web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 136
Total: 136

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 8  (อ่าน 2355 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 8
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:33:14 »
ตอนที่ 8
   เข้ามาในบ้านแล้วจรัสตะวันก็วางตัวไม่ถูก เลยอุ้มกอหญ้าไว้ไม่ยอมวางจนมันดิ้นขอลงเอง
   “ปล่อยกอหญ้าได้แล้วครู มันชอบวิ่งเล่นที่สนามมากกว่า ปกติมันเข้าบ้านแค่ตอนจะค่ำ ๆ จะนอนนู่นแหละ”
   รัญรัมภาคิดว่าจรัสตะวันอยากอุ้มกอหญ้าไว้เล่น แต่กอหญ้าเป็นหมาไทยพันทาง มันชอบอยู่อย่างอิสระ ไม่ใช่หมาพันธุ์ราคาแพงที่ต้องดูแลระมัดระวังอย่างดี 
   “เหรอคะ นึกว่าชอบอยู่ในบ้านเสียอีก” จรัสตะวันหาคำพูดมาคุยด้วยไม่ถูก พอวางกอหญ้าลงมันก็วิ่งออกประตูไปหน้าบ้านทันที มองตามไปก็เห็นหมาใหญ่สามสี่ตัวมานอนพิงรั้วรับแดดยามเช้าอยู่
   “มันคงชินกับการอยู่ข้างนอกมากกว่า เพราะว่ากลางวันหมอไปทำงานมันก็อยู่นอกบ้านทั้งวัน” จรัสตะวันมองตามกอหญ้า โดยไม่รู้ตัวว่าอีกคนกลับมองแต่ใบหน้าเธอ
   “คุณหมออยู่คนเดียวเหรอคะ” จรัสตะวันถามไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองที่เสียมารยาทถามแบบนั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปที่จะต้องรู้ว่าหมออยู่กับใคร
   “อยู่คนเดียวสิ หมออยู่คนเดียวมาตลอดแหละ” รัญรัมภาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำถามนั้น จรัสตะวันเผลอมองไปรอบห้องรับแขกที่ข้าวของประดับตกแต่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
   “แต่หมอจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด ซักเสื้อผ้าแบบเช้ามาเย็นกลับ เดี๋ยวสาย ๆ สักพักก็คงมา” รัญรัมภาเดาว่าจรัสตะวันต้องสงสัยว่าเธออยู่คนเดียวแล้วดูแลบ้านอย่างไร จึงอธิบายให้หายข้องใจเสียทีเดียว
   ห้องรับแขกนี้ต่างจากที่บ้านพักครูของจรัสตะวันอย่างสิ้นเชิง ทั้งตู้โชว์ ของประดับตกแต่ง และชุดเฟอร์นิเจอร์ถูกจัดวางราวกับฉากที่เห็นในละคร แล้วยังมีชุดให้ความบันเทิงครบชุดฝังไว้อย่างกลมกลืนกับผนังราวกับเป็นเครื่องประดับมากกว่าจะใช้เพื่อความบันเทิงจริง ๆ
   “ครูนั่งรอก่อนนะคะ หมอขอไปเตรียมอาหารเช้าก่อน” รัญรัมภาเชิญจรัสตะวันให้นั่งลง เธอก็นั่งลงราวกับคนไข้ที่ทำตามคำสั่งหมอ
   ยังงงตัวเองว่าเข้ามาในบ้านนี้ได้อย่างไร เมื่อเช้าพ่อของเภตราไปหาเธอที่โรงเรียนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางดี เพราะหลังจากตื่นมาเตรียมขายกาแฟเหมือนทุกวันเรียบร้อยแล้วก็สงสัยที่ปกติเภตรามักจะตื่นมาอ่านหนังสือตอนเช้า แต่วันนี้ไม่มีแสงไฟจากห้องนอนลูกสาว พอเข้าไปดูจึงรู้ว่าลูกสาวหายไป ครั้งแรกก็ตกใจแต่เมื่อตั้งสติพิจารณาหลายอย่างก็รู้สึกว่าน่าจะออกจากบ้านไปเอง เพราะชุดนอนถูกเปลี่ยนวางไว้ โทรศัพท์มือถือเอาไปด้วยแต่ปิดเครื่อง และรองเท้าผ้าใบคู่ที่ใส่ประจำก็หายไปด้วย หากมีเหตุร้ายหรือใครเข้ามาลักพาตัวคงไม่มีเวลาใส่รองเท้าผ้าใบได้
   คิดถึงใครไม่ออกก็รีบมาหาครูจรัสตะวันเป็นคนแรก เธอโทรศัพท์ตามกับลูกศิษย์ที่คิดว่าน่าจะรู้เรื่องเภตราจนสามารถพามาถึงบ้านยายของเจมส์ได้ในเวลาไม่นาน ความจริงมันเป็นเรื่องที่เธอเดาตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าน่าจะเป็นแบบนี้ หลายวันก่อนมีเพื่อนคนหนึ่งของเภตรามาบอกว่าเภตราอาจจะไม่ได้ไปเรียนต่อคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างที่คาดหวัง อาจจะได้แค่เรียนวิทยาลัยพยาบาลในจังหวัดเท่านั้น เพราะพ่อไม่ต้องการให้ห่างไกลสายตาและยังห้ามไม่ให้คบหากับเจมส์ด้วย
   คิดเรื่องลูกศิษย์ไปก็มองกอหญ้าที่ไปเล่นกับพี่หมาใหญ่ตรงประตูรั้วไปด้วย ความจริงประตัวรั้วก็มีช่องที่กอหญ้าน่าจะสามารถมุดออกไปได้ แต่มันก็ไม่มุดออกไป เหมือนที่ไปอยู่บ้านพักกับเธอ หากไม่เปิดประตูให้มันก็ไม่ออก หมาใหญ่บางตัวเริ่มรำคาญก็ลุกหนีไปนอนที่ใหม่ ตัวไหนยังอยากเล่นสนุกอยู่ก็ยื่นจมูก ยื่นขาหน้ามาเกาะรั้วหยอกล้อกัน แม้แต่หมายังมีขอบเขตกั้น แล้วนับประสาอะไรกับคนที่จะทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง บางครั้งเราก็ต้องยอมอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ไม่รู้ว่าใครกำหนดไว้
   กำลังจะคิดอะไรเลยเถิดไปไกล กลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยออกมาจากในครัว และไม่ถึงอึดใจก็แยกได้ว่าเป็นกลิ่นไหม้ของอะไรทอดสักอย่าง นั่งชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะเข้าไปดูดีหรือไม่ จะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้าหากเอาแต่นั่งรอก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะได้กินอาหารเช้าแบบฝรั่งไหม้ ๆ
   อาหารเช้าแบบฝรั่งง่าย ๆ เท่าที่เธอนึกได้ก็คงเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง ทำนองนี้ หรือคุณหมอจะมีฝีมือทำอย่างอื่นที่แปลกจากที่เธอคิด แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าเข้าไปดูหรือไม่เข้าไป รัญรัมภาก็ถือตะหลิวออกมายิ้มแหย ๆ แม้แต่ปลายตะหลิวก็ยังมีคราบไหม้ของอาหารติดมา
   “ครูช่วยมาทำไข่ดาวได้ไหม หมอไม่มั่นใจ”
   ถ้าไม่สุดวิสัยจริง ๆ รัญรัมภาคงไม่ออกมาขอความช่วยเหลืออย่างน่าอายนี้ เป็นเจ้าของบ้านแท้ ๆ เชิญแขกมาทานอาหารแต่สุดท้ายก็คิดว่าให้แขกที่มีฝีทำอาหารมาทำให้ดีกว่า เพราะไข่ไก่หลังจากที่ไหม้ไปแล้วก็เหลือเพียงสองฟอง โชคดีที่จำพวกแฮมและไส้กรอกเธอใช้วิธีอุ่นในไมโครเวฟแทน ขนมปังก็มีเครื่องปิ้ง กาแฟก็มีเครื่องชง ก็คงมีไข่ดาวอย่างเดียวที่เธอทำไม่ได้ ทั้งที่เตาไฟฟ้าที่ซื้อมาก็มีปุ่มปรับระดับความร้อนและภาพประกอบชัดเจนว่าไฟระดับไหนแรงแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถดาวไข่ให้สุกแต่ไม่ไหม้ได้
   “คะ” จรัสตะวันไม่ทันได้ฟังจริง ๆ ว่ารัญรัมภาพูดอะไร
   “พอดีหมอทำไข่ไหม้ไปแล้วมันเหลือแค่สองฟอง กลัวว่าถ้าหมอทำอีกมันจะกินไม่ได้ ครูช่วยมาทำได้ไหม”
   พอได้ยินชัด ๆ จรัสตะวันก็ต้องกลั้นหัวเราะไว้ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เก่งถึงขั้นเรียนหมอได้จะทำไข่ดาวไม่เป็น
   “ค่ะ ได้ค่ะ” จรัสตะวันลุกเดินตามเข้าในครัว


   ห้องครัวนั้นมันก็ต่างจากครัวบ้านพักของเธอเหมือนกัน ชุดเครื่องครัวและโต๊ะวางอาหารไม่ต่างจากที่เห็นในหนังสือตกแต่งบ้าน แต่ตอนนี้จานเซรามิคสีขาวบนโต๊ะมีจานใส่แฮมและไส้กรอกวางอยู่หนึ่งจาน จานใส่ขนมปังที่ยังไม่ได้ปิ้งอีกหนึ่งจาน และจานใส่ไข่ดาวไหม้เกรียมอีกหนึ่งจาน ไข่สองฟองยังอยู่ในกล่องพลาสติกที่วางอยู่ข้าง ๆ
   จรัสตะวันมองอย่างทำใจกับเมนูอาหารเช้าแบบฝรั่งของหมอที่มีแต่เนื้อสัตว์กับไข่ ไม่มีผักเลยสักนิด เธอไม่ใช่เรื่องมากเรื่องอาหารการกิน มีอะไรก็กินได้ ถ้ารสชาติไม่ถูกใจก็ปรับปรุงเอา
   “หมอมีผักไหมคะ” เธออดไม่ได้ที่จะถามด้วยความที่ทำอาหารทานเองเสมอ
   “ผักเหรอ ไม่มีผักสดแต่มีพวกผักกระป๋อง ได้ไหม” รัญรัมภาเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาของที่จรัสตะวันถามหา
   ประตูตู้เย็นเปิดอ้าทำให้จรัสตะวันเห็นว่าในนั้นมีทั้งน้ำหวาน ห่อและซองอาหารกึ่งสำเร็จและปรุงสำเร็จอยู่เต็มไปหมด ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จะทำทั้งทีก็ลองดูเผื่อมีอะไรจะทำได้นอกจากไข่ดาวธรรมดานี้
   “ผักกระป๋องแบบนี้ได้ไหม” รัญรัมภาดึงกระป๋องอาหารออกมาสองกระป๋อง รูปข้างกระป๋องบอกให้รู้ว่าใบหนึ่งเป็นถั่วลันเตา อีกใบเป็นข้าวโพดเม็ด จรัสตะวันรับมาวางไว้ที่โต๊ะ สายตามองกลับไปที่ตู้เย็นที่ยังเปิดอยู่
   “นั่นใช่มันบดหรือเปล่าคะ” เธอมองที่ถ้วยพลาสติกสองสามใบซึ่งมีตรายี่ห้อร้านขายไก่ทอดจากต่างประเทศชื่อดังติดอยู่
   “ใช่ หมอชอบกินมันบด พึ่งฝากพยาบาลที่บ้านอยู่ในจังหวัดซื้อมาให้” รัญรัมภาหยิบถ้วยพลาสติกใส่มันบดออกมา
   “หมอมีชีสหรือเนยไหมคะ” จรัสตะวันเริ่มจะคิดเมนูบางอย่างได้
   “มีหลายอย่างเลย ครูมาดูเองดีกว่า หมอไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไปห้างก็หยิบ ๆ ซื้อ ๆ มาเวลากินกับขนมปังมันก็ง่ายดี”  รัญรัมภาถอยออกมาจากตู้เย็น ให้ครูจรัสไปสำรวจอาหารในนั้นแทน
   “ครูจะทำอะไร มีไข่แค่สองใบเองนะ” รัญรัมภายังกังวลใจกับไข่ที่เธอทำไหม้ไปจนเหลือแค่สองฟองสุดท้ายในบ้าน เธอไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำอาหารนอกจากที่มันสำเร็จมาแล้วอุ่นเอา
   “ทำมันฝรั่งสอดไส้ชีสค่ะ แป๊บเดียว มีของสำเร็จอยู่แล้ว” จรัสตะวันหยิบชีสและเนยสดออกมาจากตู้เย็น
   รัญรัมภายืนดูครูจรัสจับนั่นผสมนี่ใส่ซอสปรุงรสด้วยความตื่นใจ อาหารส่วนใหญ่ที่เธอซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้ก็มักจะกินง่าย ๆ ถั่วลันเตากับข้าวโพดนี้ก็ไว้เติมเวลาที่ซื้อสลัดที่จัดชุดมาแล้ว หรือไม่ก็ใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนผักสด ส่วนชีสกับเนยสดก็ไว้ทานกับขนมปังปิ้ง เธอก็ทำเป็นอยู่แค่นี้
   “เสียดายไม่มีเกร็ดขนมปัง” จรัสตะวันพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะคุยกับเธอ
   “หมอช่วยล้างกระทะทีสิคะ” เธอบอกในขณะที่หยิบถ้วยเล็กมาตอกไข่ลงไปและตีเบา ๆ
   “ครูไปเรียนทำอาหารมาจากไหน” รัญรัมภาถามในขณะที่กำลังล้างกระทะที่ทำไข่ดาวไหม้เมื่อสักครู่
   “ไม่ได้เรียนหรอกค่ะ ก็หัดทำตามตำราบ้าง ดูทีวีบ้าง” จรัสตะวันตอบเรื่อย ๆ ขณะที่ตีไข่และรอให้รัญรัมภาเช็ดกระทะให้แห้ง
   หลังจากนั้นรัญรัมภาก็ต้องถอยออกมาเป็นผู้ชมอีกครั้ง ทุกอย่างสำหรับครูจรัสมันช่างง่ายดาย ปั้นมันบดแล้วสอดไส้ชีส ถั่วลันเตา ข้าวโพดและยังหั่นแฮมใส่ไปด้วยวางเป็นก้อน ๆ ไว้ ตั้งกระทะใส่น้ำมันดูระดับความร้อนของเตาสักครู่ก็นำมันบดที่ปั้นไว้มาชุบไข่ลงไปทอด ขนาดไม่มีเกร็ดขนมปัง ครูจรัสก็ยังสามารถทอดให้เป็นสีเหลืองทองน่าทานได้ รู้อย่างนี้ให้เข้ามาทำเสียตั้งแต่ทีแรกป่านนี้ก็คงได้อร่อยกันไปแล้ว
   “ครูเก่งจัง เดี๋ยวหมอเตรียมกาแฟก่อนนะ” รัญรัมภาเสียบปลั๊กเครื่องต้มกาแฟที่แค่ใส่ผงกาแฟบดและที่กรองลงไปในช่องทิ้งไว้ให้มันทำงาน ไม่นานก็จะได้กาแฟหอมกรุ่นออกมา
   ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป อาหารเช้าสองชุดและกาแฟสองแก้วเสร็จเกือบพร้อมกัน จรัสตะวันจัดวางอาหารในจานให้ดูน่าทานกว่าตอนที่ยังวางโปะ ๆ กันอย่างที่รัญรัมภาทำไว้
   “เอาน้ำส้มด้วยนะครู ไปนั่งทานกันที่ซุ้มหน้าบ้านดีกว่า” รัญรัมภาตาโตกับชุดอาหาร นานแล้วที่เธอไม่ได้ทานอาหารเช้าดี ๆ แบบนี้ แม้จะมีของสำเร็จในตู้เย็นเกือบครบก็ตาม
   ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอันอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง ในวัยที่ยังไม่เข้ามหาวิทยาลัย ทุกเช้าตื่นขึ้นมาเธอจะได้ทานอาหารเช้าพร้อมหน้าตากับพ่อแม่และพี่สาวพี่ชาย แม้แม่จะไม่ได้ลงมือทำอาหารเองแต่ก็สั่งแม่บ้านให้จัดอาหารของโปรดเธอเป็นหลักหรือเธออยากทานอะไรก็ไปสั่งไว้ได้ จนพี่สาวกับพี่ชายโวยวายว่าแม่ตามใจแต่เธอ พวกเขาขอแบ่งวันที่เป็นอาหารจานโปรดของเขาบ้าง
   ทุกอย่างเริ่มหายไปตอนที่เธอสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้และต้องไปอยู่หอพัก ระยะแรกที่กลับบ้านเสาร์อาทิตย์ชีวิตก็ยังปกติสุขดี จนพี่ ๆ เริ่มเข้ามาช่วยงานบริหารกิจการโรงพยาบาลและเริ่มมีการขยายสาขาไปต่างจังหวัด รวมทั้งที่จังหวัดนี้
   เธอเริ่มไม่มีเวลากลับบ้านในวันหยุด พ่อกับแม่ก็ต้องไปดูแลโรงพยาบาลที่เปิดใหม่อีกจังหวัด พี่สาวพี่ชายต้องไปอีกจังหวัด เพราะมีหลายหุ้นส่วนและครอบครัวเธอเป็นเพียงหุ้นส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ติดที่ว่าเป็นตระกูลใหญ่ นามสกุลมีหลายสาย ใคร ๆ จึงเหมารวมว่าครอบครัวเธอจะต้องร่ำรวยมาก
   หากความจริงทั้งพ่อแม่และพี่สาวพี่ชายก็ไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่งที่ต้องไปทำงานตามที่กรรมการผู้บริหารระดับสูงกว่ามอบหมายให้ดีที่สุด พอทำงานดีตำแหน่งหน้าที่ก็ดีขึ้น ค่าตอบแทนที่เป็นเงินเดือนนอกเหนือจากเงินปันผลก็มากขึ้นเท่านั้นเอง

การที่เธอมาซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยเงินสดก็เพราะพ่อแม่พี่สาวพี่ชายต่างช่วยสมทบเงินให้รวมกับเงินที่เคยไปรับงานนอกเวลาในโรงพยาบาลเอกชนตอนที่ยังอยู่กรุงเทพ ส่วนค่าตกแต่งก็ค่อย ๆ ทำ ทุกคนมาเห็นตอนที่มันเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงคิดว่าครอบครัวเธอต้องมีฐานะระดับมหาเศรษฐีทีเดียว
   บ่อยครั้งที่กลับบ้านแล้วพบว่าไม่มีใคร แต่มีรถยนต์รุ่นใหม่ป้ายแดงมาจอดอยู่แทน เธอโตพอที่จะเข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่าความสุขแบบครอบครัวหายไป การถามไถ่ทุกข์สุขกันยังมีเหมือนเดิมแต่เป็นผ่านทางโทรศัพท์ที่ต้องโทรไปในเวลาที่คิดว่าจะสะดวกรับ และสุดท้ายการกลับบ้านของแต่ละคนก็แทบจะเป็นแค่การเปลี่ยนกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วต้องรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
   ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงที่มากขึ้นก็ผกผันกับความเป็นครอบครัวที่ลดลงทุกวัน จนหากอยากพบกันต้องนัดนอกบ้านและนาน ๆ ครั้งจึงจะได้พร้อมหน้าพร้อมตา
   “ทานในบ้านก็ได้มั้งคะ” จรัสตะวันยังไม่ยกอาหารออกไป ในขณะที่รัญรัมภาวางแก้วกาแฟในถาดพร้อมโถครีมเทียมและน้ำตาลเรียบร้อย รวมทั้งน้ำส้มอีกสองแก้วเตรียมยกออกไป
   “อาหารอร่อยต้องคู่บรรยากาศดี ๆ สิ ไปที่ซุ้มหน้าบ้านดีกว่า จะได้เป็นเพื่อนกอหญ้าด้วย” รัญรัมภาไม่ฟังว่าน้ำเสียงครูจรัสนั้นแปลกไป แต่กลับยกถาดกาแฟและน้ำส้มนำไปก่อน
   จรัสตะวันไม่สามารถปฏิเสธได้  เธอจะไม่ลังเลใจหากซุ้มไม้เลื้อยหน้าบ้านนั้นไม่ติดกับบ้านยายสาย ที่มีหลานชื่อเจมส์ ซึ่งกำลังมีเรื่องราวคาราคาซังกับลูกศิษย์เธออยู่ และสิ่งสำคัญใคร ๆ ก็รู้ว่าหมอรัญเป็นอย่างไร เธอไม่อยากให้เจมส์หรือใคร ๆ เกิดความสงสัยในการกระทำของเธอ
   “ครู เร็ว ๆ สิคะ กอหญ้ามารอแล้ว”
   เสียงรัญรัมภาเรียกมาจากห้องรับแขก ทำให้จรัสตะวันต้องรีบยกจานอาหารทั้งสองจานตามไป มันคงไม่มีอะไรแค่การทานอาหารเช้าด้วยกันตามประสาคนรู้จัก
   “กอหญ้า พี่มีไก่ต้มมาฝาก”
   จรัสตะวันเดินออกมาพร้อมกับได้ยินเสียงนั้นที่หน้าบ้าน พอเห็นเจ้าของเสียงเธอก็เดาได้ว่าคงเป็นแม่บ้านที่จ้างมาทำงานนั่นเอง ค่อยยังชั่วที่มีคนอื่นมาอยู่ด้วย และเธอเองก็คงจะรีบทานรีบกลับ
   “ไอ้พวกหน้าบ้านล่ะ” รัญรัมภาวางถาดกาแฟลงแล้วถามแม่บ้านที่กำลังแกะเนื้อไก่ต้มคลุกกับข้าวให้กอหญ้า
   “ให้ซี่โครงไก่ทอดคลุกข้าวไปแล้วค่ะ ว่าจะมาเอาน้ำไปเติมให้ ไม่รู้ถังรั่วหรือเปล่า แห้งขอดเลย” แม่บ้านคลุกข้าวไปคุยไป
   “ก็เอาถังใหม่ไปเปลี่ยนสิ ที่หลังบ้านมีตั้งหลายใบ” รัญรัมภาบอกพลางมองกอหญ้าที่เริ่มกินข้าวคลุกไก่ต้ม โดยไม่สนใจอาหารเม็ดสักนิด
   “ค่ะ คุณหมอ เดี๋ยวหนูเอาน้ำไปให้หมาก่อนนะคะ” แม่บ้านล้างมือลวก ๆ แล้วเดินอ้อมไปหลังบ้าน
   อาหารเช้ามื้อนั้นผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครที่บ้านยายสายออกมาให้จรัสตะวันต้องระวังตัว แม่บ้านเอาถังน้ำใหม่ไปให้หมาแล้วก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเจ้านายจะทานอาหารเช้ากับใคร เธอก็เข้าไปทำงานในบ้านตามปกติ
   บางทีคนเราก็หวาดระแวงเพราะคิดไปเองมากไป ใครเล่าจะมาสนใจคนอื่นตลอดเวลา ต่างคนต่างก็มีปัญหามีเรื่องราวในชีวิตของตัวเองที่ต้องสนใจมากพออยู่แล้ว จรัสตะวันจึงทานอาหารเช้าได้สบายใจขึ้นเมื่อไม่มีใครมารบกวน   มันฝรั่งสอดไส้ชีสรสชาติแค่พอทานได้เพราะใช้แต่ของสำเร็จรูป แต่รัญรัมภากลับบอกว่ามันอร่อยกว่าที่เธอเคยกินในร้านอาหารฝรั่งด้วยซ้ำ
   “ครูเก่งจริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เคยเรียนทำอาหาร” รัญรัมภาเอ่ยชมไม่ขาดปาก แม้อาหารจะหมดไปแล้ว
   “ไม่เก่งหรอกค่ะ แต่สถานการณ์บังคับให้ต้องทำให้เป็นมากกว่า” จรัสตะวันยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ มองกอหญ้าที่ไล่งับผีเสื้อหลายตัวที่บินมาหาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ที่ปลูกไว้ในกระถาง
   “สถานการณ์ความเป็นครูเหรอคะ”
   รัญรัมภาถามซื่อ ๆ เพราะรู้สึกว่าส่วนใหญ่คนเป็นครูจะทำได้ทุกอย่าง อย่างครูจรัสทั้งปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เลี้ยงหมา ทำอาหาร ติดตามความประพฤติลูกศิษย์ ชีวิตหมอว่าวุ่นวายแล้วแต่ดูเหมือนคนเป็นครูจะดูยุ่งยากกว่า
   “ไม่ใช่หรอกค่ะ พอดีตอนเรียนมัธยมครูในโรงเรียนท่านหนึ่งเมตตาให้ฉันไปอยู่ด้วย ก็ต้องช่วยครูดูแลบ้าน พอครูมีงานมากขึ้นฉันก็เลยหัดทำอาหารเพื่อแบ่งเบาภาระครูนะค่ะ”
   จรัสตะวันเล่าช้า ๆ น้ำเสียงปกติ เธอเลือกเล่าให้ดูดี ทั้งที่จริงตอนไปอยู่กับครูท่านนั้นเธอไม่ต่างจากคนรับใช้ งานในบ้านทุกอย่างเธอต้องทำทั้งหมด ทั้งทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้าของทั้งครู สามีครูและลูกของครู ทำอาหารเช้าและเย็นสำหรับทุกคนในบ้าน แลกกับการที่เธอจะได้เรียนหนังสือและอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่ต้องเร่ร่อนตามแม่กับน้องสาวไปเรื่อย ๆ
   การที่เธอเล่าในแง่ดี ไม่ใช่เพราะความอายในอดีตของตัวเอง แต่ระลึกเสมอว่าอย่างน้อยครูท่านนั้นก็เป็นผู้มีพระคุณทำให้เธอรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้จนได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย เธอก็ไม่เคยลืมพระคุณ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เธอทำให้ก็ถือว่าได้ตอบแทนพระคุณไปแล้วระดับหนึ่ง
   “ มิน่า ครูถึงทำเป็นทุกอย่าง หมอทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลย ได้แต่อ่านตำรากับผ่าตัด”
   รัญรัมภามองหน้าครูจรัสไปเรื่อย ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะจากอาหารเย็นมื้อนั้นจนมาถึงอาหารเช้ามื้อนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีความเป็นบ้านขึ้นมา
   “ก็ไม่ได้ทำเป็นทุกอย่างหรอกค่ะ จะให้ฉันไปผ่าตัดรักษาคนไข้เหมือนหมอก็ทำไม่ได้แน่นอน” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ และยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
   กอหญ้าเริ่มหมดแรงจากการวิ่งไล่งับผีเสื้อ จึงเดินซึม ๆ ไปล้มตัวลงนอนที่มุมกระถางต้นไม้ซึ่งขุดดินเป็นหลุมไว้นอนในยามอากาศร้อน ทีแรกรัญรัมภาก็พยายามจะกลบ มันก็ขุดใหม่จนกลายเป็นว่าพอใจจะขุดตรงไหน นอนตรงไหนก็ตามสบายเลย เธอตามกลบไม่ไหวแล้ว
   พอกอหญ้าหลับ จรัสตะวันก็ไม่รู้จะมองอะไร จึงดื่มกาแฟในแก้วให้หมดและคิดว่าน่าจะกลับได้แล้ว
   “รบกวนคุณหมอมานานแล้ว ฉันคงต้องขอกลัวกลับแล้วนะคะ” จรัสตะวันพูดหลังจากที่วางแก้วลง
   รัญรัมภาอยากรั้งไว้ให้ครูอยู่ต่อ นานแล้วที่ไม่มีใครทานอาหารเช้าที่บ้านในวันหยุดกับเธอ วันธรรมดาที่ไปทำงานเธออาจจะไปทานกับป้ามลที่ตลาดหรือทานในโรงพยาบาลเพื่อนหมอพยาบาลบางคนบ้าง แต่เสาร์อาทิตย์นั้นถ้าอยู่บ้านเธอต้องทานคนเดียวมาตลอดสามปี เพราะบ้านหลังนี้ไม่เคยมีใครได้เข้ามาและอยู่นานไปกว่าแค่เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
   “เสียดายจัง ครูจะกลับซะแล้ว” รัญรัมภาพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ
   “พอดีฉันมีงานต้องทำด้วยค่ะ” จรัสตะวันพยายามรักษาน้ำใจให้ไม่น่าเกลียดโดยการอ้างงาน
   “ค่ะ ต้องขอบคุณครูมากที่มาทำอาหารอร่อย ๆ ให้กิน หมอนี่แย่จัง เชิญครูมากลับมาให้ครูทำให้กินซะนี่”
   รัญรัมภายิ้มเก้อ ๆ แล้วก็นึกบางอย่างได้
   “ครูเอารถมาหรือเปล่าคะ”
   จรัสตะวันชะงักเมื่อได้ยินคำถามนั้น เมื่อเช้าเธอมากับรถพ่อของเภตรา เขาคงลืมตัวว่าครูมาด้วยประกอบกับหมอก็เรียกไว้เชิญให้มาทานอาหารเช้าด้วยกัน หลังจากนั้นก็ติดลมเรื่อยมาจนลืมว่าเธอไม่ได้ขับรถมาเอง
   “จริงสิคะ เมื่อเช้าฉันมากับพ่อเภตรา แต่ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเดินไปรอรถสองแถวหน้าโรงพยาบาลก็ได้”
   “ได้ยังไง หมอทำให้ครูไม่มีรถกลับ เดี๋ยวหมอไปส่ง รอเดี๋ยวเดียวนะ ขอหมออาบน้ำก่อน”
   รัญรัมภารู้สึกลิงโลดในใจขึ้นมา ทุกอย่างเป็นใจให้เธออย่างคาดไม่ถึง เธอจึงรีบกลับเข้าบ้านก่อนที่จรัสตะวันจะทันปฏิเสธอีกครั้ง กอหญ้ายังหลับที่หลุมดินข้างกระถาง ไม่รู้บ้างเลยว่าเจ้านายดีใจแค่ไหน
   เธอเข้าไปบอกแม่บ้านให้มาเก็บจานและแก้วไปล้าง แล้ววิ่งขึ้นไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว
   แม่บ้านมาเก็บจานและแก้วน้ำ เธอมีมารยาทที่จะไม่ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ นอกจากถามว่าจะรับน้ำเปล่าอีกไหม จรัสตะวันปฏิเสธและถือโอกาสเดินไปดูดอกไม้ต้นไม้รอ กอหญ้าผงกหัวขึ้นมาดูนิดหนึ่งแล้วหลับต่อ
   อะไรหนอที่ดลบันดาลเหตุการณ์ให้กลายมาเป็นแบบนี้ เมื่อเช้าเธอมาเพื่อแก้ปัญหาของลูกศิษย์อยู่ดี ๆ แต่ตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในบ้านของหมอรัญรัมภา หมอทีเธอเคยได้ยินชื่อและรับรู้เรื่องราวบางอย่างที่เป็นสาเหตุให้เธอได้ย้ายกลับมาสอนที่บ้านเกิดนี้ก่อนที่จะรู้จักตัวจริงด้วยซ้ำ
   “จริง ๆ ครูพัดชาเขาก็ไม่อยากย้ายหรอกนะ แต่ว่าแฟนบังคับให้ย้าย วิ่งหาตำแหน่งให้เลยนะ”
   ครูคนหนึ่งมาเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับครูคนเก่าที่ขอย้ายไป ความจริงเธอไม่สนใจนักแต่ตอบรับตามมารยาทเท่านั้น
   “เหรอคะ”
   “ก็จะอยู่ได้ไง ในเมื่อถ่านไฟเก่ายังอยู่ที่นี่ หมอรัญที่โรงพยาบาลไง เขารักครูพัดชาจะตาย”
   “ค่ะ” จรัสตะวันตอบสั้น ๆ เธอไม่ได้ต้องการรู้เรื่องความรักของใคร แต่เหมือนครูคนนั้นอยากเล่ามากกว่า
   “ก็ว่าไปแล้วหมอรัญมีภาษีดีกว่าแฟนใหม่ครูพัดชาเยอะเลยล่ะ นามสกุลเดียวกับเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนใหม่ที่เปิดในจังหวัดเลยนะ”
   “แล้วทำไมเขาไม่แต่งงานกับครูพัดชาล่ะคะ” เธอถามไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะอยากรู้จริงจัง
   “จะแต่งได้ไงคะ หมอรัญเขาเป็นผู้หญิง” ครูคนนั้นพูดแล้วก็หัวเราะคิกคักเหมือนได้เล่าในสิ่งที่อยากเล่าจริง ๆ แล้ว
   “เหรอคะ” จรัสตะวันก็พูดแค่นั้น
   พอได้พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดแล้วครูคนนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไป เธอได้รู้จักหมอรัญเพียงเท่านั้นก็จินตนาการถึงหมอที่มีบุคลิกแบบเจมส์มากกว่าที่จะพบว่าตัวจริงนั้นเป็นผู้หญิงที่จัดว่าสวยคนหนึ่งทีเดียว ยกเว้นท่าทางมั่นใจในตัวเองและดูคล่องแคล่วเท่านั้นที่ทำให้ความเป็นผู้หญิงดูลดไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ดูเป็นผู้หญิงห้าว ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
   “เรียบร้อยแล้วครู ไปกันได้แล้ว”
   รัญรัมภากลับออกมาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสบาย ๆ เหมือนเด็กวัยรุ่นที่พึ่งเรียนจบใหม่ ๆ มากกว่าคุณหมอผ่าตัดฝีมือดี ผิดกับจรัสตะวันแม้วันหยุดเธอก็ยังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่รักษาภาพลักษณ์เป็นอย่างดี
   “เดี๋ยวฉันเปิดประตูรั้วให้นะคะ” จรัสตะวันรู้สึกแปลก ๆ กับการแต่งตัวของหมอแต่ก็ไม่กล้ามองนาน พอได้ยินเสียงเปิดประตูรั้ว กอหญ้าก็หูผึ่งลืมตาตื่นทันที สิ่งที่หมอสอนมันยังจำได้ฝังใจจึงลุกจะวิ่งไปที่ชิงช้าเพื่อหาที่ปลอดภัยจากการถูกรถเหยียบ
   “กอหญ้าไปส่งครูจรัสกัน” รัญรัมภาร้องเรียกมันที่ยังทำหน้างงว่าหมายความอะไร
   “มานี่ วันนี้เราจะไปส่งครูจรัส มา” รัญรัมภาร้องเรียกอีกครั้งวันก็วิ่งหูตั้งไปที่รถทันที มันรู้ดีว่าถ้าออกไปข้างนอกและได้ไปด้วยที่นั่งข้างคนขับคือที่นั่งของมัน แต่วันนี้รัญรัมภากลับเปิดประตูทางเบาะหลัง
   “วันนี้นั่งเบาะหลังนะ และจำไว้ถ้ามีครูจรัสมานั่งรถหมอ แกต้องนั่งหลัง” เธอพูดและอุ้มมันขึ้นเบาะหลัง มันจะฟังรู้หรือไม่ จะเข้าใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ยอมอยู่ที่เบาะหลังแต่โดยดี
   จรัสตะวันรอจนรัญรัมภาเคลื่อนรถออกมาพ้นประตูบ้าน เลื่อนประตูปิดแล้วจึงเปิดขึ้นมานั่งคู่กับคนขับ
   “กอหญ้าไปด้วยเหรอ” เธอหันไปทักกอหญ้า มันทำเสียงอื๊ดอ๊าด ๆ ในลำคอด้วยความดีใจ
ถนนสายเดิมที่เคยสัญจรอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมันช่างสดใสในวันนี้ แดดสายไม่ร้อนเกินไป ฝูงยามเฝ้าหมู่บ้านวิ่งตามมาส่ง กอหญ้าเห่าทักทายพวกพี่ ๆ ของมันเหมือนจะบอกว่ามันได้ไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับมา
   บทสนทนาระหว่างทางเป็นเรื่องทั่วไป เรื่องนักเรียน เรื่องชาวบ้าน เรื่องชุมชน ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ ที่ยังเป็นปัญหาสังคม มันไม่มีเรื่องน่าอภิรมย์ใจสักนิดแต่รัญรัมภากลับรู้สึกว่าอยากคุยกับครูจรัสแบบนี้ไปนาน ๆ อยากให้ถนนสายกลับบ้านครูจรัสไกลออกไปอีกเรื่อย ๆ จะให้เธอได้คุยกับครูจรัสแบบนี้ตลอดชีวิตก็ได้






ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 8(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:34:30 »
ตอนที่ 8(ต่อ)

   ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน นาทีนี้มีความสุข นาทีต่อไปความทุกข์อาจจะรออยู่ก็ได้ แม้อยากจะให้ถนนสายนี้ทอดยาวแค่ไหนมันก็ต้องไปสิ้นสุดตามระยะทาง
   เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในโรงเรียนก็รู้สึกเงียบเหงาอย่างประหลาด อาจเพราะวันธรรมดาจะมีผู้คนมากมายในสถานที่นี้ มีเด็กนักเรียนที่กำลังอยู่ในวัยสดใส แต่พอวันเสาร์อาทิตย์แทบไม่มีใคร นอกจากยามหน้าประตู กับครูที่อยู่บ้านพักโรงเรียนไม่กี่คน มันจึงรู้สึกเหงามากกว่าปกติ
   บ้านพักครูหลังสุดท้ายเริ่มกลายเป็นที่รัญรัมภาอยากจะมาทุกวัน พอผ่านฝูงหมาประจำโรงเรียนกอหญ้าก็โผล่หน้าขึ้นมาเห่าอีกครั้ง แต่จะอยู่ในรถแต่โสตประสาทของหมาก็รับรู้คลื่นเสียงได้ละเอียดกว่าคน มันจึงลุกขึ้นวิ่งกระโจนตามรถมา
   “กอหญ้ารู้จักเขาไปทั่วเลยนะ”
   รัญรัมภาพูดอย่างเอ็นดู เบาะหลังเลอะเศษดินที่ติดมากับกอหญ้า หากเป็นเมื่อก่อนเธอจะต้องเอารถไปล้างทันทีแต่ปัจจุบันนี้เธอก็แค่เช็ด ๆ ปัด ๆ ทำความสะอาดเอง นาน ๆ จึงจะเอาไปให้ร้านล้างรถล้างให้ที
   “หมาในโรงเรียนมีแต่หมาใจดีค่ะ กอหญ้าเคยไปเล่นด้วย แปลกจังขนาดนี้มันยังจำกันได้”  จรัสตะวันพูดด้วยความทึ่งในสัญชาติญาณของสัตว์
   “ผิดกับคนนะ แค่ห่างกันไม่นานก็ลืมกันแล้ว” รัญรัมภาพูดต่อไปเรื่อยโดยไม่ได้คิดอะไร และไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าและแววตาของคนข้าง ๆ ที่สลดวูบไปก่อนที่ปรับให้กลับมาเป็นจรัสตะวันคนเดิม
   “ให้กอหญ้าเล่นกับพี่ ๆ เขาก่อนนะ หมออยากเดินลงไปดูนาหน่อย”
   พอรถจอดสนิมรัญรัมภาพูดขึ้นมาราวกับว่าสนิทสนมคุ้นเคยกับที่นี่ดี ทั้งที่มาไม่กี่ครั้ง เธอไม่รอฟังว่าจรัสตะวันจะพูดอะไร แต่เปิดประตูออกไปให้กอหญ้ากระโดดลงไปหาพี่ ๆ ที่วิ่งตามมารอรับ แล้วก็พากันวิ่งไปเล่นที่สนามหญ้าข้างบ่อปลา
   ยังไม่ทันจะเข้าบ้านรถอีกคันก็ขับตามเข้ามาจอด เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่คนแถวนี้ยังไม่มีใครใช้ จรัสตะวันยืนรอด้วยความแปลกใจ ในขณะที่รัญรัมภามองตามกอหญ้าด้วยความความเป็นห่วงว่าเล่นกันไปเล่นกันมาจะพากันตกบ่อปลา
   รถยนต์คันนั้นจอดสนิทและคนขับก็เปิดประตูลงมา
   “ครูพัดชา” จรัสตะวันพูดชื่อนั้นด้วยความแปลกใจ เธอเคยพบกับครูพัดชาแค่ครั้งเดียวที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตั้งแต่ตอนที่มารายงานตัวก่อนจะมาสอนที่นี่
   “สวัสดีค่ะครูจรัสตะวัน” พัดชาจำเธอได้เช่นกัน บุคลิกเฉย ๆ เชย ๆ แบบนี้ย่อมมีจุดเด่นให้เธอจำได้ไม่ยาก นับว่าเป็นบุคลิกที่แปลกตาสำหรับครูรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครยอมเชยกันแล้ว   
   เช่นเดียวกันกับที่จรัสตะวันก็จำเธอได้เพราะบุคลิกไม่เหมือนครูเอาเสียเลย โดยเฉพาะตอนนี้ที่อยู่ในชุดลำลอง  จรัสตะวันยังอยู่ในชุดกางเกงขายาวถึงข้อเท้ากับเสื้อกึ่งเชิ้ตกึ่งลำลอง แต่พัดชาอยู่ในชุดกระโปรงบานสั้นและเสื้อแขนกุดสีสดใส ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนในสายอาชีพเดียวกันและสอนวิชาเดียวกัน มันต่างกันลิบลับโดยเฉพาะตอนนี้ แต่การแต่งกายไม่ได้บ่งบอกใครเป็นคนอย่างไร ครูพัดชาก็ยังทำหน้าที่ครูที่ดีได้ไม่ต่างจากจรัสตะวัน
   แต่การมาครั้งนี้ของครูพัดชามาเพื่ออะไร ข้าวของในบ้านก็ขนไปหมดแล้ว หรืออยากกลับมาดูบรรยากาศเก่า ๆ ครูหลายคนเคยบอกว่าครูพัดชาไม่ชอบบรรยากาศบ้านนอกแบบนี้ เธอชอบแสงสีและความเจริญรุ่งเรือง
   “สวัสดีค่ะครูพัดชา” จรัสตะวันพูดเสียงดังพอสมควรทำให้รัญรัมภาหันมา
   “มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะถึงมาถึงที่นี่” จรัสตะวันเดินมาหา
   ยิ่งมาอยู่ใกล้กันยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจน ความแตกต่างนั้นมันอาจบอกได้ไม่ยากว่าใครดูสวยและมีเสน่ห์มากกว่ากัน แต่สำหรับรัญรัมภาที่ได้สัมผัสถึงอุปนิสัยใจคอของผู้หญิงทั้งคู่มา แม้อีกคนหนึ่งจะในเวลาไม่นาน เธอก็ตัดสินได้แล้วใครที่มีคุณค่าและเสน่ห์ที่แท้จริง
   “ไม่ได้มีธุระกับครูจรัสตะวันหรอกค่ะ พอดีฉันไปหารัญที่บ้านแล้วแม่บ้านบอกว่าพึ่งออกมากับครู”
   น้ำเสียงของพัดชากังวานใสน่าฟังและยังมีคำเรียกที่บ่งบอกว่าสนิทสนมกับรัญรัมภามากเพียงใด
   “คุณหมออยู่นั่นไงคะ งั้นก็ตามสบายนะคะ ฉันขอตัวก่อน” จรัสตะวันพูดและหันหน้าไปทางรัญรัมภาที่เดินตามกอหญ้าไปทางเล้าไก่ แล้วก็ขอตัวไขกุญแจรั้วเข้าบ้าน
   พัดชาไม่ได้เดินตามไป กลับใช้โทรศัพท์โทรเรียกรัญรัมภาไว้ แต่เสียงเรียกนั้นมันกลับดังแว่ว ๆ มาจากในรถ  จรัสตะวันเข้าบ้านไปแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดจึงไม่มีเด็กนักเรียนที่จะใช้ให้ไปตามหมอรัญได้ เธอไม่ชอบไปที่เล้าไก่ มันทั้งเหม็นขี้ไก่และเหม็นอับ ถ้าอยากคุยก็คงต้องเดินตามไป
   ยังไม่ทันจะออกเดินก็มีผู้ชายเดินสวนออกมาจากเล้าไก่ ชีวิน ผู้ชายอะไรหน้าตาก็ดี มาตามจีบผู้หญิงเชย ๆ อยู่ได้

   “อ้าว วินมาทำอะไรที่นี่” รัญรัมภาร้องทักชีวินก่อนทันทีที่เห็นหน้า
   “เราแวะมาดูไก่ให้ครูจรัส ดูระบบระบายอากาศ วันธรรมดาเราไม่ค่อยมีเวลา” ชีวินใช้หลังมือปาดเหงื่อที่ย้อยเข้าตา เสื้อยืดโปโลสีฟ้ามีหยากไย่ติดอยู่เต็มไปหมด
   “แล้วทำไมมอมออกมาอย่างนี้ล่ะ” รัญรัมภาสงสัย
   “ก็พอดีรื้อผ้าใบที่มันบังลมอยู่ แล้วมันตกลงมาใส่ ว่าจะไปขอสบู่ครูจรัส เออ แล้วรัญมาได้ไง ครูจรัสไม่อยู่นี่” ชีวินพึ่งนึกได้ว่าไม่น่าจะเจอรัญรัมภาที่นี่
   “อ๋อ เมื่อเช้ามีเรื่องลูกศิษย์ครูจรัสนิดหน่อย เผอิญอยู่ติดบ้านเรา เราเลยพาครูจรัสมาส่งแล้วก็พากอหญ้ามาวิ่งเล่นด้วย” รัญรัมภาตอบกลาง ๆ คงไม่ใช่การโกหก
   พอกลับมาเจอหน้าชีวิน ความลังเลเพราะคำว่าเพื่อนก็มารบกวนจิตใจอีกครั้ง แล้วยังพัดชาที่ไม่รู้ว่ามาทำไมอีก เมื่อเช้านี้ยังมีความสุขดี แต่ไม่กี่นาทีต่อมาความสุขก็หายไปอีกแล้ว
   “ตอนนี้เราคันมาก ขอไปล้างแขนล้างหน้าก่อนนะ” ชีวินเกาแขนจนเห็นรอยแดงเป็นทางตามรอยเกา
   รัญรัมภาพยักหน้าและเดินต่อไปยังเล้าไก่ กอหญ้าที่วิ่งนำมาหายไปแต่ยังเห็นหมาใหญ่ไว ๆ แถวแปลงผัก มันก็คงไปแถวนั้น
   เดินตามกอหญ้าและหมาตัวใหญ่ไปจนเลยแปลงผัก จึงเห็นว่าด้านหลังโรงเรียนถัดจากทุ่งนาไปไกลเท่าที่พอจะยังมองเห็นได้ชัดเป็นถนนตัดใหม่สายเลี่ยงเมืองสำหรับคนที่จะผ่านไปยังจังหวัดอื่นแต่ไม่อยากผ่านเข้าตัวเมือง แล้วเธอก็เห็นรอยทางเดินเล็ก ๆ หายไปหลังพุ่มป่า คงไปทางลงไปทุ่งนาอย่างที่เธออยากไป ไหน ๆ ก็มาแล้วและยังมีหมาเป็นเพื่อนอีกฝูง ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
   

   ความจริงเธอไม่ชอบการอยู่คนเดียวนัก แต่ตอนนี้เธออยากจะอยู่คนเดียวกับฝูงหมามากกว่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันสมควรหรือไม่ คุ้มไหมกับการแลกกับว่าเพื่อนกับชีวิน และที่สำคัญคือตัวครูจรัสเองที่ยังดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร แม้จะได้ยินใคร ๆ พูดว่าครูจรัสไม่ชอบความรักอย่างที่เธอเป็น แต่ก็ไม่เห็นแสดงความรังเกียจเมื่อได้อยู่ใกล้กัน
   เดินไปตามรอยทางเท้าเล็ก ๆ นั้นไม่นานก็ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ไปถึงทุ่งนา การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศโปร่งโล่งสบายทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวรู้สึกดีขึ้น
    กอหญ้าวิ่งตามพี่หมาใหญ่ไปตามคันนา หันกลับมามองเธอเป็นบางครั้ง มันคงรู้ว่าไปได้ถึงไหน พี่หมาใหญ่คงคุ้นเคยกับทุ่งนานี้ดี พวกมันวิ่งลัดเลาะตามคันนา เธอเดินตามมาจนถึงต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งจึงนั่งพักที่โคนต้นไม้ สายลมพัดมาเอื่อย ๆ เย็นสบาย ความคิดที่วุ่นวายราวกับได้สายลมและสีเขียวของต้นข้าวพาให้ความวุ่นวายค่อย ๆ มลายหายไปจนในที่สุดก็หยุดนิ่ง เธอนั่งพิงโคนต้นไม้มองหมาตัวเล็กกับตัวใหญ่วิ่งไล่กันกลางท้องนาด้วยความเพลิดเพลิน
   

   จรัสตะวันต้องต้อนรับแขกสองคนที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่รู้ว่ารัญรัมภาไปไหน เดินไปทางเล้าไก่แล้วก็เงียบหายไป ชีวินใช้สบู่ล้างแขนล้างหน้าแล้วก็ยังไม่หายคันมันกลับยิ่งบวมแดงเห่อขึ้นมา ในหยากไย่เล้าไก่อาจจะมีตัวริ้นตัวไรซ่อนอยู่ จรัสตะวันแนะนำให้ไปหาหมอดีกว่า เขาต้องรีบลากลับทั้งที่พึ่งคุยกับพัดชาได้แค่สองสามคำ รถจักรยานยนต์ที่ขับมาเขาขับเลยเลยไปจอดถึงเล้าไก่จึงต้องย้อนกลับไปเอา
   ไม่เห็นทั้งรัญรัมภาและฝูงหมา แต่ว่าอาการคันและผื่นแดงรุนแรงขึ้นทุกทีจนไม่มีเวลาจะตามหาต้องรีบพาตัวเองไปหาหมอก่อน
   จรัสตะวันไม่เชิญครูพัดชาเข้าบ้าน ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยเป็นบ้านของเธอ แต่ให้นั่งที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านแทน เธอเข้าไปเอาน้ำมาต้อนรับแขก ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แขกของเธอ แต่ตัวคนที่พัดชาต้องการพบกลับหายไปเฉย ๆ เธอก็เลยต้องทำหน้าที่ต้อนรับแทน แม้จะไม่รู้จักกันมากกว่าว่าเป็นคนที่มาแทนตำแหน่งกัน แต่คนอาชีพเดียวกันก็คุยกันได้ง่ายขึ้น
   “ครูพัดชารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันไปตามคุณหมอให้” จรัสตะวันนั่งคุยพอเป็นพิธีสองสามคำเป็นเรื่องงานทั่ว ๆไป แล้วก็อาสาไปตามรัญรัมภามาให้เพื่อพบแขกของตัวเอง
   “ไม่ต้องหรอกค่ะครูจรัส ฉันว่าจะกลับแล้วล่ะค่ะ” พัดชาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ
   “คุณหมอคงอยู่ที่เล้าไก่นี่เองค่ะ” จรัสตะวันทำท่าจะลุกไป
   “รัญเขาคงไม่อยากเจอฉัน ไม่งั้นเขาคงไม่เดินหนีไปแบบนี้”
   พัดชาต้องพยายามพูดน้ำเสียงปกติและกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยใจไว้ อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าขับรถมาตั้งสามสิบกว่ากิโลเมตร แต่คนที่อยากเจอกลับไม่ยอมแม้แต่จะมาทักทายสักคำ มิหนำซ้ำยังให้ครูจรัสตะวันที่คงรู้จักกันไม่นานเข้าบ้านไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ตอนที่คบกับเธอนั้นอย่างดีก็ได้แค่เข้าไปนั่งรอรัญรัมภาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งก็ไม่กี่ครั้ง
   เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างครูจรัสตะวันกับรัญรัมภาเป็นอย่างไร แต่อย่างไงก็คงไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเดียวกับที่เคยมีกับเธอ ครูจรัสตะวันทั้งเฉยและเชย ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่รัญรัมภาชอบ
   “บางทีคุณหมออาจจะไปตามลูกหมา คงไม่ทันเห็นว่าครูมา” จรัสตะวันพยายามพูดให้ครูพัดชารู้สึกดี ทั้งที่เธอก็เห็นว่ารัญรัมภาเจตนาเดินหนีไป
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า  ขอบคุณครูจรัสมากนะคะ” พัดชาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าและกระโปรงให้เข้าที่เข้าทาง และเดินอย่างสง่านำไปที่ประตูรั้ว จรัสตะวันเดินตามช้า ๆ พิจารณาทั้งรูปร่างและหน้าตาก็น่าที่หมอรัญรัมภาจะรักครูพัดชามาก รักมากก็ย่อมเจ็บมากเป็นธรรมดา หมอจึงอาจจะยังทำใจไม่ได้
   พัดชาขับรถออกไปแล้ว จรัสตะวันเปลี่ยนใจที่จะกลับเข้าบ้าน รัญรัมภาไปไหน หายไปทั้งคนทั้งหมาเล็กหมาใหญ่ คงไม่ไปอุดอู้อยู่ที่เล้าไก่ได้เป็นนานสองนานแบบนี้
   ทางเดินข้างบ้านพักเธอนั้นเป็นทางลัดไปทุ่งนา เธอลองเดาก่อนว่าถ้ารัญรัมภาไปจนถึงแปลงผักกับพวกหมาตัวใหญ่ พวกมันชอบไปวิ่งเล่นกันที่ท้องนา ก็คงพาให้คนตามไปด้วย เพราะรัญรัมภาบอกแล้วงว่าอยากลงไปดูท้องนา           จรัสตะวันเดินเลาะข้างบ้านไปด้านหลัง ทุกอย่างที่เธอคิดเป็นจริงตามนั้น ต้นข้าวสูงจนมองไม่เห็นตัวกอหญ้า เห็นแต่หมาตัวอื่นวิ่งวนกลับมาที่ต้นไม้ใหญ่ และก็ไม่ใช่ใครที่นั่งพิงโคนต้นไม้อยู่นั่น
   คุณหมอนะ เก่งแต่รักษาคนอื่น ทำไมแผลหัวใจตัวเองถึงรักษาไม่ได้ แล้วก็ไปนั่งซึมเศร้าเอากับต้นไม้ใบข้าว    จรัสตะวันคิดว่าปล่อยให้อยู่คนเดียวสักพักดีกว่า เธอยังไม่สนิทพอที่จะไปถามไถ่ปลอบใจและก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ

 :26: :26: :26:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.