ตอนที่ 10
ทั้งที่พึ่งผ่านมาเพียงครึ่งวันกว่า ๆ แต่จรัสตะวันรู้สึกว่ามีเรื่องราวเข้ามามากมายจนต้องพักสงบจิตใจทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่เช้าจนถึงนาทีที่หมอรัญรัมภาขับรถออกไป แล้วความกังวลใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ก็กลับมารบกวนจิตใจอีกครั้ง ป่านนี้เภตราจะเป็นอย่างไรบ้าง เธอยังรู้สึกผิดอยู่ในใจลึก ๆ ที่วู่วามรีบตามหาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกศิษย์คนนี้คงไม่ไปไหนไกล เธอไม่ควรให้พ่อเภตราไปเจอลูกสาวในลักษณะนั้น จะทำให้ความฝันของลูกศิษย์ที่อยากไปเรียนคณะพยาบาลในมหาวิทยาลัยที่ถือได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศต้องดับลงหรือเปล่า
จบจากเรื่องราวเภตราก็มาเรื่องของสุภา กว่าที่เธอจะสามารถทำให้สุภาไว้วางใจจนขึ้นไปเยี่ยมได้ต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน แต่รัญรัมภากลับใช้เวลาไม่กี่นาที ก็คงจะจริงอย่างที่เขาบอกคนไข้ก็ต้องใช้หมอรักษา เธอไม่คิดว่าสุภาจะมีโอกาสได้ผ่าตัดตกแต่งใบหน้าง่าย ๆ แบบนี้ ได้ฟังเรื่องราวของหมอมาต่าง ๆ นานาแต่เธอกลับเชื่อมั่นว่าหมอจะรักษาคำพูดที่จะหาทางช่วยสุภา ทั้งที่พึ่งได้คุยกับหมอรัญรัมภาไม่กี่ครั้ง เท่าที่ได้ฟังมาเรื่องอื่นหมออาจดูแย่แต่เรื่องรักษาคนไข้ไม่ว่าจะยากดีมีจนหมอก็รักษาด้วยมาตรฐานเดียวกันหมด
แล้วเรื่องแย่ ๆ ของหมอที่ได้ฟังมาเธอก็ไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง ได้แต่ฟังคนนั้นคนนี้พูดกัน “หมอรัญเจ้าชู้ ไม่เคยรักใครจริง” “หมอรัญชอบกินเหล้า บางครั้งก็เข้าโรงแรมกับเทิดทูน ว่าได้เหรอถึงยังไงก็เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย” “หมอรัญเจ้าอารมณ์จะตาย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใครจะทนอยู่ด้วยได้” “หมอรัญบางครั้งก็โง่ โดนผู้หญิงหลอกกินไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ แล้วคิดว่าตัวเองแน่” และอีกหลายอย่างทีเธอได้ฟังเพราะตอนนั้นเธอย้ายมาเนื่องจากครูพัดชาไปแต่งงานและต้องการย้ายไปสอนในจังหวัด ครูที่นี่กำลังคุยกันเรื่องสนุกปาก เธอจึงได้รับรู้เรื่องของรัญรัมภาไปด้วย
ความคิดหลายอย่างสับสนปนเปจนไม่มีสมาธิทำงาน วันนี้เธอคงเจอเรื่องราวมามากเกินไป ควรจะปล่อยให้จิตใจและร่างกายได้พักผ่อนบ้าง แต่ทุกครั้งที่ต้องอยู่เฉย ๆ เธอไม่เคยจะอยู่สงบได้จริง ๆ อดีตที่พยายามทิ้งไปหลายเรื่องยังเกาะกุมจิตใจอยู่ เหมือนมันหาโอกาสแทรกเข้ามาทำให้กำลังใจในการมีชีวิตอยู่ของเธอน้อยลงทุกครั้งที่ต้องอยู่กับความว่างเปล่า แต่ก็ยังมีคนสองคนที่เป็นเหมืองฟางเส้นสุดท้ายที่คอยเหนี่ยวรั้งเธอไว้ แต่ในสองคนนั้นก็เหลือเพียงคนเดียวที่สื่อสารกับเธอได้เข้าใจ และเป็นเหมือนที่พึ่งทางใจคนเดียวในชีวิตเธอ
“แสง พี่กวนเวลานอนหรือเปล่า”
จรัสตะวันกรอกเสียงในโทรศัพท์ด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ดีว่าเวลาทำงานกับเวลานอนของน้องสาวไม่เหมือนชาวบ้าน
“ตื่นสักพักแล้วล่ะ ว่าจะโทรไปหาพี่อยู่พอดีเลย” แสงตะวันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า ต่างจากน้ำเสียงคนโทรไปที่ยังราบเรียบเสมอกันแต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนเป็นพิเศษ
“แล้วตื่นมากินข้าวกินปลาหรือยัง” น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความห่วงใย
“กินขนม กินนมไปแล้ว อยากกินกับข้าวฝีมือพี่จัง” เสียงตอบฝ่ายนั้นเดาได้ว่าคงกำลังเกลือกกลิ้งขี้เกียจไปมาอยู่บนเตียง จรัสตะวันยิ้มให้โทรศัพท์เมื่อนึกภาพน้องสาวตัวโตที่ทั้งเก่งทั้งกล้าลุยแต่ยังเป็นเด็กเสมอในความรู้สึกเธอ
“เอาน้ำพริกไหม พี่จะทำส่งไปให้” แววตาของจรัสตะวันมีประกายความสุขเมื่อได้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้น้องสาว เธอรู้ดีว่าหากแสงตะวันไม่เสียสละให้เธอได้เรียนเต็มที่ก็คงไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้
“ไม่ต้องหรอก แต่วันอังคารเตรียมตัวมารับแสงที่สนามบินด้วย”
“แสงจะมาเหรอ แล้วหยุดงานได้เหรอ” จรัสตะวันพึ่งแสดงความดีใจออกมาชัดเจนเมื่อได้ยินว่าน้องสาวจะมาหา
“เดี๋ยวนี้แสงไม่ต้องโชว์เองทุกรอบแล้ว ฝึกรุ่นน้องไว้หลายคนเลยลาพักได้”
จรัสตะวันลืมความคิดที่สับสนไปชั่วคราว เมื่อน้องสาวกำลังจะมาหา ได้แต่คิดว่าจะทำอะไรให้น้องสาวที่เสียสละและช่วยเหลือเธอมาตลอดมีความสุขที่สุดระหว่างมาพักผ่อนที่นี่ สิ่งเดียวที่แสงตะวันต้องการจากเธอก็แค่กับข้าวอร่อย ๆ ทุกมื้อเท่านั้นเอง เธอไม่เคยทำหน้าที่อย่างที่พี่สาวควรจะทำแต่ตรงข้ามน้องสาวต่างหากที่ดูแลเธอมามากกว่า
“ความจริงแสงเดินทางพรุ่งนี้แหละ แต่นัดเพื่อนที่กรุงเทพไว้แล้วจะไปหาแม่ด้วย แม่ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงตอนท้ายของแสงตะวันสลดลง
“ดีขึ้น ไม่ต้องอยู่แต่ในห้อง ไม่ต้องใช้ยาตลอดเวลา แต่ก็คงได้แค่นั้น” จรัสตะวันก็มีน้ำเสียงไม่ต่างกัน
“แสงมีอะไรอยากคุยกับพี่เยอะแยะเลย ไว้ค่อยไปคุยกันก็แล้วกันนะ แสงต้องไปประชุมแล้วล่ะ แล้วเจอกันนะพี่จรัส” แสงตะวันไม่เคยให้ความเศร้าเข้าครอบงำจิตใจนานและเธอก็ไม่ต้องการให้พี่สาวเก็บแต่ความเศร้าไว้ในจิตใจด้วย
“พี่ไม่ต้องคิดมากนะ แสงสัญญาว่าจะพาแม่กลับมาอยู่กับเราให้ได้เหมือนเดิม” แสงตะวันให้คำมั่นสัญญาแบบนี้มาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะทำได้อย่างไร จรัสตะวันพยายามไม่ถือสาระกับคำสัญญานั้นแม้แสงตะวันจะพร่ำบอกแบบนี้ทุกครั้ง ไม่ใช่ไม่เชื่อน้องสาว แต่เธอไม่อยากเอาความหวังมาฝากไว้กับสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้
“จ้ะ แล้วพี่จะทำกับข้าวอร่อย ๆ ไว้รอนะ” จรัสตะวันปรับน้ำเสียงมาให้เป็นปกติเพื่อที่น้องสาวจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
วันนี้คงพักการทำงานอย่างอื่นไว้ก่อนเพราะรู้สึกไม่มีสมาธิอยู่นิ่งได้ จรัสตะวันจึงขึ้นไปจัดเตรียมห้องนอนเพื่อต้อนรับน้องสาว บ้านพักครูนี้สร้างมาเพื่อให้อยู่ได้เป็นครอบครัว ชั้นบนมีสองห้องนอนใหญ่กับเล็ก จรัสตะวันเลือกห้องนอนเล็กเป็นของตัวเอง เธอไม่ชอบห้องนอนใหญ่เพราะรู้สึกมันอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูกยามที่ต้องนอนคนเดียว เข้าไปดูห้องนอนใหญ่ที่เแค่มากวาด ๆ ไว้พอไม่ให้มีฝุ่นจับ เตียงนอนใหญ่กลางห้องคงถูกใจแสงตะวัน เธอสำรวจทั้งห้องแล้วก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนชุดเครื่องนอนใหม่ทั้งหมด รวมทั้งม่านหน้าต่างลายดอกไม้ เธอจะเปลี่ยนเป็นลายการ์ตูนที่น้องสาวชอบแทน
แสงตะวันอาจจะมาอยู่แค่ไม่กี่วันแต่เธอก็อยากจะทำให้น้องสาวได้อยู่อย่างสบายและมีความสุข
จรัสตะวันกดเงินสดออกมาเกือบหมื่นบาทจากตู้เอทีเอ็มในห้างสรรพสินค้าใหญ่ประจำจังหวัด เธอไม่ใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตใด ๆ ทั้งสิ้น จะซื้อของซื้ออะไรเธอใช้เงินสดทั้งนั้น หากไม่มีเงินสดคือไม่ซื้อดีกว่า เธอกลัวเป็นหนี้ที่สุดไม่ว่ากรณีใด ๆ แม้แต่รถยนต์ที่เธอใช้ยังเป็นรถมือสองรุ่นเก่าที่ซื้อต่อจากครูโรงเรียนเก่าที่เขาต้องการขายเพื่อซื้อรุ่นใหม่ และอยากได้เงินสดไปดาวน์คันใหม่เท่านั้น ราคามันถูกกว่ารถใหม่ถึงครึ่งหนึ่ง ความจริงเธอมีเงินสดไม่พอและก็ได้น้องสาวอีกนั่นแหละที่คะยั้นคะยอให้เธอซื้อและช่วยออกเงิน
“แสงตะเก็บเงินไว้ซื้อที่ไม่ใช่เหรอ พี่ขึ้นรถเมล์ได้” ความจริงตอนนั้นจรัสตะวันก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัว เพียงแต่เสียดายรถสภาพดี ราคาถูก จึงบอกน้องสาวเพราะแสงตะวันเคยเปรยว่าอยากได้รถสักคันจะได้ไปเยี่ยมแม่สะดวก กลายเป็นว่าน้องสาวกลับต้องการซื้อให้เธอ ไม่ใช่ตัวเอง
“แสงจะย้ายไปทำงานที่ภูเก็ตแล้ว มีรถพี่จะได้ไปเยี่ยมแม่บ่อย ๆ แทนแสง แล้วก็จะหน้าฝนแล้วอย่าลำบากขึ้นรถเมล์เลย”
แสงตะวันทำงานโชว์เต้นรำ เต้นระบำอะไรสักอย่างในผับและรับแสดงตามงานต่าง ๆ จึงมีเวลาว่างไปเยี่ยมแม่ได้มากกว่าเธอซึ่งต้องทำงานประจำ
“ซื้อเถอะพี่จรัส อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย บางวันที่ได้งานดี ๆ วันเดียวแสงหาเงินได้มากกว่าเงินเดือนพี่ทั้งเดือนเสียอีก”
จรัสตะวันรู้ว่าน้องสาวไม่ได้มีเจตนาดูถูก งานแสดงโชว์ที่น้องสาวทำนั้นสามารถทำรายได้ได้อย่างนั้นจริง ๆ ในบางวัน แต่ก็ต้องแลกกับการฝึกซ้อมอย่างหนัก การรักษาความแข็งแรงของร่างกายอย่างเคร่งครัด และการอดทนกับการถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน
“หนูเต้นกินรำกินก็ไม่ได้เต้นบนหัวป้านี่ ลูกสาวป้าเรียนมหาวิทยาลัยแต่ทำไมแต่งตัวเหมือนกระหรี่จัง”
แสงตะวันเป็นคนปากร้าย ใจกล้า ไม่กลัวใคร เธอเคยต่อปากต่อคำกับป้าที่เช่าห้องอยู่ติดกันในตอนที่เริ่มเข้าสู่อาชีพนี้ใหม่ ๆ เมื่อเลือกที่ไปเรียนเต้นโชว์กับคณะการแสดงแทนการเรียนในมหาวิทยาลัย เธอเลือกที่จะใช้ร่างกายทำงานแทนการใช้สมองเพื่อเอาวุฒิปริญญา
ตอนนั้นจรัสตะวันก็ไม่รู้ว่างานที่น้องสาวทำคืออะไร ชีวิตเธออยู่แต่ในกรอบในตำรา คิดว่าอาชีพเต้นรำก็คงมีแต่แบบรุ่นเก่าคือสาวอโกโก้หรือรุ่นใหม่คือโคโยตี้ เวลาไปเยี่ยมน้องสาวที่เช่าห้องอยู่กับแม่แล้วมีคนนินทา เธอก็ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะสู้สายตา จนกระทั่งแสงตะวันมาได้ยินกับหูตัวเองและพาเธอไปดูการทำงานจริง ๆ
“มันเป็นการแสดง ต้องใช้ความแข็งแรงของร่างกาย ต่างประเทศเขามีโรงเรียนสอนได้ใบประกาศเป็นวิชาชีพเลยนะ แต่แสงคงไม่ไปหรอก เรียนกับครูที่นี่เขาก็จบมาจากต่างประเทศ ใบประกาศอะไรแสงไม่เอาหรอก เอาเงินไว้ก่อน”
จรัสตะวันดูการแสดงของน้องสาวแล้วหัวใจแทบวายยามที่เห็นเหวี่ยงตัวไปมาบนผ้า หรือใช้ขาเกี่ยวกับเสาแล้วตวัดตัวไปมา กลัวว่าจะพลาดพลั้งรับอันตรายแต่แสงตะวันก็ทำการแสดงมาหลายปีจนบัดนี้โดยที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุใด ๆ
“แสงทำงานสุจริต ไม่ได้ขายตัวด้วย พี่จรัสไม่ต้องอายใคร แสงมีเงินพอเมื่อไหร่จะพาแม่กับพี่จรัสกลับไปอยู่บ้านเรา”
จรัสตะวันคิดถึงเรื่องราวความหลังที่ทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน แสงตะวันเป็นผู้จุดประกายให้เธอมีความหวังในการมีชีวิตอยู่เสมอ เธอเผลอยิ้มกับชุดผ้าปูที่นอนลายการ์ตูนเรื่องโปรดของน้องสาว โตขนาดไหนแสงตะวันก็ติดการ์ตูนเรื่องนั้น
“ลายนี้ตอนนี้ลดสามสิบเปอร์เซ็นต์นะคะ” พนักงานขายเดินมาบริการ เมื่อเห็นเธอยืนถือกล่องชุดผ้าปูที่นอนนั้นดูอยู่นานแล้ว
“คะ” จรัสตะวันสะดุ้ง เธอปล่อยใจให้คิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว
“ลายนี้ลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ มีครบชุดนะคะ ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนหนุน หมอนข้าง” พนักงานขายพูดซ้ำ จรัสตะวันพลิกดูป้ายราคา และคำนวณราคาในใจคร่าว ๆ แล้วก็ยังตกอยู่เกือบสี่พันบาท
“เอาชุดนี้แหละค่ะ” จรัสตะวันยื่นกล่องให้พนักงาน และหยิบกระเป๋าเงินออกมานับเงินส่งให้โดยไม่ลังเล
ความจริงแล้วชุดผ้าปูที่นอนสี่พันบาทนั้นมันแพงสำหรับตัวเธอเองแต่สำหรับน้องสาวกับลายการ์ตูนที่ชอบแล้วเธอไม่ลังเลที่จะซื้อให้ มันน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เธอเคยได้มา เธอเดินดูของอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับห้องนอนระหว่างรอพนักงานไปคิดเงิน
“อ้าว ครูจรัส เจอกันอีกแล้ว” เสียงใส ๆ ทักทายเธอมาจากด้านหลัง จรัสตะวันหันไปตามเสียงนั้น
“มาซื้อผ้าปูที่นอนเหรอคะ” ครูพัดชาในชุดสวย ยิ่งมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ที่มีแสงไฟสาดสว่างยิ่งทำให้เธอดูสวยผุดผาดน่ามอง จรัสตะวันมองเพลินโดยไม่รู้ตัว
“ครูจรัสคะ” พัดชาเรียกชื่อเธอและหัวเราะด้วยความพอใจ เมื่อจับได้ว่าจรัสตะวันมองเธอไม่วางตา
“คะ ครูพัดชามาทำอะไรคะ” จรัสตะวันรู้ตัวว่ามองคู่สนทนาอย่างเสียมารยาทมากไป แม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีพอใจก็ตาม
“แพทก็เบื่อ ๆ ค่ะ เลยมาเดินดูของแก้เซ็ง เผอิญเห็นไกล ๆ ว่าจะเป็นครูจรัส เลยเดินมาหานี่แหละค่ะ” พัดชาพูดน้ำเสียงสดใส ผิดกับท่าทีเมื่อตอนสายที่เดินออกจากบ้านพักครูมา และการใช้สรรพนามก็ราวว่าสนิทสนมกันดี
“เมื่อกี้เห็นเหมือนครูจรัสซื้อลายนี้ใช่ไหมคะ” พัดชาเป็นคนคุยเก่ง ทำให้จรัสตะวันที่ไม่ค่อยถนัดกับการคุยกับคนที่ยังไม่สนิทนั้นคลายความอึดอัดลง
“ใช่ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ตามนิสัยที่ไม่ชอบเล่ารายละเอียดส่วนตัวในชีวิตให้ใครรู้
“ครูชอบเหรอคะ” พัดชาหยิบกล่องผ้าปูที่นอนนั้นมาพลิกดูไปมา
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ซื้อให้น้องสาว เขาชอบ” จรัสตะวันตอบ
“อุ๊ย ลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ด้วย รัญเขาก็ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ค่ะ” พัดชาไม่ได้ฟังที่จรัสตะวันตอบด้วยซ้ำ แต่คำพูดที่พูดออกมานั้นบ่งบอกว่าสนิทสนมกับรัญรัมภามากเพียงใด ก็คนเคยเป็นอะไรกันมาก่อนก็ย่อมต้องรู้ใจกันเป็นธรรมดา
“ค่ะ” จรัสตะวันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
“น้องจ้ะ พี่เอาชุดนี้ชุดหนึ่งนะ” พัดชาเรียกพนักงานขายที่ยืนอยู่แถวนั้นมาส่งกล่องและบัตรเครดิตให้
“ครูจรัสรีบไปไหนหรือเปล่าคะ” พัดชาหันกลับมาชวนคุยต่อ พอดีกับที่พนักงานเอาถุงใส่ของและเงินทอนมาให้จรัสตะวัน
“ไม่รีบหรอกค่ะ แค่มาซื้อของให้น้องสาวนิดหน่อย” จรัสตะวันรับของและเงินทอนแล้วจึงตอบพัดชา
“ดีเลยค่ะ ไปนั่งดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วนะคะ เราแทบจะไม่ได้ทำความรู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ เลย”
เมื่อคนชวนพูดตรง ๆ แบบนี้ จรัสตะวันก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ทั้งที่เธอไม่ค่อยมั่นใจในการคุยกับครูพัดชานัก ยิ่งอยู่ใกล้เธอยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองต่ำต้อยกว่าอย่างชัดเจนไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา การแต่งกายหรืออะไรบางอย่าง
“มีร้านกาแฟเปิดใหม่ อร่อยมาก แพทเลี้ยงเอง” เมื่อเห็นว่าจรัสตะวันไม่ตอบทันใจ พัดชาก็ใช้วิธีตีขลุมว่า
จรัสตะวันต้องไปโดยไม่มีทางปฏิเสธ
“ค่ะ ๆ ดีเหมือนกัน” จรัสตะวันตอบตกลง โดยในใจยังพะวงกับความคิดของตัวเอง นี่เธอไปเอาความคิดที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ชีวิตเธอจะมีไม่เท่าคนอื่นแต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกด้อยกว่าคนอื่นเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายแบบนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเปลือกทั้งนั้นหาใช่แก่นแท้ในชีวิตเลย
แต่มองอย่างไรพัดชาก็สวยกว่าเธอ สดใสกว่าเธอ และดูมีอะไรดีกว่าเธออยู่ดี
“ไม่รู้เป็นอย่างไงนะคะ แพทรู้สึกอยากคุยกับครูจรัสจัง”
เมื่อสั่งกาแฟเรียบร้อยแล้ว พัดชาก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาเหมือนเดิม
“ทำไมคะ” จรัสตะวันพูดสั้น ๆ ตามแบบของเธอ พัดชาจ้องมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนที่จะตอบ
“ไม่รู้สิคะ แพทรู้สึกว่าครูจรัสไว้ใจได้อย่างไงไม่รู้”
คำตอบของพัดชายิ่งทำให้จรัสตะวันสงสัยเข้าไปอีก ความไว้ใจได้หรือไว้ใจไม่ได้มันดูกันง่ายขนาดนี้เชียวหรือ เกิดมาเธอยังไม่เคยเจอใครแบบนี้ ขนาดคนที่คบหากันมาจนคิดว่าจะไว้ใจได้ยังทรยศกันได้ง่าย ๆ
“ไว้ใจเรื่องอะไรล่ะคะ เราคงไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความไว้ใจกันหรอกค่ะ” จรัสตะวันยังคิดไม่ออกว่าเธอจะมีอะไรที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับพัดชา นอกจากในฐานะเพื่อนร่วมอาชีพ
“ไม่ใช่จะมีเรื่องอะไรหรอกค่ะ แค่แพทรู้สึกว่าอยากเป็นเพื่อนกับครูจรัส แบบเป็นเพื่อนจริง ๆ นะคะ ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน”
วันนี้เป็นวันผันผวนชีวิตของเธอหรือไงจึงมีเรื่องให้คาดไม่ถึงตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ อยู่ดี ๆ ครูพัดชาก็มาขอเป็นเพื่อนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยมาก่อน จรัสตะวันนั่งเงียบไป เธอไม่รู้จะตอบรับหรือตอบอย่างไร ความที่เป็นคนมีหลักการในชีวิตทำให้ต้องคิดเกือบทุกคำพูดก่อนที่จะพูดออกไป
“ นะ ครูจรัส เรามาเป็นเพื่อนกัน” เมื่อจรัสตะวันไม่ตอบ พัดชาก็ใช้วิธีการยกแก้วกาแฟชูขึ้นมา จรัสตะวันจึงใช้วิธีการยกแก้วกาแฟของตัวเองไปชนเป็นการตอบตกลง
“แพทดีใจจังเลย ครูจรัสเบอร์โทรอะไรคะ เดี๋ยวแพทโทรเข้าไป”
จรัสตะวันตั้งรับอะไรไม่ทันสักอย่าง บอกหมายเลขโทรศัพท์แล้วก็บันทึกหมายเลขที่โทรเข้ามา หลังจากนั้นพัดชาก็เป็นฝ่ายชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เธอมีหน้าที่ฟังและตอบคำถามสั้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนพัดชาจะมีความสุขที่ได้เพื่อนแบบเธอ เพื่อนที่ยินดีเป็นฝ่ายรับฟังทุกอย่าง
จนกาแฟหมดแก้ว พัดชาก็ยังมีเรื่องคุยได้ไม่หยุด
“วันนี้จรัสทำให้แพทหายเหงาไปเยอะเลย” พัดชาสามารถใช้คำเรียกชื่อเธอได้อย่างสนิทสนมในเวลาอันรวดเร็ว
“พึ่งแต่งงานไม่น่าเหงา” จรัสตะวันก็คิดเหมือนทุกคนว่าคนที่พึ่งแต่งงานใหม่ ๆ ไม่น่าเหงา
“จรัสพูดเหมือนรัญเลย” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของพัดชาสลดวูบทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่จรัสตะวันพูด
“ฉันขอโทษ ครูแพท” จรัสตะวันรู้สึกแปลก ๆ ในใจและรู้สึกผิดกลาย ๆ ที่พูดออกไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“ไม่เป็นหรอก แพทพูดว่าเหงากับใครทุกคนก็ตอบเหมือนกันหมดแบบนี้แหละ” พัดชาเปลี่ยนน้ำเสียงกลับมาสดใสได้อย่างรวดเร็ว
“สั่งสมูตตี้มากินกันอีกสักแก้วดีกว่า” พัดชายกมือเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่มโดยที่จรัสตะวันไม่ทันได้คัดค้าน
“มีอาหารจานเดียวด้วย จรัสหิวไหม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วกินข้าวด้วยกันเลยนะ” พัดชาเปลี่ยนใจและเปลี่ยนแปลงเมนูจนจรัสตะวันตามไม่ทันอีกครั้ง
เธอจึงสั่งส่ง ๆ ไปเป็นอาหารง่าย ๆ กินเล่น ๆ ในขณะที่พัดชาสั่งเป็นอาหารจานหลักมาทาน
“กินอย่างนี้นี่เองถึงผอม หุ่นดีเชียว” พัดชามองมาที่รูปร่างเธอตรง ๆ
“ครูแพทก็ไม่อ้วนนี่” จรัสตะวันตอบตามความจริง พัดชาไม่ได้อ้วนแต่มีน้ำมีนวลผุดผ่องไปทั้งตัวต่างหาก
“ลองไม่คุมอาหาร ไม่เข้าฟิตเนสทุกวัน ไม่ไปนวดละลายไขมันที่สปาสิ ป่านนี้เป็นตุ่มเดินได้แล้ว” ทั้งหมดที่พัดชาพูดมาล้วนเป็นสิ่งที่จรัสตะวันไม่เคยเฉียดกรายไปใกล้เลยสักครั้งในชีวิต
“แล้วเอาเวลาไหนไปทำพวกนี้” จรัสตะวันสงสัย ใครว่าเป็นครูมีหน้าที่แค่สอนหนังสือ จริง ๆ แล้วต้องทั้งเตรียมการสอน ตรวจการบ้าน ทำงานอย่างอื่นที่ได้รับมอบหมายจนแทบจะไม่มีเวลาหายใจหายคอแล้ว
“ก็หลังเลิกเรียนไง ยิ่งตอนนี้ย้ายมาอยู่ในเมืองแล้วยิ่งสะดวก แต่จะว่าไป จริง ๆ แล้วแพทชักอยากกลับไปอยู่ที่โรงเรียนเก่ามากกว่าแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะคะ” ยิ่งคุยกันจรัสตะวันยิ่งไม่เข้าใจความคิดของพัดชาที่แกว่งไปแกว่งมา คำถามสั้น ๆ ของจรัสตะวันครั้งนี้ทำให้พัดชาต้องครุ่นคิดอยู่นาน และคำตอบที่ตอบออกมาก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างมากนัก
“แพทแค่รู้สึกว่าตัดสินใจบางอย่างผิดพลาดไป ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ก็อยากจะย้อนกลับไป”
“ครูแพทมีปัญหาอะไรกับโรงเรียนที่นี่หรือเปล่าคะ” จรัสตะวันต้องรู้ปัญหาก่อนจึงจะให้คำแนะนำได้
“เรื่องงานไม่มีปัญหาหรอก แต่มันเป็นปัญหาส่วนตัวของแพทเองมากกว่า”
พอพูดว่าเป็นปัญหาส่วนตัว จรัสตะวันก็นิ่งเงียบอีกครั้ง เธอไม่ใช่คนที่ช่างซักและอยากรู้เรื่องราวส่วนตัวของใครมากนัก นอกจากเจ้าตัวอยากจะบอกเอง
“แพทรู้สึกไว้ใจจรัสนะ ถึงพึ่งจะได้คุยก็เถอะ จรัสจะฟังแพทพูดได้ไหม” พอคนฟังเงียบกลายเป็นเจ้าของปัญหาต้องเกรงใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง
“ถ้าช่วยให้ครูแพทสบายใจ ฉันก็ยินดีฟังค่ะ” จรัสตะวันพูดง่าย ๆ และแสดงความใส่ใจที่จะฟังอย่างตั้งใจ พอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟจึงเป็นช่วงเวลาให้พัดชาได้หยุดพักเรียบเรียงความคิด ก่อนที่จะเล่าออกมา
“จรัสรู้เรื่องแพทกับรัญดีแล้วใช่ไหม” พัดชาเริ่มต้นตรง ๆ จรัสตะวันพยักหน้าแทนการพูดออกมาเพื่อให้พัดชาเล่าต่อไปเรื่อย ๆ
สิ่งที่พัดชาเล่าเหมือนชิ้นส่วนที่มาต่อจิ๊กซอว์ให้เต็ม เรื่องราวที่เคยได้ยินมาแหว่ง ๆ วิ่น ๆ ก็ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกัน รัญรัมภากับพัดชาเป็นคู่รักที่รักกันมาก หากแต่บทบาทหน้าที่ของครูทำให้พัดชาต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้จึงไม่สามารถที่เปิดเผยได้มากนัก ในขณะเดียวกันความเป็นหมอของรัญรัมภาที่ให้คนไข้สำคัญกว่าเรื่องใด หากมีคนไข้ฉุกเฉินแม้จะแต่งตัวเตรียมไปเที่ยวด้วยกันแล้ว รัญรัมภาก็ยกเลิกทันที สิ่งเหล่านี้พัดชาก็เข้าใจ ยอมรับได้ แต่วันหนึ่งเธอต้องการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบที่ขัดแย้งกับความต้องการของรัญรัมภา ปัญหาที่ไม่เคยคุยกันได้เข้าใจก็ทำให้ความรักเจือจางไปกับปัญหานั้น และคนที่ให้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการได้ก็ก้าวเข้ามา
“ตอนนั้นแพทไม่รู้หรอกว่ารักคืออะไร รู้แต่ว่ามันเบื่อหน่าย อยากไปให้พ้นจากสิ่งแวดล้อมที่มันไม่มีอะไรน่าสนใจ ยอมรับนะว่าใช้ชีวิตแบบจรัสไม่ได้ จะให้ไปปลูกผัก เลี้ยงปลา เดินลัดทุ่งนาไปเยี่ยมบ้านนักเรียน แพทไม่ไหว”
พัดชาสารภาพความเป็นตัวเองออกมาตรง ๆ
“เรื่องอาหารการกินก็เป็นปัญหา บางเวลาอยากกินสเต็กส์ กินอาหารญี่ปุ่น ก็ต้องคอยวันหยุดเสาร์อาทิตย์ถึงจะมีเวลาขับรถเข้ามาในเมือง”
จรัสตะวันนั่งฟังด้วยความเห็นใจ แม้ปัญหาของพัดชาจะเป็นชีวิตธรรมดาที่ทำให้เธอมีความสุขด้วยซ้ำ ความสุขของคนเรามันต่างกัน เธอเข้าใจจึงไม่ได้นึกตำหนิสิ่งที่พัดชาพูดสักนิด
“ที่จริงแพทขอย้ายมาได้โดยไม่จำเป็นต้องแต่งงานหรอกนะ แต่ตอนนั้นแพทต้องการชีวิตปกติที่ไม่ต้องคอยปิด ๆ บัง ๆ จะเปิดเผยก็ได้ไม่เต็มที่ จะปิดบังคนเขาก็รู้กันทั่วแล้ว แล้วคนที่เข้ามาเขาก็มีเวลาให้เต็มที่ เขามีความคิดในการดำเนินชีวิตแบบเดียวกัน เขาให้ชีวิตในแบบที่แพทต้องการการได้ทุกอย่าง”
“แล้วทำไมครูแพทถึงยังเหงาล่ะคะ” จรัสตะวันซักขึ้นมาเป็นครั้งแรก หลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน
“ชีวิตครอบครัวมันมีเหตุผลซับซ้อนหลายอย่างนะ และสิ่งสำคัญคือความเหมือนกันเกินไป” พัดชาพูดด้วยความเจ็บปวด จรัสตะวันไม่เข้าใจ ความเหมือนน่าจะทำให้คนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ
“เราเหมือนกันตรงที่ทะเยอทะยานในชีวิต เหมือนกันตรงที่ให้ความสำคัญกับการมีวัตถุเยอะ ๆ เหมือนกันตรงที่ต้องการใช้ชีวิตในแบบที่คิดว่าเหนือกว่าชาวบ้านทั่วไป จนกระทั่งเราแทบจะไม่เหลือหัวใจที่อ่อนโยนต่อกัน กลายเป็นหน้าตาในสังคมสำคัญที่สุด”
จรัสตะวันฟังเรื่องราวของพัดชาที่เธอรู้สึกว่ามันมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ แต่เธอก็ยังยินดีเป็นผู้ฟังที่ดีให้พัดชาได้เล่าระบายต่อไป
“ตอนนี้แพทรู้แล้วล่ะว่าจริง ๆ แพทต้องการอะไร” พัดชาพูดแล้วก็หันไปมองบรรยากาศในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ผู้คนขวักไขว่ ร้านค้าหรูหรามากมาย
“แพทเบื่อแล้วล่ะที่จะต้องมาใช้วันหยุดอยู่แต่ในนี้ แต่มันก็ไม่มีที่ให้ไป เมื่อเช้าพอกลับมาจากบ้านจรัส แพทก็ไปสปา เดี๋ยวสักพักก็จะไปฟิตเนสที่ชั้นบนนี่แหละ วันหยุดก็อยู่แค่นี้”
จรัสตะวันพยักหน้าเข้าใจ
“ไม่รู้ว่าชีวิตคู่แพทจะอยู่ด้วยกันอีกนานแค่ไหน ตอนนี้ก็แทบจะต่างคนต่างอยู่ เขาต้องตามนายไปนู่นไปนี่ตลอด”
จรัสตะวันก็ยังได้แต่รับฟังด้วยความเห็นใจ ใครจะไปคิดว่าชีวิตของครูพัดชาที่น่าจะมีความสุขกับชีวิตคู่ข้าวใหม่ปลามัน แท้จริงนั้นความทุกข์มันถูกความสุขฉาบไว้ด้วยใบหน้าที่สดสวยด้วยเครื่องสำอางและเสื้อผ้าราคาแพงแบบนี้
“พูดในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันแล้ว และแพทก็รู้สึกไว้ใจจรัสเลยนะว่าแพทยังรักรัญอยู่มากเหมือนเดิม ไม่มีวันไหนที่จะไม่คิดถึง แพทรู้แล้วล่ะว่าคนที่แพทรักและต้องการจริง ๆ ก็คือรัญ”
คำบอกเล่าสุดท้ายที่พัดชาสรุปมานั้นมันมีความหมายอื่นใดที่มากไปกว่าเรื่องที่อยากเล่าหรือเปล่า
“แพทเชื่อว่ารัญยังรักแพทอยู่ เพราะถ้าเขาไม่รักป่านนี้ก็คงมีใครใหม่ไปแล้ว แพทจะกลับไปหารัญ”
จรัสตะวันไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน เพราะพัดชาเป็นฝ่ายให้คำตอบมาเองเสร็จสรรพ และเธอก็ทำได้แต่เพียงรับทราบเท่านั้น
“แล้วแพทจะโทรไปหานะ” พัดชากล่าวลาเธอก่อนที่ขึ้นไปออกกำลังที่ฟิตเนสชั้นบน ส่วนเธอก็มาหาซื้อผ้าม่านผืนใหม่ไปเปลี่ยนให้ห้องนอนของน้องสาว หลังจากนั้นไปซื้อของใช้ภายในบ้านอีกไม่กี่อย่างแล้วก็กลับบ้าน
ผ่านไปอีกหนึ่งวันอันสับสนวุ่นวาย พาลทำให้จิตใจเธอฟุ้งซ่านไปด้วย โดยเฉพาะคำพูดของพัดชาก่อนที่จะเป็นคำพูดลากัน ครั้นเมื่อแกะผ้าปูที่นอนที่ซื้อมาใหม่ออกมาเพื่อเอาไปซัก เธอก็ยังนึกได้ที่พัดชาพูดว่ารัญรัมภาก็ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ ทำไมต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรัญรัมภามารบกวนชีวิตและจิตใจเธอด้วย
“เขาจะกลับมาคืนดีกันแล้วเกี่ยวอะไรกับเรา”
“ถ้าเขากลับมาคืนดีกัน รัญรัมภายังจะเอากอหญ้ามาฝากเธอเลี้ยงอยู่ไหม”
จรัสตะวันพยายามไล่ความคิดที่เกี่ยวข้องกับรัญรัมภาออกไปด้วยการซักผ้าปูที่นอนใหม่ ทำความสะอาดบ้านยกใหญ่เพื่อจะได้ไม่คิดวุ่นวายกับเรื่องไร้สาระ แต่เหมือนยิ่งไล่ก็ยิ่งมารบกวนตลอดเวลา คิดไปคิดมาจะจับจุดได้ว่าทั้งรัญรัมภาและพัดชามีอารมณ์เปลี่ยนไปมาไม่แน่นอนเหมือนกัน แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่ดี
สิ่งเดียวที่เธอจะยอมเกี่ยวข้องกับรัญรัมภาก็คือการหาทางช่วยเหลือสุภาเท่านั้น เธอไม่ต้องการมีความผูกพันใด ๆ กับใครอีกแล้ว
:26: :26: :26: