ตอนที่ 7
“เทิด เย็นนี้ไปกินเหล้ากัน” รัญรัมภาชวนเทิดทูนหลังจากที่คนไข้คนสุดท้ายเดินออกไป ในขณะที่เทิดทูนกำลังจะเอาแฟ้มคนไข้ไปเก็บ เขาหันมามองด้วยความสงสัย
“หมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เป็นอะไร ทำอย่างกับหมอไม่เคยชวนไปกินเหล้า” รัญรัมภาก็แปลกใจในสิ่งที่เทิดทูนถาม
“หมอไม่รู้เหรอว่าสองสามวันมานี้หมอดูแปลก ๆ ไป” นอกจากป้ามลแล้วก็มีเทิดทูนอีกคนเดียวที่กล้าพูดกับหมอรัญตรง ๆ
“แปลกอย่างไง” รัญรัมภาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเทิดทูนหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเธอแปลกไป
“ก็หมอดูเงียบ ๆ วัน ๆ พอตรวจคนไข้เสร็จก็เอาแต่ทำงานเอกสาร ไม่ออกไปพูดคุยสรวลเสเฮฮาเหมือนเคย”
“ก็เครียดเรื่องงานโครงการนั่นแหละ ประชุมครั้งหน้าก็ต้องกลับมาดำเนินการแล้ว” รัญรัมภานึกถึงงานสำคัญที่รับมาที่ทำให้เธอต้องศึกษาเอกสารต่าง ๆ อย่างละเอียดก่อนจะเริ่มโครงการ
“หมอแน่ใจนะว่าเรื่องงาน ผมว่าไม่ใช่” เทิดทูนคิดว่าตัวเองรู้จักหมอรัญดีพอสมควรจึงพูดในสิ่งที่แคลงใจออกมา
“ไม่เรื่องงานแล้วจะเรื่องอะไร ตอนนี้หมอก็มีแต่งาน” รัญรัมภาชักหงุดหงิดกับคำพูดของเทิดทูน
“ผมไม่รู้หรอกว่าหมอมีเรื่องอะไร แต่ถ้าหมอเครียดเรื่องงานจะไม่มีวันชวนผมไปกินเหล้าแบบนี้หรอก”
“แกไม่ต้องรู้ดี ตกลงจะไปไหม ไปในจังหวัดเลย เบื่อร้านแถวนี้” รัญรัมภาตัดบทเข้าเรื่องที่ตั้งใจไว้ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดให้เทิดทูนซักถามไปมากกว่านี้
“หมอชวน ผมไม่ไปแล้วใครจะไปกับหมอ เดี๋ยวโทรบอกแฟนผมก่อน”
พอเทิดทูนเดินพ้นประตูห้องไป รัญรัมภาก็ทิ้งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยใจ ทำไมเธอต้องเก็บเอาคำพูดในทางร้าย ๆ มาคิดตลอดเวลา โดยเฉพาะคำพูดที่เกี่ยวข้องครูจรัสที่มันวนเวียนในความคิดเธอตลอดสองสามวันที่ผ่านมา บางอย่างไม่รู้เสียเลยยังดีกว่า เธอยังจะกล้ามากกว่านี้ แต่ตอนนี้บางครั้งเธอก็รู้สึกมั่นใจอยากจะเดินหน้าต่อ บางครั้งก็สับสนกลัวความผิดหวังซึ่งท่าทางมันจะเป็นแบบนั้น
ดูเหมือนครูจรัสจะมีอคติต่อเรื่องนี้อย่างรุนแรง เห็นจากที่ความโกรธวันนั้น แค่เภตราไปซื้อของแล้วกลับมาช้า และกลับมาพร้อมกับเด็กอาชีวะที่ตอนนี้ย้ายมาอยู่บ้านติดกับเธอ
ทุกคืนราวสามสี่ทุ่ม เจมส์จะออกมาคุยโทรศัพท์ตรงรั้วบ้าน และเรื่องที่คุยนั้นมันก็ต้องมีครูจรัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง ดูเหมือนเภตราจะตกที่นั่งลำบากเพราะโดนที่บ้านควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด ไม่ให้ปั่นจักรยานไปโรงเรียนเองเหมือนเดิม แต่ให้แม่เป็นคนไปรับไปส่งตามเวลา ทำให้เจมส์ไม่มีโอกาสไปเจอหน้าเภตราได้เลย ความจริงแล้วเภตราโดนโทรศัพท์ด้วยซ้ำ แต่เจมส์ก็แอบซื้อเครื่องราคาถูกฝากเพื่อนของเภตราไปให้ พอได้แอบคุยกันในเวลาที่ทุกคนเข้านอนแล้ว
“ครูจรัส ทำไมอคติของครูถึงรุนแรงขนาดนี้ ครูไม่มีหัวใจหรือไง”
รัญรัมภาถอดถอนหายใจกับความคิดนี้ ไม่คิดว่าคนที่เป็นครูและพึ่งผ่านชีวิตวัยรุ่นมาไม่นานจะยึดติดกับความคิดเก่า ๆ นักวิชาการหลายกลุ่มก็บอกแล้วว่าเรื่องความรักไม่ว่าจะหญิงหญิงหรือชายชาย มันไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตแต่มันเป็นเรื่องของรสนิยม เหมือนคนชอบกินขนมหวานไม่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ครูจรัสกลับไม่ชอบกินขนมอะไรเลยและยังมาบังคับคนอื่นไม่ให้กินขนมเหมือนตัวเองอีก
“ลองดูสักครั้งว่าระหว่างครูกับหมอใครจะเป็นผู้ชนะ”
ความคิดอยากเอาชนะกลับมาเป็นคำตอบสุดท้ายอีกจนได้ สำหรับหมอรัญถ้าต้องการชนะก็ต้องชนะให้ได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แสงไฟหลากสีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ยังทำหน้าที่คนกลางคืนเข้าสู่โลกอีกใบไม่ต่างกัน วันนี้รัญรัมภากับเทิดทูนเลือกโต๊ะที่ห่างจากเวทีนักร้องออกมาไกล เพราะจะได้คุยกันถนัด ๆ
แรก ๆ ก็คุยกันเรื่องทั่วไป ผู้หญิงหลายคนชายตาให้รัญรัมภาเพราะดูจากท่าทางการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่เป็นแฟนกับผู้ชายที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยแน่นอน รัญรัมภายกแก้วทักทายแล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก
พอเหล้าหมดไปหนึ่งขวด รัญรัมภาก็สั่งเปิดขวดใหม่ ไม่สนใจแม้เทิดทูนจะห้ามเพราะเห็นว่าหมอรัญเมามากแล้ว
“เทิด ถ้าข้าชอบผู้หญิงคนหนึ่งแล้วผู้หญิงคนนั้นเกลียดทอม ข้าจะทำอย่างไงดีว่ะ”
เมื่อขาดสติสิ่งที่อยู่ในใจก็เปิดเผยออกมาด้วยสำนวนที่เพื่อนผู้ชายต่างจังหวัดสมัยเรียนหนังสือสอนให้พูด นัยว่ามันจริงใจและลูกทุ่งดี รัญรัมภาชอบคำนี้มากจึงมักจะใช้คุยกับเพื่อนสนิทในสมัยเรียนเสมอ
“หมอเป็นทอมเหรอ ผมดูยังไงหมอก็ไม่ทอมนะ” เทิดทูนที่เมาน้อยกว่าแต่ก็ถือว่าเมาพูดพลางแอ่นตัวออกเพื่อมองดูหมอรัญชัด ๆ ทั้งตัว
“ไม่ใช่เกลียดแค่ทอม ข้าพูดไม่เคลียร์ เกลียดความรักแบบผู้หญิงรักผู้หญิงทั้งหมดด้วย” รัญรัมภาพูดแล้วก็ยกเหล้าขึ้นซดอีกจนหมดแก้ว พนักงานที่ดูแลแถวนั้นปรี่เข้ามาเติมให้ใหม่ทันทีอย่างรู้หน้าที่
“ถ้าเป็นแบบนี้หมอก็เลิกยุ่งสิ แผ่นดินนี้ผู้หญิงไม่ไร้เท่าใบพุทรา” เทิดทูนทำท่าโบกไม้โบกมือประกอบ คำตอบของเขาไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองความคิดใด ๆ แค่พูดออกมาจากความคิดง่าย ๆ ของคนเมาเท่านั้น
“แต่ข้าชอบผู้หญิงคนนี้จริง ๆ นะสิวะ ข้าจะทำอย่างไง” รัญรัมภายกเหล้าแก้วที่เติมใหม่ขึ้นดื่มอีกหมดแก้วแล้ววางลง พนักงานยังคงทำหน้าที่อย่างดี
“หมอกินแบบนี้ไม่ดีนะ เหล้านะไม่ใช่น้ำเปล่า” เทิดทูนไม่สนใจว่าหมอถามอะไร พอเห็นหมอดื่มหนัก ๆ ติดกันหลายแก้วก็ยังมีสติทักท้วง
“เอ็งว่าข้าควรจะถอยหรือเดินหน้าต่อดีวะ” รัญรัมภาไม่สนใจสิ่งที่เทิดทูนท้วง
“ถ้าหมอชอบจริง ๆ หมอก็เดินหน้าต่อ ถ้าหมอชอบเล่น ๆ ก็ถอยออกมา อย่าไปยุ่งให้เขายิ่งเกลียดน้ำหน้าไปมากกว่าเดิมอีก” คราวนี้เทิดทูนตอบสิ่งที่หมอรัญถามตรงประเด็น
แต่ตามประสาคนเมาคุยกันจะเอาสาระอันใดได้ บางครั้งก็คุยเรื่องเดียวกัน บางครั้งก็คุยกันคนละเรื่องไปเรื่อย แต่ทุกห้วงความคิดของรัญรัมภากลับมีแต่จรัสตะวัน แม้จะไม่ได้เผลอเอ่ยชื่อนั้นออกมาเลยสักคำ
“หมอรักเขามากขนาดนี้ ก็เดินหน้าเลยครับ ไม่ต้องสนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม” เทิดทูนพอจับประเด็นได้ว่าหมอคงไปหลงรักใครสักคนก็กลับมาเป็นฝ่ายสนับสนุนเต็มที่เหมือนเดิม
“เอางั้นเลยเหรอวะ เกิดเขาเกลียดขี้หน้าข้าขึ้นมาล่ะ” พอได้แรงสนับสนุนรัญรัมภากลับไม่มั่นใจขึ้นมาเสียเอง
“หมอจะเอาอย่างไง พอบอกให้ถอยก็เดินหน้า พอบอกเดินหน้าก็จะถอย มา ๆ กินเหล้ากันดีกว่า” เทิดทูนยกแก้วขึ้นมาชวนหมอชน ก็อย่างว่าตามประสาคนเมาจะเอาอะไรมากมาย คุยกันมาจะทั้งคืนเทิดทูนยังไม่รู้เลยว่าหมอไปแอบชอบใครอยู่
“รัญ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้รัญรัมภาชะงักแก้วที่กำลังจะยกไปชนกับเทิดทูน เธอจำเสียงนั้นได้ และไม่ต้องหันไป เจ้าของเสียงนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ว่างระหว่างเธอกับเทิดทูน
“แพทมาอย่างไง” เทิดทูนเป็นฝ่ายทักทายก่อนที่รัญรัมภาจะทักทาย
เขากับแพทหรือพัดชาเป็นเพื่อนกันมาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะเขาไปจีบเพื่อนของพัดชา เอาไปเอามาก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันหมด และเขานี่แหละที่เป็นทำให้ให้หมอรัญได้คบหากับพัดชา
“พอดีเบื่อ ๆ เลยออกมาเปิดหูเปิดตาซะหน่อย” แพทเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มของตัวเอง
“มากับใคร มานานหรือยัง” เทิดทูนพยายามหาเรื่องคุย เพราะรัญรัมภายังไม่พูดกับแพทสักคำ
“มาคนเดียว พึ่งมา รัญเป็นไงบ้าง สบายดีไหม” แพทตอบคำถามเทิดทูนและหันไปชวนรัญรัมภาคุย
“สบายดี พึ่งแต่งงานทำไมเบื่อเสียแล้วล่ะ” รัญรัมภาคุยเหมือนคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ไม่เหลือเยื่อใยของคนที่เคยลึกซึ้งกันมาก่อนในน้ำเสียงสักนิด
“แต่งงานแล้วมันก็ไม่เหมือนตอนยังไม่แต่ง เขามีงานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลาให้แพทเท่าไหร่” แพทพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนพึ่งแต่งงานข้าวใหม่ปลามัน
“เขาก็คงอยากทำงานเพื่อสร้างอนาคตนั่นแหละ แล้วหน้าที่การงานระดับนั้นก็ต้องงานเยอะเป็นธรรมดา”
รัญรัมภาพูดปลอบใจ ใช้คำพูดและกิริยาท่าทางผิดจากเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง แม้จะเมาแต่เธอก็ยังมีสติแยกแยะได้ว่าควรพูดอย่างไรเมื่ออยู่กับใคร
“แพทก็พยายามคิดแบบนั้นแหละ แต่แพทก็เหงาเป็นนะ”
“มันก็เหงากันทุกคนแหละ แต่เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เลือกแล้ว”
“คุยกันไปก่อนนะ ขอตัวไปห้องน้ำก่อน” เทิดทูนรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะที่จะนั่งอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนสองคนคุยเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ แม้จะได้รับรู้และมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องราวของทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้นจนจบ
“รัญเหงาเหรอถึงมากินเหล้าไกลถึงนี่” พอเทิดทูนไปแล้วก็สามารถคุยได้เปิดเผยมากขึ้น แพทขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้รัญรัมภาอีกนิด
“รัญก็กินแบบนี้ประจำ แพทก็รู้ไม่ใช่เหรอ” แพทขยับเข้ามา รัญรัมภาก็ขยับห่างออกไป
“จริงสิ แต่ก่อนแพทไม่ชอบคนกินเหล้า ไม่เข้าใจว่าเหล้าจะช่วยอะไรได้ แต่ตอนนี้แพทเข้าใจแล้วล่ะ” แพทหยิบแก้วเครื่องที่พนักงานนำมาเสิร์ฟขึ้นจิบ
“เดี๋ยวนี้สั่งเหล้าเป็นด้วยเหรอ” รัญรัมภามองแก้วเครื่องดื่มของแพทด้วยความแปลกใจ ปกติแพทไม่แตะเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เลยสักนิด
“ก็ถาม ๆ เด็กเสิร์ฟเอาแหละ” แพทตอบเขิน ๆ
รัญรัมภาใช้ชีวิตมาโชกโชนในด้านนี้ มองเครื่องดื่มที่แพทสั่งมาก็รู้ว่าคนสั่งต้องรู้จักเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ดีพอสมควร
“มาบ่อยเหรอ” รัญรัมภาถามตรง ๆ ทำให้แพทอึกอัก ๆ และไม่ยอมตอบคำถาม
“มาแบบนี้ไม่กลัวเสียภาพลักษณ์ครูเหรอ” รัญรัมภายังถามต่อ
“รัญ จะถามประชดแพทไปถึงไหน แพทก็แค่อยากออกมาดูโลกแสงสีบ้าง” แพททำเสียงกระเง้ากระงอดและทำท่ากระฟัดกระเฟียดเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ
“แล้วแฟนไปไหนล่ะ มาอย่างนี้เขาไม่ว่าเหรอ” รัญรัมภาไม่สนใจทั้งน้ำเสียงและท่าทางนั้น
“เขาไม่อยู่ ไปดูงานต่างประเทศ” แพทตอบห้วน ๆ เหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องบอก
“ทำไมไม่ไปกับเขาล่ะ เขามีผู้ติดตามได้นี่” รัญรัมภาก็อยู่แวดวงข้าราชการรู้ว่าภรรยาสามารถหาทางเลี่ยงใช้สิทธิ์ผู้ติดตามไปเที่ยวได้หากสามีไปดูงานแบบนี้ ยิ่งแพทเป็นข้าราชการเหมือนกันยิ่งง่าย
“ไปไม่ได้หรอก แฟนแพทเขาเคร่งครัดกฎระเบียบ เขาไม่ให้ไปไหนด้วยหรอก” แพทพูดแล้วก็ยกเครื่องดื่มขึ้นดื่มหมดแก้วแล้วก็เรียกพนักงานมาสั่งใหม่
“แพทดื่มเก่งนะเดี๋ยวนี้” รัญรัมภาพูดโดยที่ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือล้อเลียน
“บางทีเหงาแพทก็พึ่งรู้ว่ามันช่วยได้ ว่าแต่รัญเป็นไงบ้าง ถามแต่เรื่องแพทอยู่ฝ่ายเดียวเลย” แพทขยับออกมาห่างเมื่อรู้ว่ายิ่งใกล้ รัญรัมภายิ่งขยับหนี
“ก็เรื่อย ๆ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” รัญรัมภาไม่ได้ยกเหล้าขึ้นดื่มเลยตั้งแต่แพทมานั่งร่วมโต๊ะและดูเหมือนจะระวังตัวรักษาระยะห่างตลอดเวลา
“บางวันแพทก็คิดถึงวันเก่า ๆ นะ อยากจะกลับไปสอนที่โรงเรียนเดิม กำลังคิดว่าถ้าขอย้ายกลับได้ก็จะย้ายกลับแล้วล่ะ” อยู่ ๆ แพทก็พูดเรื่องส่วนตัวขึ้นมา
“ย้ายกลับทำไมล่ะ ไหนแพทว่าอยู่โรงเรียนใหญ่ ๆ ประจำจังหวัดมีโอกาสทำวิทยฐานะได้มากกว่าไง” รัญรัมภาไม่รู้ตัวว่าเธอพูดออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ รัญไม่ต้องกลัวว่าแพทจะไปรบกวน กว่าจะย้ายได้ไม่ใช่ง่าย ๆ ต้องมีครูวิชาเดียวกันขอย้าย แพทถึงจะมีโอกาสย้ายกลับไป” แพทรู้สึกได้ว่ารัญรัมภากำลังพยายามกันตัวเองออกห่างเธอและไม่อยากให้เธอกลับไป
มันก็ควรที่จะกันตัวเองออกห่าง ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายขอเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคนรักเป็นแค่เพื่อน ด้วยเหตุผลที่เธออ้างความเป็นครูซึ่งต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้ รัญรัมภาเข้าใจและไม่เคยไปก้าวก่ายให้เธอต้องเสียหายในโรงเรียน
ความจริงความสัมพันธ์ของเธอกับรัญรัมภาน่าจะไปได้ดีหากไม่มีข้าราชการหนุ่มตำแหน่งสูงในจังหวัดเข้ามาพัวพัน และมันก็ทำให้เธอไขว้เขวถึงอนาคตว่าเธอต้องการอะไร
ความรักมันก็แค่อิ่มเอมใจแต่ไม่ได้ทำให้เธอก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไม่ได้พาให้เธอได้เชิดหน้าชูตาในสังคม วัน ๆ ก็มีแต่จมอยู่กับที่เดิม ๆ เธอเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตธรรมดา เคยขอร้องให้รัญรัมภาย้ายมาเป็นหมอในโรงพยาบาลจังหวัดด้วยกัน รัญรัมภาก็ปฏิเสธแข็งขัน และนับวันก็เหมือนใช้ชีวิตต่างกันออกไป
รัญรัมภาไม่ชอบใช้ชีวิตสะดวกสบายในเมือง ในขณะที่เธอต้องการชีวิตแบบวันหยุดได้ไปดูหนัง ซื้อของในห้างสรรพสินค้าโดยที่ไม่ต้องถ่อสังขารขับรถมาหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งคนที่พาชีวิตเธอมาแบบนี้ได้ก็คือข้าราชการหนุ่มคนนั้น
ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจเลือกชีวิตที่คิดว่าจะเป็นอย่างที่ฝัน มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เธอได้ในสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าการเป็นภรรยาของข้าราชการที่กำลังพยายามหาทางก้าวหน้าด้วยการตามเจ้านายไปทุกที่ว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิด
“รัญจะกลับแล้วล่ะ แพทอยู่ต่อใช่ไหม” รัญรัมภาหันไปมองหาเทิดทูนที่ยังไม่กลับมาจากห้องน้ำ แล้วก็พบว่าไปนั่งแวะหยอกล้อเด็กสาววัยรุ่นอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง เธอจึงยกมือส่งสัญญาณให้กลับมาที่โต๊ะได้แล้ว
“อะไรกัน ใจคอจะทิ้งแพทให้อยู่คนเดียวเหรอ” แพทพยายามใช้สายตาอ้อนวอน มีผลทำให้รัญรัมภาหวั่นไหวไปกับสายตานั้นบ้าง แต่พอดีกับที่เทิดทูนเดินมาถึงโต๊ะ
“กลับกันเถอะเทิด พรุ่งนี้หมอมีงานต้องทำอีกเยอะ” รัญรัมภารีบบอกเทิดทูนก่อนที่จะเผลอไปกับสายตาเชิญชวนของแพท
“ดีเหมือนกันครับ ขับรถดึกมากอันตราย” เทิดทูนไม่ยื้ออยู่ต่อเหมือนทุกครั้งที่มักจะติดลมจนผับปิด
“กลับก่อนนะแพท แล้วค่อยคุยกัน” รัญรัมภาลาง่าย ๆ และลุกจากโต๊ะไปโดยไม่เหลือความอาลัยอาวรณ์ เทิดทูนรีบลาแพทแล้วเดินตามไป ทิ้งให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวว่าจะลากันเร็วขนาดนี้นั่งซึมที่โต๊ะคนเดียว เหลียวมองตามรัญรัมภาไป ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้หันกลับมามองเธอสักนิด
ก็เป็นชีวิตที่เธอเลือกเองทุกอย่าง แล้วจะหวังความเห็นใจจากใคร ยามนี้ก็ได้เสียงสี แสงเพลงและเครื่องดื่มในแก้วเท่านั้นที่คอยปลอบใจ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“หมอไม่ได้เมาใช่ไหม” เทิดทูนถามระหว่างทางที่ขับรถกลับ ระยะทางจากอำเภอที่อยู่ไปถึงตัวจังหวัดประมาณสามสิบกิโลเมตร ครั้งแรกที่มาอยู่รัญรัมภาคิดว่าช่างห่างไกล แต่พออยู่ไปอยู่มาก็ชินและรู้สึกว่ามันไม่ไกล ยิ่งถนนกลางคืนโล่งแบบนี้ยิ่งพาให้สบายใจ ไม่อึดอัด
“ทีแรกก็เมาแหละ แต่พอแพทมาก็หายเมา” รัญรัมภาตอบเรื่อย ๆ
“ผมนึกว่าหมอจะยังรักเขาอยู่อีก” เทิดทูนพูดโดยที่สายตายังมองถนนอย่างระมัดระวัง
“ก็เคยคิดนะว่ายังรักเขา แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็เฉย ๆ แต่สงสารเขามากกว่า”
“ผมก็ว่านะ ดูเขาเหงา ๆ ปกติเขาไม่กินเหล้า ไม่เข้าผับแบบนี้หรอก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เป็นเด็กเรียนเหมือนครูจรัสแหละ”
พอเทิดทูนเอ่ยชื่อนั้นเรื่องที่รัญรัมภาลืมไปได้ชั่วครู่ก็กลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
“ครูจรัสเขาเป็นเด็กเรียนมากเลยเหรอ ไม่มีวอกแวกเลยเหรอ” รัญรัมภาถามเหมือนคุยต่อเนื่องไป พยายามไม่ให้รู้สึกว่าเป็นคำถามพิเศษ
“ก็เท่าที่เคยเล่นกันตอนเด็ก ๆ ก็เหมือนเด็กทั่วไปนี่แหละครับ แต่พอไปเรียนในจังหวัดก็ได้ข่าวว่าตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องอื่นจนได้ทุนเรียนจนจบมหาวิทยาลัยนั่นแหละครับ ผมก็รู้มาเท่านี้”
“แล้วทำไมทั้งป้ามล ทั้งแกถึงห้ามหมอไม่ให้ยุ่งกับครูจรัส” รัญรัมภาถามคำถามที่คาใจมานาน
“แล้วหมอจะไปยุ่งกับครูจรัสทำไมละครับ อย่าบอกนะว่าคนที่หมอบอกว่าเกลียดทอมนี่คือครูจรัส” เทิดทูนไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับประมวลจากสิ่งที่รัญรัมภาพูดตอนเมามาย้อนถาม
“เฮ้ย ไม่ใช่ นั่นหมอก็พูดไปเรื่อย ตอบมาซะทีสิว่าทำไมถึงไม่อยากให้ไปยุ่งกับครูจรัส” รัญรัมภารีบปฏิเสธและถามย้ำสิ่งที่ยังไม่ได้คำตอบ
“ก็ไม่มีอะไรมาก ครูจรัสเขาน่าสงสารมาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากให้หมอเห็นเขาเป็นของเล่นสนุก ๆ แก้เหงา เขาไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเขาไม่เล่นด้วยกับหมอก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเขาเผลอใจไปกับคารมหมอก็เรื่องใหญ่ ครูจรัสจริงจังกับชีวิตมาก”
“แค่ทุกคนคิดว่าหมอจะเห็นครูจรัสเป็นของเล่นนี่นะ ถึงต้องดาหน้าปกป้องกันเต็มที่ เห็นหมอเป็นคนอย่างไง” “ก็ใช่สิครับ ตั้งแต่หมอมาอยู่ที่นี่ มีใครมาใหม่หมอก็จีบหมด พอจีบติดได้ไม่เท่าไหร่ ก็เบื่อบอกเลิกง่าย ๆ ซะงั้น” เทิดทูนพูดตรง ๆ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ รัญรัมภาถอนหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“แกรู้ไหม หมอไม่เคยบอกเลิกใคร มีแต่คนบอกเลิกหมอทั้งนั้น” รัญรัมภามองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง ไม่อยากจะให้เทิดทูนเห็นน้ำตา
“จริงเหรอหมอ เห็นแต่ละรายร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายทั้งนั้น แต่หมอกลับเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขนาดแพทที่หมอรักนักรักหนายังไปแสดงความยินดีงานแต่งงานได้สบาย”
โชคดีที่เทิดทูนต้องระมัดระวังการขับรถจึงไม่เห็นที่หมอแอบเช็ดน้ำตา
“ใครจะมาทนคนอย่างหมอได้วะ บางทีหมอก็ไม่มีเวลาให้เขา แล้วส่วนใหญ่เขาก็คิดว่าหมอจะพาเขาไปหาชีวิตแบบหรูหราสุขสบาย แต่จริง ๆ หมอต้องการแค่ใครสักคนที่จะใช้ชีวิตง่าย ๆ อยู่กับหมอที่นี่ได้ต่างหาก” เป็นครั้งแรกที่ รัญรัมภาพูดความรู้สึกออกมายาว ๆ
“หมอนะเหรอจะใช้ชีวิตง่าย ๆ แค่เรื่องกินแต่ละวัน หมอยังบ่นแล้วบ่นอีก” เทิดทูนแสดงความเห็นชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่รัญรัมภาพูดออกมา
“มีใครไม่บ่นเรื่องกินมั่ง บะหมี่ข้างโรงพยาบาลถ้าไม่หิวจนตาลาย มีใครไปกินมั่ง ไม่งั้นจะห่อปิ่นโตกันมาเองเหรอ แต่หมอทำกินเองไม่เป็นก็ต้องกล้ำกลืนฝืนกินที่เขาทำขายไปต่างหาก ไม่เห็นมีใครอยากกินกับข้าวสำเร็จทุกวันสักคนหรอก”
รัญรัมภาได้โอกาสระบายออกมาถึงสิ่งที่คนมองว่าเธอเรื่องมาก หากเธอทำกับข้าวเป็น ไม่ต้องขนาดอย่างจรัสตะวันทำ เธอก็คงทำกินเอง ไม่มาบ่นกับอาหารซ้ำซากแบบนี้
“สรุปว่าหมอแค่ต้องการแม่บ้านทำกับข้าวให้กิน เอาไหมล่ะผมจะให้เมียทำปิ่นโตให้ หมออยากกินอะไรก็สั่งมา” เทิดทูนไม่เข้าใจว่าความรู้สึกจริง ๆ ของหมอเป็นอย่างไร ก็คิดง่าย ๆ ตามแบบผู้ชายที่ไม่เคยปัญหาเรื่องอาหารการกิน
“คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว หมอก็นึกไม่ออกว่าแต่ละวันจะกินอะไร เออ ไม่คุยแล้ว เอาเป็นว่าหมอไม่เคยบอกเลิกใครก็แล้วกัน” รัญรัมภาไม่อยากจะคุยแล้วเผลอพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ บางทีการรู้มากของเทิดทูนก็ไม่ใช่ผลดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจรัสตะวัน
เทิดทูนมาส่งเธอที่บ้านแล้วก็เดินผิวปากกลับบ้านพักที่อยู่ในโรงพยาบาลไป พอเปิดประตูบ้านเข้าไป กอหญ้าที่นั่งรออยู่หน้าประตูก็วิ่งออกมาต้อนรับอย่างดีใจ จะมีใครซื่อสัตย์และรอคอยเธอได้อย่างกอหญ้าไหมนะ ไม่ว่าเธอจะไปไหน กลับมาทีไรมันก็ดีใจทุกที
“ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่านะกอหญ้า” รัญรัมภาเรียกให้มันวิ่งตามขึ้นไป
ผ่านไปอีกหนึ่งค่ำคืนที่มีฤทธิ์แอลกอฮอร์ช่วยให้หลับได้เร็วขึ้น แต่อีกกี่คืนกี่วันที่เธอจะได้หลับโดยไม่ฟุ้งซ่านก่อนนอน หรือจะจนกว่าวันที่สามารถเอาชนะใจจรัสตะวันได้ มันจะมีวันนั้นไหม เธอก็ยังไม่มั่นใจตัวเอง
เพราะการไปออกไปเที่ยวตั้งแต่หัวค่ำ เธอจึงไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในหัวค่ำวันนั้น จนกระทั่งเช้าของวันต่อมา รู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น กึ่งจริงกึ่งฝันเหมือนมีใครมาทะเลาะกันที่บ้านยายสาย และได้ยินเหมือนหนึ่งเสียงนั้นคือเสียงของครูจรัส นี่เธอคิดถึงจนเก็บเอามาฝันเชียวหรือ
พยายามจะลืมตาตื่นแต่มันก็หนักอึ้งจนต้องหลับไปอีกงีบ เสียงทะเลาะกันดังขึ้นมา คราวนี้มีทั้งเสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย และเสียงร้องไห้
คราวนี้รัญรัมภาตื่นเต็มตาและรู้ว่าไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นความจริง เธอสลัดผ้าห่มออกจากตัววิ่งไปเปิดประตูออกไปดูที่ระเบียง เสียงที่คิดว่าเป็นเสียงในความฝันมันกลับเป็นความจริง
กลุ่มคนที่ยืนคุยกันเสียงดังจนเธอคิดว่าเป็นการทะเลาะนั้น ประกอบด้วยครูจรัส พ่อของเภตรา และยายสายที่มีเจมส์หลานสาวมาดชายยืนอยู่ข้าง ๆ และเจ้าของเสียงร้องไห้ก็คือเภตราที่พ่อเธอจับแขนไว้แน่น เธอรู้แล้วว่าทำไมต้องเสียงดังเพราะยายสายแกหูตึงนั่นเอง รัญรัมภาเผลอเสียมารยาทยืนดูเหตุการณ์นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ทันเห็นแต่พ่อของเภตรายกมือไหว้ลายายสายแล้วลากแขนเภตราออกไป โดยไม่รอจรัสตะวันที่ยังยืนคุยกับยายสายต่อ และมีเจมส์ที่ยืนมองด้วยสายตาไม่พอใจ
“เด็กมันรักกันชอบกัน ก็ปล่อยมันไปเถอะครู มันยังเด็กอยู่” ยายสายพูดเสียงเธอได้ยินชัดเจน แต่จรัสตะวันพูดเสียงเบากว่าเธอจึงไม่รู้ว่าพูดอะไร
“เอาเถอะ ๆ ฉันจะดูแลหลานฉันให้ดี ส่วนที่ลูกศิษย์ครู ครูก็ต้องดูแลเองนะ” ยายสายพูดพลางโบกไม้โบกมือทำท่าว่าแกรับรองหลานแกเองได้
จรัสตะวันพูดอะไรต่ออีกสองสามคำ แล้วก็ยกมือไหว้ลายายสาย รัญรัมภามัวแต่มองเพลินจนลืมไปว่าเธอยืนอยู่ในที่โล่งบนระเบียง เงาของเธอจึงพาดผ่านลงไป เมื่อจรัสตะวันหันหลังจะเดินไปที่ประตูรั้วบ้านก็เห็นเงาคนที่พาดผ่านไปยังพื้นนั้นจึงหันขึ้นมามองโดยอัตโนมัติ
รัญรัมภาสะดุ้งเมื่อถูกจับได้ว่ามาแอบฟังการสนทนาของคนอื่น
“อ้าว หมอตื่นแล้วเหรอ เห็นเมื่อคืนกลับดึก” ยายสายก็มองขึ้นมาเหมือนกันและร้องทักเธออย่างคุ้นเคย
“พอดีกอหญ้าปลุกน่ะค่ะ” เธออ้างกอหญ้า ทั้งที่มันก็ตื่นมาเล่นของมันไม่ได้รบกวนเธอสักนิด
“สวัสดีค่ะครูจรัส” รัญรัมภารีบทักจรัสตะวันหลังจากที่ตอบคำถามยายสาย
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” จรัสตะวันทักตอบ
“รู้จักกันแล้วเหรอ งั้นฉันส่งครูตรงนี้เลยนะ จะรีบไปดูเจ้าหญิงแตงอ่อน เจมส์ไปส่งครูหน่อยไป” ยายสายบอกหลานสาวที่ยังดูกลัว ๆ ครูจรัสอยู่
“เอ่อ ครูมีธุระไปไหนหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็มาดื่มกาแฟด้วยกันก่อนสิ กอหญ้าก็ตื่นแล้ว”
รัญรัมภาฉวยโอกาสที่มาถึงโดยไม่คาดคิดทันที ถ้าเธออยากจะเอาชนะก็ต้องใช้ทุกจังหวะให้เป็นประโยชน์ จรัสตะวันลังเล
“ให้หมอตอบแทนที่ครูทำกับข้าวให้ทานเมื่อวันก่อนด้วย เดี๋ยวหมอลงไปเปิดประตูให้นะ”
รัญรัมภาถือโอกาสที่จรัสตะวันลังเลอยู่ตัดสินใจแทนและรีบเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อลงไปเปิดประตูบ้าน โดยไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมีความหมายที่ทำให้คนอื่นคิดไปไกล
แค่การดื่มกาแฟตอนเช้ากับใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จรัสตะวันต้องทำเป็นไม่เห็นสายตาของเจมส์ที่มองมาด้วยความสงสัย ใคร ๆ ก็รู้ว่าหมอรัญเป็นอย่างไง แล้วยังเคยไปให้ครูจรัสทำกับข้าวให้ทาน
การที่ครูจรัสมาโมโหโกรธาเมื่อรู้ว่าเภตราแอบหนีออกจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืน เธอคาดคั้นเอากับลูกศิษย์ที่เป็นเพื่อนสนิทกับเภตราจนรู้ว่ามาอยู่ที่นี่นั้นมันหมายความว่าอย่างไร หรือจะว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองหรือเปล่า
“ส่งครูแค่นี้ก็พอค่ะ แล้วก็อย่าทำแบบนี้อีก” จรัสตะวันยังรักษาสถานะความเป็นครู แม้เจมส์จะไม่ได้อยู่ในฐานะลูกศิษย์โดยตรง
หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าเจมส์จะเข้าใจว่าอย่างไร จะไม่ไปตามคำเชิญของเจ้าของบ้านข้าง ๆ มันก็ดูเสียมารยาทเกินไป
ทำไมกับการแค่ทำกับข้าวให้หมอรัญทานโดยบังเอิญ และการมาดื่มกาแฟวันนี้ก็ด้วยความบังเอิญเหมือนกัน เธอต้องเก็บมันมาเป็นสาระสำคัญด้วย
“เชิญค่ะครู วันนี้หมอขอเลี้ยงกาแฟและอาหารเช้าแบบฝรั่งนะ” รัญรัมภาเปิดประตูตอนรับจรัสตะวันด้วยความยินดีพร้อมกับกอหญ้าที่มารอต้อนรับอย่างดีใจเช่นกัน เธอนั่งลงอุ้มมันเข้ามาในบ้านเป็นเพื่อนเล่นระหว่างนั่งรอกาแฟและอาหารเช้าฝีมือหมอ
จรัสตะวันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่รัญรัมภาเต็มใจให้เข้ามา เป็นคนแรกจริง ๆ ที่ได้มานั่งดื่มกาแฟและทานอาหารเช้าในบ้านนี้ และบางทีอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวและคนสุดท้ายก็ได้
:26: :26: :26: