Chapter 2
ฉันตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสี่เพื่อเตรียมตัวออกไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าที่ผานกแอ่น เมื่อหันไปมองข้างๆ ก็ตกใจ เมื่อใบหน้าของฉันไปชนกับหน้าอกอึ๋มๆ ของเพื่อนสาวที่หลับไม่รู้เรื่อง
ยัยนี่ทำไมตัวหอมจัง นิ่มด้วย เฮ้ย นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย!
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ใบหน้าสวยๆ ของฟางก็อยู่ตรงหน้าฉันพอดีเป๊ะ อืมม์ ถ้าส่งประกวดนางสาวไทยก็คงจะเข้ารอบละมั้ง ฉันเอานิ้วจิ้มที่แก้มของเพื่อนสาวหน้าแรง 2 – 3 ที แต่คนที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ยังคงหลับอยู่
เมื่อฉันเตรียมของเสร็จ ฉันก็ปลุกเพื่อนสาว
“ฟาง ฉันจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปด้วยกันป่าว”
“อื้ออออ”
“อื้อเนี่ยจะไปหรือไม่ไป”
“อื้ออออ” เสียงในลำคอถูกส่งออกมา สาวหน้าแรงเปลี่ยนท่านอนจากตะแคงขวาเป็นตะแคงซ้าย
“ไม่ไปใช่ป่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ”
“อื้ออออ” ดูเหมือนจะเข้าอีหรอบเดิมแต่ที่ไหนได้ เพื่อนสาวกลับลุกขึ้นมานั่งพลางมองไปรอบๆ เต้นท์ด้วยใบหน้างัวเงียๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นนอนดี
“กี่โมงแล้วอ่ะ”
“ตีสี่สิบห้า”
“ง่า... จารีบตื่นปายหนายอ่า...”
“ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไง”
“พระอาทิตย์ขึ้นที่กรุงเทพฯ กับพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่มันก็ไม่แตกต่างกันหรอก จะไปดูทำมายยย” ดูมันพูดเข้า
“งั้นแกนอนไปละกัน เดี๋ยวฉันออกไปก่อน” ว่าแล้วฉันก็เอื้อมมือไปที่หน้าเต้นท์เพื่อที่จะออกไปใส่รองเท้าด้านนอก แต่ก็ดันถูกยัยสาวหน้าแรงดึงชายเสื้อเอาไว้
“อย่าทิ้งเค้าไว้คนเดียวนะ เค้ากลัว” เสียงง๊องแง๊งดังขึ้นมา
“ก็แกไม่ไปนี่นา ฉันก็จะไปสิ ถ้าง่วงก็นอนอยู่นี่ล่ะดีแล้ว”
“ไม่เอานะ เค้าไปด้วย เค้าไม่อยากอยู่คนเดียว เค้ากลัว” จะกลัวอะไรวะเนี่ย ไม่มีใครเขาทำอะไรหรอกน่า น่ารำคาญจริง
“จะไปหรือไม่ไปอ่ะ ถ้าไปก็รีบๆ แต่งตัวเร็ว เอาเสื้อกันหนาวไปด้วยนะ ริมผาลมแรง”
ฟางลงมือแต่งตัวอย่างอ้อยอิ่งพลางอ้าปากหาวเป็นระยะๆ เคยมีคนบอกว่าคนสวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด เห็นทีก็เป็นอย่างคำที่เขาว่าจริงๆ เพราะถ้าเป็นคนอื่นทำกิริยาแบบนี้ก็คงไม่น่าดู น่ามองสักเท่าไหร่
“เสร็จแล้ว” สาวหน้าแรงพูดหลังจากที่รูดซิปเสื้อกันหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉันกับฟางเดินออกไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อไปรอคนอื่นๆ ซึ่งเราสองคนก็พบกับพิม แอม และพี่ภูมิที่มาถึงก่อนแค่แป๊บเดียว
“อ้าวแล้วพี่นพกับเคียวล่ะ” ฉันถาม
“ไปตามสาวๆ ที่เหลือน่ะ ไม่รู้จะไปตามทำไม พวกนั้นคงไม่ไปกันหรอก” สาวอวบพูด
สาวโย่งเห็นฟางที่เดินมากับฉันเลยพูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานฟางไม่ได้ออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ เมื่อวานตื่นไม่ไหว” สาวหน้าแรงตอบ “เมื่อเช้าเรียวชวนก็เลยตื่นออกมาด้วยค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานๆ ให้กับแอม เลยผ่านไปถึงพี่ภูมิที่มองด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
สักพักหนึ่งพี่นพและพี่ชายฝาแฝดของฉันก็เดินมาพร้อมกับฝ้ายและซี โดยไร้วี่แววของใบเฟิร์น
“อ้าวแล้วใบเฟิร์นไปไหนล่ะ” พิมถาม
“ไม่ยอมตื่นอ่ะ ไม่รู้ไปง่วงมาจากไหน สู้ซีก็ไม่ได้เนอะ ใช่มั้ยคะเคียวขา” ยัยเสียงเล็กพูดพลางส่งสายตาออเซาะให้ไอ้หน้าเกือบหล่อ
อยู่ๆ ยัยอึ๋มก็โผล่มาขั้นกลางระหว่างยัยซีและไอ้เคียว “ฝ้ายก็ตื่นไหวนะคะ อยากดูพระอาทิตย์ยามเช้ากับเคียวจังเลยค่ะ”
“ครับๆ ก็ไปดูกันทั้งหมดนี่แหละครับ” แหม ทำเป็นแมนอีกและไอ้พี่ชาย และแล้วพวกเราก็ออกเดินไปยังผานกแอ่น
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น ยัยซีกับยัยฝ้ายก็พยายามแย่งกันควงแขนพี่ชายฝาแฝดของฉัน โดยมีพี่ภูมิและแอมเดินนำหน้า ฟางเดินคุยอยู่กับพิมและพี่นพ เธอหัวเราะกับมุขตลกที่หนุ่มใหญ่เล่น ส่วนฉันเดินรั้งท้าย
เมื่อถึงผานกแอ่นพวกเราก็หาที่นั่งเพื่อรอชมแสงอาทิตย์แรกของวัน ฉันที่แบกขาตั้งกล้องมาด้วยก็จัดหาเหลี่ยมมุมที่ดีที่สุดที่จะถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่จะขึ้นระหว่างต้นสนสองต้น ยัยอึ๋มที่เดินมาใกล้ๆ ฉันก็พูดขึ้นมาว่า
“เพื่อนเรียวนี่สวยดีเนอะ ฝ้ายเองยังอิจฉาเลย”
ฉันมองไปยังเพื่อนสาวที่กำลังนั่งคุยกับแอมอย่างออกรส “เหรอ”
“หวังว่าเพื่อนเรียวคงจะไม่มาเป็นคู่แข่งฝ้ายนะ เพราะแค่ซีกับใบเฟิร์น ฝ้ายก็เซ็งจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมคิดจะมาจีบเคียวล่ะ” ฉันถามกลับ
“ก็เคียวน่ารักนี่ เป็นสุภาพบุรุษดีด้วย ผู้หญิงคนไหนเห็น คนไหนรู้จักก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
“งั้นเหรอ”
“จะว่าไป ทำไมพี่เมแฟนเพื่อนเรียวไม่เห็นออกมาด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ เมื่อคืนฟางมานอนกับเรา”
“เหรอ… อุ้ยหนาวจัง เดี๋ยวเราไปเอาผ้าพันคอกับเคียวก่อนนะ” ว่าแล้วสาวอึ๋มก็เดินจากไป
สักพักยัยซีก็เดินมา “ทำอะไรอ่ะเรียว” เห็นอยู่ว่าทำอะไร ทำกับข้าวอยู่มั้งคะ
“เช็คกล้องอยู่”
“เพื่อนเรียวสวยเนอะ เค้าอยากได้หุ่นดีๆ แบบนั้นบ้างจัง” มาพูดเรื่องไอ้ฟางอีกและ
“หุ่นซีก็ดีอยู่แล้วนี่นา”
“แหม... เค้าก็อยากผอมลงอีกนิดนึงนี่” ตัวจะปลิวไปกับลมอยู่แล้วยังอยากจะผอมลงกว่านี้อีก
สายลมเย็นๆ พัดมา ทำให้ฉันตัวสั่นสะท้าน ใครว่าภูกระดึงหน้าร้อนไม่หนาว จริงๆ แล้วมันก็หนาวไม่แพ้หน้าหนาวเลยนะ
“หนาวจังเลยอ่า...” ยัยซีพูด “อยากให้มีคนมากอดจังเลย” ว่าแล้วยัยเสียงเล็กก็ใช้สองมือกอดตัวเอง “แล้วทำไมพี่เมไม่มาด้วยกันกับฟางล่ะ” ถามฉันแล้วฉันจะไปถามใครล่ะ
“ไม่รู้สิ”
ซีทำท่าคิดอยู่พักหนึ่ง “เอ... จะว่าไป เมื่อวานกว่าที่ใบเฟิร์นจะเข้าเต้นท์ก็ดึกแล้วนะ ไม่รู้ว่าไปไหนมา… อ้ะ... พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว!”
ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงคำพูดของยัยสาวเสียงเล็ก ตอนนี้สายตาของฉันจดจ้องไปยังพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ส่องแสงสีทองขึ้นมาจากขอบฟ้า เสียงชัตเตอร์ระรัวดังออกมาจากกล้อง เมื่อถ่ายรูปจนเต็มที่แล้วฉันก็ถอนสายตาจากกล้องถ่ายรูปแล้วพบกับ...
ฟาง เพื่อนสาวของฉัน ใบหน้าสวยๆ ของเธอเต็มไปแสงสีทองจากดวงตะวันที่ส่องฉาย ใบหน้าของสาวหน้าแรงแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะความหนาวเย็นของอากาศ ผมยาวๆ ของเธอก็พริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดมา เมื่อบวกกับรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ ทำให้ฟางดูสวยขึ้นกว่าที่เป็นอยู่มาก ฉันมองเพื่อนสาวด้วยความทึ่งพักใหญ่เลยทีเดียว เพราะว่าสาวหน้าแรงคนนี้สวย... สวยมาก
“ฟาง” ฉันตะโกนเรียก
ฟางหันมาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ทำให้ฉันต้องกดชัตเตอร์โดยทันที
“สวยมากเลยล่ะเรียว ขอบคุณนะที่ปลุกเค้า” ว่าแล้วเธอก็เดินเข้ามาควงแขน พลางซบใบหน้าลงบนไหล่ของฉันดื้อๆ กลิ่นหอมๆ ของแชมพูที่ฟางใช้เมื่อคืนลอยมาตามลม ทำให้ฉันเผลอสูดกลิ่นนั้นเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ให้ความรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์
“อื้อ” นี่เป็นคำตอบเดียวที่ฉันให้กับเพื่อนสาวได้ ณ ตอนนั้น
...
เมื่อพวกเราเดินกลับมาถึงที่พัก ก็พบกับยัยสาวตาโตและหนุ่มหน้าคมนั่งกินกาแฟอยู่ด้วยกัน ณ ร้านอาหารเจ้าประจำ ฟางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แฟนหนุ่ม พร้อมส่งเสียงเจื้อยแจ้วตลอดเวลาว่าพระอาทิตย์ยามเช้าสวยยังไง อากาศหนาวยังไง ชายหนุ่มได้แต่นั่งฟังพลางลูบผมยาวๆ ของแฟนสาวโดยที่ใบเฟิร์นมองภาพนั้นแบบไม่สนใจ
ฉันเดินไปนั่งข้างๆ สาวตาโตแล้วหยิบปาท่องโก๋ชิ้นหนึ่งขึ้นมาฉีกกิน แต่แล้วก็โดนสาวหน้าแรงตีมือ
“นี่แหนะ มือสกปรกๆ ยังไม่ได้ล้างหยิบขึ้นมากินได้ยังไง”
“โอ้ย เจ็บนะ พี่เมคะ ยัยนี่เป็นแบบนี้เหรอคะ”
หนุ่มหน้าคมหัวเราะ “แบบนี้ประจำล่ะครับ แต่จะว่าไปแล้วเรียวนี่เก่งนะครับที่ขุดยัยตัวแสบนี้ให้ลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ได้ ผมไม่เคยปลุกเค้าได้เลย”
“ฟางตื่นเองนะ” เฮอะ ทำเป็นเก่ง กูปลุกมึงขึ้นมาแท้ๆ
“เก่งจ้าเก่งๆๆ เดี๋ยวกินข้าว อาบน้ำแล้วจะได้ลงจากภูกัน”
“ค่ะ เออใช่ เรียวขอเบอร์หน่อยดิ” ว่าแล้วสาวหน้าแรงก็หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาจด ฉันให้เบอร์โทรศัพท์ของฉันไปรวมไปถึงได้เบอร์โทรของคู่รักคู่นี้กลับมาด้วย สักพักทั้งสองคนก็ขอตัวไปเก็บของ
ฉันนั่งทอดอารมณ์อยู่พักหนึ่งรอจนพี่ชายตัวดีของฉันสลัดตัวจากสาวๆ ให้หลุดพ้นจากวงโคจรได้ แต่เอ๊ะรู้สึกว่าตอนนี้ยัยใบเฟิร์นจะไม่ค่อยเข้ามานัวเนียไอ้หน้าเกือบหล่อเท่าที่ควร แต่ก็ช่างเถอะ...
“ไม่รำคาญมั่งเหรอวะ” ฉันถาม
“ก็นิดนึง ทำไงได้เอามาด้วยแล้วก็ต้องดูแล”
“แมนนักนะมึง หาเรื่องใส่ตัวน่ะชอบนักนะ”
“ช่างกูเหอะน่า แล้วฟางไปแล้วเหรอวะ”
“ไปเก็บของว่ะ เดี๋ยวก็คงจะลงจากภูแล้วแหละ สนใจเหรอวะ”
เคียวทำหน้าตาแบบไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ “แค่พวกนี้มึงก็ยังหาว่ากูหาเหาใส่หัวเลย เป็นเพื่อนมึงกูก็ยิ่งไม่กล้าหรอกว่ะ แถมยังมีแฟนแล้วด้วยกูยิ่งไม่เอาใหญ่ มันไม่ใช่วิถีของกู กูไม่ชอบแย่งของๆ ใคร”
“อ่ะโห... พี่ชายกูแม่งโคตรแมนเลย” ฉันพูดเสียงสูงจนถูกมันตบหัว “เจ็บนะเว้ย เอ้อ... สมมติว่าถ้าฟางยังไม่มีแฟน แกจะจีบมะ”
“ก็คงคิดดูก่อน เพราะหน้าตาแบบนั้น บุคลิกแบบนั้นกูก็ไม่กล้าจีบว่ะ มึงลองคิดดูดิ หน้าตาแบบเพื่อนมึงเนี่ย ทั้งสวย ทั้งน่ารัก แถมมีเสน่ห์ ใครๆ ก็ต้องคิดว่ามีแฟนแล้ว หรือไม่ก็ต้องมีสเป็กสูง ต้องเป็นผู้ชายที่มั่นใจในตัวเองมากๆ เลยเว้ยถึงกล้าจีบ กูว่าพี่เมเนี่ยแน่ว่ะ แถมโชคดีด้วยที่จีบฟางติดได้”
“งั้นเลยเหรอวะ” ไม่อยากจะพูดเลยว่าเมื่อคืนมันต๊องขนาดไหน ทั้งกัด ถีบ ข่วน เอาเต่าให้ดม เอาผมฟาดหน้า มือหนัก ตีเจ็บซะจนแขนแดง แถมยังล็อคคออีกต่างหาก เสร็จแล้วยังมีหน้ามาหัวเราะแลบลิ้นใส่อีกด้วย คนอะไรน่าถีบจริงๆ
“ไปเตรียมตัวเถอะว่ะมึง เดี๋ยวจะได้เข้าป่าปิดกัน”
“เออ”
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟางและพี่เมโบกมือลาพวกเราที่จุดบริการนักท่องเที่ยวขณะที่พวกกำลังรอเจ้าหน้าที่อุทยานเพื่อที่จะนำพวกเราเข้าไปในป่าปิด ซึ่งเป็นส่วนที่ห้ามเข้าในช่วงหน้าหนาว แต่จะเปิดให้เข้าเฉพาะหน้าร้อนและจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกิน 80 คน/ วัน รวมทั้งต้องมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานกลุ่มละ 2 คนที่ถือปืนคอยนำและคอยดูแลความปลอดภัยในการเดินทาง เผื่อว่าจะถูกช้างป่ากระทืบตายหรือเจอเสือจับกินด้วย
“เค้าไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวโทรคุยกันนะ” ฟางเดินเข้ามากอดฉันท่ามกลางสายตาที่ส่งออกมาด้วยความอิจฉาของพี่นพและพี่ภูมิแล้วก็จากไป
ตลอดเวลาในการเดินเที่ยว ฉันต้องทนฟังเสียงบ่นโอดโอยจากชะนีสามตัวอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องคอยลากยัยฝ้ายที่เดินไม่ค่อยไหวอีกด้วย ในบางครั้งฉันถูกพี่เจ้าหน้าที่เอาปืนคอยดันหลังเพื่อให้เดินเร็วขึ้น เมื่อเห็นว่าฉันกับสาวอึ๋มเดินรั้งท้ายคนอื่นเขาอยู่หลายสิบเมตร
“เรียว... ฝ้ายเหนื่อยอ่า ฮืออออ” ยัยอึ๋มเดินไปบ่นไป แถมยังเป็นภาระของฉันด้วยการดึงกระเป๋ากล้องของฉันเอาไว้อีกด้วย
“เดินดีๆ ดิฝ้าย เราก็เหนื่อยนะ อย่าดึงกระเป๋ากล้องได้มั้ยมันหนัก”
พี่เจ้าหน้าย่างสามขุมเข้ามาใกล้อีกแล้ว ท่าทางไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่ อยากจะให้เอาพานปืนตบยัยนี่ชะมัด
“น้องเดินเร็วๆ หน่อย เดี๋ยวไม่ทันข้างหน้า”
“ค่ะๆๆๆ”
“เรียวววววววว เค้าเหนื่อยอ่า”
‘กูรู้แล้ววววว อย่าบ่นได้ม้ายยยยยยยยย’
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงแปดหลอดของยัยซีดังขึ้น ตามมาด้วยยัยใบเฟิร์นเมื่อเห็นตัวทากชูคอสลอนอยู่บนพื้นป่าที่เปียกชื้น ส่วนยัยฝ้ายที่กอดแขนฉันอยู่ส่งเสียงร้องไม่ค่อยออกเพราะหมดแรงเดิน แต่ก็มิวายดิ้นเร้าๆ ให้ฉันเอาทากออกจากน่อง โอ้ย ทำไมกูต้องมาอยู่กับอีพวกนี้ด้วยวะ!
“ท่านผู้มีเกือกทั้งหลายที่เราเดินผ่านมาเค้าเรียกว่าดงทากระดับ 1 กรี๊ดเท่านั้นเองนะครับ” พี่นพบอกขณะที่เราหยุดพักกินข้าวที่โขดหินที่นำไปสู่น้ำตกตาดกวางสี “ส่วนข้างล่างที่เป็นน้ำตกเป็นดงทากระดับ 5 กรี๊ด จะมีใครไปมั่งครับ ขอบอกไว้ก่อนว่าใจไม่กล้า ใจไม่ถึง ขี้ป๊อดก็ไม่ต้องลงไป”
ชะนีสามสาวส่ายหน้าหนีทันที ส่วนฉันก็ยกกระเป๋ากล้องแบกขึ้นหลัง ทันทีที่จัดการข้าวที่ห่อมาหมดถุง
“ไปเลยพี่ หนูพร้อมแล้ว”
คนที่ไปกับฉันก็มีเพียงพี่นพและไอ้เคียว ส่วนนอกนั้นขอนั่งรอที่โขดหินที่เดิม เมื่อไปถึงน้ำตกฉันหามุมเหมาะตั้งกล้องและลงมือถ่ายรูปอย่างสะใจ แล้วจึงเดินกลับขึ้นมา
กว่าที่พวกเราจะออกจากบริเวณป่าปิดจนเดินมาถึงสระอโณดาตก็เป็นเวลาประมาณเกือบบ่าย 3 โมงแล้ว ฉันตั้งใจว่าจะเดินไปผาหล่มสักเพื่อจะดูพระอาทิตย์ตก แต่สมาชิกส่วนใหญ่อยากกลับที่พักกันแล้ว
“ไอ้เรียว มึงไปฟิตมาจากไหนวะ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยมั่งเลยเรอะ” แอมตะโกนถามขณะที่กำลังนั่งลง
“เออว่ะ ยังอยากจะไปอีกเหรอ” พิมพูดเสริม
พี่ภูมิเดินเข้ามาตบไหล่ “พี่ว่ากลับเถอะเรียว ไม่ไหวแล้วว่ะ ถ้าแกไปคนเดียวแล้วขากลับจะกลับมายังไงวะ”
สายตาส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากให้ฉันไปก็เลยต้องกลับโดยปริยาย
พวกเราอยู่ที่ภูกระดึงอีก 1 คืน และจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ฉันเขียนโปสการ์ดส่งหาพ่อที่ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ที่เกาะพระ จังหวัดชลบุรี ฐานที่ตั้งของศูนย์บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ หรือที่เรียกกันว่าหน่วยซีล (SEAL) รวมถึงเพื่อนสนิทอีก 2 – 3 คน เมื่อฉันหยิบโปสการ์ดที่เป็นรูปของผานกแอ่น มันทำให้ฉันนึกถึงฟาง...
‘ป่านนี้จะถึงกรุงเทพฯ หรือยังน้า...’ ฉันคิดในใจ
ฉันนั่งอยู่ที่ร้านอาหารจนเกือบถึงเวลาดับไฟ แล้วจึงค่อยๆ เดินกลับเต้นท์ของตัวเอง
...
หูของฉันยังคงทรมานอยู่ตลอดทางเดินลงจากภูกระดึง เนื่องจากเสียงบ่น เสียงออดอ้อนของชะนีสามสาวอยู่ตลอดเวลา จากเมื่อวานนี้ที่ต้องคอยดูแลยัยฝ้าย วันนี้ฉันต้องมาคอยดูแลสองแพ็คคู่อย่างใบเฟิร์นและยัยซี ที่เดินไม่ค่อยไหวและบ่นอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนท่าทางยัยสาวตาโตจะดูสงบเสงี่ยมกว่าที่ผ่านๆ มา ไม่ค่อยต่อล้อต่อเถียงอะไรสักเท่าไหร่นัก
เมื่อพวกเรามาถึงตีนภูแล้ว ฉันก็เตรียมตัวเข้าไปอาบน้ำก่อนที่จะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ โดยที่ไม่ลืมเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หลังจากที่เปิดเครื่องได้สักพักเสียงสัญญาณข้อความก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ฉันเปิดดูข้อความทันที เป็นข้อความจากเพื่อนโต้งและแนนเพื่อนสนิทของฉันที่เตือนขึ้นมาว่าไม่ให้ลืมนัดกินข้าววันศุกร์หน้า หยาง สาวจีนเพื่อนร่วมงานของฉันส่งข้อความมาเรื่องรายงาน และข้อความสุดท้ายมาจากฟาง
“เค้ามาถึงข้างล่างแล้วนะ เหนื่อยมากเลย” ข้อความนี้ส่งมาพร้อมกับรูปของสาวหน้าแรงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็ไม่วายชูสองนิ้วสู้กล้อง
และข้อความต่อมา
“อยู่รังสิตแล้วรถติดมากเลยอ่ะ เค้าเหนื่อยจัง” รูปถ่ายที่ส่งมาเป็นรูปของฟาง ในปากเต็มไปด้วยขนม ท่าทางของเธอมีความสุขจากขนมที่กิน
ฉันยิ้มให้กับสองรูปนั้น ฉันรู้สึกเห็นด้วยกับพี่ชายของฉัน พี่เมเป็นผู้ชายที่โชคดีจริงๆ ที่เป็นแฟนกับฟางได้ เพื่อนสาวของฉันคนนี้ทั้งน่ารักและมีเสน่ห์ เผลอๆ อาจจะมากกว่าชะนีสามตัวที่ตอนนี้กำลังนอนแผ่สองสลึงอยู่บนม้าหินหน้าห้องอาบน้ำนี้เป็นแน่แท้
...
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันศุกร์อันแสนสุขสม ฉันเดินออกมาจากออฟฟิศพลางตรงไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปที่ร้านอาหารแถวๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อันเป็นสถานที่นัดพบกับโต้ง เกย์หนุ่มหน้าตาดี และแนนเพื่อนสาว ทั้งคู่เป็นเพื่อนเรียนสมัยมหาวิทยาลัยของฉัน
เมื่อรถเมล์แล่นผ่านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ในใจของฉันก็พลันนึกถึงฟาง เพื่อนสาวหน้าแรงของฉันที่เจอกันด้วยความบังเอิญบนภูกระดึง หลังจากที่ลงมาจากภูกระดึงและได้รับข้อความของเพื่อนสาวแล้ว ฉันก็กับฟางก็ยังไม่ได้โทรคุยหรือติดต่อกลับอีกเลย
‘จะเป็นยังไงบ้างน้า สงสัยวันนี้คงไปกินข้าวกับพี่เมละมั้ง’
ร้านอาหารในซอยราชครูเป็นร้านที่ฉันและเพื่อนๆ นัดพบกัน พวกเราสามคนสนิทกันมาตั้งแต่เรียนปี 1 ของมหาวิทยาลัย ตอนนี้ทั้งแนนและโต้งต่างทำงานบริษัทเอกชน มีฉันคนเดียวที่จับพลัดจับผลูไปทำงาน NGO แถวๆ ชายแดนไทย – พม่า หลังเรียนจบ และกลับมาทำงานที่ UN หลังจากที่โครงการจบลง
“กินอะไรกันหรือยังวะ” ฉันถามขณะที่หย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ไม้ บนโต๊ะอาหารมีของกินวางอยู่สองสามอย่าง
“พวกกูนั่งสูดกลิ่นธูปอยู่มั้ง เห็นอยู่ว่าบนโต๊ะมีอะไรยังจะมาถามอีก” แนน สาวแว่นในชุดทำงานพูดพลางหัวเราะคิกคัก
“เฮ้ยๆๆ กลิ่นธูปกูไม่เอา อย่าเอากูไปรวมกับผีกระสืออย่างมึงสิวะอีแนน” โต้ง เกย์หนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมพอดีตัวพูดต่อมุขเพื่อน
“โอ้ย อย่างมึงอ่ะนะ กูว่าไม่พ้นผีเปรตไว้ขอส่วนบุญพวกกูไปวันๆ หรอกว่ะ” สาวแว่นโต้กลับ ในขณะที่ฉันหยิบแตงกวาจากจานหมูแดดเดียวขึ้นมากิน
เกย์หนุ่มค้อนให้เพื่อนสาววงใหญ่ “อีนี่ ชอบว่ากูอยู่เลยเลย อ่ะอีเรียวอยากกินอะไรสั่ง เอาตามลำบากเลยมึง” ว่าแล้วก็ยื่นเมนูส่งให้ฉัน
“โห ไม่เจอกันตั้งนาน ปากคอเราะร้ายขึ้นทุกวันนะพวกแกเนี่ย”
“ปากพวกกูเป็นยังไงก็เหมือนเดิมละเว้ย เออใช่... เป็นไงมั่งวะมึง ได้ข่าวไปเที่ยวภูตะลึงมา ได้ของที่ระทึกกลับมามั้ยวะ” แนนถาม
“กูว่านะมึง มันต้องได้มากกว่าของที่ระทึกอีกว่ะ” โต้งแซว
“อะไรที่มากกว่าของที่ระทึกวะ อีโต้ง” สาวแว่นถาม
“มันต้องมาพร้อมกับโรคหูหนวก หูตึงไงมึง เพราะมันไปกับชะนีแปดหลอดตั้งสามตัว” ว่าแล้วเพื่อนซี้ทั้งสองก็ส่งเสียงหัวเราะ
ฉันยิ้ม “จะมากไปและมึง สั่งไปเยอะหรือยังล่ะ”
“สั่งไปนิดหน่อยเท่าที่เห็นอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ รอคุณคนเดียวละค่ะคุณเรียวจันทร์” เกย์หนุ่มตอบ
“ว่าแต่ทำไมไม่พาพี่ชายน่ากินของคุณมาให้อิฮั้นเชยชมบ้างละคะ”
“พอเลยมึง พี่ชายกูคงไม่อยากขายตูดให้มึงหรอก อีกอย่างกูก็ไม่อยากเรียกมึงว่าพี่สะใภ้ด้วย” ฉันพูดพลางจุดบุหรี่ขึ้นสูบ มันเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ค่อยจะดีนักจากการไปทำงานที่ชายแดน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะสูบบุหรี่ต่อหน้าพ่อและเคียวเลย
“แหม มึงนี่ ขอให้อีโต้งมันหาเศษหาเลยบ้างก็ไม่ได้” แนนว่า
“ไม่เอาอ่ะ กูไม่อยากได้พี่สะใภ้ถึกล่ำแบบมัน ถ้าอยากเป็นพี่สะใภ้กูจริงๆ มึงคงต้องไปตบตีแย่งชิงกับผู้หญิงแถวๆ ที่ทำงานมันก่อนก็แล้วกัน”
“อี๋ จะให้ฉันลดตัวไปเกลือกกลั้วกับนังชะนีพวกนั้นน่ะเหรอ ไม่เอาหรอก อย่างฉันน่ะถ้าจะหาสารมี ฉันต้องได้ของที่ดีที่สุด จากแหล่งที่ดีที่สุดเท่านั้น”
“ดูมันพูด ทำอย่างกะผู้ชายหาได้ตามตลาดขายปลา” ฉันแซว
“อ๋อ แหล่งที่ดีที่สุด มึงจะหาตามรัชดากับสีลมใช่มะ” แนนว่า
“แถวนั้นมันต่ำไป ฉันไม่เอา”
“พาราก้อน สยาม เซ็นทรัลเวิร์ด” ฉันเดา
“โนววววววว โนวววววววววว Too Lowwww เซ็นทรัลเวิร์ดจะให้กูไปรำแก้บนแก้ล่างที่ศาลพระพรหมหรือไงยะ” แหม ช่างตอบออกมาด้วยเสียงที่น่าตบซะนี่กระไร
“ซาฟารีเวิร์ด เขาดิน สวนสามพราน สวนสัตว์เชียงใหม่” แนนเดาต่อ
โต้งแหววขึ้นมาทันที “สามีนะเว้ย เอาที่เป็นคน จะให้ฉันไปตึ่งโป๊ะกับไอ้ช่วง ช่วง ได้ยังไง เดี๋ยวยัยฮุ่ยกับยัยปิงก็มารุมสกรัมฉันหรอก”
“โทษที กูนึกว่ามึงเป็นชบาแก้ว” สาวแว่นหัวเราะคิกกับมุขของตัวเอง
“แล้วอย่างมึงอ่ะต้องหาแนวไหนวะ” ฉันถามพลางสั่งอาหารที่อยากกิน
“สะพานพุทธกับคลองเตย only แต่สะพานเหล็กก็ดีนะแก พวกคนงานล่ำๆ ดำๆ ฉันชอบ”
“ถุย” ฉันกับแนนพูดพร้อมกัน และแล้วบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การเม้าท์และการไต่ถามสารทุกข์สุขดิบระหว่างเพื่อนก็เกิดขึ้น
เมื่อกินและเม้าท์กันไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น คนที่โทรมาหาฉันก็คือฟางนั่นเอง
“แป๊บนะมึง...” ฉันบอกเพื่อน “ฮัลโหลฟางเหรอว่าไง”
“ฮึกๆๆๆๆ ฮือออออออออออ” เสียงสะอึกสะอื้นตามมาด้วยเสียงร้องไห้แบบยกใหญ่ส่งมาจากปลายสาย ทำเอาฉันตกใจ
“เฮ้ย ฟางเป็นอะไร แกเป็นอะไร”
“เรียว... ฮึกๆๆๆ แกต้องชดใช้”
“ฟาง แกพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ไอ้เรียว ไอ้เพื่อนบ้า แกต้องรับผิดชอบ!” สาวหน้าแรงตะโกนกลับมา เสียงนั้นดังมากจนโต้งและแนนหันมามอง
“ฟาง แกพูดอะไร พูดดีๆ หน่อยดิเว้ย ฉันไม่เข้าใจ”
“พี่เม...”
“พี่เมทำไมวะ”
“ฉันเลิกกับพี่เมเพราะแก แกต้องรับผิดชอบ!” ฟางตะโกนออกมาอีกครั้ง
เฮ้ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน กูไม่เข้าจายยยยยยยยยยยยยย
“ใจเย็นดิฟาง นี่แกพูดเรื่องอะไรวะ แกเลิกกับพี่เมเหรอ”
“ก็เออน่ะสิ ฉันเลิกกับพี่เม และต้นเหตุมันเป็นเพราะแก ไอ้เรียว”
“ฉันไปทำอะไรตอนไหนวะ เรื่องมันเป็นไงมาไงเนี่ย”
ฟางไม่ตอบ แต่ฉันได้ยินเสียงแตรรถยาวเป็นระยะๆ เพื่อนสาวของฉันกำลังขับรถอยู่แน่ๆ
“ฟาง เล่ามาดิ เรื่องมันเป็นยังไง” ฉันพูดซ้ำ
ฟางตอบมาด้วยเสียงเย็นๆ “ตอนนี้แกอยู่ไหน”
“ห๋า”
“ไอ้เรียว ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
“ซอยราชครู”
“เดี๋ยวฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้ล่ะ ฉันจะให้แกรับผิดชอบที่ทำให้ฉันต้องเลิกกับพี่เม!”
“เฮ้ยเดี๋ยว!”
ฟางวางสายไปแล้ว... ฉันโทรกลับไปอีก 2 – 3 ครั้งแต่ก็ไม่มีคนรับสาย หมดแรงที่จะพูดต่อไป ฉันนั่งเอามือกุมขมับ
“เรื่องอะไรกันวะเรียว เสียงดังใหญ่เลย อะไร ใครเลิกกับใคร” แนนพูดถาม
“นั่นดิ เรื่องอะไรกันวะ” โต้งพูดพลางทำหน้าไม่สบายใจ
ฉันจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกตัวหนึ่งเพื่อดับเครียด แล้วเล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และบอกว่าสาวหน้าแรงกำลังจะเดินทางมาหาฉัน
“เฮ้ย! แกไปทำอะไรอย่างที่เพื่อนแกว่าจริงป่าววะ” สาวแว่นถามอย่างตกใจ
ฉันมองหน้าเพื่อนแบบเคืองๆ “พวกมึงดูกูนี่ อย่างกูเนี่ยนะจะไปยั่วใครให้เลิกกับแฟนที่สวย แล้วก็เอ๊กซ์ขนาดไอ้ฟางได้”
“เออใช่ว่ะ” เกย์หนุ่มว่า “แต่ไม่แน่นะมึงไอ้พี่เมอะไรนั่นอาจจะชอบของแปลกก็ได้ แบบว่าชอบสาวตัวสูง หุ่นดี แต่เก็บกด พูดจาหมาไม่รับประทานไรเงี้ย”
“หุบปากไปเลยอีโต้ง เดี๋ยวมึงก็ถูกกูตบด้วยขวดเบียร์นี่หรอก” ฉันด่าเพื่อนที่แซวไม่ถูกที่ถูกเวลา เว้ย จะทำยังไงดีวะ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ฟางโทรมาอีกแล้ว
“ใกล้ถึงซอยราชครูแล้ว แกอยู่ที่ไหน”
“ร้านสวนกุหลาบ ไอ้ฟางนี่มันอะไรกันวะ ฉันไม่เข้าใจ”
“เดี๋ยวแกก็จะเข้าใจเองแหละ” สาวหน้าแรงตอบกลับแล้วกระแทกหูโทรศัพท์ใส่ฉันอีกครั้ง
ใจของฉันเต้นแรง ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไรและตัวเองทำผิดอะไร แต่ก็ยังอดรู้สึกหวาดระแวงไม่ได้ เนื่องจากเพื่อนสาวของฉันอยู่ในอารมณ์โกรธและกำลังจะมาเอาเรื่องฉันในอีกไม่นานนี้ ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็ตื่นเต้นและตกใจไม่แพ้กัน พวกมันได้แต่ตบไหล่และเทเบียร์ให้ฉันเพิ่มเท่านั้นเอง
รถเชฟโรเล็ตสีบร็อนซ์เงินก็ขับเข้ามาบริเวณลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว หญิงสาวหน้าตาดีในชุดแซ็กกระโปรงเดินตรงเข้ามาในร้าน ใบหน้าของเธอยังคงดูสวย ใต้ตาของเธอแดงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอมีทั้งอารมณ์โกรธและเสียใจในเวลาเดียวกัน ผู้ชายเกือบทุกคนในร้านที่เห็นสาวสวยคนนี้จ้องตาเป็นมัน ส่วนสาวคนอื่นๆ ได้แต่มองด้วยความอิจฉา เธอคนนั้นเดินตรงมายังโต๊ะของสองสาวหนึ่งหนุ่มที่อยู่ในมุมจัดไว้สำหรับคนที่สูบบุหรี่ เธอคนนั้นคือเพื่อนของฉันเอง
“เรียวจันทร์ อิทธิไกรฤกษ์ แกต้องรับผิดชอบ!” สาวหน้าแรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหารของฉันและเพื่อนๆ พูดเสียงเข้ม แล้วเธอก็ยกแก้วใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเบียร์ของฉันขึ้นมากระดก... รวดเดียวหมด
“อา................. สะจายยยยยยยยยยยย”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย!” ฉันและเพื่อนอุทานด้วยเสียงอันดัง