web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 35
Total: 35

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 6  (อ่าน 3007 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 6
« เมื่อ: 18 มกราคม 2014 เวลา 23:48:13 »
Chapter 6
 
ฉันตื่นนอนเกือบๆ 10 โมงเช้า เมื่อลงมาชั้นล่างก็เห็นพี่ชายฝาแฝดของฉันกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อื้อ” ฉันตอบรับด้วยสำเนียงในลำคอแล้วเดินเข้าห้องครัวไปหาน้ำกิน สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเรียก

“เรียว” ไอ้หน้าเกือบหล่อเรียกฉันนั่นเอง

“อะไร”

“โทรบอกฟางให้หน่อยดิว่าเดี๋ยวตอนเที่ยงครึ่งไปรับที่บ้าน”

“ทำไมไม่โทรเองละวะ”

“ไม่มีเบอร์”

“งั้นเดี๋ยวกดให้แล้วคุยกันเองก็แล้วกัน” ฉันพูดแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้งเพื่อหยิบโทรศัพท์ กดหาเบอร์โทรเพื่อนสาวหน้าแรง รอสายอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีคนรับ สงสัยยังไม่ตื่นแฮะ

ฉันเดินลงมาชั้นล่างยื่นโทรศัพท์ให้เคียว “ไม่รับสายว่ะ เดี๋ยวคงโทรกลับ ถ้าโทรมาแกรับก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินเข้าครัว

“ทำไรกินอ่ะ”

“ไม่รู้ดิ”

“หิวแล้วเหรอวะ”

“ไม่ค่อยเท่าไหร่”

“งั้นก็รอดิ เดี๋ยวก็จะออกแล้ว” ไอ้หน้าเกือบหล่อบอกทำเอามือที่กำลังจะเปิดตู้เย็นเพื่อคุ้ยหาของกินชะงัก

“เลี้ยงป่ะล่ะ”

“โห... อีกและ”

“สาวๆ อ่ะเลี้ยงได้เลี้ยงดี น้องนุ่งอ่ะไม่เคยอ่ะ ไม่มีสักกะนิด”

“เออ ก็ได้ๆ”

“เย้”

“กินพร้อมฟางก็แล้วกันนะ”

ชะอุ้ย เอางั้นเลยเหรอไอ้พี่ชาย หรือว่ามันคิดจะจีบไอ้ฟางจริงๆ เหรอเนี่ย คิดได้ดังนั้นก็เลยถามออกไป

“เคียว” ฉันเรียกขณะที่ยืนพิงประตูที่เชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องครัว

“ว่าไง”

“แกคิดจะจีบฟางเหรอวะ”

“ถามทำไมวะ”

“ก็แค่สงสัย เห็นตอนแรกบอกว่าไม่อยากจีบ แต่เมื่อวานฟังแล้วมันดูแปลกๆ”

“ไม่ได้บอกว่าไม่อยากจีบ แต่คิดว่าจีบยากมากกว่า”

“แล้ว...”

“ตอนนี้ยังไม่จีบ เป็นเพื่อนไปก่อนแต่ต่อไปก็ไม่แน่...”

“เหรอ”

ว่าแล้วไอ้หน้าเกือบหล่อก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินตรงไปที่บันได

“อาบน้ำก่อนนะ”

“เออ”

ตอนนี้คำตอบของพี่ชายของฉันและคำพูดของเพื่อนสาวเมื่อวานมันทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ในใจ ถ้าเคียวเป็นแฟนกับฟางแล้วต่อไปจะเป็นยังไง... เฮ้ย... ไอ้เรียว ถ้าเป็นงั้นได้แกก็ควรจะดีใจดิเว้ยที่จะได้หลุดพ้นจากการเป็นไม้กันหมาของไอ้เคียว แต่มาคิดอีกที... นี่ฉันต้องโดนสาวหน้าแรงโขกสับตลอดไปเลยนี่หว่า... เหวย... ไอ้เคียว... คิดดีๆ นะเว้ย เห็นแก่สวัสดิภาพของน้องมึงหน่อยเถอะ!

...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วฟางนั่นเองที่โทรมา

“สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง” ฉันกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์

สาวหน้าแรงหัวเราะคิกคักก่อนที่จะตอบกลับมา “สวัสดีค่ะคุณเพื่อน โทรมาไม่ทราบว่าอยากจะให้ดิฉันสั่งอะไรเหรอคะ”

โห... ดูมันพูด กวนตีนเชียวล่ะ

“ไม่มีหรอกค่ะ เผอิญว่าดิฉันไม่ได้อยากคุยกับคุณ”

“แล้วแกโทรมาทำไมวะ” อ้าวเสียงดังขึ้นมาเลย “ฉันอยู่ในโบสถ์นะเว้ยกำลังนมัสการอยู่ ไม่มีมารยาทเลยนะแก”

เอ๋า กูจะไปรู้เหรอว่ามึงทำอะไรอยู่ เห... ไอ้ฟางเป็นคริสเตียนเหรอเนี่ย เพิ่งจะรู้แฮะ

“ด่าจังเลยนะแก พูดดีๆ กับฉันไม่ได้หรือยังไงวะ”

“อะไร ฉันไม่ผิดนะเว้ยแกกวนใส่ฉันก่อนทำไมล่ะ” อ้ะๆๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าแถตัวแม่นะคะ

“ไอ้เคียวมันอยากจะคุยด้วย เดี๋ยวคุยกับมันละกัน”

“อ๋า เคียวเลย คุยๆๆๆ” เสียงแปร๋นขึ้นมาเชียวล่ะ

“เออ รอแป๊บ” ว่าแล้วฉันก็เดินไปเคาะห้องไอ้หน้าเกือบหล่อ แต่ฟางก็ส่งเสียงดังออกมาทางโทรศัพท์อีกว่า

“แกซักกางเกงในให้ฉันหรือยังวะ” โว้ยยย อะไรกันวะยัยนี่

ฉันตอบด้วยเสียงเซ็งๆ ไปว่า “ยังไม่ซักเว้ย บอกแล้วไงว่าให้มาซักเอง รักนักรักหนาเนอะไอ้ตัวนั้นอ่ะ นี่ยังไม่ได้คิดค่ากางเกงในที่แกเอาไปใส่เมื่อวานนะเว้ย”

“ก็อันนั้นมันเป็นตัวเก่งของเค้านี่นา ส่วนของแกอ่ะ ไอ้ขี้งก เอาคืนไปเลย”

“ไอ้บ้าแกใส่ไปแล้วนี่หว่า สินค้าใช้แล้วไม่รับคืนเว้ย ซักมาแล้วก็ไม่รับเว้ย”

“โหยยยยยยยยย ทำไมใจร้ายกะเค้าเงี้ยอ่ะ”

“ฉันไม่ได้อยากใส่กางเกงในที่คนอื่นเค้าใส่แล้วหรือกนะ”

“คนอื่นคนไกลที่ไหนวะ ก็ฉันนี่ไง” ดูมันพูดเข้า วุ้ย แถจะไม่มีอ่ะ

ไอ้เคียวเปิดประตูออกมาแล้ว ฉันเลยรีบยื่นโทรศัพท์ให้ “อ้ะ เอาไปคุยแล้วก็เม็มเบอร์กันเอาไว้ซะให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องมาลำบากกูอีก ขี้เกียจเป็นโอเปอร์เรเตอร์”

ไอ้หน้าเกือบหล่อคุยกับฟางอยู่พักหนึ่งแล้วก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้ฉัน “อ้ะ เดี๋ยวอีก 10 นาทีจะออกแล้วนะ ฟางให้ไปรับที่เดอะมอลล์บางแค”

“เออ แล้วนี่จะไปซื้อของที่ไหนอ่ะ”

“เซ็นชิด (เซ็นทรัลชิดลม)”

อยู่กันคนละโยชน์เลยเนอะ บ้านของพวกเราอยู่สนามบินน้ำ บ้านฟางอยู่บางแค แล้วจะไปเซ็นทรัลชิดลม ขับรถกันเหนื่อยเลยนะเนี่ย

“เออ” ฉันตอบรับ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวลงขึ้นรถด้านล่าง

มาสด้าสามสีน้ำเงินของเคียวทีมีฉันนั่งไปด้วยก็ออกตัวจากถนนติวานนท์ มุ่งหน้าสู่เดอะมอลล์บางแค พวกเรานั่งฟังเพลงสากลจากคลื่นวิทยุไปพลางโดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน

ไอ้หน้าเกือบหล่อพูดขึ้นมา “เรียว”

“อะไร”

“จะกินอะไรดีวะ”

“กินอะไรก็ได้ที่แพงๆ”

“โห ไม่กลัวกูไม่มีเงินจ่ายรึยังไงวะ”

“ไม่กลัว แค่นี้ยังน้อยกว่าที่มึงซื้อของเลี้ยงสาวๆ อีกนะ”

“กัดกูจังเลยนะมึงเนี่ย …ช่วงนี้แม่งเบื่อๆ ว่ะ ไม่ค่อยอยากยุ่งอะไรกับใคร”

วันนี้มันมาแปลกแฮะ ซีเรียสอะไรขึ้นมาวะเนี่ย

“งั้นเหรอวะ ก็หาที่สงบๆ หลบไปพักก็แล้วกัน ไปบวชเลยเป็นไง”

“แน่ใจนะว่าที่พูดมาเมื่อกี้อ่ะปาก” เคียวมองฉันอย่างเคืองๆ “ก็แค่รู้สึกเบื่อๆ ไม่อยากให้ใครมายุ่งเท่านั้นเองว่ะ ยิ่งพอได้ฟังเรื่องฟางแล้วยิ่งรู้สึกว่าทำไมชีวิตมันยุ่งเหยิงอย่างนี้วะ”

“แล้วไง”

“ก็เลยคิดว่าอยากจะอยู่แบบสงบๆ สักพักนึงแบบไม่อยากให้ใครมายุ่ง”

“เลยจะเอาไอ้ฟางเป็นคู่ควงใช่มั้ย”

“อื้อ”

“ทำไมไม่จีบไปซะเลยละวะ”

“ไม่ไหวว่ะ คิดดูดิฟางเพิ่งเลิกกับพี่เม แล้วก็มาคบกับกูโดยทันทีมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่ใบเฟิร์นกับพี่เมทำหรอกเว้ย” เคียวพูด “ถ้าทำแบบนั้นแล้วคนที่เสียก็คือฟางนะ เพราะฟางเป็นคนบอกเลิกพี่เม แล้วหลังจากนั้นไม่กี่วันก็มาเป็นแฟนกูเงี้ย คนอื่นเค้าจะมองฟางยังไง ให้มันเป็นแบบนี้อ่ะดีแล้ว แบบว่ากูสนิทกับฟางเพราะฟางเป็นเพื่อนมึง”

“แล้วไง”

“กูคงต้องขอให้มึงช่วยอีกทีแล้วล่ะว่ะ แบบว่าถ้ากูไปไหนมาไหนกับฟางก็อยากให้มึงไปด้วย คนอื่นเค้าจะได้ไม่มองฟางกับกูในทางที่ไม่ดี”

เออ แมนโคตร ที่พูดมาก็ถูกอ่ะนะแต่รู้สึกไม่พอใจที่ทำไมตัวกูต้องมาเป็นเครื่องมืออีกแล้วนะสิเนี่ย!

ฉันไม่พูดอะไรได้แต่นั่งเซ็งๆ นึกถึงชะตากรรมของตัวเองที่ต้องเป็นทั้งคนดูแลสาวหน้าแรง และต้องคอยมาเป็นข้ออ้างของพี่ชายที่เข้ามาสนิทกับเพื่อนสาว เฮ้อ... เซ็งชีวิต

...

“ร้อนจังเลยอ่ะ” นี่คือคำพูดของสาวหน้าแรงทันทีที่ก้าวขึ้นรถแล้วมานั่งจุมปุ๊ก ณ ที่นั่งข้างคนขับ ซึ่งฉันต้องจรลีไปนั่งที่เบาะหลัง

“แป๊บนึงนะ เดี๋ยวเราเร่งแอร์ให้” ว่าแล้วไอ้หน้าเกือบหล่อก็เพิ่มอุณหภูมิแอร์และปรับช่องแอร์ไปที่เพื่อนสาวของฉันคนเดียว

“อุ้ย ขอบคุณค่ะ”

“ฟางทานอะไรมารึยังครับ พอดีเรากับเรียวยังไม่ได้กินข้าวกันมาเลย เลยจะแวะกินข้าวก่อน”

“ยังเหมือนกันค่ะ”

“งั้นฟางจะทานอะไรดีละครับ”

“อะไรก็ได้ค่ะฟางทานได้หมด” สาวหน้าแรงพูดพลางเอี้ยวตัวหันมาถามฉัน “แกจะกินอะไรอ่ะเรียว”

“อยากกินอาหารญี่ปุ่น” ฉันพูดขึ้นมา

“อื้อ ฟางก็อยากกินเหมือนกัน”

ไอ้เคียวหักรถเลี้ยวเข้าไปในห้างฯ  ทันที “เออ อยากกินเหมือนกัน”

หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าไปนั่งกินอาหารญี่ปุ่นโดยมีไอ้หน้าเกือบหล่อเป็นเจ้ามือเลี้ยง ใช้กูนักขอกินให้เต็มคราบหน่อยเถอะ

“เรียว... เค้าอยากกินไข่หวานอ่ะ”

“ก็สั่งดิ”

“สั่งให้เค้าหน่อยดิ” อะไรกันวะ แค่นี้ก็สั่งเองไม่ได้

“ไม่เอาอ่ะ”

“เรียวอ่ะ”

“เดี๋ยวเราสั่งให้เอง” สงสัยท่าทางไอ้เคียวมันคงจะเบื่อที่ฉันไม่ยอมทำตามคำสั่งของเพื่อนสาวก็เลยสั่งไข่หวานให้ฟางเอง

“เคียวใจดีจังเลย ไม่เห็นเหมือนใครบางคนแถวนี้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแฝดกัน” โห... มีว่ากระทบด้วย ไอ้นี่เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วพวกเราก็พาออกจากร้านแล้วขึ้นรถไปที่เซ็นทรัลชิดลม โดยมีไอ้หน้าเกือบหล่อเป็นพลขับ ไอ้ฟางเป็นตุ๊กตาหน้ารถ และฉันเป็นตัวแถมที่นั่งอยู่ด้านหลัง สาวหน้าแรงกับเคียวนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงถึงเรื่องต่างๆ นาๆ บางครั้งก็คุยเรื่องงาน คุยเรื่องส่วนตัวบ้าง และรำลึกถึงความหลัง

“เคียวกับเรียวเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดป่ะ” ฟางถาม เมื่อไอ้หน้าเกือบหล่อเล่าถึงวีรกรรมตอนเรียน รด. และเข้าค่ายที่เขาชนไก่

“เปล่า เราเรียนคนละโรงเรียนกัน ขานั้นเค้าสอบได้ที่เตรียมฯ เราเลยเรียนโรงเรียนเก่า ส่วนเรียวก็เรียนอีกโรงเรียนนึง”

“เหรอ...”

“อื้อ รู้รึเปล่าว่าพวกเราเป็น AFS ด้วยนะ” เคียวเล่าต่อ

“จริงเหรอ แล้วไปประเทศเดียวกันหรือเปล่า”

“คนละประเทศอ่ะ เราไปญี่ปุ่น”

“เรียวแกไปประเทศอะไรเหรอ” ฟางหันมาถามฉัน

ฉันละสายตาออกจากรูปเจ้เกียว เจ้าของอู่เชิดชัยในชุดสาหรีสีชมพูที่ติดอยู่ข้างรถบัสสองชั้นข้างๆ รถของพี่ชายเพื่อแก้เซ็ง พลางกำลังคิดว่าเจ้เกียวแกจะรู้มั้ยนะว่าคนขับรถกับคนบนถนนคงจะเหม็นเบื่อหน้าเจ้แกเต็มทีแล้ว ฉันพูดตอบกลับเพื่อนสาวไปว่า

“กัวเตมาลา”

“กัวเตมาลา มันอยู่ส่วนไหนของโลกอ่ะเนี่ย” นึกแล้วว่าไม่รู้จัก

“อเมริกาใต้ ใกล้กับเม็กซิโก”

“โห... เค้าพูดภาษาอะไรกันอ่ะ”

“สเปน”

“แสดงว่าแกพูดได้งั้นดิ”

“อื้อ”

“ด่าได้ซะด้วยซ้ำ” ไอ้หน้าเกือบหล่อพูดแทรก “แถมยังโดนเปลี่ยน host family อีก”

“ไหงงั้นอ่ะ”

“ก็ไอ้เรียวดันไปชกหน้าญาติเค้าอ่ะดิ”

“ห๋า” สาวหน้าแรงหันมาหาฉันโดยทันที “แกไปชกหน้าญาติของครอบครัวอุปถัมภ์เหรอ”

“เออ” ฉันตอบแบบแกนๆ

“ทำไมอ่ะ”

“ก็มันกวนตีน พูดจาดูถูกคนเอเชีย แถมยังด่าแม่ฉันอีกจะให้ทนไหวได้ยังไง”

“ด่าว่าอะไรอ่ะ”

“จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ เยอะแยะมากมาย มันพูดทำนองดูถูกผู้หญิงไทยอ่ะนะ แต่คำที่ทำให้จี๊ดแตกก็คือ ตอนที่ฉันพูดว่าแม่เสียไปแล้ว ไอ้หมอนั้นมันก็พูดขึ้นมาว่าแม่แกคงไม่รักแกละมั้งถึงได้หนีไปตายก่อน”

“โห แรงๆ สมควรโดน” ฟางพูดเสริม “แล้วตอนนั้นแกชกมันไปเลยป่ะ”

“ป่าว แค่พูดประมาณว่าฉันไม่พอใจนะ อย่ามาพูดอะไรแบบนี้ มันก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ฉันเลยเดินหนี มันก็เดินตามฉันมาแล้วพูดว่า แกจะรีบไปตายหาแม่แกหรือยังไง อ่อ ใช่ แม่แกรอแกอยู่ในนรกแล้ว”

“แล้วแกทำไงๆ” สาวหน้าแรงพูดอย่างตื่นเต้น

“ฉันก็ชกมันไปเลย เข้าเต็มๆ ที่จมูก ดั้งหักเลย”

“แล้ว...”

“หลังจากนั้นก็เดินไปที่โทรศัพท์แล้วก็โทรหาผู้ดูแล เล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด แล้วก็พูดว่าจะขอแจ้งความจับไอ้หมอนั่นฐานดูหมิ่น”

“แล้วพวกครอบครัวอุปถัมภ์แกว่าไงอ่ะ” ฟางถามต่อ

“ก็แตกตื่นกันใหญ่ คิดว่าฉันไม่กล้า พวกเขารู้ว่าหมอนี่มันปากหมา แต่ก็ไม่มีใครห้าม ได้แต่ปล่อยไปจนโดนฉันนี่แหละชกเอา ก็มองหน้ากันไม่ติดพักนึงจนกระทั่งฉันย้ายออกไปอยู่กับครอบครัวอื่น”

เคียวก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นเราตกใจมากเลยอ่ะ นึกว่าไอ้เรียวมันจะโดนตำรวจจับไม่ก็โดนส่งกลับไทยแล้ว แต่สรุปว่าไม่โดนส่งกลับ แถมยังได้อยู่ต่อ เพราะทางนั้นเค้าไม่เอาเรื่อง ฟางรู้ป่ะ พ่อชมมันด้วยอ่ะ”

“ถูกชมเพราะชกหน้าคนอื่นเนี่ยนะ... โห... พ่อแกคิดอะไรอยู่วะ” เพื่อนสาวหันมาถาม

“ไม่รู้ดิ” ฉันตอบ

“เห็นนิ่งๆ บ้าๆ แบบนี้ร้ายนะเนี่ย แกจะทำอะไรฉันป่าววะ” เก็บคำถามนี้ไว้ตอบตัวแกเองเถอะไอ้ฟาง

“ไม่รู้ดิ”

“ตอบเป็นคำเดียวหรือยังไงวะ”

“ไม่รู้ดิ”

ฟางส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ เมื่อได้รับคำตอบซ้ำๆ จากฉัน แล้วหลังจากนั้นบทสนทนาก็ถูกเบี่ยงด้วยเพลงจากคลื่นวิทยุที่ไอ้หน้าเกือบหล่อและสาวหน้าแรงชอบ ส่วนฉันก็นั่งเฉยๆ อยู่ด้านหลังต่อไป

...

เมื่อมาถึงเซ็นทรัล เคียวก็พาเดินลัดเลาะไปที่ชั้นแผนกเสื้อผ้าผู้ชาย แต่ระหว่างที่กำลังเดินไปนั้นฟางก็เดินขนาบข้างฉันแล้วจับมือฉันเอาไว้แน่น

“เดินดีๆ ไม่ได้หรือไงวะทำไมต้องจับมือด้วย” ฉันพูดพึมพำ

“ก็ฉันไม่ชอบเดินคนเดียวนี่นา มันเหงาออก ชอบมีคนมาเดินข้างๆ”

“แล้วทำไมไม่ไปเดินกับไอ้เคียวล่ะ”

“เคียวเป็นผู้ชายนะ ขืนเดินจับมือเค้าก็หาว่าเป็นแฟนกันหรอก ฉันยังไม่หน้าด้านถึงขนาดนั้นนะเว้ย”

ฉันมองหน้าเพื่อนสาวหน้าแรง ที่มันพูดก็ถูกแฮะแต่เดินด้วยดันก็ได้แต่ทำไมต้องจับมือด้วยฟะ “ไม่ต้องจับมือได้มั้ยวะ ฉันไม่ชอบ”

“อะไรวะ จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้ตัวเป็นทองหรือยังไงเนี่ย ไหนเมื่อวานแกบอกว่าแกจะเซอร์วิสฉันยังไงละวะ วันนี้ให้ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้ น้อยใจนะเว้ย” กูไปสัญญากะมึงตอนไหนเนี่ย

“ก็มันไม่ชอบนี่หว่า แล้วฉันยังไม่ได้พูดว่าจะเซอร์วิสแกเลยนะเว้ย โอ้ย.. เฮ้ย แกบีบมือฉันทำไมวะ” ฉันอุทานเมื่อถูกเพื่อนสาวบีบที่มือ

ฟางไม่ตอบ สายตาของเธอมองไปยังหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์ “ไอ้เรียวๆๆ คนนั้นน่ารักมั้ยอ่ะ”

“อื้อ ก็น่ารักดี”

“เค้าชอบอ่ะ”

เฮ้ย... ไอ้นี่มาแปลก ชมผู้หญิงด้วยกัน มาคิดอีกทีก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ก็คนๆ นั้นน่ารักจริงๆ นี่นา และเมื่อเดินผ่านโซนเสื้อผ้าผู้หญิง นอกจากสาวหน้าแรงจะตื่นตาตื่นใจไปกับเสื้อผ้าแล้ว สิ่งที่ทำให้เพื่อนสาวตื่นเต้นไม่แพ้กันก็คือสาวๆ ที่เข้ามาเลือกเสื้อผ้านั่นเอง

“ไอ้เรียว... ดูคนนั้นดิ สวยอ่ะ” พูดแล้วก็บีบมือ

“เรียวๆๆๆ คนนั้นอ่ะน่ารักจังเลย ปากนิด จมูกหน่อย คาวาอี้” น่าน ไม่ทันไรติดภาษาญี่ปุ่นจากไอ้เคียวมาเสียแล้ว

“อ้ายยยย น้องคนนั้นน่ารักจังเลยอ่ะ ขาว หมวย สวย อึ๋ม โอ้ยยย จะละลายแล้ววว” ว่าแล้วก็ระดมทุบฉันเป็นการใหญ่ ใบหน้าของสาวหน้าแรงแดงก่ำด้วยความเขิน นี่มันเป็นอะไรของมันวะเนี่ย งงเว้ย

“คนนั้นใส่ชุดสวยจังเลยอ่ะเรียว เดินเข้าไปใกล้ๆ หน่อยดิ เค้าอยากเห็นหน้า” ว่าแล้วแล้วลากฉันเดินเข้าไปอ้อมด้านหน้าสาวสวยที่กำลังยืนดูเครื่องประดับ “ว้าว สวยจังเลย ใส่ชุดก็สวย หน้าก็สวย”

“น้องคนนั้นอ่ะน่ารักจังเลยอ่ะเรียว...” ว่าแล้วก็ชี้ให้ฉันดูเด็กสาวท่าทางจะอยู่ชั้น ม. ปลาย “ขาวๆ ท่าทางตัวนุ่มน่ากอด เค้าชอบบบบบบบบบ”

นี่คือสิ่งที่เพื่อนสาวของฉันพูด แต่ละอย่างพูดเกี่ยวกับสาวๆ ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่หนุ่มๆ หน้าตาดีเดินผ่าน เดินเหล่ หรือเดินเฉียดมันตั้งเยอะตั้งแยะกลับไม่แลแม้แต่หางตา ไอ้นี่มันเป็นไรมากป่ะเนี่ย

เมื่อถึงชั้นเสื้อผ้าผู้ชาย (กว่าจะถึงฉันโดนลากไปดูสาวๆ จนเมื่อย) เคียวก็ขอให้ฟางเลือกชุดเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ให้ พี่ชายและเพื่อนสาวของฉันเดินเข้าร้านนั้น ร้านนี้กันอยู่พักหนึ่งจนฉันเริ่มเบื่อเพราะไม่มีส่วนร่วม

“เฮ้ย เดี๋ยวกูไปร้านหนังสือก่อนนะ” ฉันบอกกับไอ้หน้าเกือบหล่อ

“เออ”

“แกจะไปไหนอ่ะ ทิ้งฉันเหรอ” เสียงแหววขึ้นมาทันทีล่ะ

“ก็ไปร้านหนังสือ ฉันขี้เกียจเดินตามพวกแกแล้วเนี่ย ไม่รู้จะทำอะไร”

“ไหนบอกว่าแกจะดูแลฉันไง ผิดสัญญานี่หว่า”

“ไม่ได้ผิดสัญญาเว้ย ก็ดูแลแล้วนี่ไงเดินจูงแกตั้งแต่เข้าห้างฯ จนมาถึงตรงนี้ ขอเวลาเป็นส่วนตัวบ้างไม่ได้หรือไงวะ ไอ้เคียวก็อยู่นี่ หน้าก็เหมือนกันคิดๆ ซะว่าเป็นฉันก็แล้วกัน”

“ไม่เหมือน เคียวเป็นผู้ชายนะ”

“เออ ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน แต่ขอเวลาแป๊บนึงดิ ไปร้านหนังสือหน่อย”

สาวหน้าแรงดูท่าทางไม่พอใจ เธอกำลังจะพูดเถียงแต่ก็โดนเคียวดักไว้ “ปล่อยมันไปเถอะฟาง ร้านหนังสืออยู่แค่ชั้นถัดไปนี่เอง เดี๋ยวซื้อของเสร็จก็ไปหาไอ้เรียวมันก็ได้”

“ก็ได้ นี่ถ้าเคียวไม่ขอไว้นะ ฉันจะลงโทษแกข้อหาทิ้งฉัน”

“อ่ะจ้า” โห... น่ากลัวจังเลยเนอะ แล้วฉันก็เดินทิ้งสองหนุ่มสาวออกมาแบบชิลๆ

เมื่อมาถึงร้านหนังสือ ฉันยืนอ่านหนังสือตรงมุมหนังสือแนะนำอยู่พักหนึ่งก็มีคนมาตบไหล่ เมื่อหันไปก็พบกับสาวตัวเล็ก ตากลมโต ผมบ๊อบในชุดเสื้อยืด กางเกงยืนส์ยืนยิ้มหวานให้อยู่

“Hi Yang, how are you doin’? (อ้าว หยาง สบายดีมั้ย)” คนที่มาตบไหล่ฉันก็คือหยาง สาวจีนเพื่อนที่ทำงานของฉันนั่นเอง

“Hi Ryo, I’m good. Why you come here? (หวัดดีเรียว ฉันสบายดี ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ)” สาวจีนตอบพลางถามคำถามด้วยความสงสัยเมื่อพบฉันที่ห้างฯ เธอค่อนข้างจะแปลกใจ เพราะปกติแล้วฉันไม่ค่อยจะเดินห้างฯ เท่าไหร่นัก

“I came with my brother, what about you? Did you buy something? (ก็มากับพี่ชายน่ะ แล้วคุณล่ะ มาซื้อของเหรอ)”

“Just window shopping, I saw you standing here so I just stopped to say hi (แค่มาเดินดูของเล่นๆ น่ะพอดีเห็นคุณอยู่ตรงนี้ก็เลยมาทัก)”
 
“I see (เหรอ)”

หลังจากนั้นฉันก็หยางก็ยืนคุยกัน ชื่อเต็มๆ ของหยางคือ เซริน หยาง เป็นสาวจีนไต้หวัน ตัวสูงประมาณ 160 เซ็นติเมตร (เตี้ยกว่าฉัน10 เซ็น) หน้าตาเหมือนนางเอกหนังจีนกำลังภายในเมื่อสมัยฉันเรียนอยู่มัธยม หยางเพิ่งจะมาอยู่เมืองไทยได้ 6 เดือน ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกับฉันและทำงานในแผนกเดียวกันก็เลยทำให้สนิทกันไปโดยปริยาย พวกเรายืนคุยกันเรื่องสัพเพเหระอยู่พักหนึ่ง แล้วโทรศัพท์ของสาวจีนก็ดังขึ้น หยางคุยโทรศัพท์อยู่ 2 – 3 นาที แล้วก็วางลง
 
“My friend called, they’re around here, Gotta go (เพื่อนฉันโทรมา เห็นบอกว่าอยู่แถวนี้ ต้องไปแล้วล่ะ)”
 
“I see, talk to you later (อื้อ แล้วคุยกันนะ)”

“Oh… I met Mr. Onoda, he said about the stuffs that you asked him to buy is already came (เออใช่ ฉันเจอคุณโอโนดะ เขาฝากมาบอกว่าของที่คุณฝากซื้อน่ะได้แล้วนะ)” สาวจีนพูดก่อนที่พวกเราจะลาจากกัน

“Really? So quick… I’ll call him tomorrow, thanks (จริงเหรอ เร็วจัง เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเขาเอง ขอบใจนะ)”

“Never mind, see you tomorrow (ไม่เป็นไร เจอกันพรุ่งนี้นะ)”

“See ya (เจอกัน)” แล้วหยางก็เดินจากไปพร้อมตบไหล่ฉันอีกสองทีอันเป็นการทักทายและลาจากที่ทำกันเป็นประจำ

“ใครอ่ะ” เสียงเย็นๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังอยู่ด้านหลังของฉัน เมื่อฉันหันไปดู ไอ้ฟางนี่เอง ใบหน้าของเพื่อนสาวดูไม่พอใจ ส่วนคนที่เดินตามมาด้านหลังก็คือไอ้หน้าเกือบหล่อที่ถือถุงเสื้อผ้าติดมือมาด้วย

“เพื่อนที่ทำงาน”
 
“ชื่ออะไร”

“หยาง”

“เหรอ...” ทำไมเสียงมันดูเหมือนไม่พอใจวะเนี่ย

สาวหน้าแรงเดินนำฉันออกไปจากร้านหนังสือ ท่าทางของเธอดูแปลกๆ ไปจากเดิมเหมือนกำลังจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“เพื่อนที่ทำงานแกสนิทกันมาป่ะ” หลังจากเดินออกมาแบบเงียบๆ ได้พักหนึ่งฟางก็เปิดปากพูด มันเป็นอะไรของมันวะ

“ก็ค่อนข้างนะ”

“เหรอ...” แล้วเพื่อนสาวก็หันมาหาฉัน ส่วนไอ้เคียวไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว

ไอ้ฟางเดินหน้ามุ่ยมาทุบฉันใหญ่เลย แล้วทำเสียงงอแงเหมือนเด็ก “ทำไมแกมีเพื่อนสวยๆ แล้วทำไมไม่แนะนำฉันให้รู้จัก นี่แหนะๆๆๆ ไอ้เพื่อนขี้งกๆๆๆ บ้าๆๆๆๆ”

“เฮ้ยยยย นี่มันอะไรกันวะ ไอ้ฟาง แกเป็นอะไรของแกป่าวเนี่ย” ฉันพูดพลางจับมือเพื่อนสาว

สาวหน้าแรงหยุดทุบฉัน “คราวหน้าอย่าลืมแนะนำให้รู้จักด้วยนะ” ว่าแล้วมันก็เดินไปหาไอ้หน้าเกือบหล่อที่มาพร้อมกับไอติมโคน 3แท่งในมือ

“อะไรของมันวะ” ฉันบ่นพึมพำ

...

ฉันเดินขึ้นมาบนห้องนอนหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ไปส่งฟางที่บ้าน ท่าทางพ่อกับแม่ของสาวหน้าแรงจะชอบไอ้เคียวใหญ่เลย จ้องตาเป็นมันเลยเชียวล่ะ แถมยังอ้อนวอนให้อยู่กินข้าวเย็นด้วยอย่างเสียไม่ได้ นี่ถ้าสั่งให้ไอ้ฟางป้อนข้าวไอ้หน้าเกือบหล่อได้คงสั่งไปแล้วล่ะ
 
ฉันเดินเข้ามาค้นหนังสือที่ชั้นเพื่อหาอะไรอ่านก่อนนอน แล้วการ์ตูนเล่มหนึ่งก็หล่นลงมากองอยู่บนพื้น มันเป็นการ์ตูนที่ฉันไอ้หยก โอตาคุสาว (พวกคลั่งการ์ตูน) เพื่อนของฉันให้ยืมมาอ่านแล้วดองไว้นี่นา ว่าแล้วก็เอามาอ่านดีกว่าแล้วค่อยนัดมันคืนทีเดียวเลยก็แล้วกัน ฉันอ่านชื่อและคำโปรยตรงหน้าปกก็อึ้ง

‘สึมิกะ เด็กสาวม.ปลาย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะนักเรียนดีเด่นนั้น มีความลับ “อันแผ่วเบา” ที่ไม่อาจบอกใครได้ นั่นก็คือ เธอนั้น ”รัก” อุชิโอะซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นอยู่อย่างจริงจัง ทั้งที่อุชิโอะนั้นเป็น “เด็กผู้หญิงที่ชอบเด็กผู้หญิง” แต่เธอกลับไม่รู้สึกถึงความในใจที่สึมิกะมีแม้แต่น้อย… เรื่องราวที่ถักทอความรักรสหวานอมเปรี้ยวของเหล่านักเรียนที่มีมุมมองความรักแบบแปลกๆได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’

‘เฮ้ย! นี่มันการ์ตูนวาย (ยูริ) นี่หว่า ไอ้หยกมึงเอาอะไรมาให้กูอ่านเนี่ย!’ ฉันอึ้ง แต่อย่ากระนั้นเลยเห็นไอ้หยกมันบอกนักบอกหนาว่าสนุก ลองอ่านซะหน่อยก็ได้วะ

เมื่ออ่านไปได้ถึงเล่มสอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไอ้ฟางอีกแล้ว

“ว่าไง”

“พูดดีๆ ไม่ได้หรือไงวะ”

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณทิฆัมพรมีอะไรจะให้ดิฉันรับใช้เหรอคะ”

เสียงหัวเราะของสาวหน้าแรงดังคิกคักออกมาตามสาย “ดิฉันจะเรียนให้คุณเรียวจันทร์ทราบว่า พรุ่งนี้กรุณามาทานข้าวกลางวันเป็นเพื่อนดิฉันค่ะ”

“แป๊บนึงนะ เช็คตารางก่อน” ฉันพูดกลับเป็นเหมือนเดิม เพราะขี้เกียจกระแดะ พลางหยิบสมุดออแกไนซ์ขึ้นมาเปิดดู   

“พรุ่งนี้ไม่ได้ว่ะ มีประชุมถึงเที่ยงครึ่ง”

“อะไรว้า... ทำไมอ่ะ” สาวหน้าแรงทำเสียงอ่อยๆ เหมือนกำลังเสียดายอะไรบางอย่างอยู่

“อะไรของแก แกคิดอะไรของแกอยู่เนี่ย”

“ก็นิดหน่อย”

“หรือว่า...”

“เรียว... แกแนะนำเพื่อนแกคนนั้นให้ฉันรู้จักหน่อยดิ”

“ใครอ่ะ”

“คนที่ฉันเห็นวันนี้อ่ะ”
 
“ห๋า... หยางอ่ะเหรอ”

“อื้อ ฉันอยากรู้จักอ่ะ น่ารักดี”

“ทำไมถึงอยากรู้จักวะ”

“ก็... ก็อยากรู้จักก็แล้วกัน”

“งั้นเอาเบอร์ไปเลยมะ”

“เฮ้ยๆๆ ฉันไม่ใช่คนหน้าด้านนะเว้ย อยู่ๆ จะให้โทรไปหาคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนได้ยังไง”

“ผู้หญิงด้วยกันไม่ใช่เหรอ แค่โทรไปนี่เองบอกว่าเป็นเพื่อนฉันก็ได้ อยากรู้จัก”

“ไม่เอาอ่ะ... ก็เค้า... เค้า...”

“อะไรของแกวะ เหตุผลก็ไม่บอก จะให้เบอร์ก็ไม่เอา”

“ก็เค้าพูดอังกฤษไม่เป็นนี่นา!” ตะโกนออกมาซะดัง ขี้หูเต้นระบำหมดแล้ว

“อ้ะเหรอ... แล้วอยากรู้จักไปทำไมอ่ะ”

“ก็บอกไปแล้วไงว่าเพื่อนแกน่ารักดี อยากรู้จัก ทำไมฉันอยากจะรู้จักกับคนสวยๆ ไม่ได้หรือยังไงวะ มีเพื่อนน่ารักไม่รู้จักแบ่งปัน” อะไรของมันวะเนี่ย งงเว้ย

“เออๆๆๆ ไว้วันหลังเดี๋ยวนัดกินข้าวแล้วจะชวนมาด้วยก็แล้วกัน”

“เย้ พรุ่งนี้เลยนะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้ไม่ได้”

“งั้นมะรืนนี้ก็ได้”

“เดี๋ยวดูก่อน”

“ฮู้ยยยย ขอบใจแกมาเลยนะเรียว... รักแกที่สุดเลยว่ะ ถึงแม้ว่าแกจะไม่ค่อยเซอร์วิสแล้วก็โหดผิดมนุษย์มนาเค้าก็ตาม” น่านมีหลอกด่าด้วย

“พอเลยๆ พูดแบบนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังนี่หว่า”
 
“ก็เค้าดีใจนี่ เออช่าย... จะบอกว่าพรุ่งนี้ขอไปนอนที่บ้านนะ”
 
“จะมาทำไมวะ”

“อะไรพูดแบบนี้รังเกียจฉันรึยังไงกันวะ”

“ป่าวนี่ แต่ก็อยากรู้ว่าแกจะมานอนที่บ้านฉันทำไม”

“ไม่อยากอยู่บ้านว่ะ วันนี้พอเคียวมาที่บ้าน พ่อ แม่แล้วก็พี่ๆ พูดถึงแต่เคียวกันใหญ่เลย ฉันรำคาญว่ะ ขี้เกียจตอบ”
 
“แล้วแกมาอยู่บ้านฉันเนี่ยมันไม่ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ไปใหญ่เลยรึไงวะ เพราะไอ้เคียวกับฉันก็อยู่บ้านเดียวกัน”
 
“ก็... ไม่ได้คิด” โธ่ ไอ้เพื่อนติงต๊อง
 
“งั้นกลับไปคิดใหม่ แล้วค่อยมาว่ากัน”

สาวหน้าแรงเงียบไปสักพักแล้วก็พูดว่า “คิดดีและ พรุ่งนี้ไปนอนบ้านแก” เฮ้ย มันจะคิดอะไรเร็วขนาดนั้นวะ

“แกจะบอกพ่อกับแม่แกว่ายังไง พวกเค้าจะไม่ว่าอะไรเลยเหรอ มานอนบ้านฉัน แถมยังมีไอ้เคียวอยู่ด้วย”

“ก็บอกว่าฉันมานอนกับแกไง ที่ทำงานก็ใกล้กัน ฉันไป-กลับกับแกก็ได้ มีแกอยู่แกคงไม่ยอมปล่อยให้เคียวทำอะไรฉันหรอกน่า”
 
“ฉันเชื่อว่าเคียวไม่ทำอะไรแก แต่ฉันกลัวว่าแกจะทำมิดีมิร้ายฉันต่างหาก” ฉันพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ฉันถูกสาวหน้าแรงลวนลาม
 
“โห... พูดอะไรอย่างน้านนนน ฉันไม่ทำอะไรแกหรอกน่า แค่จับนิดจับหน่อยทำเป็นหวงไปได้ ฉันไม่ใช่คนโรคจิตนะเว้ย”
 
“คนมันกลัวเว้ยแล้วไอ้ที่แกทำอ่ะ โรคจิตชัดๆ”

“ชิชิ กลัวอะไร ผู้หญิงด้วยกันแท้ๆ” ที่กูกลัวเพราะว่ามึงเป็นผู้หญิงนั่นแหละ
 
“ไม่คุยด้วยและ คุยไปก็โดนแกด่าไป ไปอาบน้ำดีกว่า”
 
“เออ” เสียงของฉันสดใสขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไอ้ฟางมันจะวางหูแล้ว เย้ๆๆ
 
“อ่ะโห... เสียงสดใสขึ้นมาเชียว อยากแอบดูเค้าตอนอาบน้ำอ่ะดิ”
 
“ใครเค้าอยากจะดูของแกล่ะ”

“อะไรกัน หุ่นเค้าออกดีน้า... อกเป็นอก เอวเป็นเอว... ตอนนี้เค้ากำลังจะถอดเสื้อแล้วน้า... ตอนนี้เหลือแต่เสื้อใน วันนี้เสื้อในเค้าเซ็กซี่นะจะบอกให้ กำลังจะถอดกางเกงแล้วน้า”
 
โว้ยยยย ไอ้ฟางงง มึงเป็นอะไรมากป่ะ นี่ไม่ใช่เซ็กส์โฟนนะเว้ยยยยยย “พอๆๆ จะไปอาบน้ำก็ไปอาบ ไม่ต้องมาเล่นเลย”
 
“อะไรกัน ตอนนี้เค้าโป๊หมดแล้วน้า อยากเห็นมั้ย”
 
“ไม่อ่ะ”

“เดี๋ยวเค้าถ่ายรูปไปให้ดูนะ”
 
“บอกแล้วไงว่าไม่อยาก ไปอาบน้ำเลยไป รีบๆ ไปเลย”

“ง่า... เรียวใจร้าย” นี่กูใจร้ายตรงไหนวะเนี่ย มึงอ่ะแหละโรคจิต

“แค่นี้นะ”
 
“ไม่เอา สัญญาก่อนว่าจะให้ฉันไปนอนบ้านแล้วก็แนะนำเพื่อนแกให้ฉันรู้จัก”
 
“แค่นี้นะ”
 
“สัญญาก่อนเซ่..................”

“เออๆๆๆๆๆๆ”
 
“เย้ รักแกที่สุดเลยว่ะ”

“แค่นี้นะ” ฉันวางสายแล้วกลับมานอนลงบนเตียงอีกครั้ง รู้สึกปวดหัวตึ้บๆ สงสัยคุยโทรศัพท์มากไป โว้ย มีเพื่อนติงต๊องนี่มันปวดหัวชะมัด เลือดกำเดาอย่าออกมานะเว้ย ฉันสั่งห้ามพลางแตะไปที่จมูกตัวเองก็พบว่ามีเลือดออกมา ฉันรีบห้ามเลือดทันที

เมื่อเลือดหยุดไหลแล้วฉันหยิบการ์ตูนขึ้นมาอ่านต่อพลางนึกถึงท่าทางของเพื่อนสาวเมื่อตอนบ่ายและคำพูดทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่นี้ และเมื่อยิ่งอ่านเล่ม 3 และเล่ม 4 มันก็ทำให้ฉันยิ่งสับสนงงงวยและสงสัยขึ้นไปใหญ่เลยว่า

‘ไอ้ฟางมันวายหรือเปล่าวะ!’




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.