web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 144
Total: 144

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 9  (อ่าน 2233 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 9
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:35:47 »
ตอนที่ 9
   จรัสตะวันเข้าบ้านไปอาบน้ำอาบท่าอีกครั้ง เมื่อเช้าเธอเพียงล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าลวก ๆ แล้วรีบไปกับพ่อของเภตรา พอมายืนหน้ากระจกสำรวจตัวเองอีกครั้งในชุดเสื้อผ้าก่อนที่จะอาบน้ำ ตามประสาผู้หญิงที่ย่อมมีความรักสวยรักงามเป็นธรรมดา อดคิดเปรียบเทียบตัวเองกับครูพัดชาไม่ได้ รายนั้นแต่งตัวราวกับเดินออกมาจากห้องเสื้อแฟชั่น แต่เธอนั้นเลือกเสื้อผ้าที่ใส่ได้หลายโอกาสและเรียบร้อยไว้ก่อน แต่ก็ช่างเถอะนะ เสื้อผ้ามันก็แค่หนึ่งในปัจจัยสี่ที่ใส่เพื่อปกปิดร่างกาย เธอจะใส่อย่างไรก็คงไม่มีใครสนใจ 
   อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดใส่อยู่บ้าน เสื้อยืด กางเกงขาสั้นสามส่วน แล้วก็กลับมาลงมาทำงานที่วางแผนว่าจะตื่นมาทำแต่เช้า เพื่อจะให้เสร็จภายในวันนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็จะได้ตรวจการบ้านเตรียมการสอนในวันจันทร์ จรัสตะวันไม่สามารถที่จะไปยืนอ่านแค่ที่มีในหนังสือให้ลูกศิษย์ฟังได้ วิชาวิทยาศาสตร์ยิ่งเป็นยาเบื่อสำหรับนักเรียนหลายคน เธอจึงต้องพยายามอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เป็นสามารถเข้าใจง่าย ๆ ให้ได้
   การเป็นครูหากมองดูการทำงานจริง ๆ แล้วนั้นมันไม่มีวันหยุดที่แท้จริง นอกเสียจากว่าเธอจะสอนไปวัน ๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของเธอ นั่งทำงานไปก็นึกห่วงรัญรัมภาอยู่บ้างที่ป่านนี้ยังไม่กลับมา คงยังรักครูพัดชาอยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่หลบหน้าหลบตาหนีไปอยู่กลางทุ่งนาแบบนั้น ความรักมันดีอย่างไร มีแต่ทำให้เสียใจ แต่ทำไมใคร ๆ จึงยังไขว่คว้าหาความรักกันนัก บางครั้งรักคนอื่นจนลืมรักตัวเองด้วยซ้ำ
   ทำงานอีกสักพักถ้ารัญรัมภาไม่กลับมาเธอจึงออกไปตาม หยุดความคิดไร้สาระแล้วหันมาสนใจงานเอกสารตรงหน้า เธอต้องหาหลักฐานการปฏิบัติงานมาใส่ในแต่ละตัวชี้วัด กิจกรรมทุกอย่างโรงเรียนก็ทำจริงทั้งนั้นแต่บางอย่างก็ไม่ได้ทำเอกสารหลักฐานไว้ เธอก็ต้องทำหลักฐานขึ้นมาใหม่ ทำงานเพลินจนลืมเวลาว่าจะไปตามหมอรัญ โชคดีที่โทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา   
    “ครู อีหนูมันไม่สบาย ฉันไม่รู้จะทำอย่างไง” เสียงสั่น ๆ ของหญิงมีอายุปลายสายทำให้จรัสตะวันต้องรีบใช้มืออีกข้างรีบปิดแฟ้มเอกสารไว้ก่อน
   “เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะยาย” จรัสตะวันถามด้วยความร้อนใจ
   “เป็นมาสองคืนแล้วค่ะ ตัวร้อนจี๋ให้กินยาแล้วตัวก็หายร้อนไปสักพัก หมดฤทธิ์ยาก็กลับมาเป็นอีก จะพาไปอนามัยมันก็ไม่ไป ครูมาพูดกับมันหน่อยสิคะ มันเชื่อใจครูคนเดียว” เสียงปลายสายสั่นทั้งด้วยความชราและความตกใจ
   “ค่ะยาย ครูจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ ยายเช็ดตัวให้เขาไว้เรื่อย ๆ นะ” จรัสตะวันพูดปกติเพื่อพยายามไม่ทำให้คนปลายสายตกใจไปมากกว่านี้ทั้งที่เป็นห่วงคนป่วยไม่น้อย
   “ค่ะ ๆ แค่นี้นะครู ฉันจะรีบกลับไปดูมัน”
   จรัสตะวันเดินตามทางเดินข้างบ้านเพื่อลงไปยังทุ่งนาไปยังบ้านของคนที่โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากเธอ พอถึงหลังบ้านเห็นรัญรัมภายังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็นึกได้ว่าลืมออกมาตาม รีบเดินตรงไปยังต้นไม้ต้นนั้นเพื่อบอกให้กลับบ้านไปก่อน เธอมีธุระสำคัญ เดินยังไม่ถึงครึ่งทางทั้งกอหญ้าและหมาตัวใหญ่ที่มานอนพักอยู่ใต้โคนต้นไม้เป็นเพื่อนหมอก็พากันวิ่งมารับด้วยความดีใจ
   “ทำไมไม่พาหมอกลับบ้าน” เธอพูดกับพวกมันแล้วรีบเดินตามไป
   จนถึงตัวคนที่นั่งพิงโคนต้นไม้อยู่จึงพบว่าที่รัญรัมภานั่งอยู่ท่าเดิมนั้นก็เพราะนั่งหลับ ขนาดเธอเดินเข้าไปใกล้จนเกือบถึงแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
   “คุณหมอ คุณหมอคะ คุณหมอ” เธอเรียกเบา ๆ แต่หมอก็ยังคงนั่งนิ่ง หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้ายามหลับสนิทนั้นเหมือนคนกำลังฝันดีด้วยซ้ำ
   “คุณหมอค่ะ คุณหมอรัญรัมภาคะ” จรัสตะวันเรียกชื่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น แต่รัญรัมภาก็ยังคงหลับสนิท
   ขืนเรียกกันอยู่แบบนี้พอดีคนที่เธอจะต้องไปช่วยชะเง้อหาร้อนใจแย่ จึงตัดสินใจแตะที่แขนเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น รัญรัมภาปัดมือนั้นออก และขยับตัวทำท่าจะหลับต่อ
   “คุณหมอคะ ตื่นคะ นี่ไม่ใช่ที่บ้านนะคะ” จรัสตะวันเรียกเสียงดังขึ้นและเปลี่ยนจากแค่แตะที่แขนเป็นจับเขย่า
   รัญรัมภาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ และหรี่ตากระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับให้ชินกับแสงแดดตอนสายที่แรงขึ้น พอปรับสายตาได้ก็มองไปรอบ ๆ เหมือนทบทวนว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
   “หมอเผลอหลับไปเหรอเนี่ย กี่โมงแล้วครู” รัญรัมภาตบท้ายทอยตัวเองเบา ๆ เพื่อกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัวเต็มที่
   “จะสิบโมงแล้วค่ะ คุณหมอกลับบ้านไปก่อนนะคะ พอดีฉันมีธุระกะทันหัน” จรัสตะวันรีบบอกทันที ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้นานมากไป
   “ครูจะไปไหน” รัญรัมภาถามไปอย่างนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ในขณะที่ลุกขึ้นยืนปัดเศษหญ้าที่ติดตามขากางเกง   
   “ไปเยี่ยมคนน่ะค่ะ เขาไม่สบาย” จรัสตะวันตอบโดยไม่ทันคิด
   “ไม่สบายอยู่โรงพยาบาลครูก็ไปกับหมอเลยสิ” รัญรัมภายังง่วนกับการเก็บดอกหญ้ามี่ปักติดกางเกงขณะที่คุยไปด้วย
   “เขาอยู่บ้านค่ะ ไม่ได้อยู่โรงพยาบาล คุณหมอกลับไปก่อนนะคะ ฉันต้องรีบไป ขอโทษนะคะที่ไม่ไปส่ง” จรัสตะวันรีบพูดรวบรัด
   “ไม่สบายทำไมไม่ไปหาหมอ” รัญรัมภาเลิกสนใจดอกหญ้าที่ยังติดอยู่ตามขากางเกงอีกหลายจุด แต่หันมาสนใจจรัสตะวันแทน
   “คือเขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ หมอกลับเถอะคะ ฉันจะรีบไปเยี่ยมเขา” จรัสตะวันมัวแต่คิดจะให้หมอกลับบ้านจนลืมไปว่าคำพูดของเธอนั้นขัดแย้งกันเองจนทำให้รัญรัมภาสงสัย
   “เขาไม่เป็นอะไรมาก แต่ครูจะต้องรีบไปเยี่ยมนี่นะ” รัญรัมภาจับอาการคนได้ไม่ยาก เมื่อตั้งใจมองจรัสตะวันก็เห็นอาการร้อนรนอยู่ในที
   “เขาไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ ค่ะ แต่พอดีว่าฉันจะรีบไปเยี่ยมแล้วรีบกลับมาทำงาน”
   รัญรัมภามองจรัสตะวันที่พูดออกมาโดยไม่สายตาส่อแววพิรุธบางอย่าง
   “ครูรู้ตัวไหมว่าโกหกไม่เนียนเลย ครูจะไปเยี่ยมใคร เขาเป็นอะไร” รัญรัมภาพูดตามสิ่งที่ปฏิบัติจนเป็นนิสัยที่ไม่เอาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาเป็นเรื่องเล่น ๆ
   “เขา...ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ธรรมดานี่แหละค่ะ ฉันแค่จะไปหายาให้เขากิน” จรัสตะวันพยายามพูดให้ดูเหมือนปกติ
   “มีคนไข้แต่ไม่ให้หมอไปด้วย ทั้งที่มีหมออยู่ตรงนี้ ครูคิดว่าครูรักษาคนไข้ได้ดีกว่าหมอเหรอ ครูคิดว่าครูวินิจฉัยอาการได้ถูกต้องแน่นอนแล้วเหรอว่าแค่ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ธรรมดา ถ้าใครก็รักษาโรคได้ง่าย ๆ ก็ไม่ต้องมีหมอสิ”
   จรัสตะวันเป็นครูตลอดเวลา รัญรัมภาก็เป็นหมอตลอดเวลาเหมือนกัน จรัสตะวันอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเมื่อได้ฟังน้ำเสียงจริงจังและการพูดตามหลักความจริงของคนเป็นหมอ เธอไม่มีทางจะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอแน่นอน
   “ให้หมอไปด้วยดีกว่า ถ้ารู้ว่ามีคนไข้แล้วหมอไม่ไปรักษามันก็ผิดจรรยาบรรณ และหมอเองก็คงรู้สึกผิดด้วย”    น้ำเสียงของรัญรัมภาขณะนี้ไม่ใช่รัญรัมภาคนที่ทานอาหารเช้ากับเธอ แต่เป็นรัญรัมภาที่มีความเป็นหมออยู่ในตัวเองเต็มเปี่ยม จนจรัสตะวันไม่กล้าที่จะปฏิเสธหรือหาข้ออ้างที่จะไม่ให้หมอไปด้วย
   “ไปก็ไปค่ะ แต่ต้องเดินไปนะคะ บ้านเขาอยู่ข้ามถนนข้างหน้าไปนี่แหละค่ะ” เธฮยอมจำนนตามความจริงที่ควรทำแต่น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความไม่สบอารมณ์บางอย่าง ออกเดินนำไปตามคันนาเล็ก ๆ โดยมีหมาตัวใหญ่กับตัวเล็กวิ่งนำหน้า
   “กลับบ้านได้แล้ว” เมื่อใกล้จะถึงถนน จรัสตะวันก็ร้องบอกฝูงหมาที่วิ่งนำหน้าไปหยุดอยู่ตรงทางที่ขุดเป็นขยักคล้ายบันไดสำหรับเดินขึ้นไปถนนที่ถมสูงกว่าทุ่งนา
   “แล้วกอหญ้าล่ะทำอย่างไง” รัญรัมภาพึ่งได้โอกาสพูดด้วยอีกครั้ง เพราะตั้งแต่เดินมาจรัสตะวันก็จ้ำเอา ๆ ด้วยความชำนาญการเดินบนทางแคบ ๆ นี้ รัญรัมภาเดินไม่ค่อยถนัดนักแต่ก็พยายามเดินให้เร็วเพื่อตามให้ทัน
   “เขาก็กลับไปด้วยกันแหละ เขาเคยมา พวกนี้ไม่กล้าข้ามถนนหรอกค่ะ เคยโดนรถชน” ไม่รู้ว่าน้ำเสียงห้วนสั้นนั้นเกิดจากความเหนื่อยจากเดินเร็ว ๆ หรือความขุ่นเคืองในใจที่รัญรัมภาจับความรู้สึกนี้ได้โดยอัตโนมัติ
   “ไป กลับได้แล้ว พาน้องไปกินข้าว จะตามมาทำไมไม่รู้” จรัสตะวันดุหมาอีกครั้งเมื่อพวกมันยังไม่วิ่งกลับไป พอใช้เสียงดังหมาตัวใหญ่สุดก็ออกวิ่งนำตัวอื่นกลับไปยังทางที่เดินมา รวมทั้งกอหญ้าที่ทำท่าพะวักพะวงอยู่รั้งท้าย
   “ตามพี่ ๆ ไปนะกอหญ้า เดี๋ยวครูกลับ” จรัสตะวันร้องบอกเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น รัญรัมภามองตามกอหญ้าที่ออกวิ่งเต็มที่ทันที่ที่ได้ยินจรัสตะวันบอก มาอยู่ด้วยแค่สองสามวันกอหญ้าคุยกับครูจรัสรู้เรื่องมากกว่าเธอเสียอีก
   จรัสตะวันเดินไปยังทางที่ขยักเป็นขั้นให้เดินขึ้นไปบนถนนได้สะดวก แดดสายร้อนมากขึ้นทุกที แถมยังไม่มีอุปกรณ์ป้องกันความร้อนใด ๆ เหงื่อเปียกโชกไปทั้งตัวรัญรัมภา แสงจ้าจนเห็นเป็นพรายน้ำบนถนนลาดยางที่พึ่งสร้างเสร็จไม่นาน แถมกลิ่นยางมะตอยเมื่อโดนความร้อนยังระเหยขึ้นมาจนแสบจมูก แต่จรัสตะวันกลับเดินข้ามถนนไปเหมือนไม่เหนื่อยไม่ร้อนและไม่สนใจคนข้างหลังว่าจะเป็นอย่างไร ถึงหมอจะทำงานหนักแค่ไหนก็ยังอยู่แค่ในโรงพยาบาล มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เดินไปเดินมาเหนื่อยก็นั่งพักหรือหากออกตรวจในชุมชนก็อยู่กับที่ ไม่ใช่มาเดินตากแดดโทง ๆ กลางทุ่งนาแบบนี้ ในเมื่อครูจรัสทนได้ เธอก็ต้องทนได้เหมือนกัน จะเดินถึงไหนก็จะไป
   “ทำไมเราไม่ขับรถมากัน” เมื่อเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งก็ลงเดินทางที่เป็นหัวคันนาเหมือนกันไปได้สักระยะ และเริ่มเห็นว่ามีบ้านคนอยู่เป็นกลุ่ม ๆ อีกไม่ไกล รัญรัมภาจึงตัดสินใจถาม จริง ๆ ต้องการหาเรื่องคุยมากกว่าเพราะตั้งแต่เดินมาจรัสตะวันก็จ้ำเอา ๆ ราวกับลืมว่ามีเธอมาด้วย
   “คุณหมอก็ดูถนนสิคะ ถ้าขับรถมาต้องย้อนกลับไปทางโรงพยาบาลหรือไม่ก็ต้องไปผ่านตลาดแล้ววนไปอีกทางถึงจะเป็นทางรถเข้าบ้านได้” จรัสตะวันตอบโดยที่ไม่หันมามองและไม่หยุดเดิน
   รัญรัมภาหันกลับไปมองดูถนนที่ข้ามมาก็จริงอย่างที่ครูจรัสว่า เธอยังไม่เห็นว่าถนนสายนี้มีทางตัดตรงไหนที่ใกล้กับกลุ่มบ้านคนกลางทุ่งนานี้ อยู่มาสามปีเธอก็ไม่ค่อยได้ไปไหน ก็มีแต่ไปเที่ยวตามผับบาร์หรือแม้แต่ร้านคาราโอเกะกับเทิดทูนหรือออกมาตรวจในชุมชนก็มากับรถโรงพยาบาลไปอยู่ตามสถานีอนามัยที่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เธอจึงไม่ได้รู้เส้นทางมากกว่าบ้านมาโรงพยาบาลและตลาดกับเข้าไปในตัวจังหวัด


เดินผ่านบ้านไม้หลังใหญ่ที่รัญรัมภาคิดว่าบ้านคนไข้แต่ก็ไม่ใช่ คนที่นั่งอยู่ใต้ถุนบ้านตะโกนทักทายจรัสตะวันอย่างคุ้นเคย
   “ครูมาดูสุภามันเหรอ ยายมันพึ่งมาขอโทรศัพท์กับผมเมื่อกี้นี้”
   “ค่ะ ครูไปก่อนนะคะ” จรัสตะวันหยุดคุยด้วยแค่นั้นแล้วก็รีบเดินไป
   “อ้าว หมอรัญมาด้วย ดี ๆ จะได้ช่วยรักษามันดี ๆ หน่อย”
   การที่พูดอย่างนั้นก็เหมือนถึงการทักทายรัญรัมภาไปในตัว ชาวบ้านแถวนี้แม้จะมีความเจริญเข้ามาหลายอย่างแต่ก็ยังอยู่แบบชาวบ้าน การทักทายกันก็เป็นแบบกันเอง แต่รัญรัมภาไม่มีเวลาหยุดคุยด้วย เพราะจรัสตะวันเดินห่างไปไกล จึงได้แต่ยิ้มรับและเดินกึ่งวิ่งตามคนข้างหน้าไป
   บ้านคนไข้อยู่ถัดบ้านหลังใหญ่หลังนั้นเข้ามาไม่ไกลนัก จะเรียกว่าเป็นบ้านรัญรัมภาก็ไม่กล้าเรียกเต็มปาก มันเป็นเหมือนเถียงนาที่ทำให้มิดชิดและแข็งแรงกว่าเท่านั้นเอง หลังคามุงสังกะสีแต่สนิมเกาะจนเป็นสีน้ำตาล บันไดทำด้วยไม้หยาบ ๆ แต่ยังดีที่ประตูบ้านดูแข็งแรงและเหมือนพึ่งทำใหม่
   “ยาย ครูมาแล้ว” จรัสตะวันหยุดตรงบันไดและตะโกนขึ้นไป รัญรัมภาเดินตามมาทันพอดี พอได้มีเวลาพักหายใจ   “ครูมากับใคร” เสียบแหบพร่าตอบมา คงมองจากรอยแตกของฝาบ้านจึงเห็นว่าจรัสตะวันไม่ได้มาคนเดียว
   “คุณหมอจ้ะ คุณหมอที่โรงพยาบาล เขาจะมารักษาสุภา” จรัสตะวันตอบน้ำเสียงประหม่านิด ๆ รัญรัมภารู้สึกแปลกใจ
   “สุภา ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ไม่ต้องใช้หมอ ครูขึ้นมาดูมันคนเดียวพอ” เสียบแหบพร่านั้นตอบโดยที่ยังไม่ออกมาเปิดประตูบ้านให้
   “ให้หมอขึ้นไปดูเถอะยาย ฉันเป็นครู ไม่ใช่หมอ เผื่อสุภาเป็นอะไรมาก หมอจะได้รักษาทัน” จรัสตะวันพยายามพูดให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ ถึงตอนนี้รัญรัมภาก็สงสัยแล้วว่าคนไข้คนนี้ต้องไม่ปกติ
   “ยาย หมอ หมอรัญเองนะ ให้หมอขึ้นไปดูหน่อยเถอะจ้ะ” รัญรัมภาตัดสินใจพูดออกไป อย่างไรวันนี้เธอก็ต้องได้รักษาคนไข้คนนี้
   คนในบ้านไม่ตอบกลับมาแต่ได้ยินเสียงพึมพำคุยกันอยู่ชั่วอึดใจจึงเสียงแหบพร่าตอบมา
   “อีหนูมันไม่ยอมให้ใครขึ้นมานอกจากครูจรัสคนเดียว”
   คราวนี้จรัสตะวันหันมามองเธอด้วยความหนักใจ
   “บอกแล้วไงคะว่าหมอไม่ต้องมา หมอรออยู่ข้างล่างนี้แหละค่ะ ฉันจะขึ้นไปคนเดียว”
   “หมอบอกแล้วไง มีคนไข้ยังไงหมอก็ต้องรักษา คนไข้ชื่อสุภาใช่ไหม” รัญรัมภาไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียง เธอเป็นห่วงคนไข้ที่อยู่บนบ้านมากกว่าทั้งที่ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร
   “สุภา หมอจะมารักษาให้สุภาหายไข้นะ ให้หมอขึ้นไปหาได้ไหม” นำเสียงรัญรัมภาอ่อนโยนจนจรัสตะวันยังต้องยอมให้ ต่างยืนนิ่งรอเสียงคนในบ้านตอบกลับมา แต่ทว่าก็ยังเงียบอยู่
   “เขาเป็นอะไรกันแน่ ครูบอกหมอมา หมอจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไง” ความจริงรัญรัมภาเดาในใจไว้หลายกรณีว่าคนไข้ที่ไม่ปกติคนนี้จะป่วยเป็นอะไร อาจป่วยเป็นโรคติดต่อบางอย่างที่ทำให้คนไข้รู้สึกอับอายหรืออาจจะมีปัญหาทางจิต ซึ่งเธอต้องหาวิธีพูดเพื่อให้คนไข้วางใจให้ได้
   ท่าทางและคำพูดของรัญรัมภาในตอนนี้มีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่จนจรัสตะวันต้องพูดความจริงออกไป
   “สุภาเขาเสียโฉมจากอุบัติเหตุค่ะ เลยเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเจอใคร” จรัสตะวันอธิบายสั้น ๆ และเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนบนบ้านได้ยิน
   รัญรัมภาเงียบครุ่นคิดหาวิธีที่จะให้คนไข้เต็มใจให้เธอขึ้นไปรักษา
   “ครูต้องช่วยเล่นละครตามหมอไปด้วยนะ” เธอบอกจรัสตะวันแล้วพูดกับคนบนบ้านอีกครั้ง
   “สุภา หมอเป็นเพื่อนสนิทครูจรัสนะ ครูจรัสให้หมอช่วยมารักษาหนู เพราะเขาเป็นห่วงหนูมาก หนูไว้ใจหมอได้นะ ถ้าไม่เชื่อก็ฟังครูจรัสพูดนะ” รัญรัมภาพูดจบก็ขยิบตาให้จรัสตะวันเล่นตามบทที่นำทางไป
   “สุภาให้หมอขึ้นไปเถอะนะ ครูรับรองเองจ้ะ หมอเป็นเพื่อน..สนิทครูจ้ะ” จรัสตะวันยอมพูดตามบทที่รัญรัมภาบอกแม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องพูดว่าคนพึ่งรู้จักกันเป็นเพื่อนสนิท
   คนบนบ้านยังคงเงียบอยู่
   “ครูขึ้นไปนะจ๊ะสุภา สุภาเชื่อใจครูได้นะ” จรัสตะวันย้ำอีกครั้ง
   “ถ้าไม่ใช่สนิทกับครู หมอคงไม่กล้ามาหรอกนะ” รัญรัมภาแกล้งพูดดัง ๆ หวังให้มีผลต่อความคิดคนบนบ้าน
   เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่จนรัญรัมภาจะถอดใจ แต่ไม่ได้เลิกล้มความคิดที่จะรักษาเพียงคิดว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านี้และอาจจะไม่ใช่วันนี้ที่คนไข้จะไว้ใจเธอ กำลังจะบอกให้จรัสตะวันขึ้นไปเพียงคนเดียวก็พอดีที่ประตูบ้านเปิดแง้มออกมา หญิงชราหลังงุ้มนิด ๆ ยื่นหน้าอันเหี่ยวย่นออกมา มองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง
   “ครูรีบขึ้นมาเถอะค่ะ สุภามันยอมแล้ว”
   จรัสตะวันรีบก้าวขึ้นบันไดทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น รัญรัมภารีบก้าวขึ้นไปติด ๆ พอขึ้นมาบนบ้าน รัญรัมภาก็ต้องหยุดเพื่อสูดลมหายใจให้ชินกับอากาศที่อบอ้าวและอึดอัดเนื่องจากหลังคาสังกะสีที่ถ่ายเทความร้อนลงมา และยังไม่มีการเปิดหน้าต่างระบายอากาศอีก นอกจากพัดลมตัวเล็กที่เปิดส่ายไปมา
   จรัสตะวันเดินนำไปยังมุมบ้านที่มีร่างเล็ก ๆ นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ๆ และใบหน้ามีผ้าขนหนูพันอยู่จนเห็นแต่ดวงตา
   “สุภาเป็นอย่างไง ให้ครูดูซิ” จรัสตะวันนั่งพับเพียบลงข้าง ๆ คนไข้ รัญรัมภาก็นั่งลงใกล้ ๆ เธอพยายามใช้สายตามองให้สุภารู้ว่าไว้ใจเธอได้
   “ครูจรัสขยับให้หมอดูดีกว่านะ” รัญรัมภาแตะแขนให้จรัสตะวันขยับไป เพื่อที่เธอจะได้เข้ามาใกล้คนไข้มากขึ้น แววตาของสุภายังมองเธอด้วยความหวาดระแวงอย่างเห็นได้ชัด
   “ไม่ต้องกลัวหมอนะจ๊ะ สุภาเป็นไข้มากี่วันแล้ว” รัญรัมภาซักถามโดยไม่สนใจว่าคนไข้จะยังเอาผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่
   “บอกหมอเขาไปสิอีหนู หมอเขาจะมารักษา” ยายของสุภาเดินถือขันน้ำมาวางลงข้าง ๆ ให้จรัสตะวัน เธอยกขึ้นดื่มโดยไม่รังเกียจความบุบบู้บี้ของขันใบนั้น มันแค่บุบบู้บี้เพราะผ่านการใช้งานมานานแต่ทั้งขันและน้ำในนั้นก็สะอาดดี
   “เมื่อคืนวาน” เสียงอู้อี้จากใต้ผ้านั้น รัญรัมภารู้ได้ว่าคนไข้ไม่สามารถพูดได้ถนัดนัก
   “แล้วอาการเป็นอย่างไง ปวดหัว แล้วปวดเนื้อปวดตัวด้วยไหมจ้ะ” รัญรัมภาเริ่มซักอาการ
   จรัสตะวันได้แต่นั่งฟังเมื่อรัญรัมภาซักถามรายละเอียดต่าง ๆ ของอาการ และทำอีกหลายอย่างเหมือนเวลาที่หมอตรวจร่างกายเพียงแต่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเท่านั้น บางครั้งก็หันไปถามยายว่าแถวนี้มีคนเป็นไข้เลือดออกไหม นอนกางมุ้งทุกวันหรือเปล่า และอีกหลายคำถามที่จรัสตะวันคิดว่าไม่น่าถามเพราะไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเลย
   “คงเป็นไข้หวัดใหญ่ เดี๋ยวหมอสั่งให้ที่โรงพยาบาลจัดยามาให้นะจ๊ะ ยายให้สุภาจิบน้ำไว้เรื่อย ๆ แล้วเช็ดตัวบ่อย ๆ นะคะ”  รัญรัมภาให้สุภานอนพักและหันไปพูดกับยาย ตลอดการรักษารัญรัมภาไม่ได้สนใจใบหน้าที่ไม่ยอมเปิดผ้าพันนั้นเลย เมื่อหมอไม่สนใจสุภาก็มีท่าทีผ่อนคลายลง
   “แต่ถ้ากินยาแล้วมีอาการผิดปกติหรือไม่ดีขึ้น ยายรีบโทรไปบอกครูจรัสเลยนะคะ หมอจะได้รีบมา”
   “สุภา อีกสักสองสามวันหมอจะมาตรวจอีกครั้ง หนูให้หมอมาได้ไหมจ๊ะ” รัญรัมภาคุยสุภาสลับกับคุยกับยาย และกลายเป็นจรัสตะวันที่ต้องนั่งฟังเฉย ๆ
   “ค่ะ” สุภาตอบรับจนแทบไม่ได้ยิน
   “หมอขอบัตรประชาชนสุภาหน่อยสิคะ จะเอาไปทำเรื่องเบิกยามาให้”
   “ค่ะ หมอทานน้ำสิคะ ยายจะไปเอาบัตรสุภามาให้” ยายบอกแล้วยันกายลุกขึ้น
   การดื่มน้ำขันเดียวกันเป็นเรื่องปกติของคนต่างจังหวัด โดยเฉพาะยายของสุภาที่ยังเป็นคนสมัยเก่า ไม่ได้คำนึงถึงสุขอนามัย รัญรัมภาหยิบขันน้ำขึ้นมาดื่มทันที โดยที่จรัสตะวันไม่ทันจะเตือนว่าเธอดื่มมันไปแล้ว เดี๋ยวให้ยายเอามาให้ใหม่ ความจริงรัญรัมภาก็เห็นว่าจรัสตะวันดื่มน้ำจากขันนั้นไปก่อนแต่เธอก็ยังดื่มต่อหน้าตาเฉย
   “น้ำฝนใช่ไหม ชื่นใจจัง” รัญรัมภาวางขันลงพอดีกับที่ยายเอาบัตรประชาชนของสุภามาให้
   “แถวนี้มีอนามัยนี่ อยู่ตรงไหนนะครูจรัส เบิกยาที่อนามัยก็ได้ จะได้ไม่ต้องรอนาน” รัญรัมภาพึ่งนึกได้จริง ๆ
   “อยู่ไม่ไกลหรอกค่ะ แต่อีหนูมันไม่ยอมไป” ยายของสุภาเป็นฝ่ายตอบแทน
   “ไม่เป็นไรค่ะยาย เดี๋ยวหมอไปเอายามาให้ จะได้เอาเครื่องมือมาตรวจอีกทีด้วย ไปครูพาไปหน่อย”
   รัญรัมภาลุกขึ้นยื่นอย่างรวดเร็ว และยังยื่นให้จรัสตะวันจับเพื่อช่วยดึงตัวขึ้นมา จรัสตะวันไม่ยอมจับมือนั้นแต่ยันกายลุกขึ้นเองด้วยความลำบาก เพราะเธอนั่งพับเพียบอยู่ท่าเดียวมานานจนเป็นเหน็บชา พอลุกขึ้นได้รัญรัมภาก็เดินนำไปที่ประตู
   ถนนเลี่ยงเมืองนั้นเป็นถนนตัดใหม่เพื่อเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่นแต่ก็มีจุดเชื่อมกับถนนสายเก่าที่ชาวบ้านใช้สัญจร เดินตามถนนสายเก่าไปไม่ไกลก็ถึงสถานีอนามัยที่เปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รัญรัมภาต้องมาเข้าเวรตรวจรักษาที่นี่เดือนละครั้ง แต่เธอมาจากทางโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวเข้าถนนสายเก่าตรงจุดเชื่อมโดยที่ยังมาไม่ถึงโรงเรียน จึงพึ่งนึกพื้นที่ออกว่าถนนไปตลาด ถนนเลี่ยงเมืองและถนนสายนี้มันขนานกันไป จริงอย่างที่จรัสตะวันว่าเดินลัดทุ่งนามาสะดวกกว่า
   เจ้าหน้าที่ทุกคนที่นี่รู้จักเธอดี รับบัตรของสุภาไปจัดการเขียนไปใบเบิกยาตามที่รัญรัมภาบอกว่าให้ทำเป็นสุภามาเองแบบฉุกเฉิน ความจริงก็ผิดกฎระเบียบการเบิกจ่ายยาและการรักษา แต่กฎระเบียบหรือจะสำคัญเท่ากับชีวิตคน
   “มีร้านก๋วยเตี๋ยวตรงนั้นด้วย เดี๋ยวตอนเอากระเป๋ายามาคืนเรามากินกันนะ” รัญรัมภาอุทานด้วยความดีใจเมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามระหว่างนั่งรอยาและเห็นเพิงขายก๋วยเตี๋ยวของชาวบ้าน
   “คุณหมอจะกินได้เหรอคะ” จรัสตะวันถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อว่ารัญรัมภาจะพูดจริง เธอยังจำที่ป้ามลบอกได้ว่าหมอรัญกินยาก รักสะอาด แล้วก๋วยเตี๋ยวชาวบ้านจะกล้ากินได้อย่างไร แต่เมื่อกี้กลับดื่มน้ำขันเดียวกับเธอได้ ประหลาดคน
   “ชาวบ้านกินได้หมอก็กินได้สิ หรือเขาจะวางยาพิษหมอ  รีบเอายาไปให้สุภาเถอะ หมอหิวจะแย่แล้ว”
   จรัสตะวันแทบจะตามอารมณ์รัญรัมภาไม่ทัน เดี๋ยวก็จริงจังเดี๋ยวขี้เล่น ไม่คงเส้นคงวา มิน่าใคร ๆ ถึงบอกว่าหมอรัญเอาใจยาก ใจดีแต่กับคนไข้ซึ่งเธอพึ่งได้เห็นกับตา  แต่อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาบางครั้งก็พาให้คนอื่นเดาใจไม่ถูกว่าจะต้องวางตัวอย่างไรในแต่ละอารมณ์ของหมอ
   “หมอรัญเก่งนะคะ ทำให้สุภายอมให้ตรวจได้ แถวนี้ไม่มีใครได้ขึ้นบ้านสุภาหรอกค่ะ ยกเว้นครูจรัสกับหมอนี่แหละ” เจ้าหน้าที่อยู่เวรพูดในขณะที่นำกระเป๋าแพทย์สนามมาให้พร้อมยาที่สั่งไป
   “เดี๋ยวหมอเอามาคืนนะ ขอบใจมาก” รัญรัมภารับกระเป๋ามาสะพายและเป็นฝ่ายเดินนำจรัสตะวันไป
   ตรวจสุภาเสร็จเอากระเป๋ามาคืนที่เจ้าหน้าที่แล้วรัญรัมภาก็เดินข้ามมายังร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างที่พูดไว้ แถมยังเป็นคนไปสั่งเองและสั่งเผื่อเธอด้วย ไหนป้ามลบอกว่าหมอรัญทานยาก ไม่ชอบไปสั่งอาหารเอง ป้ามลต้องจัดการเรื่องอาหารกลางวันให้เป็นประจำ แต่ตอนนี้การกระทำของหมอตรงข้ามทุกอย่าง แสดงว่าที่ทำเป็นเรื่องมากก็คงแค่เรียกร้องความสนใจมากกว่า
   “ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้พึ่งมาเปิดแน่ ๆ หมอมาเดือนที่แล้วยังไม่มีเลย” รัญรัมภาชวนคุยระหว่างที่นั่งรอก๋วยเตี๋ยว
   “เขาเคยขายในตลาดค่ะ แต่พอดีตรงที่เคยขาย เจ้าของจะสร้างอาคารพาณิชย์ ป้ากับลุงแกเลยย้ายมาขายที่นี่ค่ะ”
   “ครูรู้จักชาวบ้านดีจัง รู้ว่าใครเป็นอย่างไง ทั้งที่พึ่งมาอยู่ แต่หมออยู่มาสามปี มีแต่คนรู้จักหมอ แต่หมอไม่รู้เลยว่าใครเป็นอย่างไง เขาทักก็พยักหน้าเหมือนจำได้ไป” รัญรัมภาพูดออกมาพร้อมกับแววตาที่ชื่นชมจรัสตะวันที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับชาวบ้านทั้งที่พึ่งย้ายกลับมาได้ไม่นาน
   “พอดีฉันต้องออกเยี่ยมบ้านนักเรียนนี่คะ ก็เลยต้องรู้จักชาวบ้านเป็นธรรมดา บางคนก็พอจะจำฉันได้เลยคุยกันง่ายค่ะ” จรัสตะวันตอบด้วยอารมณ์คงที่เสมอไม่ว่าหมอจะคุยด้วยอารมณ์อย่างไร
   “แล้วครูรู้จักสุภาได้ไง เพราะเขาไม่ยอมออกมาเจอใครแล้วก็ไม่ยอมให้ใครไปหาด้วย” อีกแล้วที่รัญรัมภาเปลี่ยนอารมณ์มาจริงจังทั้งที่เมื่อสักครู่พึ่งคุยเล่นไป
   “ฉันมาเยี่ยมบ้านนักเรียนแถวนี้ ชาวบ้านเขาก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย จำไม่ได้หรอกค่ะว่าใครพูดเรื่องสุภา ฉันก็เลยลองไปหาเขาดู” จรัสตะวันพูดน้ำเสียงเบาลง บ่งบอกให้รู้ว่าไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน รัญรัมภาเข้าใจ พอดีกับที่คนขายเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟ ต่างคนจึงต่างทานกันไปเงียบ ๆ

จรัสตะวันนั้นเงียบขรึมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่รัญรัมภาที่อารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา ตลอดเวลาที่ต่างทานก๋วยเตี๋ยวโดยไม่ได้คุยกันเลยนั้นก็เดาไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร อาจจะคิดว่ามื้อนี้เป็นอาหารที่รสชาติแย่ที่สุดแต่จำใจฝืนทานก็ได้
   “ครูมีเงินมาไหม” รัญรัมภาเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวที่เหลือเพียงน้ำติดก้นชามขึ้นมาด้วยแววตาเป็นกังวล เพราะความหิว ความเหนื่อยและความที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจที่ยังไม่อยากบอกจรัสตะวัน ทำให้รัญรัมภาลืมไปว่าเธอไม่มีเงินติดตัวมาสักบาท แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็ทิ้งไว้ในรถ
   “ไม่มีค่ะ” จรัสตะวันตอบหน้าตาเฉยและก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองต่อ
   “อ้าว ครู แล้วจะทำอย่างไง อายเขาตายเลยมากินก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่มีเงินจ่าย” รัญรัมภาร้อนใจจริง ๆ สิ่งที่เธอยอมไม่ได้คือการเสียหน้า แม้ว่าชาวบ้านแถวนี้จะรู้จักครูจรัสรวมทั้งเธอด้วยดี คงไม่มีใครคิดว่าจะมาโกงค่าก๋วยเตี๋ยวไม่กี่บาท หรืออาจจะไปยืมเงินเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรนั้นก็ได้ แต่รัญรัมภาก็อายเกินกว่าจะทำแบบนั้น
   “ถามป้าดูสิคะ ให้หมอล้างชามแทนค่าก๋วยเตี๋ยวได้ไหม” จรัสตะวันยังละเลียดก๋วยเตี๋ยวในชามอย่างสบายใจ
   “จะบ้าเหรอครู พูดเป็นละครไปได้ หมออายเขา ทั้งเนื้อทั้งตัวหมอก็ไม่มีของมีค่าอะไรเลย”
   จรัสตะวันไม่ได้กิริยาตื่นเต้นตกใจหรือเห็นใจความกังวลใด ๆ ของหมอ วางตะเกียบและยกน้ำขึ้นดื่ม
   “ป้าคะ เก็บเงินค่ะ” เธอร้องบอกป้าที่ทำหน้าที่เก็บโต๊ะและเก็บเงิน
   “ครู หมอไม่มีเงินนะ” รัญรัมภารีบพูด หรือว่าจรัสตะวันจะบ้าให้เธอล้างชามชดใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวนี้จริง ๆ
   “ห้าสิบบาทจ้ะครู” ป้ารีบเดินมาที่โต๊ะ มองชามแล้วบอกราคา จรัสตะวันควักธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ และยกน้ำขึ้นดื่มต่อจนหมดแก้วแล้วรับเงินทอนมา
   “ครูแกล้งหมอใช่ไหม ไหนบอกไม่มีเงินไง” รัญรัมภาต่อว่าทันทีที่ป้าทอนเงินเสร็จแล้วเดินไปโต๊ะอื่น
   “ก็ไม่มีเงินเยอะ มีมาแค่ร้อยเดียว ฉันพูดไม่จบ” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ แม้จะเป็นยิ้มกึ่งขบขันที่หลอกเธอได้ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มแรกที่รัญรัมภาได้เห็นจากครูจรัส
   “ครูนี่ ร้ายเหมือนกันนะ แกล้งหมอได้” รัญรัมภาแกล้งทำเสียงดุต่อว่าซึ่งไม่มีผลอะไรกับจรัสตะวันสักนิด
   “ไปกันหรือยังคะ ป่านนี้กอหญ้ารอแล้ว” จรัสตะวันลุกขึ้นเดินนำออกจากร้าน รอยยิ้มเพียงแวบเดียวนั้นหายไปเหลือไว้เพียงใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เหมือนเดิม




ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 9(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 20:36:40 »
ตอนที่ 9(ต่อ)

   เที่ยงวันวันนี้มีผู้หญิงสองคนเดินตากแดดตามกันมาตามถนนสายเล็ก ๆ เลี้ยวลงมายังทางเข้าบ้านคน แวะลายายของสุภาที่ลงมาซักผ้าอยู่หน้าบ้าน หลังจากทานยาสุภาก็หลับไป รัญรัมภาบอกยายเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท จะได้ไม่บ่มเพาะเชื้อโรคอยู่ในบ้านและให้ระวังติดไข้หวัดใหญ่จากสุภา หลังจากนั้นก็เดินกลับมาทางเดิมผ่านบ้านหลังใหญ่แต่ไม่มีคนนั่งอยู่ใต้ถุนบ้านแล้ว เดินเลยมาเป็นทุ่งนา อากาศยามเที่ยงร้อนมากขึ้น จรัสตะวันหักหางใบตองจากต้นกล้วยข้างทางมาสองหาง ให้ตัวเองหางหนึ่ง ให้รัญรัมภาหางหนึ่งเพื่อบังแดดแทนร่ม แดดสายตอนขามามันยังไม่ร้อนมากแต่ลืมนึกถึงตอนขากลับและไม่คิดว่าจะมานานจนถึงเที่ยงแบบนี้ โชคดีที่รัญรัมภาชวนไปทานก๋วยเตี๋ยวไม่งั้นคงเป็นลมด้วยทั้งความหิวและความร้อน
   เดินมาตามคันนา ข้ามถนนสายเลี่ยงเมืองและเดินตามคันนาอีกครั้ง แต่ละย่างก้าวของจรัสตะวันเป็นไปด้วยความคุ้นเคย ในขณะที่รัญรัมภายังต้องเดินอย่างระมัดระวังเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงสองคนนั้นคุยอะไรกันระหว่างทางที่เดินมา คนนำหน้ายังคงมีสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ในขณะที่คนตามหลังบางครั้งก็ดูเริงร่า บางครั้งดูเคร่งขรึมครุ่นคิดสลับกันไปจนกระทั่งมาถึงบ้าน
   เป็นวันที่รัญรัมภาเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต ตอนเรียนที่ว่าหนักหนาสาหัสอดหลับอดนอนหรือเคยต้องผ่าตัดคนไข้นาน ๆ ก็ยังไม่เหนื่อยเท่าวันนี้ที่ต้องเดินและก็เดินท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ แม้จะเหนื่อยใจแทบขาดแต่รัญรัมภากลับรู้สึกมีความสุขอยู่ลึก ๆ  เมื่อนึกถึงรอยยิ้มเดียวที่ได้เห็นจากจรัสตะวันเหมือนภาพติดตาที่พาให้รู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ อยากจะเป็นคนที่ทำให้ครูจรัสมีรอยยิ้มแบบนี้ทุกวัน
   “น้ำค่ะคุณหมอ” รัญรัมภาสะดุ้งเมื่อจรัสตะวันนำน้ำมาให้ในขณะที่เธอนั่งพักรออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน
   “กอหญ้าไปไหนนะ ทำไมไม่มารอรับ” รัญรัมภาวางแก้วน้ำลง มองไปรอบ ๆ บริเวณบ้าน ไม่เห็นทั้งหมาตัวใหญ่และกอหญ้า
   “คงอยู่กับยามหน้าประตูมั้งคะ กอหญ้าคงไปกินข้าวกับพวกพี่ ๆ ที่นั่น” จรัสตะวันนั่งลงและยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นดื่ม และพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “ที่คุณหมอบอกว่าจะหาทางช่วยสุภา หมอจะช่วยอย่างไงคะ”
   “หมอยังไม่เห็นหน้าสุภา ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้แค่ไหน ครูช่วยเล่าเรื่องสุภาให้หมอฟังหน่อยสิว่าเป็นมาอย่างไง ใบหน้าเขาเป็นอย่างไง” เมื่อพูดถึงการรักษาคนไข้ รัญรัมภาไม่เคยพูดเป็นเรื่องเล่น ๆ
   “แล้วทำไมหมอไม่ขอสุภาดูล่ะคะ” จรัสตะวันถามด้วยความสงสัย ไม่ได้มีเจตนายอกย้อนแต่อย่างใด
   “หมอต้องทำให้สุภาไว้ใจหมออย่างที่เขาไว้ใจครู เขาต้องเต็มใจที่จะเปิดให้หมอดูเอง คนไข้ที่เป็นแบบนี้ เรื่องจิตใจสำคัญต่อการรักษาในอนาคตพอ ๆ กับเรื่องของร่างกาย เพราะการรักษามันต้องใช้เวลาพอสมควร คนไข้ต้องเชื่อใจหมอด้วย” รัญรัมภาอธิบาย จรัสตะวันพยักหน้าเข้าใจ
   “เท่าที่ฉันรู้จากชาวบ้านเล่าให้ฟังนะคะ ตอนเกิดอุบัติเหตุหน้าของสุภาโดนลากครูดไปกับถนนจนใบหน้าแถบทางขวาเป็นแผลเหวอะหวะ ยายของสุภาก็ไม่มีเงิน พ่อแม่ก็ไปทำงานก่อสร้าง ส่งเงินมาให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ย้ายตามไซด์งานไปเรื่อย ๆ ก็เลยรักษากันเท่าที่ทำได้ ก็ได้แค่รักษาให้แผลหายจะพาไปศัลยกรรมก็ไม่มีเงิน ใบหน้าก็เลยทั้งมีแผลเป็นดึงรั้งแล้วก็บิดเบี้ยวไป” จรัสตะวันเล่าเท่าที่รู้มา
   รัญรัมภานั่งเงียบครุ่นคิดอีกครั้งก่อนที่จะพูดขึ้นมา
   “วันอังคารหลังเลิกงานครูว่างไหม อยากให้พาหมอไปเยี่ยมสุภาหน่อย”
   “หมอจะพาสุภาไปรักษาเหรอคะ” จรัสตะวันพูดด้วยความดีใจและก็ได้เห็นรอยยิ้มเป็นครั้งที่สองในวันนี้
   “พอดีมีงบประมาณโครงการจากต่างประเทศที่จะผ่าตัดให้ผู้พิการฟรี มันมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายอย่าง คนไข้ต้องเซ็นยินยอมเข้าโครงการยอมรับกระบวนการรักษาด้วยนวัตกรรมใหม่เพื่อให้คนไข้เจ็บตัวน้อยที่สุดและรักษาได้ผลดีกว่าที่ผ่านมา อะไรทำนองนี้” รัญรัมภาอธิบายแต่น้ำเสียงแฝงด้วยความหนักใจ
   “หมายความว่าสุภาก็มีโอกาสได้รักษาฟรีใช่ไหมคะ”  จรัสตะวันรู้สึกดีใจจนไม่สมารถเก็บไว้ในใจได้
   “มีโอกาสแต่ความพิการมันมีหลายรูปแบบ ต้องใช้ทีมแพทย์หลายสาขา ทีแรกหมอก็คิดว่าจะเป็นโครงการง่าย ๆ แบบผ่าตัดปากแหว่งเพดานโหว่อะไรแบบนี้ แต่นี่มันยังต้องวางแผนร่วมกันกับทีมแพทย์ต่างประเทศ ทีมแพทย์ไทยในพื้นที่ที่ไม่ใช่มีหมอคนเดียว มันเป็นโครงการศึกษาและเพิ่งเริ่มต้น กว่าจะได้ลงมือกับคนไข้จริง ๆ ก็คงเป็นปี”
   ความดีใจของจรัสตะวันลดลงเมื่อได้ยินรัญรัมภาอธิบายแบบนั้น เธอก็อยากให้สุภาได้รับการรักษาอย่างดีแต่ก็ไม่รู้จะหาทุนที่ไหน อีกทั้งสุภาก็ไม่ไว้ใจใคร ไม่ยอมออกจากบ้านเพราะความอับอายใบหน้าที่เสียโฉมไป
   “แต่หมอไม่ทิ้งสุภาหรอกนะ หมอจะพยายามหาทางให้สุภาได้รักษาให้เร็วที่สุด” รัญรัมภาพูดหนักแน่นและส่งสายตาให้จรัสตะวันมั่นใจในสิ่งที่เธอบอก
   “ฉันจะบอกสุภาได้หรือเปล่าคะ”
   จากคำพูดและสายตาของรัญรัมภา จรัสตะวันรู้ว่าต่อไปนี้การตัดสินใจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุภาคงต้องขึ้นอยู่กับความคิดของหมอ เธอเป็นครู ไม่มีทางจะรักษาคนไข้ได้เหมือนหมอ
   “อย่าพึ่งเลยครู หมอจะต้องไปหาข้อมูลก่อนว่าจะทำอย่างไง และสุภาต้องเชื่อใจหมอมากกว่านี้ ให้หมอเห็นหน้าสุภาชัด ๆ ก่อนจะได้ประเมินแนวทางการรักษาได้คร่าว ๆ ถ้าผ่าตัดไม่ยาก ใช้เงินไม่มาก หมอก็อาจจะหาระดมทุนเพื่อรักษาก่อน”
   “ยายของสุภาบอกว่าถ้าไปผ่าตัดก็ต้องใช้เงินเป็นแสนขึ้นไป ไหนจะการเดินทาง ไหนจะคนดูแล เพราะยายแกก็แก่แล้วคุยกับหมอก็ไม่รู้เรื่อง ฉันเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไง” จรัสตะวันก็หนักใจ เธอมีแค่เงินเดือนครูเดือนละไม่กี่บาทและยังมีภาระส่วนตัว ครั้นจะระดมทุนอย่างที่รัญรัมภาคิดเธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่ใช่คนมีเงินมากมาย แต่ถ้าให้
รัญรัมภาระดมทุนก็คงทำได้ไม่ยากจากฐานะทางบ้านและหน้าตาทางสังคม
   “หมอจะต้องช่วยสุภาให้ได้ ครูสบายใจเถอะนะ” รัญรัมภาตอกย้ำความมั่นใจอีกครั้ง
   “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
   “ขอบคุณหมอทำไม หมอเป็นหมอก็มีหน้าที่ต้องรักษาคนไข้อยู่แล้ว” รัญรัมภารู้สึกเขินเหมือนกันที่อยู่ ๆ ได้รับคำขอบคุณโดยไม่ทันตั้งตัว
   “ก็ขอบคุณแทนสุภาไงคะ” จรัสตะวันเบือนหน้าหนีสายตาที่เปลี่ยนจากจริงจังเป็นเก้อเขินนั้น มันเป็นสายตาที่พาให้รู้สึกแปลก ๆ แต่บอกไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร ผิดกับสายตายามจริงจังที่ทำให้เธอกล้าสบตาด้วยมากกว่า
   “กอหญ้าไปไหนนะ คงอยู่กับยามหน้าประตูใช่ไหม เดี๋ยวหมอขอตัวกลับเลยก็แล้วกันนะ ครูจะได้พักผ่อน”
    “ค่ะ คงอยู่ที่นั่นกับพวกตัวใหญ่”
   จรัสตะวันเดินมาส่งรัญรัมภาที่ประตูรั้ว
   “ขอบคุณครูเหมือนกันนะ ที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวมื้อกลางวัน หมอนี่แย่อีกแล้ว ชวนไปกินแต่ไม่มีเงิน” รัญรัมภานึกแล้วก็เขินกับความเปิ่นของตัวเอง
   “ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเลี้ยงคืนอาหารมื้อเช้าก็แล้วกัน” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ กึ่งช่วยแก้ตัวให้ไปในตัว
   “ถ้าอย่างนั้นหมอก็ติดหนี้ครูมื้อเย็นวันนั้นอยู่เหมือนเดิมสิ อย่างนี้หมอก็เลี้ยงคืน มื้อไหนดีล่ะครู” รัญรัมภาทำหน้าทะเล้น วันนี้เป็นวันที่ได้เห็นรอยยิ้มของจรัสตะวันหลายครั้งแล้ว อยากจะบอกเหลือกเกินว่าให้ครูยิ้มบ่อย ๆ ดีกว่าทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้กับตัวแบบนั้น
   “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่ข้าวมื้อเดียว” จรัสตะวันกลับมาพูดเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบอีกครั้ง จนรัญรัมภาไม่กล้าพูดล้อเล่นต่อ
   “งั้นหมอกลับก่อนนะ อ่อ ถ้าหมอต้องไปประชุมอีก หมอขอรบกวนครูเอากอหญ้ามาฝากครูไว้นะ เพราะเขาจะได้มีเพื่อนมีที่วิ่งเล่น” รัญรัมภาไม่พูดเล่นแต่พูดให้จรัสตะวันต้องรับปากโดยไม่มีทางปฏิเสธแทน
   “ค่ะ ยินดีค่ะ ยังไงฉันก็ฝากคุณหมอเรื่องสุภาด้วยนะคะ” จรัสตะวันยังคงไม่เลิกคิดเรื่องสุภา
   “หมอจะหาทางช่วยให้เร็วที่สุดนะ วันอังคารนะ เราไปเยี่ยมสุภาด้วยกัน” รัญรัมภาเน้นคำว่าเราเป็นพิเศษ
   “เอ่อ หมอไปเยี่ยมคนเดียวก็ได้นี่คะ สุภาเขาก็ไว้ใจหมอระดับหนึ่งแล้ว” จรัสตะวันรู้สึกแปลกกับคำพูดของ
รัญรัมภากับสรรพนามที่เน้นว่า “เรา”
   “สุภายังไม่ไว้ใจหมอเท่าครู ครูต้องไปด้วยสิ เราเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วนะ หมอกลับก่อนนะ วันอังคารเจอกัน” รัญรัมภาพูดเร็ว ๆ แล้วรีบเดินไปที่รถโดยไม่เปิดโอกาสให้จรัสตะวันได้พูดอะไรต่อ เธอสนุกกับการทำให้จรัสตะวันต้องทำอะไรโดยไม่ทันตั้งตัว แอบมองจากในรถ จรัสตะวันยังคงคิดไม่ทันแต่เธอก็ถูกมัดมือชก ไม่มีทางปฏิเสธไปแล้ว
   รัญรัมภาขับรถไปแวะรับกอหญ้าแล้วก็กลับบ้านด้วยหัวใจที่มีความสุข เหมือนได้เติมเต็มอะไรบางอย่าง ระหว่างทางก็คิดหาทางช่วยเหลือสุภาสลับกับคิดถึงใบหน้ายามมีรอยยิ้มน้อย ๆ ของจรัสตะวัน อะไรกันนะที่ทำให้ครูจรัสต้องทำเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบตลอดเวลา รัญรัมภาชักเริ่มสงสัย

 :26: :26: :26:

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.