ตอนที่ 11
ไปรับน้องสาวมาส่งไว้ที่บ้านพักแล้วจรัสตะวันก็รีบกลับมาสอนต่อ เธอไม่อยากใช้เวลาราชการไปทำธุระส่วนตัวโดยไม่จำเป็นมากนัก แต่ตรงกันข้ามเธอกลับใช้เวลาส่วนตัวสำหรับทำงานราชการมากกว่า ทั้งที่ทำไปก็ใช่ว่าจะได้เงินเดือนเพิ่มหรือการประเมินที่ดีเยี่ยมกว่าคนอื่น แต่เธอก็ทำด้วยใจเป็นสุขที่เห็นงานเสร็จเรียบร้อยดี คงเป็นเพราะคำสอนของครูท่านหนึ่งตั้งแต่สมัยเรียนประถมศึกษา เย็นวันนั้นเธอไปกราบขอบพระคุณที่ครูท่านนั้นหาทุนให้เธอเรียนต่อจนได้ เธอไปพบครูกำลังล้างกล่องนมโรงเรียนที่นักเรียนกินแล้วทิ้งมาตัดและล้างทำความสะอาดอยู่ที่โรงอาหาร
“ครูจะเอาไปบริจาคให้ที่เขาเอาไปทำหลังคาให้โรงเรียนที่ยากไร้จ้ะ” ครูท่านนั้นอธิบายด้วยความเมตตาเมื่อเธอถามด้วยความสงสัย หลังจากนั้นท่านก็อบรมสั่งสอนให้เธอตั้งใจเรียน อดทน เพราะถือว่าเธอยังได้โอกาสมากกว่าคนอื่น ให้คิดถึงโรงเรียนที่ห่างไกลยากไร้ที่ครูจะเอากล่องนมไปบริจาคสำหรับทำหลังคานี้ แสดงว่ายังมีคนที่ลำบากกว่า อย่าหลงไปกับความฟุ้งเฟ้อของสังคมวัตถุนิยม ตอนนั้นเธอก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็จำทุกคำสินได้ดี โดยเฉพาะเรื่องการทำงานจากการล้างกล่องนมของครูและเธอก็ช่วยล้างจนเสร็จ
“ทำไมครูไม่ให้ภารโรงล้างล่ะคะ” จรัสตะวันถามตามประสาซื่อว่าคนเป็นครูไม่ควรมาทำงานแบบนี้ งานซักล้าง ทำความสะอาดควรเป็นหน้าที่ของภารโรงมากกว่า
“ทำไมครูจะล้างไม่ได้ล่ะ” ครูท่านนั้นถามกลับมายิ้ม ๆ ด้วยความเมตตา
“ก็ครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ งานของครูคือสอนหนังสือ อบรมคนให้เป็นคนดี” เธอตอบตามที่ได้เรียนมาจากตำราเรียนว่าแต่ละอาชีพมีหน้าที่อะไร ครูท่านนั้นยังคงยิ้มอย่างใจดีและอธิบายกึ่งสอนเธอไปในตัว
“การทำงานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเองเสมอ คนเราควรทำงานได้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นหน้าที่ใคร แต่หน้าที่ตามแต่ละอาชีพของเรานั้นเป็นหน้าที่หลักที่เราต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุดก่อน”
เพราะเป็นการสอนและลงมือทำให้เห็น จรัสตะวันจึงยึดถือคำสอนและการทำงานแบบครูท่านนั้นเป็นแนวทางเสมอ เมื่อคิดถึงคำสอนท่านก็ทำให้นึกได้ว่าตั้งแต่ย้ายกลับมาสอนที่นี่เธอยังไม่ได้ไปกราบสวัสดีท่านเลยทั้งที่เป็นสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำเป็นอันดับแรก แต่พอมาถึงจริง ๆ เธอก็วุ่นวายกับงานอื่นจนหลงลืมไป เธอแค่หลงลืม ไม่ใช่ไม่ใส่ใจเหมือนอย่างที่เคยถูกต่อว่าบ่อย ๆ จากคนที่เธอควรให้ความสำคัญ
“จรัสไม่เคยจำวันเกิดเรา ไม่เคยจำว่าเราชอบอะไร เกลียดอะไร ไม่เคยใส่ใจว่าเราจะเป็นอย่างไง หรือจรัสอาจจะไม่เคยจำเลยก็ได้ว่ายังมีเราอยู่บนโลกนี้ สิ่งเดียวที่จรัสให้ความสำคัญก็มีแต่งานเท่านั้น”
คำพูดต่อว่าที่รุนแรงทางโทรศัพท์นั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอถูกต่อว่า เหลือบไปมองปฏิทินที่กากบาทวันที่ไว้แล้วก็พบว่าสายเกินไปที่จะเอ่ยคำขอโทษที่เธอลืมวันเกิดของคนที่บอกตัวเองว่าเขาสำคัญ
“เราจะไม่เรียกร้องอะไรจากจรัสอีกแล้ว และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะโทรมารบกวน”
ตอนนั้นเธอจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไปบ้างและคำลาสุดท้ายคืออะไร เขาหายไปจากชีวิตจริง ๆ และเธอก็หยิ่งพอที่จะไม่ติดตามหรืองอนง้อขอโทษ แม้จะเสียใจจนเกือบจะไม่เป็นอันทำการทำงานแต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ตอกย้ำชีวิตว่าโลกความฝันอันสายงามนั้นไม่มีวันเป็นจริงในชีวิตเธอ
“จรัสอยากทำงานให้เต็มที่ แล้วตอนนี้ก็เรียนต่อปริญญาโทอยู่ด้วย เข้าใจจรัสนะว่าคงไม่มีเวลาเหมือนคนอื่น”
“เราเข้าใจ และจะเป็นกำลังใจให้จรัสทำความฝันให้เป็นจริงให้ได้ จรัสจำไว้นะว่าจะมีเราอยู่ข้าง ๆ เสมอ”
คำพูดเมื่อครั้งที่คบกันใหม่ ๆ และครั้งสุดท้ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และเธอก็พบว่าคนที่อยู่เคียงข้างและเข้าใจความรู้สึกของเธออย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่งวันที่เธอเข้มแข็งดีแล้ว แสงตะวันก็ยังแสดงความเข้าใจชีวิตมากกว่าเธอ
“แสงไม่ต้องห่วงพี่หรอก พี่ไม่เป็นไรแล้ว ต่อไปนี้พี่จะไม่รักใครอีก ความรักเป็นเรื่องไร้สาระ” เธอพูดอย่างเหยียดหยามความรัก และคิดว่าแสงตะวันจะเห็นด้วย เพราะตลอดเวลาที่ต้องคอยปลอบใจ ให้กำลังใจเธอนั้น คำพูดของน้องสาวล้วนแต่อคติกับความรักทั้งสิ้น แต่ครั้นเมื่อเธอทำใจได้กลับเปลี่ยนคำพูดใหม่
“ความรักไม่ไร้สาระหรอกนะ ถ้าเรารักให้เป็น มองให้เห็นความรักที่แท้จริงว่ามันคือความรักไม่ใช่แค่ความหลง ที่ผ่านมาสิ่งที่พี่จรัสเจอเป็นแค่ความหลงแค่นั้นแหละ”
แต่ไม่ว่าน้องสาวจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดและหัวใจที่เฉยชาต่อความรักของเธอได้ เธอไม่สนใจใครอีกจนกระทั่งบัดนี้
“หมอรัญ” อยู่ ๆ ชื่อนี้ก็แวบเข้ามาในความคิด จนเธอเผลอสะดุ้งตกใจพร้อมกับได้ยินเสียงนักเรียนเรียกเธอ
“ครูคะ ครู ครู”
จรัสตะวันเงยหน้าขึ้นมองนักเรียนที่ยืนถือหนังสือเรียนอยู่ตรงหน้าโต๊ะครู
“เภตรา มีอะไรคะ” เธอต้องไล่ทุกความคิดออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงหน้าที่ที่ต้องทำตอนนี้เท่านั้น
“ครูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หนูเรียกตั้งนานแล้ว” เภตราเป็นเด็กช่างสังเกตอยู่แล้วจึงเห็นความผิดปกติของเธอได้ไม่ยาก หรือแม้แต่เด็กที่ไม่ค่อยสนใจเรียนก็เห็นความผิดปกติของเธอได้ เมื่อมองผ่านเภตราไปก็พบว่านักเรียนทั้งห้องเงียบกริบและมองมาที่เธอจุดเดียว
เธอต้องพยายามตั้งสติอีกครั้ง พักนี้เธอปล่อยให้ความคิดของตัวเองสับสนวุ่นวายอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้คิด
“ว่าไงคะ สงสัยอะไร” เธอไม่ตอบคำถามลูกศิษย์ แต่เปลี่ยนความสนใจมาที่บทเรียนแทน
“โจทย์ข้อนี้ค่ะ พวกหนูไม่เข้าใจ หาตัวอย่างในหนังสือก็ไม่มี” เภตราวางหนังสือเรียนลงบนโต๊ะและชี้ให้ดูข้อที่มีปัญหา
จรัสตะวันพยักหน้าและบอกให้เภตรากลับไปนั่งที่ เธอหยิบหนังสือคู่มือของเธอลุกไปแสดงวิธีทำทุกขั้นตอนบนกระดานหน้าห้องและอธิบายอย่างละเอียดให้นักเรียนทั้งห้องเข้าใจ แต่ก็รู้ตัวดีว่าจิตใจยังไม่มีสมาธิดีนัก สิ่งที่อธิบายนักเรียนไปก็มาจากประสบการณ์ที่เคยสอนมาแล้วทั้งนั้น
“เย็นนี้มีนัดไปเยี่ยมสุภากับหมอรัญ”
ใจสั่นระรัวขึ้นมาโดยไม่สาเหตุเมื่อคิดถึงนัดในเวลาหลังเลิกเรียนวันนี้ เสียงของนักเรียนที่ซักถามมาเป็นระยะ ๆ ทำให้เธอไม่มีเวลาพะวงกับเรื่องนัดได้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะตื่นเต้นทำไมกับการไปเยี่ยมสุภาวันนี้ คงเป็นเพราะคาดหวังว่าจะได้ข่าวดีว่าสุภาจะได้รับการผ่าตัดก็ได้ เธออยากให้สุภากลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไปเร็ว ๆ คงเป็นเพราะเหตุนี้
เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น พร้อม ๆ กับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของนักเรียนดังขึ้นพร้อมกันทั้งโรงเรียน
จรัสตะวันต้องพูดเสียงดังย้ำเรื่องการบ้านที่สั่งทั้งที่รู้ว่าใจของนักเรียนนั้นโลดแล่นออกไปนอกห้องเรียนหมดแล้ว อย่าว่าแต่ใจของนักเรียนเลย ใจของเธอเองก็เต้นไม่เป็นส่ำเหมือนกันที่ใกล้เวลานัดเข้ามาทุกที เป็นความรู้สึกที่เธอไม่ชอบเลย
โรงเรียนเลิกแล้ว เด็กนักเรียนต่างทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนตามความสนใจของตัวเอง บางกลุ่มทำการบ้าน บางกลุ่มไปเล่นกีฬา บางกลุ่มก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน บางกลุ่มก็รีบไปเรียนพิเศษ บางกลุ่มก็เดินเล่นไปมา เป็นภาพที่ชินตาไม่ว่าจะไปสอนที่ไหน เหมือนละครที่ฉายฉากเดิมซ้ำ ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จรัสตะวันก็ยังคงทำหน้าที่และแสดงบทบาทเดิม ๆ หลังเลิกเรียนเธอจะมานั่งทำงานหรือตรวจการบ้านนักเรียนที่ห้องพักครูจนเรียบร้อยก่อนที่จะไปดูแปลงผัก บ่อปลา เล้าไก่ที่มอบหมายให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนกันไปดูแล
แต่วันนี้เธอกลับไม่มีสมาธิที่จะทำงานได้เหมือนเดิมจากอาการที่เริ่มรู้สึกมาตั้งแต่ก่อนเลิกเรียนและยังรบกวนจิตใจจนไม่สามารถทำงานต่อไปจึงคิดว่าควรจะกลับไปที่บ้านพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและคุยกับน้องสาวระหว่างที่รอเวลาดีกว่า เผื่อว่าจิตใจจะกลับมาเป็นปกติได้ เธอจัดกองการบ้านนักเรียนแล้วก็ลุกขึ้นพูดลาง่าย ๆ กับอาจารย์ในหมวดวิชาเดียวกันอีกสามคนที่นั่งทำงานอยู่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าทันทีที่เสียงฝีเท้าเธอห่างออกไป สามคนที่ทำเหมือนต่างคนต่างทำงานของตัวเองนั้นก็หันหน้ามาคุยกันเรื่องของเธอทันที
การไม่รู้เรื่องที่บั่นทอนจิตใจบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดี จรัสตะวันเดินกลับมาที่บ้านด้วยความคิดที่ฟุ้งซ่านน้อยลงเมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่เธอและหมอกำลังร่วมมือกันนี้มีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อช่วยเหลือสุภาให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติดังเดิม โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดมากไปกว่านี้ แต่ทันทีที่เดินมาถึงจุดที่มองเห็นตัวบ้านได้สายตาก็เจอกับรถยนต์ของรัญรัมภาจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านแล้ว นั่นทำให้เธอหยุดชะงักโดยอัตโนมัติ
หมอมาก่อนเวลานัดโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว แต่พอนึกได้ว่าจะต้องตั้งตัวอะไรเพราะก็นัดไว้ล่วงหน้าตั้งสามวันแล้ว จรัสตะวันถอนหายใจและหลับตานิ่ง ๆ เพื่อรวบรวมสติสัมปชัญญะ เธอเป็นบ้าอะไรไปทำไมต้องฟุ้งซ่านวุ่ยวายกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีเธอก็ตั้งสติได้เดินตรงไปที่บ้านพัก
ยังไม่ประตูบ้านดีก็มีเสียงหัวเราะของสองเสียงประสานกัน และที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านนั้นก็มีแสงตะวันและรัญรัมภากำลังนั่งคุยกันพลาง ดูกอหญ้าไล่งับผีเสื้อไปพลาง เสียงหัวเราะนั้นมาจากท่าทางของกอหญ้าที่พยายามจะงับผีเสื้อให้ได้และกลายเป็นการไล่งับอากาศตลอดเวลา
เธอไม่แปลกใจนักที่แสงตะวันจะพูดคุยกับคนแปลกหน้าได้เสมือนว่ารู้จักกันมานาน แสงตะวันมีอัธยาศัยดีและเข้ากับคนได้ง่ายแต่ที่แปลกใจที่รัญรัมภาก็ทำท่าเหมือนรู้จักกับน้องสาวเธอมานานเหมือนกัน ซึ่งเธอมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ แสงตะวันไปทำงานที่ภูเก็ตหลายปีมากกว่าเวลาที่รัญรัมภามาทำงานที่นี่
“พี่จรัส” แสงตะวันเงยหน้ามาเห็นเธอที่หยุดยืนอยู่หน้าบ้าน จรัสตะวันเลื่อนประตูเดินเข้าไปโดยพยายามทำสีหน้าและท่าทางให้ปกติที่สุด
“หมอมารอได้สักพักแล้วค่ะ” แสงตะวันพูดต่อโดยที่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร
“พอดีวันนี้คนไข้น้อย หมอเลยมาก่อนเลิกงาน” รัญรัมภาพูดต่อโดยที่เธอยังไม่ได้ถามเช่นกัน
และเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไร เธอไม่ได้อยากรู้หรอกว่าหมอมาตั้งแต่เมื่อไหร่และมาได้อย่างไร แต่ที่แปลกใจคือทำไมถึงมานั่งคุยกับน้องสาวเธอได้สนิทสนม
“ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยนะคะ” จรัสตะวันไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีไปกว่านี้ เธอไม่ใช่คนที่ช่างคุยเหมือนน้องสาว เดินเข้าบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองที่ความจริงก็ไม่ได้ลำลองนัก และหากเทียบกับชุดที่ครูพัดชาใส่แล้วยิ่งเหมือนเกิดมาคนละยุค
“บ้าน่า” เธอสบถตัวเองในใจเมื่อปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่านกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกครั้ง ทำไมต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีหายไปไหน เราสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อปกปิดร่างกายไม่ใช่หรือ
วันนี้เธอต้องรวบรวมสติและสมาธินับครั้งไม่ถ้วนโดยที่หาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ อะไรกันที่ทำให้เธอกลับมาคิดถึงความรักไร้สาระแบบนี้ ความรักจากคนอื่นไม่มีจริงในโลกนี้ .. เธอย้ำกับตัวเองอีกครั้งก่อนที่ไปเยี่ยมสุภาตามที่นัดไว้
แสงแดดยามบ่ายใกล้ค่ำกำลังอบอุ่นพอดี แต่สำหรับคนที่จิตใจไม่ปกติสุขกลับรู้สึกว่ามันยังร้อนอยู่มากจนอยากจะเดินให้พ้นจากความร้อนของแสงแดดให้เร็วที่สุด จรัสตะวันเดินตามคันนานำหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยความคุ้นเคยกับเส้นทาง ส่วนรัญรัมภายังไม่กล้าเดินเร็วนัก แม้จะเคยเดินตามคันนาแบบนี้มาแล้วแต่ก็ยังไม่คล่องแคล่วเท่าจรัสตะวันที่เดินนำหน้าไปโดยไม่คิดหันหลังกลับมาดู อีกทั้งเธอยังต้องสะพายกระเป๋าแพทย์สนามไปด้วยเพราะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว ไม่อยากไปรบกวนยืมจากโรงพยาบาลในชุมชนเหมือนครั้งที่แล้ว
นึก ๆ แล้วก็อยากให้กอหญ้าตามมาเหมือนครั้งที่แล้ว อย่างน้อยจะได้มีเรื่องให้ครูจรัสหันมาคุยกับเธอบ้าง แต่
แสงตะวันอาสาดูแลกอหญ้าให้ และบรรดาหมาใหญ่ก็ถูกจับไปขังเตรียมอดข้าวอดน้ำเพื่อทำหมันในวันพรุ่งนี้ ไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่เธอนัดมาเยี่ยมสุภาวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่รู้สึกว่าครูจรัสจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แม้แต่จะพูดทักทายกันสักคำก็ไม่มี ผิดกับแสงตะวันที่เมื่อเห็นรถเธอมาจอดหน้าบ้านก็ออกมาทักทายถามไถ่ พอรู้ว่าเธอเป็นใครและมาทำอะไรก็รีบเชิญเข้าบ้าน หาน้ำท่ามาต้อนรับและเป็นเพื่อนนั่งคุย
ไม่อยากเชื่อว่านี่คือพี่น้องที่คลานตามกันมา จรัสตะวันดูเงียบขรึมครุ่นคิดอะไรตลอดเวลา ในขณะที่แสงตะวันนั้นดูสว่างสดใส เปิดเผยตรงไปตรงมา และยิ่งเมื่อรู้ว่าทำอาชีพอะไร เธอก็ยิ่งแปลกใจ พี่น้องคู่นี้ทำไมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งบุคลิกท่าทาง ความคิดความอ่านและหน้าที่การงาน
“ครู รอกันบ้างสิ” รัญรัมภาหายใจหอบไต่ทางเดินขั้นบันไดขึ้นมาทันจรัสตะวันที่รอข้ามถนนเพราะเผอิญมีขบวนรถอะไรสักอย่างผ่านมา ถ้าไม่ติดขบวนรถนี้ก็คงเดินหนีข้ามถนนไปแล้ว
“ก็รออยู่นี่ไงคะ” จรัสตะวันตอบโดยไม่หันมามองรัญรัมภาที่ต้องพยายามหายใจลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายหายเหนื่อยโดยเร็ว ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยดีรถคันสุดท้ายของขบวนก็ผ่านไป จรัสตะวันก็เดินข้ามถนนไปทันทีทำให้รัญรัมภาต้องรีบวิ่งตามข้ามถนนไปให้ทัน ขากลับเถอะนะจะต้องถามกันให้รู้เรื่องว่าหงุดหงิดเรื่องอะไรแล้วทำไมต้องมาลงที่เธอด้วย
ถึงบ้านสุภา รัญรัมภาทำหน้าที่ของหมอ อุปกรณ์ในกระเป๋าแพทย์สนามนั้นถูกนำออกมาตรวจร่างกายของสุภาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้รวมทั้งตรวจร่างกายให้ยายด้วย ใจจริงอยากจะขอเปิดดูใบหน้าของสุภาแต่ทว่าก็ต้องห้ามใจไว้ สุภายังไม่ไว้ใจเธอมากขนาดนั้น
“สุภากินยาที่เหลือให้หมดนะ แม้ว่าจะไม่มีไข้ ไม่มีอาการไอแล้วก็ตาม ส่วนนี่เป็นยาบำรุงร่างกายของยาย สุภาจัดให้ยายกินตามที่หมอเขียนไว้นะจ๊ะ”
รัญรัมภาส่งซองยาที่อธิบายปริมาณและเวลากินคร่าว ๆ ให้สุภา โดยที่ยายนั่งมองด้วยความซาบซึ้ง แกเป็นคนบ้านนอกและยังยากจน ไม่มีความรู้ใด ๆ ถ้าไม่ปวดหัวเป็นไข้หนักจริง ๆ ก็ไม่รู้จักการไปหาหมอตรวจร่างกายและไม่รู้สิทธิขั้นฐานว่าสามารถตรวจรักษาโรคใดได้โดยไม่ต้องเสียเงินบ้าง
“จริง ๆ หมออยากให้ทั้งยายและสุภาไปเจาะเลือดที่อนามัยนะคะ แต่สุภาไม่ไปก็ไม่เป็นไร เพราะอายุยังน้อย ร่างกายยังแข็งแรง ถ้ามีเวลายายไปหาหมอที่อนามัยนะ บอกว่าหมอรัญให้มาเจาะเลือดตรวจร่างกาย เอาบัตรประชาชนไปเป็นหลักฐานอย่างเดียวพอ เขาตรวจให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย” รัญรัมภาคิดว่าได้พยายามพูดง่าย ๆ ให้ยายเข้าใจแต่ยายก็ยังทำหน้าตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจและไม่กล้าไป
แกไม่มีเงินทองมากมาย เบี้ยยังชีพคนแก่กับคนพิการของสุภาก็ต้องเก็บไว้ซื้อข้าวสารและจ่ายค่าน้ำค่าไฟในแต่ละเดือน โชคดีที่อาหารการกินยังหาเก็บผักเก็บหญ้า งมหอยหาปลาตามคลองตามท้องนามากินได้ บางครั้งก็ได้เพื่อนบ้านแบ่งปันมาให้ ชีวิตคนต่างจังหวัดยังมีน้ำใจต่อกันอยู่มาก
“ยายไปที่อนามัยนะ บอกเขาว่าหมอรัญให้มาตรวจโรค เอาแค่บัตรประชาชนไปยื่นให้เขา หลวงเขาจะตรวจให้คนจนฟรี ๆ”
จรัสตะวันที่นั่งเงียบมานานอธิบายใหม่ด้วยคำพูดที่ทำให้รัญรัมภารู้สึกแปลก ๆ ในใจกับภาษาที่ใช้ ภาษาที่เธอไม่ได้ยินมานานและไม่ค่อยมีใครกับคำว่า “หลวง” แต่ได้ยินแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด แต่ที่เธอยังตะขิดตะขวงใจก็คือคำว่า “คนจน” ที่เธอไม่ค่อยอยากใช้ เวลาไปประชุมทีไรก็เรียกว่า “ผู้อยากไร้” บ้าง “ผู้ด้อยโอกาส” บ้างตามที่นักสิทธิมนุษยชนอยากให้ใช้ แต่เมื่อจรัสตะวันใช้พูดกับยายตรง ๆ ว่าเป็นคนจนนั้นเธอกลับรู้สึกถึงความจริงใจของผู้พูดและผู้ฟังที่พยักหน้าเข้าใจ แววตาฝ้าฟางที่มีประกายความสุขบางอย่างเปล่งออกมา หรือว่าบางอย่างผู้ที่อยู่บนหอคอยก็ไม่ควรคิดแทนคนที่อยู่ข้างล่างว่าต้องการอะไรหรือรู้สึกอย่างไร
“ยายคะ ยายมองเห็นชัดอยู่ไหมคะ” รัญรัมภาสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในดวงตาที่ไม่น่าจะฝ้าฟางตามวัยชราธรรมดา
“ก็ชัดบ้างไม่ชัดบ้างตามประสาคนแก่นั่นแหละหมอ” ยายของสุภาตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ขอหมอดูหน่อยนะคะ” รัญรัมภาขยับเข้าไปใกล้ ยิ่งทำให้เห็นว่าเสื้อผ้าที่ยายสวมใส่นั้นเก่ามากแต่ทว่าสะอาดสะอ้านดี ตอนที่มองไกล ๆ จึงไม่เห็นความเก่านั้น เธอลืมเรื่องโครงการใหญ่ที่กำลังเริ่มดำเนินงานไปเสียสนิท คิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้สุภาได้ผ่าตัดตกแต่งใบหน้าโดยเร็วเพื่อกลับมาใช้ชีวิตปกติ และตอนนี้ยังมียายของสุภาอีกคนที่เธอไม่อาจละทิ้งได้ ตรวจดูดวงตาคร่าว ๆ นั้นเธอก็รู้ว่ามันไม่ปกติ
สิ่งที่เธอทำออกมาจากหัวใจนั้นมีผลกระทบต่อความรู้สึกของจรัสตะวันโดยไม่รู้ตัว อารมณ์ที่หงุดหงิด คิดฟุ้งซ่านอย่างไม่มีเหตุผลเริ่มมลายไปเมื่อเห็นความเอื้ออาทรเอาใจใส่ของรัญรัมภาที่มีต่อทั้งสุภาและยายโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ ยิ่งตอนมาถึงบ้านแล้วยายยกขันน้ำมาให้ รัญรัมภาก็ยกขึ้นดื่มอั้ก ๆ ด้วยความกระหาย นั่นก็ทำให้จรัสตะวันอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว “หมอรัญเขาไม่ใช่ธรรมดานะ ดูนามสกุลเขาสิ” ตอนนี้เธอไม่เห็นภาพของหมอรัญอย่างที่ครูในโรงเรียนพูดกันเลย
“พรุ่งนี้ยายไปหาหมอที่อนามัยเลยนะคะ อย่าลืมบอกเขาว่าหมอรัญให้มาตรวจ” คราวนี้รัญรัมภาใช้วิธีการออกคำสั่งโดยไม่ต้องรอเวลาให้ยายไปหาหมอตามสะดวกแล้ว
จรัสตะวันก็รู้ทันทีว่าดวงตาของยายคงมีบางอย่างผิดปกติ แต่เมื่อหมอไม่พูดอะไร เธอก็พูดอย่างอื่นนอกจากย้ำให้ยายไปหาหมอในวันพรุ่งนี้ให้ได้
“จ้ะ พรุ่งนี้ยายจะไปแต่เช้า” ยายของสุภารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะเพราะทั้งหมอและครูต่างช่วยย้ำทั้งคู่
“สุภา สายตาของยายไม่ค่อยดีแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรง สุภาต้องดูแลยายให้ดีนะจ๊ะ” รัญรัมภาหันไปพูดกับสุภาก่อนที่จะลากลับและลงจากบ้านมา
ระหว่างทางขากลับก่อนที่จะข้ามถนนทั้งจรัสตะวันและรัญรัมภาต่างเดินช้า ๆ และไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ต่างคนเหมือนต่างครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่างในใจจนกระทั่งข้ามถนนกลับมา จรัสตะวันจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“ยายของสุภาเป็นอะไรคะคุณหมอ” จรัสตะวันที่เดินนำหน้าหยุดเดินและหันกลับไปถามเหมือนพึ่งตัดสินใจได้และต้องรีบพูดก่อนที่จะเปลี่ยนใจไม่ถามอีก
รัญรัมภาขยับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติแต่ก็มีความกังวลแฝงอยู่
“คงเป็นต้อกระจก แต่ต้องให้จักษุแพทย์ตรวจอีกที”
“ก็รักษาได้นี่คะ ฉันเห็นมีโครงการรักษาต้อกระจกให้คนจนฟรีอยู่” จรัสตะวันไม่เข้าใจว่ารัญรัมภากังวลเรื่องอะไร เธอรู้ว่าการเป็นต้อกระจกสามารถรักษาได้ไม่ยาก
“เรื่องรักษาหมอไม่กังวลหรอก แค่หมอทำเรื่องส่งตัวไปก็คงได้รักษาในไม่ช้า แต่ว่าต้องมีคงมีคนดูแลใกล้ชิดหลังผ่าตัด สุภาก็เป็นแบบนี้ หมอกังวลเรื่องคนที่จะดูแลยายมากกว่า ถ้าดูแลไม่ดี ติดเชื้อหลังผ่าตัดจะยิ่งแย่กว่าเดิม”
รัญรัมภาคิดได้ครอบคลุมและรอบคอบกว่าเธอมาก เธอคิดแต่เพียงว่าอยากให้ยายได้รักษาโดยลืมคิดถึงภาวะแวดล้อมอื่น ๆ
“แกมีญาติพี่น้องที่ไหนหรือเปล่า นอกจากสุภา” รัญรัมภาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เท่าที่รู้ก็ไม่มีนะคะ ถามชาวบ้านแถวนั้นเขาก็บอกว่าอยู่กันสองยายหลานมาตั้งแต่สุภาเกิดแล้วแม่สุภาเอามาทิ้งให้ยายเลี้ยง” จรัสตะวันลืมความรู้สึกขุ่นมัวในใจอย่างไร้เหตุผลไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมีความกังวลอื่นเข้ามา
รัญรัมภาเม้มริมฝีปากครุ่นคิด
“ถ้าไปผ่าตัดกลับมาแล้วให้ยายพักฟื้นที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดี สุภาจะอยู่คนเดียวได้ไหม”
รัญรัมภาคิดหาทางแก้ปัญหาทั้งที่รู้ว่าคงจะเป็นไม่ได้ จรัสตะวันส่ายหน้าแทนคำตอบโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เพราะต่างก็รู้ดีว่าสุภานั้นติดยายขนาดไหน แค่หายไปเก็บผักหาปลาไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบกลับมา
ปัญหาที่สุภายังไม่ยอมให้เธอเห็นใบหน้าเพื่อวินิจฉัยแนวทางการรักษาเบื้องต้นนั้นมันก็หนักใจพออยู่แล้ว ยิ่งมีปัญหาเรื่องดวงตาของยายที่เธอไม่อยากให้ทิ้งเวลาไว้นานมาเพิ่มอีกก็ยิ่งทำให้ต้องหนักใจ หมอที่เห็นคนไข้ไม่ได้รับการรักษาแล้วไม่รู้สึกอะไรก็คงไม่ใช่หมอโดยแท้จริง
เพราะมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน รัญรัมภาได้สบสายตากับจรัสตะวันโดยตรงเป็นครั้งแรก ทำให้ความหนักใจคลายลงไปมากเพราะเป็นแววตาที่มีความเข้าใจและบ่งบอกความห่วงใยต่อผู้อื่นอย่างเดียวกันอยู่ในนั้น มันไม่ใช่แววตาหวานฉ่ำที่มองเธอด้วยความรักเหมือนที่ผู้หญิงคนอื่นเคยมอง แต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นและหวาบหวามในหัวใจ รู้สึกมั่นใจว่าไม่ว่าเธอจะเจอปัญหาอะไรก็ยังมีแววตาที่เข้าใจอย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนจากคนคนนี้
“หมอไม่ใช่เทวดานะคะที่จะได้รักษาคนป่วยได้ทั้งหมด” นี่คือคำพูดในทำนองเดียวกันของผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเมื่อเธอนำความกังวลใจเกี่ยวกับคนไข้ไปพูดคุยเพื่อระบายความรู้สึก และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ทุกคนค่อย ๆ ถอยห่างจากเธอด้วยความเบื่อหน่าย
“รัญเป็นหมอเฉพาะตอนที่อยู่โรงพยาบาลได้ไหม แพทยังเป็นครูเฉพาะตอนอยู่ในโรงเรียนเลย แพทอยากคุยกันสบาย ๆ ไม่ใช่เจอกันทีไรหมอก็มีแต่เรื่องเครียด ๆ มาให้ฟังตลอด”
เธอคงไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากจรัสตะวันแน่นอน นั่นทำให้เธอยิ้มออกมาเพื่อปลอบใจตัวเองและปลอบใจคนที่กำลังสบสายตาด้วย
“เดี๋ยวหมอจะค่อย ๆ คิดหาทางให้ยายได้ผ่าตัดให้เร็วที่สุดเอง ครูไม่ต้องกังวลนะ รวมทั้งเรื่องสุภาด้วย”
จรัสตะวันหลบสายตาและหันหลังตั้งตาตั้งตาเดินเร็ว ๆ อีกครั้งเมื่อฟังรัญรัมภาพูดจบ แต่การเดินหนีครั้งนี้เป็นการเดินหนีด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนขาไป ความขุ่นมัวในใจหายไปกลายเป็นความรู้สึกบางเบาในหัวใจและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มีความสุขที่จะได้เห็นชีวิตคนจนได้รับความช่วยเหลืออย่างจริงใจ . . . อย่างจริงใจ . . . เธอรู้สึกได้อย่างไรว่า
รัญรัมภาจริงใจ แต่จะมีเหตุผลอื่นใดเล่าที่คนเป็นหมอจะรักษาคนไข้นอกจากความเป็นหมอและมนุษยธรรม
“รอกันบ้างสิครู” รัญรัมภารีบตะโกนเรียกจรัสตะวันไว้เมื่อมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ที่เธอเคยมาเผลอนอนหลับครั้งก่อน
“หมอก็เดินเร็ว ๆ สิคะ” จรัสตะวันอารมณ์ดีขึ้น ตะโกนตอบแต่ก็ยอมหยุดยืนรอใต้ต้นไม้ มองไปที่รัญรัมภาซึ่งพยายามเดินประคองตัวไม่ให้ตกจากคันนาตามมาอย่างรวดเร็วเท่าที่จะเร็วได้
“เดินเร็วได้อย่างไง ทางเดินก็แคบ กระเป๋านี่ก็หนักจะตาย” รัญรัมภาเดินมาถึงก็รีบปลดกระเป๋าวางลงกับพื้นและหายใจหอบถี่ ๆ เธอจะต้องวิ่งตามผู้หญิงคนนี้ไปอีกนานแค่ไหนกว่าที่เขาจะหยุดรอ และให้เธอได้เดินไปพร้อม ๆ กัน
เสื้อสีขาวของโรงพยาบาลที่หมอสวมใส่นั้นค่อนข้างหนาแต่ทว่าก็ยังมีรอยเหงื่อซึมออกมาให้เห็น แต่ลมยามเย็นก็ทำให้ความร้อนคลายลงไปในไม่ช้า แสงแดดที่เคยแผดจ้าก็อ่อนแสงลงไปมากแล้ว ดวงตะวันที่ริมขอบฟ้ากำลังเป็นดวงกลมโตและสาดเส้นแสงสีส้มผ่านม่านเมฆที่อยู่รอบ ๆ
รัญรัมภามองภาพนั้นอย่างมีความสุข ไม่รู้ว่าเธอหลงรักเวลาพระอาทิตย์อัสดงตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้เวลาแบบนี้มักจะทำให้เธอรู้สึกเหงา รู้สึกเศร้ามากกว่า แต่ว่าวันนี้เธอกลับมีความสุขที่ได้มองพระอาทิตย์ยามอัสดงกับผู้หญิงคนนี้ คนที่ไม่เคยใส่ใจเธอเลยด้วยซ้ำ หันไปมองจรัสตะวันที่ไม่ได้มองพระอาทิตย์เหมือนเธอแต่กลับมองไปที่ทุ่งนาสีเขียวแกมเหลืองเพราะข้าวเริ่มออกรวงบ้างแล้ว ประกอบกับแสงสีส้มของพระอาทิตย์ที่ทาบทาไปทั่วท้องทุ่ง แบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่า “ทุ่งรวงทอง” แม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ทองเต็มที่แต่เหมือนมีชีวิตและจิตวิญญาณอันสูงส่งของพระแม่โพสพอยู่ในผืนนานี้
“คุณหมอจะถ่ายรูปทำไมคะ” จรัสตะวันถามเมื่อเห็นรัญรัมภายกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมเก็บภาพอันงดงามนี้
“ก็มันสวยดี หมออยากถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำ” รัญรัมภาขยับโทรศัพท์ไปมาเพื่อหามุมที่ดีที่สุดในการเก็บภาพ
“ถ้าจะเก็บเป็นความทรงจำก็เก็บไว้ในความรู้สึกสิคะ เราจะได้จำได้” คำพูดของจรัสตะวันทำให้รัญรัมภาลดมือลงมาด้วยความแปลกใจโดยที่ยังไม่ทันได้ถ่ายรูป
“ก็เก็บไว้เป็นภาพถ่ายสิ เวลาที่เราคิดถึงจะได้เปิดดูได้ตลอดเวลา” รัญรัมภาพูดเพื่อบอกเหตุผลตามความคิดเธอ
“พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้วก็ตกแบบนี้ทุกวัน เราจะดูวันไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องเก็บไว้เป็นภาพถ่ายเลย”
“ครูนี่คิดอะไรแปลก ๆ นะ ภาพสวย ๆ ใครเขาก็อยากถ่ายรูปเก็บไว้ทั้งนั้น พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ตกทุกวันก็จริง แต่ก็ใช่ว่าทุกวันเราจะได้มาเห็นภาพนี้หรอกนะ” รัญรัมภาพูดพลางกวาดสายตาไปทั่วท้องทุ่ง
“ทำไมจะเห็นไม่ได้ล่ะคะ พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ไปไหน ท้องนาก็ไม่ได้ไปไหน อยากดูเมื่อไหร่เราก็มาดูได้ ไม่มีใครห้ามนี่คะ”
คำพูดของจรัสตะวันนั้นเป็นความคิดง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้เหตุผลใด ๆ แต่มักไม่มีใครคิดในแง่นี้ บวกกับเทคโนโลยีอันทันสมัย การเก็บทุกอย่างเป็นภาพถ่ายจึงง่ายเพียงกดปลายนิ้วเท่านั้น แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะเก็บความงามของสิ่งที่เธอไว้ในความทรงจำจริง ๆ
“ก็จริงอย่างที่ครูพูดนะ” รัญรัมภาคล้อยตามง่าย ๆ โดยที่ไม่ทันได้คิดให้ลึกซึ้ง
“ถ้าคุณหมอเก็บเป็นภาพถ่าย คุณหมอก็ได้ดูแค่ภาพเดียว แต่ถ้าเก็บเป็นภาพความทรงจำ เชื่อเถอะค่ะว่าภาพทุกวันที่นึกถึงมันจะไม่ซ้ำกัน ก็เหมือนกับภาพของที่นี่ แม้จะเวลาเดียวกัน พระอาทิตย์ดวงเดียวกัน ท้องนาผืนเดียวกันแต่ทุกวันภาพก็จะไม่ซ้ำกันหรอกค่ะ”
รัญรัมภาฟังจรัสตะวันพูดอธิบายยาวเหยียดด้วยความเพลิดเพลิน เธอไม่ค่อยได้สนใจเรื่องการมองภาพที่เป็นนามธรรมแบบนี้มากนัก หน้าที่การงานของเธอต้องอยู่กับความเป็นจริงกับสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า ภาพพระอาทิตย์ยามอัสดงอันสวยงามนี้เธอจะใช้วิธีเก็บไว้ในความทรงจำตามที่จรัสตะวันบอก
“คนเราสมัยนี้ คิดถึงอะไรก็เอาแต่ดูภาพถ่ายที่เก็บไว้ โดยไม่กลับไปหาภาพจริงของสิ่งนั้น จนสุดท้ายก็คงจะหลงลืมไปว่าภาพจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร”
ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันนี้จะค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ที่กลางท้องนาผืนเล็ก ๆ หลังโรงเรียนนั้น คนที่ขับรถผ่านไปมาบนถนนหากมองลงมาและคนที่อยู่บ้านพักครูหลังโรงเรียนมองออกไป ก็จะเห็นว่ามีผู้หญิงสองคนยืนคุยกันอยู่ที่ต้นไม้สักพักใหญ่ก่อนที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะหยิบกระเป๋าสี่เหลี่ยมสีดำขึ้นมาสะพายบ่าเดินตามผู้หญิงอีกคนที่ค่อย ๆ เดินช้า ๆ ตามคันนามาเรื่อย ๆ ตลอดเส้นทางนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกัน ต่างก็คิดไปเองจากเรื่องราวเก่า ๆ เกี่ยวกับหมอรัญที่เคยได้ยินมา
“ว่าแล้วทำไมวันนี้ครูจรัสรีบกลับบ้าน” หนึ่งในครูที่อยู่บ้านพักนั้นเป็นครูที่อยู่ในหมวดวิชาเดียวกับจรัสตะวัน ทันทีที่เห็นชัดว่าจรัสตะวันไปกับหมอรัญจริง ๆ ก็มีเรื่องได้ไปคุยกับครูที่อยู่บ้านพักติดกันอย่างสนุกปากอีกครั้ง