจะค่อยๆกลายเป็นมวลสารคล้ายฝุ่นผงปลิวหายไปในอากาศ ลมแรงเมื่อครู่หยุดนิ่งลง ท้องฟ้าที่เคยมืดดำก็ค่อยๆสว่างไสวดังเดิม
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะที่ช่วยชีวิตดิฉันไว้” ป่องแป้งนั่งลงกับพื้นแล้วก้มกราบท่านเจ้าอาวาสด้วยความนอบน้อม
“หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาเถอะโยม ถึงแม้โยมจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย หากแต่ใบหน้าที่คล้ายกับวิญญาณดวงนั้น อาจจะทำให้โยมตกอยู่ในอันตราย ผลบุญเท่านั้นที่จะช่วยครองโยมจากอันตรายทั้งปวง”
“เจ้าค่ะ” ทั้งสามก้มกราบพระภิกษุชราอีกครั้ง ก่อนจะเดินทางกลับบ้านอย่างโล่งใจที่วันนี้ป๋องแป้งไม่ได้รับอันตรายจากดวงวิญญาณอาฆาตดังกล่าว...
..................................................................................