web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 137
Total: 137

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 20  (อ่าน 4017 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 20
« เมื่อ: 27 มกราคม 2014 เวลา 17:58:06 »
ตอนที่ 20

   ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วแต่ท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ นักเรียนกลับบ้านไปหมดแล้ว บ้านพักครูทุกหลังเปิดไฟหมดแล้วจรัสตะวันยังคงนั่งอยู่หน้าบ้าน แสงตะวันยังไม่กลับมา ในที่สุดเธอก็ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปกับความเงียบจนกระทั่งรู้สึกว่าข้างนอกมืดเกินกว่าจะนั่งอยู่ได้ เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเตรียมจะเข้าบ้าน อดมองไปยังบ้านพักครูหลังอื่นไม่ได้ มีเงาคนเคลื่อนไหวในบ้านไปมา ได้ยินเสียงแว่ว ๆ เหมือนแม่ดุลูกให้ออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มาทำการบ้าน เสียงพ่อถามว่ามื้อเย็นมีอะไรทานหรือจะออกไปทานข้างนอก

   จะเพราะความเงียบหรือหัวใจที่โหยหาคำว่าบ้านและครอบครัว ทำให้จรัสตะวันจึงได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ เพราะสองคำนี้หายไปจากชีวิตเธอนับตั้งแต่ต้องจากแม่และน้องสาวมาเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ส่วนพ่อหายไปจากชีวิตจนลืมไปแล้วว่าความรู้สึกที่เคยมีพ่อเป็นอย่างไร เธอจึงอิจฉาคนที่มีบ้านและครอบครัว จึงโหยหาคำว่าบ้านที่ขอแค่มีอย่างน้อยใครสักคนที่รักและเข้าใจกัน ทำให้ทุกวันของชีวิตได้รู้ว่ามีคนที่รอคอยหรือได้รอคอยใครสักคน เธอต้องการเพียงเท่านี้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มานั่งมองทางรอน้องสาวกลับมา และไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าเธอแอบหวังว่าจะมีใครอีกคนแวะมา

   ใครคนนั้นที่มาทำให้หัวใจสับสน ทั้งที่อยู่คนเดียวมาจนเหมือนชินชาดีแล้ว แม้ไม่มีความสุขแต่ก็ไม่เป็นทุกข์

กระวนกระวายใจเหมือนตอนนี้ หากเป็นคนที่เธอรัก ไม่ยากหรอกที่เธอจะเข้าใจและยอมรับในความเป็นเขา แต่สิ่งที่ยากกว่าคือคนที่มารักเธอต่างหากว่าจะเข้าใจและยอมรับในความเป็นเธอได้หรือเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องการที่จะรักใครอีก

   แสงตะวันคงยังไม่กลับมาง่าย ๆ เพราะตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนไกล ๆ และอีกไม่กี่วันก็จะต้องกลับไปทำงานแล้ว จรัสตะวันจึงต้องเข้าบ้าน เปิดไฟและเตรียมอาหารมื้อเย็นทานเองง่าย ๆ หลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำแล้วมาทำงานต่อพอง่วงนอนก็จะเข้านอน ตื่นเช้าไปสอนแล้วตกเย็นก็กลับมาบ้าน เธอคงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในวงจรแบบนี้ตลอดไป

   แสงไฟจากบ้านพักครูหลังอื่นทยอยปิดลง ในขณะที่จรัสตะวันรวบรวมสมาธิมาสู่งานที่นำกลับมาทำได้แล้ว ใครๆ ต่างมองว่าเธอเป็นคนขยัน แต่เธอเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านไปได้นั้นก็เพราะมีงานทำ เธอไม่สามารถอยู่กับความว่างเปล่าได้โดยไม่ฟุ้งซ่าน

   แสงไฟจากรถยนต์สาดเข้ามาบ้านในขณะที่เธอเริ่มจะง่วงนอน แสงตะวันกลับมาแล้ว เธอรู้สึกดีใจเหมือนเด็กที่คอยพ่อแม่กลับบ้านหลังเลิกงาน ยอมรับว่าเมื่อมีแสงตะวันมาอยู่ด้วยเธอรู้สึกมั่นคง อบอุ่นและปลอดภัย รีบลุกออกไปเปิดประตูบ้าน แต่รถคันนั้นยังคงเปิดไฟและจอดอยู่หน้าบ้าน ทั้งที่รั้วไม่ได้ล็อคไว้ แสงตะวันน่าจะลงมาเปิดประตูเอารถเข้าบ้านเอง แต่เมื่อมองดูดี ๆ จึงรู้ว่าไม่ใช่รถของเธอ

   ยังเดินออกไปไม่ถึงรั้วบ้าน ไฟรถก็ดับลงและคนในรถก็เปิดประตูออกมา

   “จรัส” เสียงที่ทักทายเธอมาก่อนนั้นฟังดูอ่อนระโหยผิดกับทุกครั้งที่เธอจะได้ยินแต่น้ำเสียงที่สดใส

   “ครูแพท” จรัสตะวันอุทานด้วยความตกใจระคนแปลกใจมากกว่าที่จะเป็นการตอบรับ

   “แพทไม่รู้จะไปไหน” พัดชายกมือมาเกาะรั้วและซบหน้าลงสะอื้นกับแขนตัวเอง

   “เข้ามาในบ้านก่อนค่ะ” จรัสตะวันรีบเปิดประตูเล็กออกไปพาพัดชาเข้ามาในบ้าน

   พัดชายังอยู่ในชุดทำงานชุดสวยและราคาก็อาจจะแพงกว่าชุดของเธอสิบชุดรวมกันก็ได้ แม้ดวงตาจะบวมช้ำและใบหน้าเลอะไปด้วยคราบน้ำตาแต่ทว่าเครื่องสำอางราคาแพงที่แต่งไว้ก็ยังคงทำให้ใบหน้านั้นดูเนียนสวย ไม่เลอะเทอะเหมือนเธอที่ทาแป้งเด็ก เวลาร้องไห้ก็กลายเป็นคราบมอมแมมไม่น่าดู

   จรัสตะวันไล่ความคิดที่มักจะอิจฉาพัดชาเสมอออกไป อย่าให้ความคิดที่จะนำพาจิตใจไปในทางตกต่ำมาครอบงำตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครเธอก็ไม่ควรอิจฉาเพียงเพราะว่าตนเองอยากจะเป็นแบบนั้นแล้วเป็นไม่ได้ เวลานี้พัดชากำลังร้องไห้และเป็นทุกข์ จิตใจด้านดีที่มีอยู่ในตัวเธอมากกว่าก็ชนะจิตใจฝ่ายต่ำได้อย่างง่ายดาย ความอิจฉาทีวูบขึ้นมามลายไปเหลือแต่ความเห็นใจมาแทน

   “มาอย่างไงคะมืดค่ำขนาดนี้” จรัสตะวันถามด้วยความห่วงใยจากความรู้สึกจริง ๆ เมื่อปล่อยให้พัดชาร้องไห้ให้เต็มที่ไปครู่ใหญ่ ๆ

   “แพทมาตั้งแต่ก่อนโรงเรียนเลิกแล้วล่ะ ตั้งใจขับรถมาหาจรัสนี่แหละ” พัดชารับกระดาษเช็ดหน้าที่จรัสตะวันส่งให้ไปซับน้ำตาเบา ๆ แต่ไม่อาจซับความเศร้าออกจากแววตานั้นได้เลยสักนิด

   “แล้วทำไมพึ่งมาถึงล่ะคะ” จรัสตะวันถามตามความซื่อ เธอไม่ใช่คนที่อ่านพฤติกรรมและความคิดคนอื่นได้ง่ายเหมือนแสงตะวัน แต่คำถามซื่อ ๆ ของเธอนั้นก็เป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายพูดอะไรออกมาได้ง่ายเหมือนกัน

   “แพทแวะไปที่โรงพยาบาลมา ไม่รู้นะมือมันพารถเลี้ยวเข้าไปเอง แต่แพทก็ไม่กล้าลงไป ได้แต่รอดูอยู่ในรถ”

   พัดชาพูดแล้วน้ำตาอีกระลอกก็ทะลักออกมา นอกจากไม่มีความสามารถในการเข้าใจคนอื่นแล้ว จรัสตะวันก็ปลอบใจใครไม่เป็นแม้จะเห็นใจก็ได้แต่นั่งมองเงียบ ๆ เฉย ๆ และส่งกระดาษเช็ดหน้าให้เท่านั้น

   แต่นั่นก็ดูเหมือนพัดชาจะรับรู้เห็นใจอย่างจริงใจได้ไม่ยาก เธอรับกระดาษไปซับน้ำตาอีกครั้งและดูเหมือนเริ่มควบคุมตัวเองได้มากขึ้น

   “รัญก็ยังทำงานหนักเหมือนเดิม แพทแค่อยากรอให้ได้เห็นหน้าเขาเท่านั้นแล้วก็จะมาหาจรัส แต่รอตั้งนาน รัญก็ไม่ออกมา เลยถามเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่ามีอุบัติเหตุเทกระจาดมาตั้งแต่บ่าย มีคนบาดเจ็บสาหัสที่ต้องส่งไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์ แต่ยังเคลื่อนย้ายไม่ได้ คืนนี้รัญคงเฝ้าคนไข้ทั้งคืนเหมือนเดิม”

   พัดชายิ้มน้อย ๆ ริมฝีปากยิ้มแต่แววตากลับยังขมขื่นซึ่งไม่อาจเดาได้ว่าความรู้สึกข้างในนั้นเป็นอย่างไร จรัสตะวันก็ยังเป็นคนที่ใช้ความเงียบแทนคำตอบทุกอย่าง โดยที่อีกฝ่ายก็เข้าใจได้เองว่าเธอยินดีรับฟังจากสายตาที่มองมาอย่างเห็นใจ   “เขาเป็นแบบนี้เสมอ บางทีสั่งอาหารแล้ว โรงพยาบาลโทรมาตามเคสด่วน เขาก็ไปทันทีโดยที่ไม่สนใจเลยว่ามากับแพท เหมือนเขาลืมไปเลยว่าแพทเป็นแฟนเขา แล้วพอจัดการเรื่องคนไข้เรียบร้อย แทนที่จะขอโทษแพทกลับเอาเรื่องงานมาระบายที่แพทอีก เขาอยากได้ห้องผ่าตัดที่มีอุปกรณ์ครบถ้วนกว่านี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องส่งต่อคนไข้เพราะต้องเสี่ยงกับชีวิตทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย แพทก็ได้แต่ฟังไปเพราะก็ช่วยอะไรไม่ได้ เราก็ดีกัน ทะเลาะกันตามประสา”

   จรัสตะวันฟังพัดชาเล่าไปเรื่อย ๆ และสังเกตเห็นว่าสีหน้าและแววตาของพัดชาดูมีความสุขที่ได้พูดถึงเรื่องเก่า ๆ ระหว่างเธอกับรัญรัมภา 

   “ครูแพทก็เข้าใจกับคุณหมอดีนี่คะ น่าจะปรับความเข้าใจกันได้” จรัสตะวันพึ่งนึกหาคำพูดดี ๆ ออกมาได้

   “ตอนนั้นไม่เข้าใจเท่าตอนนี้หรอก แพทก็รู้นะว่าสิ่งสำคัญที่สุดของรัญคือชีวิตคนไข้ แต่ถึงอย่างไงเราเป็นแฟน เราก็อยากให้เขาให้ความสำคัญกับเราที่สุดมากกว่า”  ท่าทางของพัดชาสบายใจขึ้นมากแล้ว

   “ตอนนั้นแพทก็เอาแต่ใจตัวเองด้วยแหละ ถ้าแพทไม่วู่วามเอาแต่ใจตัวเองแล้วเข้าใจรัญได้เหมือนวันนี้ ชีวิตแพทก็คงไม่เป็นแบบนี้”

   “แต่ชีวิตครูแพทก็มีครบทุกอย่างนี่คะ สวยก็สวย เก่งก็เก่ง ฉันยังอิจฉาเลย” จรัสตะวันพยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น สายตาที่มองไปยังชุดสวยนั้นบ่งบอกว่าชื่นชมจริง ๆ

   พัดชาก้มลงมองชุดของตัวเองแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาถอนหายใจ

   “มันก็มีแค่เปลือกเท่านั้นเอง แต่ก่อนแพทก็คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุขของชีวิต เคยคิดว่าครูที่นี่อยู่กันได้อย่างไงที่ตกเย็นมาก็มีแต่ความเงียบ อยากกินอาหารดี ๆ จะซื้อของดี ๆ แต่ละทีก็ต้องเตรียมการล่วงหน้าขับรถเข้าไปจังหวัด ไม่งั้นก็ต้องซื้อของโหล ๆ กินอาหารซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่ร้านในตลาด”

   น้ำเสียงของพัดชานั้นไม่ได้เหยียดหยามเหมือนเมื่อก่อนแต่กลับเหมือนสมเพชความคิดตัวเองมากกว่า

   “จริง ๆ มันก็น่าเบื่อเหมือนกันแหละ แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน จะทำอย่างไงได้ก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้” จรัสตะวันพูดเพื่อเข้าข้างพัดชามากกว่าซึ่งเธอก็รู้ได้

   “จรัสไม่ต้องเข้าข้างแพทหรอก เปลี่ยนกันไหมล่ะ แพทจะขอย้ายกลับมาสอนที่นี่ แล้วให้จรัสไปสอนที่จังหวัด”    พัดชาพูดทีเล่นทีจริง และก็หัวเราะออกมาได้ เมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกของจรัสตะวัน

   “โอ๊ย! จรัสนี่ซื่อจัง แพทล้อเล่น รู้หรอกน่าว่าจรัสรักที่นี่แค่ไหน แล้วก็เป็นบ้านเกิดด้วย ถ้าแพทจะกลับมาสอนที่นี่จริง ๆ ก็ต้องมีจรัสอยู่ด้วยสิ แพทไม่อยากปลูกผัก เลี้ยงไก่หรอกนะ”

   พัดชากลับมาเป็นคนเดิมที่ร่าเริงอีกครั้ง แม้จะยังเหมือนฝืน ๆ อยู่ ซึ่งก็ทำให้จรัสตะวันรู้สึกสบายใจขึ้นด้วย ถึงเธอจะรู้สึกอิจฉาใครไปทั่วในบางเวลาเพราะตัวเองไม่สามารถเป็นอย่างเขาได้แต่ก็ไม่เคยอยากให้ใครมีความทุกข์ เมื่อเห็นใครมีความสุขเธอก็สบายใจไปด้วย

   “ถ้าครูแพทจะกลับมาสอนที่นี่จริง ๆ ก็ได้นะ ฉันไปสอนที่ไหนก็ได้ ฉันต้องขอบคุณครูแพทด้วยซ้ำที่ทำให้ฉันได้กลับมาสอนที่นี่” จรัสตะวันยังไม่วายแสดงความซื่อออกมา

   “บ้าจริงจรัส แพทแค่ล้อเล่นจริง ๆ ใครจะให้ย้ายไปย้ายมาได้ตามใจง่าย ๆ แล้วไม่ต้องขอบคุณแพทหรอก ถ้าจรัสไม่เขียนขอโอนย้ายกลับบ้านเกิดไว้ แพทก็อาจจะไม่ได้ไปสอนที่จังหวัดก็ได้ เราต่างได้ผลประโยชน์ตรงตามความต้องการทั้งคู่ต่างหาก ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใครทั้งสิ้น”

   พัดชาพูดขึงขังทำท่าจริงจังแต่แววตาเป็นประกาย ผิดกับตอนที่ลงจากรถมา ทำไมคนอื่นถึงสลัดความทุกข์ออกจากจิตใจได้อย่าง่ายดาย เมื่อสักครู่พัดชาเพิ่งร้องไห้จะเป็นจะเป็นตาย แต่เวลานี้ก็กลับมาเป็นคนที่มีความสุขได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับเธอที่ไม่เคยจะมีความสุขอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง

   “ฉันพูดจริงนะ ถ้าครูแพทอยากย้ายกลับมาก็ได้” จรัสตะวันยังคงจริงจังกับเรื่องที่พัดชาบอกว่าล้อเล่น

   “บอกแล้วไงว่าล้อเล่น จรัสนี่ดื้อเหมือนกันนะ ไม่เอา ๆ ๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว แพทหิวข้าวแล้วล่ะ ตั้งแต่ออกมายังไม่ได้กินอะไรเลย จรัสมีอะไรให้แพทกินบ้างไหม”

   พัดชาลืมความทุกข์ได้ง่ายเหลือเกิน และตอนนี้ก็กลับมาเป็นพัดชาคนเดิมแล้ว

   “คงได้แค่ผัดผักกับไข่เจียวหมูสับ วันนี้ฉันไม่ได้ทำกับข้าว” จรัสตะวันนึกถึงผักสดและไข่ไก่ที่นักเรียนเก็บมาให้เมื่อตอนเย็น วัตถุดิบสำหรับทำอาหารวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้และดีกว่ามื้อเย็นของเธอด้วยซ้ำที่ทำเพียงไข่เจียวธรรมดาแล้วโปะลงบนข้าวเลย

   “แค่นี้ก็วิเศษแล้ว ไข่เจียวไม่ใส่ใบโหระพานะ รัญเขาชอบมาก แต่แพทไม่ชอบเลย” น้ำเสียงที่พูดถึงรัญรัมภาก็ยังคงเป็นความสุข

   จรัสตะวันขอตัวเข้าไปทำกับข้าวให้ เธอไม่รู้สึกอะไรที่ต้องมาทำกับข้าวให้พัดชาในเวลานี้ทั้งที่ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของเธอที่จะต้องมาดูแล แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกของเธอปั่นป่วนอีกครั้งกลับเป็นเรื่องระหว่างพัดชากับรัญรัมภา แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะหวนคืนกลับมาไม่ได้

   “น่ากินจัง”

   พัดชาเดินตามเข้ามาหลังจากจรัสตะวันเจียวไข่แล้วกำลังเตรียมจะผัดผักเพิ่มให้

   “เดี๋ยวนะ ผัดผักอีกนิดหนึ่ง” จรัสตะวันพูดโดยไม่หันมามอง

   “จรัสรู้ตัวไหมว่าจริง ๆ จรัสเป็นคนมีเสน่ห์นะ โดยเฉพาะเวลาที่ทำกับข้าวแบบนี้” พัดชายืนพิงประตูมอง

จรัสตะวันอย่างพินิจพิจารณา

   “คนทำกับข้าวจะมีอะไรน่าสนใจ” จรัสตะวันยังคงง่วนอยู่ที่หน้าเตา

   “รัญเคยบอกว่าการทำกับข้าวกินเองที่บ้านมันมีอะไรที่มากกว่าแค่การได้กินข้าว บางทีอาหารอาจจะไม่อร่อยหรอกแต่มันเป็นความสุขใจ คนที่ทำกับข้าวให้คนอื่นกินเป็นคนที่มีเสน่ห์ เมื่อก่อนแพทก็ไม่เข้าใจแต่มาเห็นจรัสทำกับข้าวแบบนี้ แพทพอจะรู้แล้วล่ะ เสียดายนะที่ตอนนั้นแพทไม่เคยคิดที่ทำแบบนี้ให้รัญ คิดว่าแม่บ้านสมัยใหม่ ร้านอาหารก็มี แกงถุงก็ได้ ”

   ทุกลมหายใจเข้าออกของพัดชาก็ยังมีแต่รัญรัมภา

   “สงสัยแพทต้องมาให้จรัสสอนทำกับข้าวบ้างแล้วล่ะ จะได้เป็นคนมีเสน่ห์บ้าง”

   พัดชาพูดทีเล่นทีจริงโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ได้ฟังและไม่ยอมหันหน้ามานั้น ใจสั่นและมือสั่นขึ้นมาโดยไม่สามารถควบคุมได้

   “ครูแพทออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันผัดผักแล้วกลิ่นจะติดเสื้อผ้า” จรัสตะวันยังคงพูดโดยไม่หันมามอง

   “จ้ะ งั้นแพทยกไข่เจียวไปก่อนนะ”

   พัดชาพูดแล้วก็เดินมายกจานไข่เจียวที่วางอยู่บนโต๊ะกลางครัว จรัสตะวันต้องเบือนหน้าถือโอกาสหยิบขวดน้ำมันพืชมาเทลงกระทะ พัดชาถือจานไข่เจียวออกไปโดยไม่ได้หันกลับมาดูว่าจรัสตะวันต้องเช็ดน้ำตาให้ตัวเองก่อนที่จะลงมือทำอาหารให้ทาน

พัดชาทานอาหารมื้อเย็นตอนดึกอย่างเอร็ดอร่อย โดยจรัสตะวันนั่งคุยเป็นเพื่อนไปพลาง ๆ จรัสตะวันเป็นคนที่ไม่ยอมมีน้ำตาให้ใครเห็นง่าย ๆ แม้เรื่องที่พัดชาคุยนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของเธอกับรัญรัมภา แต่จรัสตะวันก็สามารถนั่งฟังได้เหมือนไม่สะทกสะท้าน ทานเสร็จพัดชาอาสาล้างจานเองด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่ค่อยได้ทำงานแบบนี้นัก

   “แพทมาตั้งนานแล้ว น้องสาวจรัสไปไหนล่ะ หรือว่าอยู่ข้างบน”

   พัดชาพึ่งนึกได้ว่าจรัสตะวันมีน้องสาวมาอยู่ด้วยในตอนที่เตรียมจะลากลับแล้ว

   “เขาติดรถหมอวินไปเที่ยวในจังหวัดตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ คงเที่ยวเพลินไปหน่อย” เมื่อพัดชาถามถึงน้องสาวขึ้นมา

จรัสตะวันก็พลอยนึกเป็นห่วงเพราะเวลาแค่สองสามทุ่มสำหรับต่างจังหวัดก็เงียบสงัดทั้งมืดทั้งเปลี่ยวแล้ว

   “ทำไมจรัสกล้าปล่อยให้น้องสาวไปไหนมาไหนกับหมอวินล่ะ” จรัสตะวันไม่รู้ว่าพัดชาถามเพื่ออะไร

   “เขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ ก็พึ่งมีวันนี้แหละที่พากันไปถึงในจังหวัด” จรัสตะวันเลือกคำตอบกลาง ๆ พัดชาก็พอใจที่จะรู้แค่นั้น

   “แพทคงต้องกลับแล้วล่ะ รบกวนจรัสมาหลายชั่วโมงแล้ว แล้วยังรบกวนให้ทำกับข้าวให้กินอีก” อารมณ์พัดชากลับมาคงที่แล้ว เธอพูดโดยที่มองหน้าจรัสตะวันด้วยแววตาที่ขอบคุณอย่างจริงใจ

   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ครูแพทจะขับรถกลับไปจังหวัดจริง ๆ เหรอ ค้างที่นี่ไหมคะ” จรัสตะวันรู้สึกเป็นห่วงพัดชา ไม่ต่างจากที่เป็นห่วงน้องสาวแต่ก็อุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ไปกับชีวิน ส่วนพัดชาต้องขับรถกลับคนเดียวยิ่งน่าเป็นห่วงกว่า

   “กลับได้ เมื่อก่อนตอนทะเลาะกับรัญ แพทโกรธก็ขับรถหนีไปนอนที่โรงแรมในจังหวัดหลายครั้งจนเกิดอุบัติเหตุก็เคย แต่ตอนนี้แพทปกติดีแล้ว จรัสไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

   เมื่อพัดชายืนยันว่าจะกลับ จรัสตะวันก็ไม่คะยั้นคะยอต่อและอีกประการคือบ้านพักครูก็ไม่ได้สะดวกสบายนัก แม้พัดชาจะเคยอยู่มาก่อนก็ตาม

   “ขับรถดี ๆ นะ” จรัสตะวันเดินมาส่งพัดชาที่รถ

   “ขอแพทกอดหน่อยสิ” อยู่ ๆ พัดชาที่กำลังจะขึ้นรถก็หันกลับมาด้วยน้ำตาคลอเบ้าโผเข้ากอดจรัสตะวัน

   “ขอบคุณจรัสมาก ๆ นะที่อยู่กับแพทในเวลาที่แพทไม่รู้จะไปหาใคร แพทเลือกเพื่อนไม่ผิดเลย ขอบคุณมาก ๆ นะ” พัดชาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำอุ่น ๆ ก็หยดลงบนไหล่ของเธอ

   จรัสตะวันยืนนิ่งให้พัดชากอดชั่วครู่ก่อนที่จะค่อย ๆ ยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากอดตอบ เธอไม่เคยกอดเพื่อปลอบใจใครแบบนี้มาก่อน การได้เป็นผู้ให้กำลังใจในยามที่คนอื่นทุกข์หนักนั้นช่างแตกต่างจากการเป็นผู้ได้รับในยามที่ตัวเองกำลังทุกข์โดยสิ้นเชิง นาทีที่ฝ่ามืออุ่น ๆ ของเธอสัมผัสกับไหล่ของพัดชานั้นมันทำให้รู้แล้วว่าความรู้สึกที่เธอโหยหาใครสักคนมาปลอบโยนเธอนั้นมันไม่สำคัญเลย เธอรู้ในนาทีนั้นว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่มีความสุขก็เพราะเธอเรียกร้องความเห็นใจให้ตัวเองมากเกินไป คิดไปเองว่าตัวเองเป็นคนที่น่าสงสารและไม่สามารถให้ใครพึ่งพาได้

   “ถ้าแพทโทรมาบ่อยในช่วงนี้ จรัสช่วยรับโทรศัพท์แพทหน่อยนะ เพราะตอนนี้มีจรัสคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจแพทที่สุด”

   พัดชาดึงตัวเองออกมาและเช็ดน้ำตาลวก ๆ ตอนมาเธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดแต่ตอนนี้เธอร้องไห้ที่พบว่ายังมีคนที่เข้าใจและให้เธอพึ่งพิงได้อย่างจรัสตะวัน

   “บางทีฉันก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะแต่ก็ยินดีรับฟัง” จรัสตะวันพูดตามความจริง พัดชามองหน้าเธอชัด ๆ แล้วก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูราวกับว่าเธอเป็นเด็กนักเรียน

   “รู้ไหมจรัสมีเสน่ห์ตรงไหน ทีแรกแพทรู้สึกว่าจรัสเป็นคนเย็นชา แต่จริง ๆ จรัสเป็นคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วอบอุ่นนะ แล้วจรัสก็เป็นคนจริงใจมากด้วย รู้ไหมแพทร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อวานแต่พอได้ใกล้จรัสแป๊บเดียวก็รู้สึกสบายใจแล้ว”    พัดชาพูดพลางเช็ดคราบน้ำตาให้ตัวเอง

   “ฉันก็ดีใจนะที่ได้ช่วยให้ครูแพทสบายใจ” จรัสตะวันพูดเบา ๆ

   “แพทกลับจริง ๆ แล้วนะ แล้ววันหน้าจะมาค้างด้วย บางทีแพทก็อยากอยู่เงียบ ๆ แบบนี้บ้างเหมือนกัน”

   “ค่ะ” จรัสตะวันตอบสั้น ๆ พัดชายิ้มให้เธออีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งขับตรงไปเพื่อกลับรถ เมื่อผ่านมายังหน้าบ้านพักที่จรัสตะวันยังยืนรอส่งอยู่ก็ยังเลื่อนกระจกลงมาโบกมือให้ก่อนที่จะขับกลับออกไป

   แสงไฟท้ายรถพัดชาเลี้ยวลับสายตาไปแล้ว แสงตะวันก็ยังไม่กลับมา จรัสตะวันกลับเข้าบ้าน คงเป็นอีกค่ำคืนที่เธอต้องเก็บงานไว้ก่อนและเตรียมตัวเข้านอนเพราะสมาธิที่กว่าจะรวบรวมนั้นมันแตกกระจายไปอีกแล้ว หยิบโทรศัพท์มาโทรไปหาแสงตะวันจึงรู้ว่าที่กลับช้าเพราะชีวินชวนไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อนที่เคยมหาวิทยาลัยมาด้วยกันต่อแต่ก็มีเจ้าหน้าที่ที่ไปเป็นวิทยากรผู้ช่วยกับชีวินไปด้วยอีกคนจึงไม่ต้องเป็นห่วง

   วางโทรศัพท์จากน้องสาวแล้วก็มองโทรศัพท์อย่างชั่งใจอีกครั้ง และหากจะไม่ต้องโกหกตัวเอง ตอนเย็นที่เธอนั่งอยู่หน้าบ้านนั้นก็แอบหวังว่ารัญรัมภาจะพากอหญ้ามาวิ่งเล่น แต่เมื่อไม่มาเธอก็น้อยใจอยู่ลึก ๆ ครั้นเมื่อได้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลความรู้สึกน้อยใจนั้นก็หายไปทันที และความรู้สึกตอนนี้ก็มีแต่ความห่วงใย คืนนี้รัญรัมภาต้องเฝ้าคนไข้ที่บาดเจ็บสาหัสทั้งคืน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับรัญรัมภาก็คือชีวิตคนไข้ แล้วป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะเหนื่อยแค่ไหน จะเครียดแค่ไหน จะย้ายคนเจ็บได้เมื่อไหร่ แล้วต้องไปกับคนเจ็บเองด้วยหรือเปล่า ได้ทานอะไรบ้างหรือยัง ล้วนเป็นสิ่งที่เธออยากรู้ ไฟหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้นมาพร้อมกับชื่อพัดชา เธอยังไม่ได้เปิดเสียงเรียกเข้า

   “แพทแวะมาดูรัญที่โรงพยาบาล ยังเฝ้าสัญญาณชีพคนเจ็บอยู่เลย แต่เขาก็ออกมาคุยกับแพทแป๊บหนึ่งนะ ได้แค่นี้แพทก็ดีใจแล้วล่ะ”

   “ค่ะ”

   “กว่าจะย้ายคนเจ็บไปโรงพยาบาลศูนย์ได้ก็พรุ่งนี้เช้า คราวนี้แพทเลยขอนัดเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังให้อีกครั้งตรง ๆ เลย รัญรับนัดแล้วนะ แพทดีใจจนต้องโทรมาหาจรัสนี่แหละ”

   “ค่ะ”

   “อีกไม่นานแพทคงปรับความเข้าใจกับรัญได้ แพทรู้แล้วว่าคนแพทรักที่สุดก็คือรัญ จรัสเป็นกำลังใจให้แพทกลับมาคืนดีกับรัญในเร็ววันด้วยนะ”

   พัดชากลับมาเป็นคนเดิมที่ร่าเริงสดใส ในขณะที่จรัสตะวันก็กลับมาเป็นผู้ฟังที่ดีเหมือนเดิม จนกระทั่งพัดชาเป็นฝ่ายขอวางสายเองเพราะต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถ

   “ให้ทำตามความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง” อีกครั้งที่คำพูดของรัญรัมภาวนกลับมาในความคิด แต่คราวนี้เธอเข้าใจแล้วว่าหมายความว่าอย่างไร เมื่อทุกคนทำตามความรู้สึกและความต้องการของตัวเองแล้ว เธอกลับไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น จะมีสักครั้งบ้างไหมในชีวิตที่เธอจะมีสิทธิ์ได้ทำตามความรู้สึกและความต้องการ ... ในที่สุดเธอก็ยังเป็นคนไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้ตามใจเช่นเดิม



ในที่สุดวันที่แสงตะวันจะต้องกลับไปทำงานก็มาถึงหลังจากที่ขอใช้สิทธิ์วันลาจนเต็มที่แล้ว จรัสตะวันมาส่งน้องสาวที่สนามบินแต่เช้าตรู่ เพราะแสงตะวันจองเที่ยวบินแรกของวันเนื่องจากต้องการแวะไปเยี่ยมแม่ก่อนที่จะต้องขึ้นเครื่องบินอีกต่อหนึ่งกลับไปทำงาน

   แม้จะทำใจไว้แล้วแต่พอถึงวันที่น้องสาวจะต้องไปจริง ๆ จรัสตะวันก็ใจหายและอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากให้น้องสาวไป และคนที่ปลอบใจเธอก็ยังคงเป็นน้องสาวเช่นเดิม ความรู้สึกไม่ต่างจากครั้งที่แม่และน้องสาวไปเยี่ยมเธอแล้วต้องลากลับ ภาพที่แม่เดินจูงมือน้องสาวจากไปทิ้งให้เธออยู่คนเดียวยังเป็นภาพหลอนที่ตีตราในความรู้สึก

   “ดีนะ ไม่มีเด็กนักเรียนมาแถวนี้ ไม่งั้นได้เห็นครูจรัสขี้แยแน่ ๆ” แสงตะวันพยายามทำให้พี่สาวไม่รู้สึกเศร้าจนเกินไป ทั้งที่ทั้งสงสารและเห็นใจ จรัสตะวันปิดกั้นตัวเองจนไม่ใครเข้าถึงจึงมีชีวิตเหมือนอยู่คนเดียว

   “แสงอย่าทำงานหนักมากนะ ถ้าพักได้ก็พักบ้าง ร่างกายคนเราไม่ใช่เครื่องจักรเครื่องกล” จรัสตะวันจับมือน้องสาวมาบีบเบา ๆ แต่แสงตะวันกลับมองพี่สาวด้วยความห่วงใยมากกว่าเสียอีก 

   “หมอวินมานู่นแน่ะ” แสงตะวันลุกขึ้นยืนเพื่อให้ชีวินเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้

   “นึกว่าจะมาไม่ทันส่งคุณซะแล้ว” ชีวินเดินมาถึงก็พูดกับแสงตะวันอย่างสนิทสนมก่อนที่จะทักทายจรัสตะวันอย่างมีมารยาทเหมือนเดิม

   “สวัสดีครับครูจรัส”

   “สวัสดีค่ะ” จรัสตะวันก็ยังคงรักษาระยะห่างเช่นเดิม แม้ตั้งแต่แสงตะวันมาอยู่ด้วย ชีวินจะค่อย ๆ ห่างเธอไปมาก

   “พักนี้ผมยุ่ง ๆ ไม่ค่อยได้เข้าไปดูเล้าไก่ให้ ถ้ามีปัญหาอะไรครูโทรศัพท์มาเรียกผมได้ทันทีเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนหมาที่วัดที่ครูเคยไปหยอดยาเห็บหมัด ผมไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้าให้เรียบร้อยแล้วนะครับ” แม้จะห่าง ๆ ออกไปแต่ชีวินก็ยังมีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลายกับธุระที่เธอไหว้วาน

   “ขอบคุณค่ะ”

   แล้วบทสนทนาระหว่างเธอกับชีวินก็จบลงแค่นั้น ที่เหลือก็เป็นแสงตะวันกับเขาคุยกันด้วยบางเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ เรื่องที่จะเข้าใจอยู่บ้างก็คือเรื่องซื้อที่ดินที่ชีวินกำลังหาคนมาหุ้นซื้อให้ได้ยกแปลง

   “หมอรัญกับพี่เทิดนี่ บินเที่ยวเดียวกันแน่ ๆ เลย” แสงตะวันที่นั่งคั่นกลางระหว่างเธอกับชีวินนั้นสายตาไวพอ ๆ กับการเคลื่อนไหวร่างกาย

   รัญรัมภากับเทิดทูนกำลังลากกระเป๋าเดินทางจะไปนั่งยังที่นั่งอีกฝั่ง แสงตะวันเห็นดังนั้นก็รีบลุกวิ่งไปหา เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่จรัสตะวันต้องอยู่ตามลำพังกับชีวิน เป็นโอกาสเพียงนิดเดียวที่สบตากันและจรัสตะวันก็เป็นฝ่ายที่ต้องเบือนหน้าหลบสายตาตัดพ้อนั้น

   “แสงบอกแล้วใช่ไหมครับว่าผมยังยินดีเป็นเพื่อนกับครูเสมอ” ชีวินพูดออกมาเบา ๆ

   “ค่ะ” จรัสตะวันตอบโดยไม่กล้าหันกลับไปมองชีวินเต็มตานัก

   “ผมดีใจนะครับที่อย่างน้อยผมก็ได้เพื่อนดี ๆ มาเพิ่มอีกคน”

   แม้ชีวินจะพูดธรรมดา ๆ แต่ทว่าจรัสตะวันกลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น ปกติเธอจะไม่รับรู้ความรู้สึกของใครได้ง่าย ๆ แบบนี้ เมื่อรู้ถึงความรู้สึกของคู่สนทนาจรัสตะวันยิ่งไม่กล้าที่จะมองเขาตรง ๆ

   “ฉันก็ดีใจนะคะที่มีเพื่อนดี ๆ อย่างหมอ” เธอพูดโดยที่สายตาไม่ได้มองเขาแต่ก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะที่เธอรู้สึกมาในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ไม่ต่างกัน

   “เสียดายจัง ถ้ารู้ว่าจะบินเที่ยวเดียวกัน จะได้จองที่นั่งติด ๆ กัน” เสียงของแสงตะวันดังมาก่อนที่ตัวจะมาถึง ชีวินและจรัสตะวันปรับสีหน้าและท่าทางกลับมาเป็นปกติทันที

   “รัญจะไปไหน” ชีวินทักทายรัญรัมภาอย่างสนิทสนมเหมือนเคย

   “ประชุมโครงการวิจัยที่เคยเล่าให้ฟังไง งานใหญ่กว่าที่คิดไว้เสียอีก” รัญรัมภาคุยกับชีวินราวกับว่าไม่เห็น

จรัสตะวันที่นั่งอยู่ด้วย

   “สู้ ๆ มีเทิดทูนเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งอยู่แล้ว สบายมาก” ชีวินพูดแซวเทิดทูนที่พึ่งลากกระเป๋าสองใบเดินมาถึงทีหลัง

   “ถ้าไม่ใช่หมอรัญนะ ผมก็ไม่ทำหรอกงานวิจัยแบบนี้ เหนื่อยชะมัด” เทิดทูนนั่งลงและเปิดกระเป๋าเอกสารตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง

   “พี่เทิดทำเพราะหมอรัญ หรือกลัวป้ามลกันแน่” แสงตะวันเข้าร่วมการสนทนาได้โดยไม่เคอะเขินทั้งที่ไม่น่าจะรู้เรื่องกับพวกเขา กลายเป็นจรัสตะวันที่ไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียวและถูกลืมไปด้วยซ้ำว่ามีเธอนั่งอยู่ตรงนี้

   “นี่ไง ผู้ช่วยอีกคน กลับจากประชุมคราวนี้มีเรื่องต้องให้จรัสช่วยแน่ ๆ” เทิดทูนเป็นคนแรกที่นึกได้ว่ามีเธอนั่งอยู่

   “เราช่วยอะไรใครไม่ได้หรอก” จรัสตะวันหันไปตอบเทิดทูน พร้อม ๆ กับเสียงประกาศให้ผู้โดยสารเตรียมตัวขึ้นเครื่องดังขึ้น

   “เชคอินได้แล้ว พี่จรัส แสงไปก่อนนะ แสงรักพี่จรัสที่สุดในโลกเลย” แสงตะวันเดินมากอดลาและพูดลากับพี่สาวเร็ว ๆ ด้วยถ้อยคำที่พูดซ้ำ ๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วก็รีบผละไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาร่ำลาอาลัยอาวรณ์กันอีก ชีวินช่วยลากกระเป๋าเดินทางไปส่งที่ช่องตรวจเอกสารพร้อมกับเทิดทูนที่รีบไปต่อแถวเหมือนกัน เหลือเพียงรัญรัมภาที่ยังไม่รีบไปต่อแถวเหมือนคนอื่น

   “หลายวันมานี้มีแต่เคสหนัก ๆ แล้วหมอก็ต้องเตรียมตัวไปประชุม เลยไม่มีเวลาพากอหญ้าไปวิ่งเล่นด้วย”

   รัญรัมภารีบพูดออกมาก่อนที่จรัสตะวันจะขยับเดินได้เกินสองก้าว สิ่งที่เธอพูดนั้นไม่ใช่คำแก้ตัวแต่เป็นความจริงที่ไม่ค่อยมีใครฟังนัก แต่ทว่ากลับทำให้จรัสตะวันชะงักฝีเท้าไว้ได้

   “แล้วใครเลี้ยงกอหญ้าคะ” จรัสตะวันหันกลับมาถาม

   “เอ่อ . . . ยายสายที่บ้านอยู่ติดกันช่วยเลี้ยงให้ หมอไม่มีเวลาพามาฝากครู” รัญรัมภาเป็นฝ่ายขยับเดินมาใกล้เธอเอง

   “หมอคิดถึงครูนะ”

   ในสนามบินมีทั้งเสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงและเสียงผู้คนพูดคุยกันดังอื้ออึง แต่จรัสตะวันกลับได้ยินคำพูดของรัญรัมภาชัดเจน

   “รีบไปเชคอินเถอะค่ะ เดี๋ยวจะตกเครื่อง” จรัสตะวันพูดโดยมองไปยังแถวเชคอินที่หดสั้นลงเรื่อย ๆ ชีวินยังยืนรอดูแสงตะวันกับเทิดทูนที่ใกล้จะถึงคิวแล้ว

   รัญรัมภายังยืนรอเผื่อจะได้ยินคำพูดอื่นจากจรัสตะวัน แต่มันก็มีแต่ความเงียบเหมือนเดิม แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่ก็อดผิดหวังไม่ได้ บิดคันลากกระเป๋าและหันหลังเพื่อจะเดินไปเข้าแถวเตรียมขึ้นเครื่อง

   “คุณหมอคะ” รัญรัมภาหันมาตามเสียงเรียกทันที

   “เดินทางปลอดภัยนะคะ ดูแลตัวเองด้วย” จรัสตะวันพูดเร็ว ๆ แล้วก็รีบหันหลังเดินตรงมายังประตูทางออกของสนามบิน

   เธอไม่ได้หูฝาดที่ได้ยินรัญรัมภาพูดว่าอย่างไร และก็คงไม่ได้หลอกตัวเองว่ารัญรัมภาเองก็ดีใจหลังจากที่ได้ยินเธอพูดประโยคนั้น แต่มันเป็นความจริงหรือภาพลวงตา  อีกทั้งใครจะรู้บ้างไหมว่าเธอรู้สึกเหมือนกำลังทำร้ายคนอื่นเพราะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ทั้งชีวินที่เป็นเพื่อนกันก็คงเป็นเพื่อนได้ไม่สนิทใจเหมือนเคย แล้วยังพัดชาที่ไว้วางใจว่าเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีแต่สิ่งที่เธอกำลังทำคงไม่มีเพื่อนที่ดีที่ไหนเขาทำกัน

   ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะสามารถทำตามความรู้สึกและความต้องการของตัวเองได้ แต่จะผิดไหมถ้าเธอจะทำตามความรู้สึกและความต้องการของตัวเองบ้าง

   ขับรถออกจากสนามบินด้วยจิตใจที่สับสนจนเกือบลืมไปรับลูกศิษย์ที่จะมาสำรวจพื้นที่ออกค่ายที่สถานีขนส่ง




ออฟไลน์ tt

  • หน้าใหม่
  • *
  • กระทู้: 2
Re: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 20
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2014 เวลา 18:51:42 »
อยากอ่านต่อ
คุณหมอกะคุณครู กลับมานะ ปิดเทอมแล้ว

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.