ตอนที่ 13
“คุณชอบพี่สาวฉันจริง ๆ เหรอ”
ชีวินชะงักมือที่กำลังโกนขนแมวสำหรับเตรียมทำหมัน หันมามองแสงตะวันที่จ้องมองเขาด้วยแววตาบริสุทธิ์ใจ เป็นสัปดาห์ที่สามแล้วที่เขาได้แสงตะวันมาเป็นผู้ช่วยในการตะเวนไปทำหมันหมาแมวตามโรงเรียนหรือตามวัดในละแวกนี้ โชคดีที่แสงตะวันเคยทำงานมาหลายอย่าง ดังนั้นการสอนให้โกนขนหมาแมวหรือทำความสะอาดหูตา แสงตะวันจึงสามารถทำได้ดีหลังจากที่เขาต้องควบคุมแนะนำอยู่ไม่กี่ตัว
“ครูจรัสเป็นคนดีที่ทำให้ผมรู้สึกดีด้วยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน” แสงตะวันเป็นคนตรงไปตรงมา สัปดาห์ละสองวันเป็นอย่างน้อยที่ต้องอยู่ด้วยกัน เป็นเวลามาพอที่จะได้เรียนรู้ว่าแสงตะวันนิสัยเป็นอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากจรัสตะวันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ทำให้เขาได้พูดความรู้สึกที่อยู่ในใจได้ทั้งหมด
“รู้สึกดี ใครทำดีเราก็รู้สึกดีไปหมดแหละ แต่ฉันถามว่าชอบจริง ๆ หรือเปล่า ชอบแบบผู้หญิงผู้ชายชอบกันนะ”
แสงตะวันถอดจัดชุดอุปกรณ์เตรียมสำหรับให้ชีวินผ่าตัด มีชาวบ้านอีกสองสามคนที่เอาแมวใส่กรงมานั่งรออยู่ แสงตะวันจัดอุปกรณ์เสร็จก็เดินไปรับแมวกับชาวบ้าน โดยไม่ได้รอฟังคำตอบจากชีวิน
“ขอบใจหมอมาก ๆ นะจ๊ะ ที่เสียสละมาทำหมันให้ แต่ก่อนหมอคนเก่าเอาแต่ฉีดยาคุม หมาแมวบางตัวอยู่ไม่นานก็ตาย เราก็เลยไม่กล้าพามาฉีดยาอีก ได้หมอวินกับหมอ หมอชื่ออะไร พึ่งย้ายมาเหรอ” ป้าเจ้าของแมวคนหนึ่งถามพลางมองหน้าเธออย่างพินิจ
“ฉีดยาคุมอาจจะทำหมาแมวมดลูกอักเสบได้ หมอวินเขาเลยพยายามหางบประมาณออกมาทำหมันให้จ้ะป้า แต่หนูไม่ใช่หมอหรอกนะ แค่มาช่วยหมอวินเฉย ๆ”
แสงตะวันอธิบายตามที่เธอเองก็เคยสงสัยว่าทำไมชีวินถึงต้องยอมเหนื่อยทำหมันทั้งที่การฉีดยาคุมนั้นง่ายกว่า และการพูดจากับชาวบ้านที่ชีวินเคยกลัวความปากร้ายหากเวลาที่ชาวบ้านอาจจะถามจุกจิกหรือไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ทำงานจริง ๆ ก็พบว่าแสงตะวันเข้ากับชาวบ้านได้ดีทีเดียว
“เป็นผู้ช่วยคนใหม่เหรอ หน้าตาคุ้น ๆ นะ” เจ้าของแมวอีกคนเข้ามาร่วมสนทนาด้วย
“ฉันก็ว่า เหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนนะ หน้าตาหนูมันคุ้น ๆ อยู่” ป้าคนเดิมที่จ้องหน้าเธอก็ยังคงจ้องอยู่เหมือนเดิม
“หนูเป็นน้องสาวครูจรัสค่ะ” แสงตะวันตอบ ทั้งที่จะว่าไปเธอกับจรัสตะวันก็ไม่ได้มีเค้าโครงใบหน้าคล้ายกันนัก
“งั้นหนูก็ใช่ไอ้แสงหรือเปล่า” ป้าที่จ้องหน้าอุทานด้วยความดีใจ รวมทั้งคนที่มาใหม่ก็ทำท่าดีใจเหมือนกัน
“ป้ารู้จักหนูเหรอคะ” แสงตะวันยังนึกไม่ออกว่าเธอเคยรู้จักป้าคนนี้ที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะชีวิตเธอนั้นตะลอนไปทั่วและได้รู้จักผู้คนมากมาย ซึ่งก็ล้วนแต่ผ่านมาและผ่านไป เธอไม่ใช่คนที่จดจำอะไรในชีวิตมากนัก นอกจากการอยู่กับปัจจุบันและคิดถึงพรุ่งนี้มากกว่า
“ป้าเคยเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารที่แม่หนูเคยทำอยู่ไง คงจำไม่ได้สินะ แต่ก่อนเห็นไปรอรับแม่ตีสองทุกวัน”
“ค่ะ” แสงตะวันมองหน้าป้าคนนั้นอีกครั้ง เธอก็ยังจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ป้าพูดนั้นเป็นความจริงจึงตอบรับไปก่อน
“ครูจรัสคนที่พึ่งย้ายมาแล้วชอบออกไปเยี่ยมบ้านนักเรียนบ่อย ๆ ใช่ไหม” คนที่เข้ามาร่วมวงสนทนาทีหลังพูดขึ้น
“ใช่ ๆ พึ่งเคยเห็นหน้าก็ตอนที่ย้ายมานี่แหละ ตอนที่ทำงานกับแม่เขา ได้ยินแต่แม่เขาเล่าว่าลูกสาวอีกคนชื่อจรัส เรียนเก่ง เขาภูมิใจนักหนา ส่วนไอ้แสงนี่ทำท่าจะไม่อยากเรียน”
“ฉันก็คลับคล้ายคลับคลาว่าหน้าหนูนี่เหมือนเคยรู้จักมาก่อน ที่แท้ก็เป็นคนที่นี่เหมือนกัน หน้าตาเปลี่ยนไปจากตอนเด็กเยอะเลย หน้าตาไม่เหมือนกันเลยนะ ครูจรัสดูซื่อ ๆ กว่า”
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชาวบ้านกับการจะพูดอะไรออกมาโดยที่ไม่คำถึงมารยาทมากนัก แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของแสงตะวัน เพราะเธอถือว่ามันเป็นความจริงหรือถ้าไม่จริงเธอก็ไม่ถือสาหากมันไม่ได้เป็นการกล่าวร้ายให้ใครเสียหาย
“เออ แล้วแม่หนูเป็นอย่างไงบ้าง คิดถึงสมัยนั้น แม่มันสวยนะ บรรดาเสี่ย ๆ มาเฝ้าทุกวันจนไอ้แสงมันต้องมารอรับแม่มันกลับบ้าน ไม่งั้นคงโดนฉุด”
แต่ความจริงข้อนี้มีผลต่อความรู้สึกของเธอ แม้ว่าจะทำใจได้แล้วแต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นแผลเรื้อรังที่ยังไม่หายดี
“ป้าอดข้าวอดน้ำแมวมาตามที่ผมบอกหรือเปล่าครับ” ชีวินเดินมาช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น แสงตะวันถือโอกาสที่จะไม่ตอบคำถามนั้น
ตลอดครึ่งวันเช้าที่ช่วยกันทำงานนั้น แสงตะวันเงียบไปจากที่เคย ชีวินที่เคยแกล้งต่อว่ายามเธอหยิบจับเครื่องมือส่งให้ผิดก็พลอยเงียบไปด้วย บางครั้งที่แอบลอบมองใบหน้าที่ขรึมลงนั้นก็เหมือนมีภาพจรัสตะวันซ้อนทับมา อยากรู้ว่า
แสงตะวันคิดอะไร มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับแม่ที่ทำให้ความร่าเริงแจ่มใสหายไปทันควัน หากสิ่งนั้นต้องการระบายออกมาเขาก็ยินดีจะรับฟังและหวังว่าแสงตะวันคนเดิมจะกลับมา
เขารู้สึกดีกับจรัสตะวัน แต่ไม่เคยอยากรู้ว่าคิดอะไร คิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงได้ ผิดกับความรู้สึกที่มีต่อแสงตะวันที่ต้องการจะแบ่งปันความหม่นหมองในใจมา คงเป็นเพราะว่าเขารู้สึกเป็นเพื่อนกับแสงตะวันได้สนิทใจมากกว่า ตลอดเวลาที่มาช่วยทำงาน แสงตะวันทำให้ชีวิตการเป็นสัตวแพทย์ต่างจังหวัดนั้นสนุกมากขึ้น
“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจจะเล่าให้ผมฟังก็ได้นะ”
ชีวินรินน้ำอัดลมใส่แก้วให้แสงตะวัน บ่ายโมงกับอีกหลายนาทีกว่าที่จะทำหมันแมวตัวสุดท้ายเรียบร้อย ทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่าทำงานให้เสร็จก่อนค่อยทานมื้อกลางวัน เพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านเสียเวลารอ
แสงตะวันยังคงก้มหน้าก้มตาทานข้าวราวกับหิวโซมาจากไหน
“คุณช่วยงานผมมาตั้งหลายวัน ทำให้ผมทำงานได้ตามแผนที่วางไว้ แม้วันนี้คุณมีเรื่องไม่สบายใจ คุณก็ยังช่วยอย่างเต็มที่ คุณมีอะไรอยากระบายหรือเปล่า”
เขาใช้คำพูดง่าย ๆ ตรงไปตรงมา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงจังและจริงใจ
“คุณยังไม่ตอบฉันเลยว่าชอบพี่จรัสจริงหรือเปล่า” แสงตะวันเงยหน้าจากจานข้าวและถามคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ
คำถามเดียวกัน แต่เวลาตอบต่างกันแค่ครึ่งวัน ชีวินกลับลังเลใจ หากเป็นเมื่อเช้าเขามีเวลาทันได้ตอบก็จะตอบด้วยความมั่นใจว่าไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนเท่าจรัสตะวัน แต่เวลานี้เขากลับไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเอง
“คุณถามทำไม”
“พี่จรัสเป็นคนดีชนิดที่เรียกได้ว่าไม่เคยมีมลทินอะไรในชีวิต แล้วก็เป็นคนคิดมาก หากมีอะไรที่ผิดพลาดไปก็จะจำฝังใจไม่ลืม ฉันคิดว่าถ้าหมอชอบพี่จรัสจริง ๆ ฉันก็จะได้สบายใจ” แสงตะวันพูดในสิ่งที่ยิ่งทำให้ชีวินไม่เข้าใจ
“คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนได้ไหมว่าคุณต้องการอะไร” ชีวินไม่มั่นใจที่จะตอบคำถามโดยที่ยังไม่รู้ความหมายที่แสงตะวันต้องการสื่อออกมา
“เท่าที่ฉันได้ทำงานกับหมอมา เท่าที่ได้ฟังจากชาวบ้าน ฉันเชื่อว่าหมอเป็นคนดีที่เหมาะสมกับพี่จรัส แต่ฉันต้องการความมั่นใจว่าคุณชอบพี่สาวฉันจริง ๆ ไหม คุณจะเข้าใจและดูแลพี่สาวฉันได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า”
สิ่งที่แสงตะวันพูดนั้น แม้ชีวินจะยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงทั้งหมด แต่ก็ทำให้อึ้งไปเพราะไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่าชอบจรัสตะวัน ต้องการที่ได้หัวใจของผู้หญิงที่เขายังไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ มาครอบครอง แต่ไม่เคยคิดไปไกลถึงการใช้ชีวิตคู่หรือการสร้างครอบครัว เมื่อแสงตะวันถามถึงอนาคตที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน เขาจึงไม่สามารถตอบได้
“ฉันพึ่งเข้าใจคำว่าโลกกลมก็วันนี้ ฉันอยากให้พี่จรัสมีคนที่รักและเข้าใจคอยดูแล เวลาที่ฉันไม่อยู่ที่นี่”
ยิ่งแสงตะวันพูดอะไรออกมาก็เหมือนว่าภาพความคลุมเครืออย่างที่จรัสตะวันเป็นจะทับซ้อนขึ้นมากทุกที ชีวินเริ่มไม่มั่นใจว่าความตรงไปตรงมาของแสงตะวันนั้น แท้จริงมันเป็นการทำเพื่อปิดบังอะไรไว้หรือเปล่า
“คุณต้องการจะบอกอะไรผม” ชีวินไม่สามารถทานอาหารต่อไป เขาวางช้อนและอยากจะคุยให้เข้าใจว่าแสงตะวันต้องการจะบอกอะไรกับเขากันแน่
“ก็อย่างที่ฉันพูดไง ถ้าคุณชอบพี่จรัสจริง ฉันก็จะได้สบายใจที่พี่จรัสจะมีคนดีอย่างคุณคอยดูแลไปตลอดชีวิต”
ความจริงจังของแสงตะวันและการคิดการณ์ไกลเกินกว่าที่เขาจะคิด ทำให้ชีวินนิ่งเงียบไป ใคร ๆ คงรู้ว่าเขาชอบจรัสตะวัน และทุกคนก็เห็นดีเห็นงามในความเหมาะสมไม่ว่าจะด้วยหน้าที่การงานหรืออุปนิสัยใจคอ แต่พอคิดถึงคำว่าสร้างครอบครัว เขากลับรู้สึกหนักใจเพราะทุกวันนี้เขาก็ไม่ได้รู้จักจรัสตะวันมากไปกว่าคนอื่น เธอให้ความเป็นเพื่อนกับเขาเท่ากับครูผู้ชายคนอื่นในโรงเรียน ทั้งที่เธอก็น่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อน
“ผมยังไม่เคยคิดไปไกลขนาดนั้น” ชีวินสารภาพตามตรง
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ที่นี่อีกหลายสัปดาห์ ฉันให้เวลาคุณคิดเรื่องนี้และช่วยตอบฉันก่อนที่ฉันจะกลับไปทำงาน เพื่อที่ฉันจะได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไงต่อไปเพื่อให้พี่จรัสอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์”
แสงตะวันยกน้ำขึ้นดื่ม ชีวินเห็นความกังวลใจในแววตานั้นชัดเจน แต่ทว่ามันก็เป็นแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกได้ ไม่ใช่แววตาที่เฉยเมย ไร้ความรู้สึกใด ๆ แบบจรัสตะวัน
“ถ้าคุณอยากเล่าอะไรให้ผมฟัง ผมยินดีรับฟังนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ถ้าคุณเชื่อใจผม”
“ขนาดฉันไว้ใจจะฝากพี่สาวไว้กับคุณ คุณยังคิดว่าฉันไม่เชื่อใจคุณอีกเหรอ แต่ตอนนี้ฉันจะยังไม่เล่าอะไรทั้งนั้น ให้คุณไปหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าชอบพี่จรัสจริงไหม แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง แต่ตอนนี้ฉันขอสั่งอีกจานนะยังไม่อิ่มเลย น้อง ๆ สั่งอาหารหน่อย”
แสงตะวันพูดสรุปรวบรัดและเรียกเด็กในร้านมาสั่งอาหารเพิ่มเพื่อตัดการสนทนาเรื่องนี้
“สั่งเผื่อผมด้วย เอาเหมือน ๆ กันแหละ เขาจะได้ทำทีเดียว” ชีวินบอกและกลับมาทานที่เหลือในจานของตัวเองต่อให้หมด
แม้จะยังไม่มีคำตอบว่าแสงตะวันกังวลใจเรื่องอะไร แต่ก็มีความชัดเจนว่าเธอต้องการอะไร สำหรับคำถามที่ว่าเขาชอบจรัสตะวันจริงไหม เขาตอบได้โดยไม่ลังเลใจเลยว่าชอบจริง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาลังเลใจที่จะตอบออกไปก็คือการคิดถึงอนาคต นับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักจรัสตะวันมา เขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว แต่เมื่อแสงตะวันมาถามให้คิดถึงอนาคตหากจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันโดยที่เขาไม่รู้ว่าจรัสตะวันคิดอะไร แล้วจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่งไหมจรัสตะวันไม่ได้ตรงไปตรงมาและเปิดเผยตัวเองเหมือนแสงตะวันซึ่งเข้าใจได้ง่ายกว่า
รัญรัมภาพลิกดูจดหมายจากโรงพยาบาลศูนย์ที่เธอประสานขอส่งผู้ป่วยไปผ่าตัดต้อกระจกเป็นกรณีเร่งด่วนแล้วก็พับเก็บไว้ ในจดหมายแจ้งว่ายายของสุภาได้คิวผ่าตัดต้นเดือนนี้ เธอมีหน้าที่เตรียมพร้อมคนไข้โดยการตรวจร่างกายเบื้องต้นเผื่อมีโรคแทรกซ้อนซึ่งจะมีผลต่อการผ่าตัด ยายของสุภาไม่เคยตรวจร่างกายและที่รับปากว่าจะไปตรวจตามที่เธอบอกก็ไม่ได้ไป เมื่อก่อนหากคนไข้เป็นแบบนี้เธอจะหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้เธอเข้าใจความจำเป็นและบริบทสังคมหลายอย่างที่มีผลต่อการเข้าถึงบริการสาธารณะสุขของชาวบ้าน
การไปพายายของสุภามาตรวจร่างกายเบื้องต้นนั้นไม่ใช่ปัญหาสำคัญของเธอเลย เพราะจรัสตะวันยืนยันแล้วว่าสุภายอมให้ยายไปผ่าตัดแน่นอน แต่ตอนนี้สิ่งที่เป็นปัญหาคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจรัสตะวันต่างหาก บ่อยครั้งระหว่างที่รอการตอบรับจากโรงพยาบาลศูนย์ เธอที่อยากจะโทรศัพท์กลับไปหาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร ครั้นจะอ้างว่าพากอหญ้าไปวิ่งเล่นก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ความจริงการไปหาจรัสตะวันไม่จำเป็นจะต้องมีเหตผลอะไรก็ได้ นอกจากเหตุผลของหัวใจถ้าไม่มีเสียงนินทาของชาวบ้านมาเข้าหูป้ามล ซึ่งก็หมายถึงเกือบทุกคนโรงพยาบาลต้องรับรู้ และมันก็เข้าหูเธอเองโดยบังเอิญด้วยเหมือนกัน
“ถ้าลูกสาวฉันมาตรวจโรงพยาบาล ฉันคงไม่กล้าให้ตรวจกับหมอรัญสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
“ทำไมล่ะ หมอรัญรักษาดีนะ”
“รักษาดีก็เถอะ แต่ฉันไม่ไว้ใจ กลัวทำอะไรลูกสาวฉันนะสิ”
“อะไร หมอรัญไม่เคยมีประวัตินะ”
“ว่าได้เหรอ ลูกสาวฉันทั้งสาวทั้งสวย ฉันไม่ไว้ใจแล้วล่ะ ขนาดครูจรัสไม่มีอะไรน่าดูเท่าไหร่ หมอรัญยังไปจีบเอาจนได้”
“อะไร้ หมอวินเขาจีบครูจรัสอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วหมอรัญก็เป็นเพื่อนหมอวิน จะไปแย่งได้ไง”
“เธอไม่รู้อะไร จำไอ้แสงน้องครูจรัสได้ไหม ไอ้ที่นักเลง ๆ นั่นน่ะ มันไปช่วยหมอวินทำหมันหมาแมวเมื่อวันก่อน เวลาทำงานก็คุยกันกระหนุงกระหนิง ยังกับเป็นแฟนกัน ฉันว่าหมอวินคงหลีกทางให้หมอรัญแล้วมาเอาน้องสาวดีกว่า ทั้งสาวทั้งสวยกว่าตั้งเยอะ”
“อ้าว ถ้างั้นที่เขาลือ ๆ กันว่าหมอรัญแกล้งเอาหมาบังหน้า หรือไปเยี่ยมสุภาก็เพราะไปจีบครูจรัสจริง ๆ เหรอ”
“ใคร ๆ เขาก็รู้เรื่องไปทั่วแล้ว ครูจรัสก็ไม่น่าเลย ฉันเห็นท่าทางเงียบ ๆ ขรึม ๆ เอาใจใส่นักเรียนดี มาทีแรกนึกว่าจะดีกว่าครูพัดชา สุดท้ายก็มาอีหรอบเดียวกัน”
“มันจริงหรือเปล่า เธอฟังใครพูดมา”
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง ครูที่บ้านพักในโรงเรียนเขาเห็นหมอรัญไปกินข้าวเย็นจนมืดค่ำกับครูจรัสประจำเลย”
“ครูจรัสไม่น่าเลย มิน่า เภตราลูกร้านกาแฟมันถึงมีแฟนเป็นทอมให้พ่อมันกลุ้มใจ คงเอาตัวอย่างมาจากครูจรัสนี่เอง”
“ครูจรัสทำแบบนี้พลอยทำให้เด็กดี ๆ เสียไปด้วยเลย คอยดูเถอะ ไม่นานก็ถูกหมอรัญเขี่ยทิ้ง ดูอย่างครูพัดชาสิ สวยขนาดนั้นหมอรัญยังหักอกจนต้องขอย้ายหนีไปแต่งงาน”
ไม่รู้ว่าวันนั้นรัญรัมภาทนยืนฟังเรื่องที่ไม่เป็นความจริงได้อย่างไรโดยไม่ออกไปแสดงตัวและตำหนิเหมือนอย่างที่เคยทำ ความจริงที่เขาพูดกันนั้นคงมีถูกต้องอยู่อย่างเดียวคือเธอชอบจรัสตะวัน แต่การพากอหญ้าไปฝากไว้หรือการไปเยี่ยมสุภาเธอทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ช่างเถอะนะ เธอชินชากับถูกมองว่าเป็นคนไม่น่าไว้วางใจ แม้แต่เทิดทูนที่ว่าเข้าใจและได้รู้ทุกความสัมพันธ์ของเธอกับผู้หญิงแต่ละคนก็ยังไม่เชื่อเมื่อเธอบอกว่าไม่เคยทิ้งใคร นับประสาอะไรกับคนที่ไม่ได้รู้จักเธอมากไปกว่าในฐานะที่เป็นแพทย์หญิงรัญรัมภา แต่คนที่เธอห่วงใยและไม่อยากให้ชาวบ้านเข้าใจผิดคือจรัสตะวันต่างหาก
อยากจะโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดจดหมายอ่าน แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของชาวบ้านที่มาตรวจในวันนั้น รัญรัมภาชั่งใจไปมาว่าเธอจะทำอย่างไรที่จะทำให้จรัสตะวันไม่ถูกมองในทางที่ไม่ดี การที่จะไปรับยายของสุภาก็ต้องให้จรัสตะวันพาไป แม้จะมีแสงตะวันอยู่ด้วยแต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อชาวบ้านเข้าใจว่าชีวินเปลี่ยนใจมาหาแสงตะวันแล้ว ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะทำอะไรเพื่อไม่ให้จรัสตะวันต้องมาเสียหายเพราะเธอ
“คุยกับหมอรัญเหรอ” แสงตะวันถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เธอเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือและฟังพี่สาวคุยโทรศัพท์ไปด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ
“ยายของสุภาได้คิวผ่าตัดแล้ว ต้นเดือนหน้านี้ พรุ่งนี้คุณหมอจะให้รถโรงพยาบาลมารับยายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อน” จรัสตะวันตอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ใบหน้าที่มีแต่รอยความทุกข์ในหัวใจอยู่แล้วกลับยิ่งดูเศร้าหมองลงไปอีกเมื่อคุยโทรศัพท์จบลง
แสงตะวันสงสารพี่สาวจับใจ ชีวินก็ยังไม่ให้คำตอบเสียทีในสิ่งที่ถามไป ความดีงามของพี่สาวถูกบั่นทอนลงทุกวันด้วยคำพูดไร้สาระของชาวบ้าน แสงตะวันอยากจะไปชี้หน้าด่าเรียงตัวนักพวกที่เอาเรื่องคนอื่นไปนินทาเป็นความบันเทิงของชีวิต แต่ติดที่พี่สาวห้ามไว้ “ห้ามไปด่าเขานะแสง ถึงอย่างไรพี่ก็ยังเป็นครู ปล่อยเขาพูดไปเถอะ พี่รู้ตัวดีว่าพี่กำลังทำอะไร สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง เวลามันจะพิสูจน์ได้เอง” จรัสตะวันกึ่งห้ามกึ่งขอร้องแสงตะวัน และพยายามพูดปลอบใจตัวเอง
“หมอรัญไม่มาใช่ไหม” แสงตะวันถามตามที่ได้ยินเฉพาะฝั่งพี่สาวพูดแต่ก็พอจะคาดเดาได้
“ไม่มาหรอก เขาคงไม่อยากมาให้ชาวบ้านนินทา” น้ำเสียงของจรัสตะวันนั้นไม่อาจฝืนให้เป็นปกติได้ มันสั่นเครือด้วยความขมขื่นและแฝงด้วยอารมร์ประชดประชันจนแสงตะวันตกใจและแปลกใจ
จริงอยู่ จรัสตะวันเป็นคนประเภทที่ระมัดระวังตัวเอง และเก็บทุกคำพูดของคนอื่นมาคิดมากจนกลายเป็นเป็นหวาดระแวง ดังนั้นการที่หมอรัญไม่มาก็น่าจะเป็นผลดีที่ชาวบ้านจะไม่นินทา แต่ทว่าพี่สาวเธอกลับทำท่าเหมือนน้อยใจมากกว่า
“ช่างเถอะ พรุ่งนี้เช้าแสงไปกับพี่หน่อยนะ จะพาไปให้สุภารู้จักไว้ก่อน เพราะตอนที่ยายไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์ พี่คงต้องไปด้วย สุภาต้องอยู่คนเดียว จะฝากให้แสงช่วยไปดูแลหน่อย” จรัสตะวันกลับมาเป็นคนเดิมในเวลาอันรวดเร็ว
แสงตะวันพยักหน้าแทนการรับปากเพราะเธอหันกลับมาสนใจเกมในโทรศัพท์มือถือแล้ว จรัสตะวันเห็นน้องสาวไม่มีเรื่องอะไรจะคุยแล้ว เธอจึงขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับลงมาใหม่ แสงตะวันยังก้มหน้าก้มตาเล่นเกม
“แสงจะเอาเกมมาลงที่คอมพิวเตอร์ของพี่ก็ได้ จะได้ไม่ต้องเล่นในจอเล็ก ๆ” จรัสตะวันบอกอย่างใจดี กลับมาเป็นพี่สาวที่น่ารักคนเดิมอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นนี้หมอวินจะเอาเครื่องเก่ามาให้ยืมระหว่างที่แสงอยู่ที่นี่ ในนั้นมีแต่เกมเจ๋ง ๆ ทั้งนั้นเลย”
แสงตะวันพูดแล้วก็ทำตาลุกวาว ทำให้พี่สาวยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู น้องสาวจะรู้ไหมว่าได้เป็นแสงตะวันสำหรับพี่สาวคนนี้ เป็นทั้งที่พึ่งพิงทั้งทางกายและใจมาตลอด ความเป็นเด็กในตัวแสงตะวันทำให้เธอได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่สาวจริง ๆ บ้าง เพราะทุกอย่างในชีวิตเธอล้วนได้มาจากการเสียสละและสนับสนุนของน้องสาว เธอไม่เคยลืม
“เราก็ติดเกมแต่เด็กจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เลิกนะ” แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่จรัสตะวันก็จดจำทุกอย่างที่น้องสาวชอบได้เป็นอย่างดี เธอพูดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีต แสงตะวันเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าง้ำใส่
“เดี๋ยวพี่ไปบ้านสุภาก่อนนะแล้วจะกลับมาทำกับข้าวให้กิน เชิญหมอวินทานข้าวด้วยนะ ตอบแทนค่าที่เขาให้ยืมคอมพิวเตอร์” เธอพูดต่อโดยไม่รอให้น้องสาวเถียงกลับเรื่องติดเกม
“ชวนหมอวินกินข้าวด้วยเหรอ อย่างนี้นายหมอควายนั่นต้องดีใจแน่ ๆ” แสงตะวันลืมที่จะเถียงเรื่องติดเกมทันทีที่จรัสตะวันพูดว่าให้เชิญชีวินทานข้าวด้วย
“ทำไมล่ะ แค่กินข้าวที่บ้านเรา” จรัสตะวันไม่ทันคิดอะไรในท่าทางดีใจจนเกินเหตุของน้องสาว
“นายนั่นเขารอโอกาสนี้มานานแล้ว พี่จรัสก็ไม่เคยให้โอกาสเขาเสียที” ความตรงไปตรงมาของแสงตะวันอาจจะทำให้คนที่ไม่สนิทสนมลำบากใจ แต่ไม่ใช่สำหรับจรัสตะวัน
“ไปคุยอะไรกันมา แค่เรื่องคุณหมอพี่ก็โดนนินทาจะแย่อยู่แล้วนะ” จรัสตะวันนิ่วหน้า เธอพยายามรักษาระยะห่างกับชีวินเพื่อไม่ให้ใครมองในทางที่ไม่ดีมาโดยตลอด ดังนั้นจึงเป็นเป็นการปิดโอกาสที่ชีวินจะเข้ามาใกล้เธอได้ไปในตัว
“ไม่ต้องคุยใครก็รู้กันไปทั่วแล้วว่าหมอวินเขาชอบพี่ ที่เทียวมาดูบ่อปลามั่ง เล้าไก่มั่งก็จะมาหาพี่ทั้งนั้นแหละ”
“ก็เพราะแบบนี้ไง พี่ถึงไม่เคยชวนเขาทานข้าว” จรัสตะวันพูดตามที่คิดว่าเธอได้วางตัวเหมาะสมดีแล้ว
“แล้วหมอรัญล่ะ ระหว่างถูกนินทาเรื่องหมอรัญกับหมอวิน พี่จรัสคิดว่าอันไหนที่น่าจะยอมให้ถูกนินทามากกว่า”
จรัสตะวันถูกต้อนให้จนมุมโดยไม่ทันตั้งตัว แม้แต่แสงตะวันเองก็พูดออกไปโดยลืมไปว่าว่าพี่สาวกำลังไม่สบายใจเรื่องนี้อยู่
“มันไม่เหมือนกัน คุณหมอเขาไม่ได้คิดอะไรกับพี่เหมือนที่หมอวินคิด เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ พี่จะรีบไปหาสุภา เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
จรัสตะวันรีบเดินออกจากบ้านไป เป็นการยุติเรื่องทุกอย่างไว้ชั่วคราว เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับรัญรัมภาเธอยังไม่ต้องการพูดถึงในตอนนี้ เดินเลาะข้างบ้านแล้วลงเดินตามคันนาที่เธอใช้สัญจรสำหรับไปเยี่ยมสุภาหรือว่าบ้านนักเรียนคนอื่นที่อยู่ทางนู้นเป็นประจำ ฝูงหมาที่พึ่งเป็นอิสระจากการถูกกักบริเวณหลังทำหมันแล้วรอตัดไหมอยู่เป็นสิบวัน พอเห็น
จรัสตะวันเดินลงทุ่งนา พวกมันก็พากันวิ่งตาตั้งจากแปลงผักเพื่อมาส่งเหมือนทุกครั้ง วูบหนึ่งเธอคิดถึงกอหญ้าที่เคยวิ่งตามพี่ ๆ มาส่งเธอด้วย ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะต้องกินอาหารเม็ดอย่างเดียวหรือเปล่า กอหญ้าชอบกินข้าวคลุกน้ำแกงจืดใส่หมูสับ และรัญรัมภาชอบไข่เจียวใส่ใบโหระพา
จรัสตะวันสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป เขาจะชอบกินอะไรมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องจดจำ เธอจะจดจำเฉพาะเรื่องของคนที่สำคัญเท่านั้น จะไม่จำด้วยว่าเส้นทางสายนี้เคยมีใครมาร่วมเดินพร้อมกับความหวังที่จะช่วยให้สุภาได้ไปผ่าตัด คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบกันอีก แต่การพบกันต่อไปนี้จะเป็นการพบกันตามหน้าที่ของแต่คน เธอเป็นครูและถือว่ามีหน้าที่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังความสามารถ รัญรัมภาเป็นหมอก็ต้องมีหน้าที่รักษาคนไข้ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองไป จะได้ไม่ต้องลำบากใจกับการมาพบกัน
“อย่าข้ามไปฝั่งนู้นนะ เดี๋ยวกลับมา”
จรัสตะวันไล่ฝูงหมาให้กลับไปเมื่อเธอกำลังจะถึงทางเดินขั้นบันไดนั้น ข้ามถนนเดินไปตามทางสายเดิมที่คุ้นเคย ผ่านบ้านหลังใหญ่ ทักทายกับชาวบ้านที่รู้จักกันดีก่อนที่จะเดินไปจนถึงบ้านของสุภา
“นั่นไง ครูจรัสมาแล้ว”
ยายของสุภายืนคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่พอดี
“อ้าว เทิด มาเองเลยเหรอ” จรัสตะวันทักทายเทิดทูนเพื่อนเก่าที่อยู่ในชุดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอย่างคุ้นเคยดี
“พอดีหมอให้มาดูเอกสารให้ยายแกก่อน เวลาส่งตัวจะได้ไม่มีปัญหา” เทินทูนเก็บเอกสารต่าง ๆ ใส่ซองคืนให้ยายไป
“ยายเก็บซองนี้ไว้ให้ดีนะ เวลาไปโรงพยาบาลใหญ่ก็ยื่นให้เขาทั้งซอง เดี๋ยวเขาจัดการให้ทุกอย่างเอง” เทิดทูนบอกยายของสุภาแล้วหันมาพูดกับจรัสตะวัน
“แต่วันนั้นจรัสจะไปด้วยใช่ไหม ยายแกอ่านหนังสือไม่ออก ญาติก็ไม่มี ดีแล้วล่ะที่จรัสไปด้วย”
จะผ่านมานานแค่ไหน จรัสตะวันก็ยังเป็นคนเงียบ ๆ เฉย ๆ ถ้าเขาไม่เป็นเพื่อนเก่ามาก่อนก็คงไม่กล้าคุยด้วยได้สนิทใจ
“ถ้าเราไม่ไปด้วย สุภาก็ไม่ยอมให้ยายไปผ่าตัด เราขอขึ้นไปดูสุภาก่อนนะ”
“เราก็จะกลับแล้วล่ะ จริง ๆ แค่เอกสารยังมีเวลาตั้งหลายวัน แต่หมอรัญก็ให้เรามาวันนี้เสียให้ได้ ไม่รู้เป็นไง” เทิดทูนแกล้งบ่นแต่ก็ลอบสังเกตจรัสตะวัน แม้รัญรัมภาจะให้เขามาเรื่องงาน แต่เทิดทูนก็รู้เจตนาจริง ๆ ที่แฝงอยู่ จะให้เขามาดูจรัสตะวันให้ ทำไมจะไม่รู้
เทิดทูนพยายามสังเกตท่าทีของจรัสตะวันก็ยังไม่เห็นความผิดแผกแปลกไปนอกจากความเงียบเฉยเป็นปกติมาแต่ไหนแต่ไร
“พรุ่งนี้เราจะมารับยายสักเจ็ดโมงเช้านะ จะได้รีบตรวจคิวแรก ๆ ยายตื่นมาอย่าพึ่งกินอะไรนะ น้ำก็กินไม่ได้ ไปให้หมอรัญตรวจก่อนแล้วค่อยกิน” เทิดทูนบอกจรัสตะวันและก็มาสั่งกำชับยายอีกครั้ง
จรัสตะวันขึ้นบ้านไปหาสุภา เทิดทูนลายายกลับไป เขาจะบอกรัญรัมภาได้อย่างไงว่าให้เปลี่ยนใจเรื่องจรัสตะวันเสียดีกว่า ขนาดชีวินที่เทียวไล้เทียวขื่อมาแทบจะตั้งแต่วันแรกที่จรัสตะวันกลับมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่อะไรคืบหน้า แล้วอย่าง
รัญรัมภาที่นอกจากว่าจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แล้วยังจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านนินทาอีก เขาค่อนข้างเชื่อว่าจรัสตะวันผู้ที่ยึดมั่นในกฎระเบียบคงไม่ยอมทำอะไรที่จะเป็นเรื่องผิดแปลกไปในสายตาสังคม
ดีแล้วล่ะที่รัญรัมภาไม่มาเจอจรัสตะวันด้วยตัวเองในวันนี้ ที่เขากลัวจริง ๆ คือถ้ารัญรัมภาเอาชนะใจจรัสตะวันได้แล้วจะทนได้ไหมกับความเฉยชาแบบนี้ และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นความเจ็บปวดทั้งคู่ แล้วจรัสตะวันจะอญู่อย่างไรในสังคมที่แคบ ๆ แบบนี้ ขนาดพัดชาที่ไม่ค่อยออกไปเจอใครยังทนอยู่ไม่ได้
“สุภา หมอรัญฝากมาบอกว่า ว่าง ๆ จะมาเยี่ยมนะ ตอนนี้หมองานยุ่งมาก” เทิดทูนตะโกนขึ้นไปบอกสุภา
จรัสตะวันเบือนหน้ามาหยิบขันน้ำที่สุภาไปเอามาวางไว้ข้างตัวขึ้นดื่ม โชคดีที่ขันเงินนั้นใบใหญ่พอที่จะปิดใบหน้า และน้ำตาที่ไหลออกมาปนกับน้ำในขัน
จบเรื่องสุภาเมื่อไหร่ เธอจะไม่ทำให้ใครต้องลำบากใจแบบนี้อีกแล้ว
:26: :26: :26: