web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 28
Total: 28

ผู้เขียน หัวข้อ: What a Coincidence! Chapter 14  (อ่าน 2995 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nuffy

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 93
What a Coincidence! Chapter 14
« เมื่อ: 19 มกราคม 2014 เวลา 00:04:17 »
Chapter 14

ฉันยังคงทำงานอยู่ที่โต๊ะแบบโงหัวไม่ขึ้น กว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ในช่วงพักเที่ยงได้สาวจีนเกือบถึงกับต้องเอาชะแลงมาแซะก้น ด้วยความที่ว่างานที่ได้มานั้นมันมีมากกว่าเวลาที่มีอยู่ ถ้าแยกร่างได้ก็คงแยกร่างไปแล้วล่ะ อยากจะมีโดราเอม่อนเอาไว้สักตัวเหมือนกันนะเนี่ย

“Please take some rest (พักหน่อยเถอะนะ)” หยางบอกกับฉันด้วยสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน

“I will, you too. You look tired as well (อื้อ คุณด้วยนะ ดูคุณเหนื่อยๆ)” ฉันตอบ ใบหน้าของเพื่อนร่วมงานฉันดูเหนื่อยๆ เพลียๆ นั่นก็เป็นเพราะเธอต้องลุยงานใหญ่เหมือนกับฉันเช่นกันแต่ของสาวจีนนั้นได้งานเบากว่าฉันครึ่งหนึ่ง

“Yeah. By the way, if I ask Fang for a date, what do you think (ค่ะ... อ้อ ถ้าฉันจะขอฟางเดท คุณคิดว่ายังไง)”

“That’s a pretty good idea, both of you will getting closer (ก็ดีนี่ คุณสองคนจะได้สนิทกันมากขึ้น)”

หยางยิ้มน้อยๆ “I’m glad that you agree with this idea, I’ll ask her available time (ฉันดีใจนะที่คุณเห็นด้วยกับความคิดนี้ แล้วฉันจะถามเองว่าฟางว่างวันไหน)”

ฉันยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับเพื่อนร่วมงาน ในใจก็รู้สึกตะหงิดๆ ในเมื่อฉันเองก็รู้สึกว่าฉันก็ชอบไอ้ฟางมันเหมือนกัน แต่... ความชอบ หรือความรักแบบนี้มันมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมๆ กับคนรอบข้างทั้งพี่ชาย ทั้งเพื่อนร่วมงานที่ชอบสาวหน้าแรงเหมือนกัน แถมพวกนั้นยังอยากจะให้ฉันเป็นคนคอยจีบเสียอีกด้วย

ไอ้ความรู้สึกแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดใจ รู้สึกเซ็ง และรู้สึกเบื่อกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ฉันยอมรับนะว่าฉันชอบเพื่อนตัวเอง เพื่อนที่เป็นผู้หญิงของตัวเอง แต่เมื่อเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ คำตอบเพียงอย่างเดียวคือเลิกชอบ เลิกคิดเรื่องไอ้ฟางมันซะ เพราะไม่งั้นฉันต้องมีเรื่องภายในครอบครัวและที่ทำงานเป็นแน่…

แต่ว่า... พอมานึกถึงหน้าเพื่อนสาวทีไร ใจมันก็ยังเต้นแรงไม่หาย ยิ่งนึกถึงตอนจูบแล้ว รสสัมผัสที่ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น มันยังติดอยู่ในใจ พยายามสลัดออกจากความคิดเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที

“Ryo… Ryo… (เรียว... เรียว...)” หยางเขย่าตัวฉัน

“What the… (อะไรเหรอ)”

“Are you ok? Seem you’re just stunned (เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นคุณนิ่งไป)”

“I’m just little tired. I’m ok, thanks (เหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็โอเคอยู่ ขอบคุณนะ)”

สาวจีนขมวดคิ้ว “You need rest and relax (คุณต้องพักนะ)” พูดแล้วเธอก็นิ่งไปพักหนึ่งและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “How about this idea, shall we have dinner this evening? (เอางี้มั้ย เย็นนี้เราไปกินข้าวกัน)”

ฉันมองหน้าเพื่อนร่วมงานด้วยความประหลาดใจ “What… I’m still having tons of works on my desk. I think I don’t have time to… (อะไรนะ... คือว่าฉันยังมีงานกองเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะอ่ะนะ ฉันว่าฉันคงไม่มีเวลาที่จะ...)

ก่อนที่จะพูดปฏิเสธออกไป หยางก็ยกนิ้วนุ่มๆ ขึ้นมาปิดปากฉัน “Please Ryo. Please let me do something for you. You help me a lot, I wanna repay you (เถอะนะเรียว ขอให้ฉันได้ทำอะไรให้คุณเถอะ คุณช่วยฉันมาก็เยอะ ฉันอยากตอบแทนคุณบ้าง)”

“You don’t have to, I’m happy to help you (ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นี่นา ฉันยินดีที่ช่วยคุณนะ)”

“Please Ryo, at least you can relax with good meal (เถอะนะเรียว อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะได้กินอาหารดีๆ บ้าง)”

สายตาอ้อนวอนส่งมาจากเพื่อนร่วมงาน ดวงตากลมๆ ใสๆ ของหยาง เมื่อบวกกับแก้มป่องๆ สีพีชที่ดูแล้วน่ารักทำให้ฉันหัวเราะออกมาเบาๆ ท่าทางแบบนี้มันเหมือน... เหมือนไอ้ฟางตอนกำลังอ้อนฉันไม่มีผิด เฮ้ย! ให้ตายเหอะ นี่ฉันคิดถึงมันอีกแล้วเหรอวะเนี่ย

หน้าของฉันร้อนขึ้น เมื่อสาวจีนเปลี่ยนจากใบหน้าอ้อนๆ เหมือนสาวหน้าแรงแล้วเป็นยิ้มหวานๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มันน่ารักซะจนโดนไป 1 Critical Hit แล้วกูจะตอบว่าอะไรดีวะ

“Yang… (หยาง)”

“Yeap… you can also called me Serin (ค่ะ คุณเรียกฉันว่าเซรินก็ได้นะ)”

“Well… I called you in old same way is better (เอ่อ... เรียกอย่างเดิมดีกว่านะฉันว่า)”

“Up to you (ก็ตามใจคุณละกัน)” เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจดังขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางที่ดูเขินๆ ของฉัน ดวงตาสีน้ำตาลสวยๆ ของหยางจ้องมาที่ฉัน เมื่อฉันจ้องตอบฉันสังเกตเห็นใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย

“Well… erm… about dinner (เอ่อ... คือ... เรื่องกินข้าวเย็น)”

“So… (ว่าไงล่ะ)” สาวจีนลากเสียงยาวๆ เสียงหวานๆ ของเธอฟังแล้วขนลุกซู่

ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ทำไมรู้สึกเขินด้วยนะ จ้องตาแบบนี้ก็เคยทำมาหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้ถึงรู้สึกแปลกๆ

“I love to but… (ฉันก็อยากไปอ่ะนะ แต่...)”

“Really… brilliant (จริงเหรอ... ดีจังเลย) หยางกุมมือฉันอย่างดีใจ ทำไมรู้สึกว่าไอ้การชวนกินข้าวเย็นเฉยๆ แบบนี้เป็นการชวนฉันออกเดทเนี่ย

“I’m questioning… what’s reason you asked me for dinner (ฉันอยากรู้เหตุผลที่คุณชวนฉันกินข้าวเย็น)”

“What… (อะไรนะ)” หยางถามฉันอีกที

“You asked me for dinner… this is a meal among friends or something else… I felt erm… you asked me for a date or you just want to rehearse before you’ll go for dating with Fang (ที่คุณชวนฉันกินข้าวเย็นเนี่ย คุณชวนฉันกินข้าวเฉยๆ แบบเพื่อนหรือว่าอย่างอื่น คือว่า... ฉันรู้สึกว่าคุณชวนฉันออกเดท หรือคุณแค่อยากจะซ้อมก่อนที่คุณจะเดทกับฟาง)”

สาวจีนมีสีหน้าตกใจ เธอคงไม่คิดว่าฉันจะถามอะไรแบบนี้ เธอนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “And what’s answer you guess in your mind (แล้วคำตอบที่คุณเดาในใจล่ะ)”

“I have no idea about this… (ไม่มีหรอก)” ฉันตอบหลังจากนั่งคิดไปครู่หนึ่ง

“How come you asked that? (แล้วถามแบบนั้นทำไมล่ะ)”

“Just curious (ก็สงสัย)”

หยางยิ้ม มือของเธอที่กุมฉันอยู่สั่นเล็กน้อย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอรู้สึกยังไงขณะที่กำลังพูดประโยคนี้กับฉัน แต่สิ่งที่เธอพูดออกมามันทำให้ฉันยิ่งสับสน และยิ่งปวดหัวกับชีวิตของฉันมากขึ้นไปอีก

“I asked you for a date (ฉันชวนคุณออกเดท)”

งง... โคตรงงเลยว่ะ อยู่ๆ เป็นอะไรเนี่ย... หยาง... แกทำงานมากไปป่าวเนี่ย กูว่ากูเบลอแล้วนะ มึงเบลอยิ่งกว่ากูอีกเหรอ!

“Sorry, I don’t get it (เอ่อ... โทษทีนะ แต่ฉันไม่เข้าใจ)”

สาวจีนยิ้ม แล้วพูดช้าๆ เสียงหวานๆ ของเธอดังกังวาลอยู่ในหูของฉัน “There are 3 persons that I wanna going out with… First Belle, second Fang and You. So the reason I asked you for dinner is I wanna date with you (มีคนแค่ 3 คนที่ฉันอยากออกเดทด้วย คนแรกก็คือเบลล์ คนที่สองก็ฟาง และคนสุดท้ายก็คือคุณ เพราะงั้นสิ่งที่คุณถามถึงเหตุผลที่ฉันชวนคุณกินข้าว เพราะว่าฉันอยากจะเดทกับคุณ)”

ฉันนิ่ง มือของสาวจีนที่กุมมือฉันอยู่ยังคงสั่น ถึงแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากเท่าไหร่นักแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่หยางพูดออกมานั้นเป็นความจริง... ยัยหมวยนี่
อยากจะเดทกับฉันจริงๆ เหรอเนี่ย! แล้ว... แล้วไอ้ฟางล่ะ เฮ้ย! นี่หล่อนคิดจะจับปลาสองมือเหรอเนี่ย!

“Are you flirting me? (นี่คุณกำลังจีบฉันเหรอ) ฉันถามด้วยเสียงสั่นๆ รู้สึกสับสนในชีวิต นอกจากจะชอบไอ้ฟางแล้ว ฉันยังถูกผู้หญิงด้วยกันจีบอีกด้วย ไม่นะ ม่ายยยยยย

“So… (คุณว่ายังไงล่ะ)” หยางพูด เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย

“Well… What about Fang, you said you also want to date with her (แล้วฟางล่ะ คุณบอกว่าคุณอยากเดทกับฟางเหมือนกัน)”

ใบหน้าของหยางเจื่อนลงเล็กน้อย... “Right… she’s your friend as well. And I said I would go forward. Sorry to make you feel not good about this (นั่นสินะ ฟางก็เป็นเพื่อนคุณ และฉันเองก็พูดว่าฉันจะจีบฟาง ขอโทษนะที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี)”

สาวจีนค่อยๆ ดึงมือที่กุมอยู่ออก สีหน้าของเธอดูแย่ลง ฉันเองก็รู้สึกไม่ดีที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ในใจของตัวเองก็ยังดูสับสนกับความรักแบบนี้ และรู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานจีบแบบซึ่งๆ หน้า แถมพ่วงด้วยแม่นี้จะจีบเพื่อนฉันอีก ความรู้สึกมันทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน

“I’d like to ask you another thing (ฉันอยากจะถามคุณอีกอย่างหนึ่ง)” ฉันพูดหลังจากที่เราสองคนเงียบกันอยู่นาน

“Yes? (คะ)”

“Have you ever thought about possibility that Fang and you become a couple? (คุณเคยคิดถึงความเป็นไปได้มั้ยว่าคุณกับฟางจะเป็นแฟนกัน)”

“I did (ฉันคิด)”

“How many percent (กี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ)”

“20”

ป้าดดดด ทำไมมันน้อยอย่างนั้นวะ ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้

หยางพูดต่อเมื่อเห็นว่าฉันประหลาดใจกับคำตอบของเธอ “Since I met Fang and talked with her. I feel good and we’re getting hands on this relationship. However, I’m afraid about her family, her friends and environment around her. We might not get along well, if these factors turn to be negative as well as some unexpected factors (ตั้งแต่ฉันพบและได้คุยกับฟาง ฉันรู้สึกดีนะ เราสองคนก็ไปด้วยกันได้ดี แต่ยังไงซะฉันเองก็ยังกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ เพื่อนของเธอ และสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเธอ เจ้าสิ่งพวกนี้มันอาจจะทำให้เราสองคนไปด้วยกันไม่ได้ นั่นยังไม่รวมกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอีกด้วยนะ)”

“What’s that? I mean unexpected factors (แล้วไอ้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดคืออะไรล่ะ)”

“Males and Fang’s heart (ผู้ชายและหัวใจของฟางเอง)”

“So… (แล้วมันยังไง)”

“As you said I have many rivals and I bet that they are males. She used to have boyfriends and never ever had any girlfriend. May be she will accept male more than me at last. And… about her heart… she might has someone in her mind. (ก็อย่างที่คุณเคยบอก ฉันมีคู่แข่งหลายคน และพนันได้เลยว่าคู่แข่งพวกนั้นต้องเป็นผู้ชาย ฟางเคยมีแฟนเป็นผู้ชายหลายคน แต่ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน บางทีในท้ายที่สุดถ้าเธอคิดจะมีแฟนก็คงเลือกผู้ชายมากกว่า ส่วนเรื่องหัวใจ ฟางอาจจะมีใครบางคนในใจอยู่แล้วก็ได้)”

ฉันขมวดคิ้ว “You mean she’s using you to prove that she likes girls? (คุณหมายถึงว่าฟางกำลังหลอกใช้คุณให้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฟางชอบผู้หญิงงั้นเหรอ)”

“No… no… no… don’t make me wrong. You still don’t get it (ไม่ใช่... ไม่ใช่... ไม่ใช่... อย่าเข้าใจผิดสิ คุณคงจะยังไม่เข้าใจอะไร)” สาวจีนปฏิเสธเป็นพัลวัน

“Yeah (ก็ใช่)” เออ กูไม่เข้าใจ ก็มันงงนี่หว่า

“No need to prove about Fang. I know she loves girls… but what I told you… I’m afraid that she might not have any girlfriend since she isn’t get use to it. For the heart, she might have some secret love with some girl and that one might not me. (ไม่ต้องพิสูจน์ฟางหรอก เธอน่ะชอบผู้หญิงด้วยกันจริงๆ แต่สิ่งที่ฉันบอกคุณก็คือ ฟางอาจจะไม่มีแฟนเป็นผู้หญิงเพราะรู้สึกไม่ชิน ส่วนเรื่องหัวใจ ฟางอาจจะมีคนรักเป็นผู้หญิงบางคนที่ไม่ใช่ฉันก็ได้)”

ฉันนั่งอึ้ง ก็จริงของหยางอ่ะนะ ไม่ต้องเอาอะไรมาพิสูจน์ก็ดูออกน่ะว่าไอ้ฟางอ่ะเป็นสาววาย เพียงแต่มันไม่สังเกตตัวเองเท่านั้น ส่วนเรื่องแฟน นี่ก็ใช่ มีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด ถ้าคิดจะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็คงกลัวว่าจะไม่ชิน ส่วนเรื่องหัวใจ... แล้วมันจะแอบไปชอบใครที่ไหนหว่า เพราะว่าเห็นแต่วี้ดว้ายอยู่แต่สาวจีนอย่างเดียวเท่านั้น...

“I see… (งั้นเหรอ)” ฉันตอบไปสั้นๆ

“Back to our discussion… I asked you for date b’cos I don’t want to close my chance (กลับมาที่ประเด็นอีกทีนะ ที่ฉันชวนคุณออกเดทเพราะว่าฉันไม่อยากจะปิดกั้นโอกาสของฉัน)”

“Don’t you think I will tell Fang? (คุณไม่คิดว่าฉันจะเอาไปบอกไอ้ฟางเหรอ)”

“I already discussed with her in this topic as well. (ฉันคุยกับฟางเรื่องนี้แล้ว)” สาวจีนยิ้ม ทำใหฉันยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่

หยางมองฉันที่งงๆ ของฉันแล้วยิ้มให้อีกครั้งหนึ่ง เธอเอามือขวาเท้าคาง ตาสวยๆ กับยิ้มหวานๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่ค่อยได้เห็นมากนัก

“I frankly told her about this and so did she. We both wanna find a real love, so I open if she wanna date with guys and she was ok if I’m dating with another girl. (ฉันบอกกับฟางไปตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งฟางก็บอกฉันมาตรงๆ เหมือนกัน เราสองคนก็ต่างอยากจะมีรักแท้ ฉันก็เปิดทางนะถ้าฟางจะเดทกับผู้ชายคนอื่น และฟางก็โอเคถ้าฉันจะเดทกับผู้หญิงคนอื่น)”

สาวจีนจ้องตาฉัน เธอยิ้มให้ฉันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในช่วงพักเที่ยงนี้

“That’s why I told you I’m still considering about asking Fang to go out with me (นั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันบอกคุณว่าฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะขอคบฟางเป็นแฟนหรือเปล่า)”

“I see (งั้นเหรอ)”

“But you suggested me to push forward, so I did (แต่พอคุณแนะนำว่าฉันควรจะรุกให้มากกว่านี้ ฉันก็เลยทำตามที่คุณบอกไง)”

เออ... กูเข้าใจและ เปิดโอกาสเรื่องความรักให้กันและกันเพื่อตามหารักแท้... ก็ดีนะ แฟร์ๆ ดี... แถมกูบอกอะไรไปก็ทำตาม เออ... เจริญ ไชโย นะโมตัสสะ แต่อาจารย์คะ หนูมีคำถามค่ะว่า... ทำไมต้องเป็นกู๊!

“Yeah… (เหรอ)” ฉันตอบรับแบบแกนๆ “You both had same ideas about this. And you both are my friends. What a Coincidence! (คุณสองคนมีความเห็นเดียวกันเรื่องพวกนี้ แล้วก็ดันมาเป็นเพื่อนฉันอีก แม่งโคตรบังเอิญเลย!) ฉันแค่นเสียงพูด

“I told you there is no accident. It’s a destiny (ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ความบังเอิญน่ะมันไม่มีหรอก มีแค่พรหมลิขิตเท่านั้น)” สาวจีนพูดจบก็ส่งยิ้มหวานบาดไส้ให้กับฉัน

“แหะๆๆๆๆ” ฉันหัวเราะแห้งๆ ให้กับยิ้มของเพื่อนร่วมงาน ให้ตายเหอะกู... กูโดนจีบเต็มๆ จะทำไงดีวะ

“What do you think? (คิดว่ายังไงล่ะ)” หยางถาม

“W… What if I date with you but I don’t like the way that… well you know what I mean…. What you gonna do?(ถ... ถ้าเกิดว่าฉันไปเดทกับคุณแล้วฉันไม่ได้ชอบอย่างที่เอ่อ... คุณก็รู้อ่ะนะว่าฉันมาถึงอะไร... คุณจะทำยังไงต่อ)”

“If you feel bad about what I propose or my behavior, please frankly tell me. I’ll stop the way I push you. But I only have one request to you… (ถ้าคุณรู้สึกแย่กับสิ่งที่ฉันเสนอหรือพฤติกรรมของฉัน คุณบอกฉันมาตรงๆ ได้เลย ฉันจะหยุดทุกอย่าง แต่ฉันขออะไรคุณอย่างนึงได้มั้ย)”

“Y… yeah (ด... ได้สิ)”

“We still be friend… and always be until you and I change our mind (พวกเราจะยังเป็นเพื่อนกัน จนกว่าคุณหรือฉันจะเปลี่ยนใจ)”

ฟังดูแล้วก็แฟร์ดี แต่มันก็แกมมัดมือชกอ่ะนะ แล้วกูจะตอบว่าอะไรดีล่ะเนี่ย โอ้ย... ปวดหัวเว้ย

“Can you go for a dinner with me tonight? (คืนนี้ไปทานข้าวกับฉันได้มั้ยคะ)”

“Well… (เอ่อ)”

“Can you? (ได้มั้ยคะ)” สายตาอ้อนวอนมาแล้ว.... อ้าก... อย่าทำแบบนี้เซ่ ทำแล้วมันยิ่งคิดถึงไอ้ฟางนะรู้ป่าว หยาง พอเถอะ... แบบนี้มัน... มันน่ารักเกินไปแล้ว

“Well… (เอ่อ... คือว่า...) ฉันได้แต่อ้ำอึ้ง

ฉันรู้ตัวเลยว่าหน้าของฉันมันแดงขึ้น หน้าของสาวจีนเองก็เช่นกัน ใบหน้าแดงๆ ตาสวยๆ ปากสวยๆ แบบนี้ เอ่อ... ไอ้ฟาง... ทำไมเวลาแบบนี้แกไม่โทรมาหาเซรินที่น่ารัก จุ๊บ จุ๊บของแกวะ หรือจะส่ง SMS มาด่ากูหน่อยก็ได้ วันนี้จะไม่ว่าเลย

ใบหน้าของหยางก้มต่ำลง ดูเหมือนว่าเธอยอมรับแล้วว่าฉันคงไม่ไปกับเธอในคืนนี้แน่นอน เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นหน้าของเพื่อนร่วมงานจากที่เขินเปลี่ยนเป็นใบหน้าเจื่อนๆ เธอยิ้มแห้งๆ ให้ฉันแล้วลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหาร

“I’ll go for work (ฉันจะไปทำงานต่อแล้วนะ)”

“W… Wait… (ด... เดี๋ยว)” ฉันคว้ามือสาวจีนที่กำลังเดินออกไปจากโต๊ะไว้

‘ไอ้เรียวเอ้ย... มึงหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวไม่รู้จักหยุดจักหย่อน’ ฉันด่าตัวเองก่อนที่จะพูดออกไปว่า

“I’ll go with you (ฉันจะไปกับคุณ)”

สีหน้าของหยางดูตกใจ “You don’t have to… I didn’t force you to say yes (คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ฉันไม่ได้บังคับให้คุณตอบตกลงนะ)”

“I’ll go (ฉันจะไป)”

“If you go with me b’cos you feel pity about me. I don’t accept this (ถ้าคุณไปกับฉันเพราะว่าคุณรู้สึกสงสารฉันล่ะก็ฉันไม่ยอมรับมันนะ)”

ฉันนิ่ง ผู้หญิงคนนี้ไม่ต้องการความสงสาร ฉันรู้ดี เพื่อนร่วมงานคนนี้ของฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่อยากให้เธอรู้สึกแย่ๆ กับฉัน และที่สำคัญ ฉันไมได้สงสารเธอ ฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนที่ดี ฉันทำร้ายจิตใจเธอไม่ได้ก็เท่านั้นเอง นี่เรียกว่าฉันสงสารเธอหรือเปล่านะ

“I’ll go, but I won’t call this is a date… just dinner between friends. I’m still not getting use to it. Sorry. (ฉันจะไป แต่ไม่ใช่เดทนะ... เรียกว่าไปกินข้าวกับเพื่อนมากกว่า ฉันยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้นะ โทษที)”

“I see (งั้นเหรอ)”

“Anyway, I’m not interest with love affaire (แล้วฉันก็ยังไม่สนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นะ)” ฉันพูดย้ำอีกที เพื่อให้สาวจีนเข้าใจว่า มึงกับกูเป็นเพื่อนกันนะ กูไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้นะเว้ย

หยางยิ้มกว้าง “I get it (ฉันเข้าใจแล้ว)”

สาวจีนดึงมือฉันให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกจากโรงอาหารเพื่อกลับไปที่ห้องทำงาน เราสองคนยังมีงานที่ต้องลุยกันอีกกองใหญ่ เพื่อที่จะรอเวลากินข้าวเย็นที่ไม่ใช่เดท มันต้องไม่ใช่เดทแน่นอน!
...

ฉันกับสาวจีนนั่งกินเบนโตะที่สั่งจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่โต๊ะทำงานของหยาง สรุปแล้ววันนี้เราสองคนก็ไม่ได้ไปกินข้าวด้วยกันอย่างที่คุยเอาไว้เมื่อตอนเที่ยง เพราะหลังจากที่ขึ้นมาทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนเรียกประชุมด่วน คืนนี้เราสองคนและพี่ๆ อีก 2 – 3 คนก็ต้องอยู่โยงทำโอทีจนกว่างานที่กำหนดส่งวันนี้เสร็จ

“What a pity! (น่าเสียดายจัง)” สาวจีนบ่นขึ้นมาเบาๆ

ฉันตบไหล่เพื่อนร่วมงาน “We still have time, no need to be tonight (พวกเราก็ยังมีเวลานี่นา ไม่จำเป็นต้องเป็นคืนนี้ก็ได้)”

“You’re right, thanks (คุณพูดถูก ขอบคุณนะ)” หยางพูดจบก็ยิ้มกว้างๆ ให้ เมื่อกินข้าวจนหมดกล่อง เราสองคนก็แยกย้ายไปทำงานต่อจนถึง 3 ทุ่ม แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน

ฉันเดินไปส่งสาวจีนขึ้นรถแท็กซี่เพื่อกลับอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่แถวๆ สยาม

“Thanks (ขอบคุณค่ะ)” หยางพูดเมื่อฉันบอกเส้นทางไปที่พักของเพื่อนร่วมงานกับคนขับรถแท็กซี่เป็นภาษาไทย

“Anytime, see you tomorrow (ไม่เป็นไร เจอกันพรุ่งนี้นะ)” ฉันโบกมือลาแล้วเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน

ระหว่างทางที่อยู่บนรถเมล์ ฉันมานั่งคิดถึงคำพูดของสาวจีนเมื่อตอนกลางวัน รวมถึงความรู้ของฉันที่มีต่อฟาง มันทำให้ฉันรู้สึกสับสน มันทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันนั่งนิ่งพลางคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

เคียวชอบฟาง

หยางชอบฟาง

หยางจีบฉัน

ฉันชอบฟาง

ฟาง... ก่อนแกไปต่างจังหวัดแกบอกว่าแกรู้สึกดีๆ กับทั้งเคียว ทั้งหยาง และรู้สึกดีๆ กับฉัน!

ว้าเว้ย! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!

ฉันเอามือกุมหัว รู้สึกปวดหัวตุ๊บๆ มึนๆ โหวงๆ เมื่อรู้ตัวดังนั้นฉันรีบเอากระดาษทิชชู่ขึ้นมาเตรียมปิดจมูกเอาไว้เผื่อว่าเลือดกำเดาจะไหลโดยไม่รู้ตัว เกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัดเลยแฮะ ฉันหยิบเครื่องเล่น MP3 ขึ้นมาแล้วเปิดเพลงเพื่อกลบความไม่สบายใจ
 
All my life I've been good, But now
I'm thinking What The Hell
(เพลง What the Hell: Avril Lavigne)

ฉันฟังเพลง What the Hell ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันโดนใจมากๆ ตรงกับชีวิตกูตอนนี้จริงๆ ฟังไปฟังมาได้สักพักก็เข้าโหมด Shut Down ตัวเองเพื่อเข้าสู่ภวังค์แห่งการพักผ่อน

ฉันตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองสั่น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อความเข้ามาหาฉัน 3 ข้อความ

2 ข้อความแรกเป็นของฟาง สาวหน้าแรงส่งรูปมาให้ฉันดู เพื่อนสาวของฉันถ่ายรูปคู่กับสระน้ำของโรงแรม ท่าทางมีความสุข ส่วนข้อความที่ 2 ของฟางเป็นตัวอักษรส่งมาเขียนว่า

“กินยาหรือเปล่า ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าถึงบ้านแล้วโทรมาหาเค้าหน่อยสิ เค้าคิดถึง รักนะ XXX”

ส่วนข้อความอีก 1 ข้อความนั่นมาจากหยาง ในนั้นเขียนเอาไว้ว่า

“If my words I’ve said today bother you, please forget it. You’re the best friend, I’ve ever had. I love you XXX Serin (ถ้าคำพูดของฉันมันรบกวนคุณก็ขอให้คุณลืมมันซะ คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีมา ฉันรักคุณ XXX เซริน)”

‘What da F*ck!!!!!! (เหี้ยอะไรวะเนี่ย!!!!!!)’ฉันกรีดร้องอยู่ในใจ

ตัวช่วย... กูต้องการตัวช่วยอย่างด่วนเลย มือไวเท่าความคิด ฉันกดโทรศัพท์หาโต้งทันที

เมื่อเกย์หนุ่มรับสาย เสียงด่าก็ตามมาทันที “อีเรียว อีเปรต มึงจะโทรมาทำไมตอนนี้วะ”

“อะไรของมึงวะ กูจะโทรหามึงไม่ได้หรือยังไง”

“กูไม่ว่าง แค่นี้ก่อนนะ”

“เฮ้ย... เดี๋ยว... อีโต้ง”

ตู๊ดๆๆๆๆ โต้งวางสายไปแล้ว

“อะไรของมันวะ” ฉันกดโทรศัพท์ไปหาแนน

“ว่าไงวะ” สาวแว่นรับสาย

ฉันเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้แนนฟัง เพื่อนสาวก็ขำก๊าก “มึงไปขัดความสุขมันไง คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม”

“อะไรวะ กูไม่เข้าใจ”

“นี่แสดงว่ามึงเบลอแล้วแหละไอ้เรียว ตอนนี้อีโต้งกำลังจะกินเด็ก รู้สึกว่าท่าทางจะจีบติดด้วยมั้ง สงสัยมึงโทรไปหามันตอนมันกำลัง บะ บะ โอ้ บะ กันอยู่ มันก็เลยเคือง”

“อ๋อ นี่กูกำลังไปขัดความสุขของมันที่กำลังจะจอยคะเนียงเรียงกินเด็กว่างั้น”

“ถูกต้องนะค้าบบบบ”

“เฮ้อ....”

“เป็นไรไปวะ” สาวแว่นถาม

“ปวดหัว แม่งพักนี้มีแต่เรื่อง ตอนนี้กูยังไม่ถึงบ้านเลยเนี่ย งานเยอะฉิบหาย”

“เอางี้เลย มึงกำลังกลับบ้านใช่มะ มึงรีบอาบน้ำนอนเลย ตอนนี้มึงต้องการการพักผ่อนอย่างแรง แล้วเลือดกำเดายังไหลอยู่ป่ะเนี่ย”

“เมื่อวานไหล วันนี้ยัง”

“เออ แล้วมีอาการอะไรอีกป่าว”

“มีวูบๆ บ้างว่ะ เหมือนตกหลุมอากาศ”

แนนนิ่งไปพักนิ่ง “แสดงว่ามึงพักผ่อนไม่เพียงพอ เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย กลับบ้านนอนเลยมึง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว”

“เออ” ฉันรับปากเพื่อน

ก่อนที่จะวางหูแนนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เรียว มึงต้องตั้งสติให้ดีๆ นะเว้ย ทำอะไรต้องทำอย่างมีสติ มีสมาธิ คิดให้ดีๆ กูเป็นห่วงมึงนะ ทุกคนเป็นห่วงมึง หายเร็วๆ นะเว้ย”

“อื้อ ขอบใจมาก”

หลังจากวางหูจากแนนฉันเพิ่งจะมารู้สึกตัวอีกทีว่า การมีเพื่อนมันดีจริงๆ

เมื่อถึงบ้านฉันรีบอาบน้ำ อาการเบลอเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้จะต้องทำอะไรก่อน จนถึงต้องออกคำสั่งให้กับตัวเอง

“เรียวจันทร์ มึงไปนอน ปฏิบัติ!” เอ๊ะคำพูดนี้เหมือนกับคำพูดที่พ่อชอบไล่ให้ไปนอนซะจริงๆ

“ฮูย่า” ฉันพูดขึ้นมาเบาๆ แล้วเดินโซซัดโซเซไปที่เตียง

ฉันล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนและหลับไปแบบไม่รู้ตัวเลยว่าใครบางคนโทรศัพท์หาฉันอยู่หลายครั้งจนเลิกโทร




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.