ตอนที่ 8
เข้ามาในบ้านแล้วจรัสตะวันก็วางตัวไม่ถูก เลยอุ้มกอหญ้าไว้ไม่ยอมวางจนมันดิ้นขอลงเอง
“ปล่อยกอหญ้าได้แล้วครู มันชอบวิ่งเล่นที่สนามมากกว่า ปกติมันเข้าบ้านแค่ตอนจะค่ำ ๆ จะนอนนู่นแหละ”
รัญรัมภาคิดว่าจรัสตะวันอยากอุ้มกอหญ้าไว้เล่น แต่กอหญ้าเป็นหมาไทยพันทาง มันชอบอยู่อย่างอิสระ ไม่ใช่หมาพันธุ์ราคาแพงที่ต้องดูแลระมัดระวังอย่างดี
“เหรอคะ นึกว่าชอบอยู่ในบ้านเสียอีก” จรัสตะวันหาคำพูดมาคุยด้วยไม่ถูก พอวางกอหญ้าลงมันก็วิ่งออกประตูไปหน้าบ้านทันที มองตามไปก็เห็นหมาใหญ่สามสี่ตัวมานอนพิงรั้วรับแดดยามเช้าอยู่
“มันคงชินกับการอยู่ข้างนอกมากกว่า เพราะว่ากลางวันหมอไปทำงานมันก็อยู่นอกบ้านทั้งวัน” จรัสตะวันมองตามกอหญ้า โดยไม่รู้ตัวว่าอีกคนกลับมองแต่ใบหน้าเธอ
“คุณหมออยู่คนเดียวเหรอคะ” จรัสตะวันถามไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองที่เสียมารยาทถามแบบนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปที่จะต้องรู้ว่าหมออยู่กับใคร
“อยู่คนเดียวสิ หมออยู่คนเดียวมาตลอดแหละ” รัญรัมภาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำถามนั้น จรัสตะวันเผลอมองไปรอบห้องรับแขกที่ข้าวของประดับตกแต่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
“แต่หมอจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด ซักเสื้อผ้าแบบเช้ามาเย็นกลับ เดี๋ยวสาย ๆ สักพักก็คงมา” รัญรัมภาเดาว่าจรัสตะวันต้องสงสัยว่าเธออยู่คนเดียวแล้วดูแลบ้านอย่างไร จึงอธิบายให้หายข้องใจเสียทีเดียว
ห้องรับแขกนี้ต่างจากที่บ้านพักครูของจรัสตะวันอย่างสิ้นเชิง ทั้งตู้โชว์ ของประดับตกแต่ง และชุดเฟอร์นิเจอร์ถูกจัดวางราวกับฉากที่เห็นในละคร แล้วยังมีชุดให้ความบันเทิงครบชุดฝังไว้อย่างกลมกลืนกับผนังราวกับเป็นเครื่องประดับมากกว่าจะใช้เพื่อความบันเทิงจริง ๆ
“ครูนั่งรอก่อนนะคะ หมอขอไปเตรียมอาหารเช้าก่อน” รัญรัมภาเชิญจรัสตะวันให้นั่งลง เธอก็นั่งลงราวกับคนไข้ที่ทำตามคำสั่งหมอ
ยังงงตัวเองว่าเข้ามาในบ้านนี้ได้อย่างไร เมื่อเช้าพ่อของเภตราไปหาเธอที่โรงเรียนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางดี เพราะหลังจากตื่นมาเตรียมขายกาแฟเหมือนทุกวันเรียบร้อยแล้วก็สงสัยที่ปกติเภตรามักจะตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้า แต่วันนี้ไม่มีแสงไฟจากห้องนอนลูกสาว พอเข้าไปดูจึงรู้ว่าลูกสาวหายไป ครั้งแรกก็ตกใจแต่เมื่อตั้งสติพิจารณาหลายอย่างก็รู้สึกว่าน่าจะออกจากบ้านไปเอง เพราะชุดนอนถูกเปลี่ยนวางไว้ โทรศัพท์มือถือเอาไปด้วยแต่ปิดเครื่อง และรองเท้าผ้าใบคู่ที่ใส่ประจำก็หายไปด้วย หากมีเหตุร้ายหรือใครเข้ามาลักพาตัวคงไม่มีเวลาใส่รองเท้าผ้าใบได้
คิดถึงใครไม่ออกก็รีบมาหาครูจรัสตะวันเป็นคนแรก เธอโทรศัพท์ตามกับลูกศิษย์ที่คิดว่าน่าจะรู้เรื่องเภตราจนสามารถพามาถึงบ้านยายของเจมส์ได้ในเวลาไม่นาน ความจริงมันเป็นเรื่องที่เธอเดาตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าน่าจะเป็นแบบนี้ หลายวันก่อนมีเพื่อนคนหนึ่งของเภตรามาบอกว่าเภตราอาจจะไม่ได้ไปเรียนต่อคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างที่คาดหวัง อาจจะได้แค่เรียนวิทยาลัยพยาบาลในจังหวัดเท่านั้น เพราะพ่อไม่ต้องการให้ห่างไกลสายตาและยังห้ามไม่ให้คบหากับเจมส์ด้วย
คิดเรื่องลูกศิษย์ไปก็มองกอหญ้าที่ไปเล่นกับพี่หมาใหญ่ตรงประตูรั้วไปด้วย ความจริงประตัวรั้วก็มีช่องที่กอหญ้าน่าจะสามารถมุดออกไปได้ แต่มันก็ไม่มุดออกไป เหมือนที่ไปอยู่บ้านพักกับเธอ หากไม่เปิดประตูให้มันก็ไม่ออก หมาใหญ่บางตัวเริ่มรำคาญก็ลุกหนีไปนอนที่ใหม่ ตัวไหนยังอยากเล่นสนุกอยู่ก็ยื่นจมูก ยื่นขาหน้ามาเกาะรั้วหยอกล้อกัน แม้แต่หมายังมีขอบเขตกั้น แล้วนับประสาอะไรกับคนที่จะทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง บางครั้งเราก็ต้องยอมอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ไม่รู้ว่าใครกำหนดไว้
กำลังจะคิดอะไรเลยเถิดไปไกล กลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยออกมาจากในครัว และไม่ถึงอึดใจก็แยกได้ว่าเป็นกลิ่นไหม้ของอะไรทอดสักอย่าง นั่งชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะเข้าไปดูดีหรือไม่ จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าหากเอาแต่นั่งรอก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะได้กินอาหารเช้าแบบฝรั่งไหม้ ๆ
อาหารเช้าแบบฝรั่งง่าย ๆ เท่าที่เธอนึกได้ก็คงเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง ทำนองนี้ หรือคุณหมอจะมีฝีมือทำอย่างอื่นที่แปลกจากที่เธอคิด แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าเข้าไปดูหรือไม่เข้าไป รัญรัมภาก็ถือตะหลิวออกมายิ้มแหย ๆ แม้แต่ปลายตะหลิวก็ยังมีคราบไหม้ของอาหารติดมา
“ครูช่วยมาทำไข่ดาวได้ไหม หมอไม่มั่นใจ”
ถ้าไม่สุดวิสัยจริง ๆ รัญรัมภาคงไม่ออกมาขอความช่วยเหลืออย่างน่าอายนี้ เป็นเจ้าของบ้านแท้ ๆ เชิญแขกมาทานอาหารแต่สุดท้ายก็คิดว่าให้แขกที่มีฝีทำอาหารมาทำให้ดีกว่า เพราะไข่ไก่หลังจากที่ไหม้ไปแล้วก็เหลือเพียงสองฟอง โชคดีที่จำพวกแฮมและไส้กรอกเธอใช้วิธีอุ่นในไมโครเวฟแทน ขนมปังก็มีเครื่องปิ้ง กาแฟก็มีเครื่องชง ก็คงมีไข่ดาวอย่างเดียวที่เธอทำไม่ได้ ทั้งที่เตาไฟฟ้าที่ซื้อมาก็มีปุ่มปรับระดับความร้อนและภาพประกอบชัดเจนว่าไฟระดับไหนแรงแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถดาวไข่ให้สุกแต่ไม่ไหม้ได้
“คะ” จรัสตะวันไม่ทันได้ฟังจริง ๆ ว่ารัญรัมภาพูดอะไร
“พอดีหมอทำไข่ไหม้ไปแล้วมันเหลือแค่สองฟอง กลัวว่าถ้าหมอทำอีกมันจะกินไม่ได้ ครูช่วยมาทำได้ไหม”
พอได้ยินชัด ๆ จรัสตะวันก็ต้องกลั้นหัวเราะไว้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เก่งถึงขั้นเรียนหมอได้จะทำไข่ดาวไม่เป็น
“ค่ะ ได้ค่ะ” จรัสตะวันลุกเดินตามเข้าในครัว
ห้องครัวนั้นมันก็ต่างจากครัวบ้านพักของเธอเหมือนกัน ชุดเครื่องครัวและโต๊ะวางอาหารไม่ต่างจากที่เห็นในหนังสือตกแต่งบ้าน แต่ตอนนี้จานเซรามิคสีขาวบนโต๊ะมีจานใส่แฮมและไส้กรอกวางอยู่หนึ่งจาน จานใส่ขนมปังที่ยังไม่ได้ปิ้งอีกหนึ่งจาน และจานใส่ไข่ดาวไหม้เกรียมอีกหนึ่งจาน ไข่สองฟองยังอยู่ในกล่องพลาสติกที่วางอยู่ข้าง ๆ
จรัสตะวันมองอย่างทำใจกับเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งของหมอที่มีแต่เนื้อสัตว์กับไข่ ไม่มีผักเลยสักนิด เธอไม่ใช่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน มีอะไรก็กินได้ ถ้ารสชาติไม่ถูกใจก็ปรับปรุงเอา
“หมอมีผักไหมคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยความที่ทำอาหารทานเองเสมอ
“ผักเหรอ ไม่มีผักสดแต่มีพวกผักกระป๋อง ได้ไหม” รัญรัมภาเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาของที่จรัสตะวันถามหา
ประตูตู้เย็นเปิดอ้าทำให้จรัสตะวันเห็นว่าในนั้นมีทั้งน้ำหวาน ห่อและซองอาหารกึ่งสำเร็จและปรุงสำเร็จอยู่เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จะทำทั้งทีก็ลองดูเผื่อมีอะไรจะทำได้นอกจากไข่ดาวธรรมดานี้
“ผักกระป๋องแบบนี้ได้ไหม” รัญรัมภาดึงกระป๋องอาหารออกมาสองกระป๋อง รูปข้างกระป๋องบอกให้รู้ว่าใบหนึ่งเป็นถั่วลันเตา อีกใบเป็นข้าวโพดเม็ด จรัสตะวันรับมาวางไว้ที่โต๊ะ สายตามองกลับไปที่ตู้เย็นที่ยังเปิดอยู่
“นั่นใช่มันบดหรือเปล่าคะ” เธอมองที่ถ้วยพลาสติกสองสามใบซึ่งมีตรายี่ห้อร้านขายไก่ทอดจากต่างประเทศชื่อดังติดอยู่
“ใช่ หมอชอบกินมันบด พึ่งฝากพยาบาลที่บ้านอยู่ในจังหวัดซื้อมาให้” รัญรัมภาหยิบถ้วยพลาสติกใส่มันบดออกมา
“หมอมีชีสหรือเนยไหมคะ” จรัสตะวันเริ่มจะคิดเมนูบางอย่างได้
“มีหลายอย่างเลย ครูมาดูเองดีกว่า หมอไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไปห้างก็หยิบ ๆ ซื้อ ๆ มาเวลากินกับขนมปังมันก็ง่ายดี” รัญรัมภาถอยออกมาจากตู้เย็น ให้ครูจรัสไปสำรวจอาหารในนั้นแทน
“ครูจะทำอะไร มีไข่แค่สองใบเองนะ” รัญรัมภายังกังวลใจกับไข่ที่เธอทำไหม้ไปจนเหลือแค่สองฟองสุดท้ายในบ้าน เธอไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำอาหารนอกจากที่มันสำเร็จมาแล้วอุ่นเอา
“ทำมันฝรั่งสอดไส้ชีสค่ะ แป๊บเดียว มีของสำเร็จอยู่แล้ว” จรัสตะวันหยิบชีสและเนยสดออกมาจากตู้เย็น
รัญรัมภายืนดูครูจรัสจับนั่นผสมนี่ใส่ซอสปรุงรสด้วยความตื่นใจ อาหารส่วนใหญ่ที่เธอซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้ก็มักจะกินง่าย ๆ ถั่วลันเตากับข้าวโพดนี้ก็ไว้เติมเวลาที่ซื้อสลัดที่จัดชุดมาแล้ว หรือไม่ก็ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนผักสด ส่วนชีสกับเนยสดก็ไว้ทานกับขนมปังปิ้ง เธอก็ทำเป็นอยู่แค่นี้
“เสียดายไม่มีเกร็ดขนมปัง” จรัสตะวันพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะคุยกับเธอ
“หมอช่วยล้างกระทะทีสิคะ” เธอบอกในขณะที่หยิบถ้วยเล็กมาตอกไข่ลงไปและตีเบา ๆ
“ครูไปเรียนทำอาหารมาจากไหน” รัญรัมภาถามในขณะที่กำลังล้างกระทะที่ทำไข่ดาวไหม้เมื่อสักครู่
“ไม่ได้เรียนหรอกค่ะ ก็หัดทำตามตำราบ้าง ดูทีวีบ้าง” จรัสตะวันตอบเรื่อย ๆ ขณะที่ตีไข่และรอให้รัญรัมภาเช็ดกระทะให้แห้ง
หลังจากนั้นรัญรัมภาก็ต้องถอยออกมาเป็นผู้ชมอีกครั้ง ทุกอย่างสำหรับครูจรัสมันช่างง่ายดาย ปั้นมันบดแล้วสอดไส้ชีส ถั่วลันเตา ข้าวโพดและยังหั่นแฮมใส่ไปด้วยวางเป็นก้อน ๆ ไว้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันดูระดับความร้อนของเตาสักครู่ก็นำมันบดที่ปั้นไว้มาชุบไข่ลงไปทอด ขนาดไม่มีเกร็ดขนมปัง ครูจรัสก็ยังสามารถทอดให้เป็นสีเหลืองทองน่าทานได้ รู้อย่างนี้ให้เข้ามาทำเสียตั้งแต่ทีแรกป่านนี้ก็คงได้อร่อยกันไปแล้ว
“ครูเก่งจัง เดี๋ยวหมอเตรียมกาแฟก่อนนะ” รัญรัมภาเสียบปลั๊กเครื่องต้มกาแฟที่แค่ใส่ผงกาแฟบดและที่กรองลงไปในช่องทิ้งไว้ให้มันทำงาน ไม่นานก็จะได้กาแฟหอมกรุ่นออกมา
ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป อาหารเช้าสองชุดและกาแฟสองแก้วเสร็จเกือบพร้อมกัน จรัสตะวันจัดวางอาหารในจานให้ดูน่าทานกว่าตอนที่ยังวางโปะ ๆ กันอย่างที่รัญรัมภาทำไว้
“เอาน้ำส้มด้วยนะครู ไปนั่งทานกันที่ซุ้มหน้าบ้านดีกว่า” รัญรัมภาตาโตกับชุดอาหาร นานแล้วที่เธอไม่ได้ทานอาหารเช้าดี ๆ แบบนี้ แม้จะมีของสำเร็จในตู้เย็นเกือบครบก็ตาม
ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอันอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง ในวัยที่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย ทุกเช้าตื่นขึ้นมาเธอจะได้ทานอาหารเช้าพร้อมหน้าตากับพ่อแม่และพี่สาวพี่ชาย แม้แม่จะไม่ได้ลงมือทำอาหารเองแต่ก็สั่งแม่บ้านให้จัดอาหารของโปรดเธอเป็นหลักหรือเธออยากทานอะไรก็ไปสั่งไว้ได้ จนพี่สาวกับพี่ชายโวยวายว่าแม่ตามใจแต่เธอ พวกเขาขอแบ่งวันที่เป็นอาหารจานโปรดของเขาบ้าง
ทุกอย่างเริ่มหายไปตอนที่เธอสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้และต้องไปอยู่หอพัก ระยะแรกที่กลับบ้านเสาร์อาทิตย์ชีวิตก็ยังปกติสุขดี จนพี่ ๆ เริ่มเข้ามาช่วยงานบริหารกิจการโรงพยาบาลและเริ่มมีการขยายสาขาไปต่างจังหวัด รวมทั้งที่จังหวัดนี้
เธอเริ่มไม่มีเวลากลับบ้านในวันหยุด พ่อกับแม่ก็ต้องไปดูแลโรงพยาบาลที่เปิดใหม่อีกจังหวัด พี่สาวพี่ชายต้องไปอีกจังหวัด เพราะมีหลายหุ้นส่วนและครอบครัวเธอเป็นเพียงหุ้นส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ติดที่ว่าเป็นตระกูลใหญ่ นามสกุลมีหลายสาย ใคร ๆ จึงเหมารวมว่าครอบครัวเธอจะต้องร่ำรวยมาก
หากความจริงทั้งพ่อแม่และพี่สาวพี่ชายก็ไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่งที่ต้องไปทำงานตามที่กรรมการผู้บริหารระดับสูงกว่ามอบหมายให้ดีที่สุด พอทำงานดีตำแหน่งหน้าที่ก็ดีขึ้น ค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือนนอกเหนือจากเงินปันผลก็มากขึ้นเท่านั้นเอง
การที่เธอมาซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยเงินสดก็เพราะพ่อแม่พี่สาวพี่ชายต่างช่วยสมทบเงินให้รวมกับเงินที่เคยไปรับงานนอกเวลาในโรงพยาบาลเอกชนตอนที่ยังอยู่กรุงเทพ ส่วนค่าตกแต่งก็ค่อย ๆ ทำ ทุกคนมาเห็นตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงคิดว่าครอบครัวเธอต้องมีฐานะระดับมหาเศรษฐีทีเดียว
บ่อยครั้งที่กลับบ้านแล้วพบว่าไม่มีใคร แต่มีรถยนต์รุ่นใหม่ป้ายแดงมาจอดอยู่แทน เธอโตพอที่จะเข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่าความสุขแบบครอบครัวหายไป การถามไถ่ทุกข์สุขกันยังมีเหมือนเดิมแต่เป็นผ่านทางโทรศัพท์ที่ต้องโทรไปในเวลาที่คิดว่าจะสะดวกรับ และสุดท้ายการกลับบ้านของแต่ละคนก็แทบจะเป็นแค่การเปลี่ยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วต้องรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงที่มากขึ้นก็ผกผันกับความเป็นครอบครัวที่ลดลงทุกวัน จนหากอยากพบกันต้องนัดนอกบ้านและนาน ๆ ครั้งจึงจะได้พร้อมหน้าพร้อมตา
“ทานในบ้านก็ได้มั้งคะ” จรัสตะวันยังไม่ยกอาหารออกไป ในขณะที่รัญรัมภาวางแก้วกาแฟในถาดพร้อมโถครีมเทียมและน้ำตาลเรียบร้อย รวมทั้งน้ำส้มอีกสองแก้วเตรียมยกออกไป
“อาหารอร่อยต้องคู่บรรยากาศดี ๆ สิ ไปที่ซุ้มหน้าบ้านดีกว่า จะได้เป็นเพื่อนกอหญ้าด้วย” รัญรัมภาไม่ฟังว่าน้ำเสียงครูจรัสนั้นแปลกไป แต่กลับยกถาดกาแฟและน้ำส้มนำไปก่อน
จรัสตะวันไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอจะไม่ลังเลใจหากซุ้มไม้เลื้อยหน้าบ้านนั้นไม่ติดกับบ้านยายสาย ที่มีหลานชื่อเจมส์ ซึ่งกำลังมีเรื่องราวคาราคาซังกับลูกศิษย์เธออยู่ และสิ่งสำคัญใคร ๆ ก็รู้ว่าหมอรัญเป็นอย่างไร เธอไม่อยากให้เจมส์หรือใคร ๆ เกิดความสงสัยในการกระทำของเธอ
“ครู เร็ว ๆ สิคะ กอหญ้ามารอแล้ว”
เสียงรัญรัมภาเรียกมาจากห้องรับแขก ทำให้จรัสตะวันต้องรีบยกจานอาหารทั้งสองจานตามไป มันคงไม่มีอะไรแค่การทานอาหารเช้าด้วยกันตามประสาคนรู้จัก
“กอหญ้า พี่มีไก่ต้มมาฝาก”
จรัสตะวันเดินออกมาพร้อมกับได้ยินเสียงนั้นที่หน้าบ้าน พอเห็นเจ้าของเสียงเธอก็เดาได้ว่าคงเป็นแม่บ้านที่จ้างมาทำงานนั่นเอง ค่อยยังชั่วที่มีคนอื่นมาอยู่ด้วย และเธอเองก็คงจะรีบทานรีบกลับ
“ไอ้พวกหน้าบ้านล่ะ” รัญรัมภาวางถาดกาแฟลงแล้วถามแม่บ้านที่กำลังแกะเนื้อไก่ต้มคลุกกับข้าวให้กอหญ้า
“ให้ซี่โครงไก่ทอดคลุกข้าวไปแล้วค่ะ ว่าจะมาเอาน้ำไปเติมให้ ไม่รู้ถังรั่วหรือเปล่า แห้งขอดเลย” แม่บ้านคลุกข้าวไปคุยไป
“ก็เอาถังใหม่ไปเปลี่ยนสิ ที่หลังบ้านมีตั้งหลายใบ” รัญรัมภาบอกพลางมองกอหญ้าที่เริ่มกินข้าวคลุกไก่ต้ม โดยไม่สนใจอาหารเม็ดสักนิด
“ค่ะ คุณหมอ เดี๋ยวหนูเอาน้ำไปให้หมาก่อนนะคะ” แม่บ้านล้างมือลวก ๆ แล้วเดินอ้อมไปหลังบ้าน
อาหารเช้ามื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครที่บ้านยายสายออกมาให้จรัสตะวันต้องระวังตัว แม่บ้านเอาถังน้ำใหม่ไปให้หมาแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเจ้านายจะทานอาหารเช้ากับใคร เธอก็เข้าไปทำงานในบ้านตามปกติ
บางทีคนเราก็หวาดระแวงเพราะคิดไปเองมากไป ใครเล่าจะมาสนใจคนอื่นตลอดเวลา ต่างคนต่างก็มีปัญหามีเรื่องราวในชีวิตของตัวเองที่ต้องสนใจมากพออยู่แล้ว จรัสตะวันจึงทานอาหารเช้าได้สบายใจขึ้นเมื่อไม่มีใครมารบกวน มันฝรั่งสอดไส้ชีสรสชาติแค่พอทานได้เพราะใช้แต่ของสำเร็จรูป แต่รัญรัมภากลับบอกว่ามันอร่อยกว่าที่เธอเคยกินในร้านอาหารฝรั่งด้วยซ้ำ
“ครูเก่งจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เคยเรียนทำอาหาร” รัญรัมภาเอ่ยชมไม่ขาดปาก แม้อาหารจะหมดไปแล้ว
“ไม่เก่งหรอกค่ะ แต่สถานการณ์บังคับให้ต้องทำให้เป็นมากกว่า” จรัสตะวันยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ มองกอหญ้าที่ไล่งับผีเสื้อหลายตัวที่บินมาหาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ที่ปลูกไว้ในกระถาง
“สถานการณ์ความเป็นครูเหรอคะ”
รัญรัมภาถามซื่อ ๆ เพราะรู้สึกว่าส่วนใหญ่คนเป็นครูจะทำได้ทุกอย่าง อย่างครูจรัสทั้งปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมา ทำอาหาร ติดตามความประพฤติลูกศิษย์ ชีวิตหมอว่าวุ่นวายแล้วแต่ดูเหมือนคนเป็นครูจะดูยุ่งยากกว่า
“ไม่ใช่หรอกค่ะ พอดีตอนเรียนมัธยมครูในโรงเรียนท่านหนึ่งเมตตาให้ฉันไปอยู่ด้วย ก็ต้องช่วยครูดูแลบ้าน พอครูมีงานมากขึ้นฉันก็เลยหัดทำอาหารเพื่อแบ่งเบาภาระครูนะค่ะ”
จรัสตะวันเล่าช้า ๆ น้ำเสียงปกติ เธอเลือกเล่าให้ดูดี ทั้งที่จริงตอนไปอยู่กับครูท่านนั้นเธอไม่ต่างจากคนรับใช้ งานในบ้านทุกอย่างเธอต้องทำทั้งหมด ทั้งทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้าของทั้งครู สามีครูและลูกของครู ทำอาหารเช้าและเย็นสำหรับทุกคนในบ้าน แลกกับการที่เธอจะได้เรียนหนังสือและอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ต้องเร่ร่อนตามแม่กับน้องสาวไปเรื่อย ๆ
การที่เธอเล่าในแง่ดี ไม่ใช่เพราะความอายในอดีตของตัวเอง แต่ระลึกเสมอว่าอย่างน้อยครูท่านนั้นก็เป็นผู้มีพระคุณทำให้เธอรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้จนได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่เคยลืมพระคุณ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอทำให้ก็ถือว่าได้ตอบแทนพระคุณไปแล้วระดับหนึ่ง
“ มิน่า ครูถึงทำเป็นทุกอย่าง หมอทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลย ได้แต่อ่านตำรากับผ่าตัด”
รัญรัมภามองหน้าครูจรัสไปเรื่อย ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะจากอาหารเย็นมื้อนั้นจนมาถึงอาหารเช้ามื้อนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีความเป็นบ้านขึ้นมา
“ก็ไม่ได้ทำเป็นทุกอย่างหรอกค่ะ จะให้ฉันไปผ่าตัดรักษาคนไข้เหมือนหมอก็ทำไม่ได้แน่นอน” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ และยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
กอหญ้าเริ่มหมดแรงจากการวิ่งไล่งับผีเสื้อ จึงเดินซึม ๆ ไปล้มตัวลงนอนที่มุมกระถางต้นไม้ซึ่งขุดดินเป็นหลุมไว้นอนในยามอากาศร้อน ทีแรกรัญรัมภาก็พยายามจะกลบ มันก็ขุดใหม่จนกลายเป็นว่าพอใจจะขุดตรงไหน นอนตรงไหนก็ตามสบายเลย เธอตามกลบไม่ไหวแล้ว
พอกอหญ้าหลับ จรัสตะวันก็ไม่รู้จะมองอะไร จึงดื่มกาแฟในแก้วให้หมดและคิดว่าน่าจะกลับได้แล้ว
“รบกวนคุณหมอมานานแล้ว ฉันคงต้องขอกลัวกลับแล้วนะคะ” จรัสตะวันพูดหลังจากที่วางแก้วลง
รัญรัมภาอยากรั้งไว้ให้ครูอยู่ต่อ นานแล้วที่ไม่มีใครทานอาหารเช้าที่บ้านในวันหยุดกับเธอ วันธรรมดาที่ไปทำงานเธออาจจะไปทานกับป้ามลที่ตลาดหรือทานในโรงพยาบาลเพื่อนหมอพยาบาลบางคนบ้าง แต่เสาร์อาทิตย์นั้นถ้าอยู่บ้านเธอต้องทานคนเดียวมาตลอดสามปี เพราะบ้านหลังนี้ไม่เคยมีใครได้เข้ามาและอยู่นานไปกว่าแค่เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เสียดายจัง ครูจะกลับซะแล้ว” รัญรัมภาพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ
“พอดีฉันมีงานต้องทำด้วยค่ะ” จรัสตะวันพยายามรักษาน้ำใจให้ไม่น่าเกลียดโดยการอ้างงาน
“ค่ะ ต้องขอบคุณครูมากที่มาทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน หมอนี่แย่จัง เชิญครูมากลับมาให้ครูทำให้กินซะนี่”
รัญรัมภายิ้มเก้อ ๆ แล้วก็นึกบางอย่างได้
“ครูเอารถมาหรือเปล่าคะ”
จรัสตะวันชะงักเมื่อได้ยินคำถามนั้น เมื่อเช้าเธอมากับรถพ่อของเภตรา เขาคงลืมตัวว่าครูมาด้วยประกอบกับหมอก็เรียกไว้เชิญให้มาทานอาหารเช้าด้วยกัน หลังจากนั้นก็ติดลมเรื่อยมาจนลืมว่าเธอไม่ได้ขับรถมาเอง
“จริงสิคะ เมื่อเช้าฉันมากับพ่อเภตรา แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเดินไปรอรถสองแถวหน้าโรงพยาบาลก็ได้”
“ได้ยังไง หมอทำให้ครูไม่มีรถกลับ เดี๋ยวหมอไปส่ง รอเดี๋ยวเดียวนะ ขอหมออาบน้ำก่อน”
รัญรัมภารู้สึกลิงโลดในใจขึ้นมา ทุกอย่างเป็นใจให้เธออย่างคาดไม่ถึง เธอจึงรีบกลับเข้าบ้านก่อนที่จรัสตะวันจะทันปฏิเสธอีกครั้ง กอหญ้ายังหลับที่หลุมดินข้างกระถาง ไม่รู้บ้างเลยว่าเจ้านายดีใจแค่ไหน
เธอเข้าไปบอกแม่บ้านให้มาเก็บจานและแก้วไปล้าง แล้ววิ่งขึ้นไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว
แม่บ้านมาเก็บจานและแก้วน้ำ เธอมีมารยาทที่จะไม่ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ นอกจากถามว่าจะรับน้ำเปล่าอีกไหม จรัสตะวันปฏิเสธและถือโอกาสเดินไปดูดอกไม้ต้นไม้รอ กอหญ้าผงกหัวขึ้นมาดูนิดหนึ่งแล้วหลับต่อ
อะไรหนอที่ดลบันดาลเหตุการณ์ให้กลายมาเป็นแบบนี้ เมื่อเช้าเธอมาเพื่อแก้ปัญหาของลูกศิษย์อยู่ดี ๆ แต่ตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในบ้านของหมอรัญรัมภา หมอทีเธอเคยได้ยินชื่อและรับรู้เรื่องราวบางอย่างที่เป็นสาเหตุให้เธอได้ย้ายกลับมาสอนที่บ้านเกิดนี้ก่อนที่จะรู้จักตัวจริงด้วยซ้ำ
“จริง ๆ ครูพัดชาเขาก็ไม่อยากย้ายหรอกนะ แต่ว่าแฟนบังคับให้ย้าย วิ่งหาตำแหน่งให้เลยนะ”
ครูคนหนึ่งมาเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับครูคนเก่าที่ขอย้ายไป ความจริงเธอไม่สนใจนักแต่ตอบรับตามมารยาทเท่านั้น
“เหรอคะ”
“ก็จะอยู่ได้ไง ในเมื่อถ่านไฟเก่ายังอยู่ที่นี่ หมอรัญที่โรงพยาบาลไง เขารักครูพัดชาจะตาย”
“ค่ะ” จรัสตะวันตอบสั้น ๆ เธอไม่ได้ต้องการรู้เรื่องความรักของใคร แต่เหมือนครูคนนั้นอยากเล่ามากกว่า
“ก็ว่าไปแล้วหมอรัญมีภาษีดีกว่าแฟนใหม่ครูพัดชาเยอะเลยล่ะ นามสกุลเดียวกับเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนใหม่ที่เปิดในจังหวัดเลยนะ”
“แล้วทำไมเขาไม่แต่งงานกับครูพัดชาล่ะคะ” เธอถามไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะอยากรู้จริงจัง
“จะแต่งได้ไงคะ หมอรัญเขาเป็นผู้หญิง” ครูคนนั้นพูดแล้วก็หัวเราะคิกคักเหมือนได้เล่าในสิ่งที่อยากเล่าจริง ๆ แล้ว
“เหรอคะ” จรัสตะวันก็พูดแค่นั้น
พอได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดแล้วครูคนนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไป เธอได้รู้จักหมอรัญเพียงเท่านั้นก็จินตนาการถึงหมอที่มีบุคลิกแบบเจมส์มากกว่าที่จะพบว่าตัวจริงนั้นเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยคนหนึ่งทีเดียว ยกเว้นท่าทางมั่นใจในตัวเองและดูคล่องแคล่วเท่านั้นที่ทำให้ความเป็นผู้หญิงดูลดไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ดูเป็นผู้หญิงห้าว ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“เรียบร้อยแล้วครู ไปกันได้แล้ว”
รัญรัมภากลับออกมาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบาย ๆ เหมือนเด็กวัยรุ่นที่พึ่งเรียนจบใหม่ ๆ มากกว่าคุณหมอผ่าตัดฝีมือดี ผิดกับจรัสตะวันแม้วันหยุดเธอก็ยังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่รักษาภาพลักษณ์เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวฉันเปิดประตูรั้วให้นะคะ” จรัสตะวันรู้สึกแปลก ๆ กับการแต่งตัวของหมอแต่ก็ไม่กล้ามองนาน พอได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว กอหญ้าก็หูผึ่งลืมตาตื่นทันที สิ่งที่หมอสอนมันยังจำได้ฝังใจจึงลุกจะวิ่งไปที่ชิงช้าเพื่อหาที่ปลอดภัยจากการถูกรถเหยียบ
“กอหญ้าไปส่งครูจรัสกัน” รัญรัมภาร้องเรียกมันที่ยังทำหน้างงว่าหมายความอะไร
“มานี่ วันนี้เราจะไปส่งครูจรัส มา” รัญรัมภาร้องเรียกอีกครั้งวันก็วิ่งหูตั้งไปที่รถทันที มันรู้ดีว่าถ้าออกไปข้างนอกและได้ไปด้วยที่นั่งข้างคนขับคือที่นั่งของมัน แต่วันนี้รัญรัมภากลับเปิดประตูทางเบาะหลัง
“วันนี้นั่งเบาะหลังนะ และจำไว้ถ้ามีครูจรัสมานั่งรถหมอ แกต้องนั่งหลัง” เธอพูดและอุ้มมันขึ้นเบาะหลัง มันจะฟังรู้หรือไม่ จะเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ยอมอยู่ที่เบาะหลังแต่โดยดี
จรัสตะวันรอจนรัญรัมภาเคลื่อนรถออกมาพ้นประตูบ้าน เลื่อนประตูปิดแล้วจึงเปิดขึ้นมานั่งคู่กับคนขับ
“กอหญ้าไปด้วยเหรอ” เธอหันไปทักกอหญ้า มันทำเสียงอื๊ดอ๊าด ๆ ในลำคอด้วยความดีใจ
ถนนสายเดิมที่เคยสัญจรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมันช่างสดใสในวันนี้ แดดสายไม่ร้อนเกินไป ฝูงยามเฝ้าหมู่บ้านวิ่งตามมาส่ง กอหญ้าเห่าทักทายพวกพี่ ๆ ของมันเหมือนจะบอกว่ามันได้ไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับมา
บทสนทนาระหว่างทางเป็นเรื่องทั่วไป เรื่องนักเรียน เรื่องชาวบ้าน เรื่องชุมชน ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่ยังเป็นปัญหาสังคม มันไม่มีเรื่องน่าอภิรมย์ใจสักนิดแต่รัญรัมภากลับรู้สึกว่าอยากคุยกับครูจรัสแบบนี้ไปนาน ๆ อยากให้ถนนสายกลับบ้านครูจรัสไกลออกไปอีกเรื่อย ๆ จะให้เธอได้คุยกับครูจรัสแบบนี้ตลอดชีวิตก็ได้