ตอนที่ 3
นับจากวันที่วรินทร์เรียกเธอเข้าไปคุยในห้อง นรีกมลก็แทบจะไม่ได้ได้คุยกับรองประธานคนสวยอีกเลย เนื่องด้วยตารางการประชุมที่อัดแน่น ทำให้เธอได้แต่ลอบมองตอนได้เจอหน้ากันเท่านั้น แปลกที่อีกฝ่ายไม่ใคร่จะส่งยิ้มให้กันสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังขยันแจกอยู่เลย
ในเสี้ยวความคิดหนึ่งนรีกมลคิดว่าวรินทร์ตั้งใจจะหลบหน้า แต่หญิงสาวก็รีบปัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ควรเป็นเธอต่างหากที่ต้องหลบหน้าเจ้านายคนสวย นรีกมลคิดถึงเรื่องราวในวันนั้นแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมา
“เอ่อ ขอโทษนะคะ” สำเนียงไทยแปร่งๆ อย่างกับคนที่อยู่เมืองนอกมานาน ทำให้นรีกมลละจากงานที่ทำ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดเดรสตัวสั้นสีแดงสด ผมยาวสีคาราเมลดัดเป็นลอนล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่ที่ถูกตกแต่งอย่างจัดจ้าน
คำจำกัดความของผู้หญิงคนนี้คือ สวย เปรี้ยว เฉี่ยว และทันสมัย
เธอคนนี้ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้นรีกมล
“รินนี่อยู่ในห้องรึเปล่าคะ” เหมือนจะคิดได้ว่าสร้างความงุนงงให้เลขาของคนที่อยากพบ พีชญาจึงเอ่ยประโยคถัดมาแทบจะทันที “ฉันหมายถึงคุณวรินทร์น่ะค่ะ”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ แต่ช่วยแจ้งให้หน่อยได้ไหมว่าพีชญามาหา” นรีกมลรับคำแล้วกดอินเตอร์คอมแจ้งเจ้านายสาว
ทันทีที่เอ่ยจบ วรินทร์ก็ไม่ตอบกลับว่าจะให้เธอทำอย่างไร ทำให้นรีกมลต้องขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เพียงช่วงเสี้ยววินาทีเสียงประตูที่เปิดจากด้านหลังก็เรียกความสนใจจากคนทั้งคู่ให้หันไปมอง
วรินทร์ยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่หาได้อย่างยากยิ่งในช่วงนี้ถูกส่งกลับไปให้แขกผู้มาเยือน นรีกมลมองวรินทร์ที่อ้าแขนรับหญิงสาวอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“กลับมาเมื่อไหร่พอร์ช” คนหน้าสวยยิ้มแย้มพลางตีมือไปที่ต้นแขนของอีกคนเบาๆ
“เมื่อวาน…รินนี่เซอร์ไพรส์มั้ย” วรินทร์ยังยิ้มไม่หุบ มือเรียวสีน้ำผึ้งโอบไหล่พีชญา ก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องทำงาน หัวร่อต่อกระซิกกันจนเธอหมั่นไส้
“คุณนรีกมล”
“คะ” นรีกมลมองเจ้านายสาวที่ยังยืนโอบ ‘เพื่อน’ อยู่หน้าห้อง
หยุดทำไม…เข้าห้องไปเลยไป
“ทีหลังถ้าคุณพีชญามา ให้เข้าห้องได้เลยนะ ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือไม่ก็ตาม”
“ค่ะ”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” นัยน์ตาดำจัดจ้องมาอย่างไม่พอใจ
“หน้าอย่างไหนคะ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนรีกมลถึงได้ถามกลับเสียงเขียว อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ในอกที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ ณ ตอนนี้
คนหน้าสวยมองเธอนิ่งก่อนจะส่ายหน้าอย่างละเหี่ยใจ นรีกมลเกลียดอาการแบบนี้ของวรินทร์ที่สุด อยากให้พูดออกมามากกว่าว่าต้องการอะไร ยืนนิ่งมองกันแบบนั้นใครจะไปเข้าใจความคิดของเจ้าตัว
พีชญามองเพื่อนสนิทข้างตัวด้วยความแปลกใจ นิ้วเรียวสะกิดแล้วกระซิบถาม
“ไปหาเรื่องเขาทำไม”
“เปล่า” วรินทร์ตอบขณะใช้สายตาเรียบนิ่งมองเลขาหน้าหวานไปด้วย
“โกหกไม่เนียนเลยนะรินนี่ นี่แหนะ!” พีชญาหยิกแก้มสีน้ำผึ้งอย่างหมั่นเขี้ยว
“เจ็บนะพอร์ช” วรินทร์แยกเขี้ยวใส่เพื่อน “เดี๋ยวตีเลย”
“แน่จริงตีสิ” พีชญาว่าพลางเอาหน้ามาใกล้ๆ ยิ้มกว้างใส่เพื่อนจนตาที่เล็กอยู่แล้วยิบหยีเข้าไปใหญ่ วรินทร์หันหน้าหนีแล้วแอบยิ้ม ริมฝีปากปากอิ่มพึมพำเบาๆ
“พอร์ชยังน่ารักเหมือนเดิม อย่างนี้ใครจะไปตีลงล่ะหืม”
นรีกมลที่แอบฟังอยู่ชาไปทั้งหัวใจ พยายามทำเป็นไม่สนใจกับกิริยาน่ารักๆ ของทั้งสองคน ก็แค่เพื่อนสนิทคุยกันไม่ใช่คนรักซะหน่อย
คนรักเหรอ…ทำไมเธอถึงคิดไปในแง่นั้นนะ
“นรีกมล! หยุดนั่งเหม่อถึงแฟนแล้วทำงานซะที!” วรินทร์กระแทกเสียงตำหนิอย่างร้ายกาจ นรีกมลกำมือแน่น หันหลังขวับก่อนจะได้ยินเสียงประตูกระแทกปิดด้วยซ้ำ กว่าจะรู้ตัวสายตาก็พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บใจ…คนอะไรคิดเองเออเอง เผด็จการ แถมยังไร้เหตุผล
นรีกมลไม่เข้าใจ…เวลาเพียงไม่กี่วัน ทำไมวรินทร์ถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“เจ็บนะ อย่าหยิกสิ” วรินทร์ปัดมือปัดไม้ที่พยายามหยิกตัวเธอซะจนเนื้อเขียว
“จะหยุด ถ้ารินนี่ยอมบอกความจริงกับพอร์ช”
“ยอมแล้วๆ” วรินทร์ยกมือยอมแพ้ มือเพื่อนเธอคนนี้เบาซะที่ไหน
“เลขาหน้าห้องหน้าตาน่ารักนะจ๊ะ ตรงสเปคเป๊ะ!”
“สเปคใคร” วรินทร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “สเปคพอร์ชเหรอจ๊ะ”
“ยัยบ้ารินนี่” พอร์ชตีแขนเพื่อน “สเปคตัวเองนั่นแหละ ฉันชอบผู้ชายย่ะ”
พีชญาอมยิ้มมองคนที่ยังวางเฉยเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงานราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น จึงเดินตามไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามอีกคน
“จะถามอะไรล่ะ” วรินทร์ทำหน้ามุ่ย
“ชอบคุณเลขาหน้าห้องล่ะสิเธอ” พีชญาเอานิ้วไปเขี่ยไหล่เพื่อนเบาๆ
“อือ” พีชญาเลิกคิ้วเมื่อเห็นวรินทร์ยอมรับง่ายๆ
“ทำไมยอมง่ายจัง ไม่สนุกเลยอ่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องเล่นนะพอร์ช ตอนนี้รินทร์พยายามตัดใจอยู่” วรินทร์เอ่ยจริงจัง
“ต้องตัดใจเพราะเค้ารสนิยมไม่เหมือนรินนี่ล่ะสิ”
“ใช่ รู้มั้ยเขาบอกรินทร์ว่าไง…ผู้หญิงจะคบกันได้ยังไง ประหลาดออก”
“โหย…ไม่เดินหน้าแถมยังถอยหลังอีก” พีชญาออกความเห็นแล้วมองหน้าอีกคนอย่างเห็นใจ แม้อยากจะรู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่านี้ แต่ถ้าวรินทร์อยากเล่าก็คงจะเล่าให้เธอฟังเอง
“นี่! แต่เมื่อกี้รินนี่มารยามทรามมากเลยนะ” พีชญาเอ็ด “พูดอย่างนั้นไปได้ยังไง คุณเลขาไม่ได้เหม่ออะไรขนาดนั้นซะหน่อย”
วรินทร์ส่ายหน้าแล้วทำเพียงยิ้มมุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามแถมยังหมุนเก้าอี้กลับหลังไปมองทิวทัศน์ข้างนอกตึกแทนที่จะคุยกับเธอ อาการแบบนี้เท่ากับตัดบทสนทนา
“นิสัยเสียอ่ะรินนี่” พีชญาแหว
“แล้วไง!”
พีชญากลอกตากับคำตอบนั้น ถ้าไม่รู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อนเพราะรู้จักกันตั้งแต่เด็ก แถมโตมาก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่อังกฤษ พีชญาคงเอาแฟ้มบนโต๊ะตบบ้องหูเพื่อนไปแล้ว
“อยากกินน้ำส้มอ่ะ” พีชญาทำเสียงอ้อน “สั่งให้หน่อยสิ”
“สั่งเองเลยไป เข้าข้างกันนักนี่”
อูย…งอนเก่งซะด้วยคนนี้เนี่ย
พีชญาทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อใส่คนที่นั่งหันหลัง “กดอินเตอร์คอมให้เลย เดี๋ยวสั่งเอง”
วรินทร์ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของอีกคน แต่ก็กดให้ตามที่ถูกสั่ง
เสียงปิ๊บจากอินเตอร์คอมทำให้นรีกมลต้องละมือจากงานอีกครั้ง
“คุณเลขาคะ ขอน้ำส้มเย็นๆ แก้วหนึ่งค่ะ” แทนที่จะเป็นเสียงทุ้มคุ้นหู กลับได้ยินเสียงหวานสำเนียงแปร่งๆ แทน
นรีกมลนิ่วหน้า ถึงขนาดให้คนอื่นคุยกับเธอผ่านอินเตอร์คอมส่วนตัว แสดงว่าเจ้านายคงเกลียดเธอขนาดหนัก
คนเป็นเลขารับคำ กำลังจะลุกไปเตรียมเครื่องดื่มให้ ถ้าไม่ติดว่าจะมีอะไรมาขัดจังหวะเสียก่อน
“อ๊ะ!” นรีกมลชะงักฝีเท้าเพราะสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ส่วนตัวของเธอ หยิบขึ้นมาดูชื่อคนโทรแล้วตกใจจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือ
“สวัสดีค่ะ ไนน์พูดสายค่ะ” กดรับแล้วตอบไปด้วยเสียงสั่นๆ
“ฮัลโหลนี่พี่เองนะ” ปลายสายตอบ “ไนน์คงยังไม่ลืมพี่ใช่ไหม”
“ก็เราเป็นแฟนกันนี่คะ จะให้ไนน์ลืมพี่ไปได้ยังไง”
“ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้ติดต่อไนน์ไปเกือบปีเนี่ยนะ” นรีกมลยิ้มบางเบา เธอนึกถึงวันที่วรินทร์ถามถึงเรื่องความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม เพราะไม่รู้จะตอบยังไง นรีกมลจึงแสร้งตอบไปว่ามันยังไปได้ด้วยดี ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่
“ถึงขาดการติดต่อ แต่ก็ไม่ได้เลิกกันนี่คะ” นรีกมลตอบอย่างที่ใจคิด เงียบไปหลายอึดใจ ก่อนปลายสายจะถอนหายใจกลับมาให้ได้ยิน
“คือที่พี่โทรมา พี่จะบอกกับไนน์ว่า…เราเลิกกันเถอะ”
คล้ายกับโลกจะถล่ม นรีกมลหน้ามืดจนต้องจับโต๊ะทำงานไว้แน่น ยังไม่ทันได้จับต้นชนปลาย อีกฝ่ายก็เอ่ยประโยคที่ทำร้ายจิตใจกันอีก
“พี่ถูกทางบ้านบังคับให้เลิกกับไนน์ แล้วคบกับคนที่ฐานะพอกัน…ไนน์ก็รู้ใช่มั้ย”
“ที่โทรมาบอกเลิก แสดงว่าเจอคนนั้นแล้วใช่ไหมคะ” นรีกมลถามด้วยเสียงสั่นเครือ
คนปลายสายนิ่งไปเหมือนลังเล ก่อนจะตอบรับกลับมาสั้นๆ เท่านั้นนรีกมลก็แทบอยากจะปล่อยโฮ แต่ด้วยความอยากรู้จึงบังคับตัวเองให้หยุดสะอื้น
“ใครกันคะ”
อีกฝ่ายนิ่งไปอีกหลายอึดใจแต่ในที่สุดก็เลือกที่จะบอก
“เธอชื่อ…วรินทร์ ทายาทของดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ป พูดไปไนน์ก็ไม่รู้จัก” ประโยคเหล่านั้นค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในสมองของนรีกมลทีละนิด
…วรินทร์ ทายาทดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ป
“ถึงเขาจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่พี่ก็…”
คนปลายสายเอาแต่พูดถึงผู้หญิงคนนั้นราวกับไม่ใส่ว่าเธอจะรู้สึกยังไง นรีกมลอยากจะกรีดร้องจนสุดเสียง…ทำไม! เป็นใครก็ได้ทำไมต้องเป็นวรินทร์ เธอรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งเคยรักผู้ชายคนนี้ เขาก็เป็นแค่ผู้ชายเห็นแก่ตัว เลือกฐานะ หน้าตาทางสังคมมากกว่าคนรักอย่างเธอที่เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา…
ทุเรศจริงๆ
“ไนน์ ยังฟังพี่อยู่รึเปล่า”
นรีกมลขานรับ ปลายสายจึงเอ่ยกลับมา
“ขอโทษสำหรับทุกอย่าง เวลาเกือบสิบปีที่รู้จักกันมามันมีความหมายสำหรับพี่มาก ไนน์อย่าโทษตัวเองที่จริงพี่มันไม่ดีเอง ขอให้เราจากกันด้วยดีนะไนน์” พูดจบภัทรพลก็ตัดสายทิ้งไปในทันที
นรีกมลวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้น ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกได้แต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น สะอื้นฮักจนตัวโยนก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการปวดร้าวในอกไปได้
“คุณเลขา!”
นรีกมลได้ยินเสียงเรียกจึงลุกขึ้นหมายหันไปมอง ชั่วเสี้ยววินาทีภาพตรงหน้าก็เอียงวูบ เธอล้มไปในอ้อมกอดของใครสักคน ก่อนสติจะดับไปหญิงสาวได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงอีกคู่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ไม่รู้ทำไมนรีกมลถึงนึกถึงแต่ใบหน้าของเจ้านายสาว จนเผลอหลุดปากเรียกชื่ออีกคนไป
“คุณวรินทร์”
สิ้นคำ…ทุกสิ่งทุกอย่างก็พลันมืดลง
สัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้มทำให้นรีกมลลืมตาตื่น คนร่างเล็กจำต้องหรี่ตาแล้วเบนหน้าหนีแสงไฟเจิดจ้าที่ส่องลงมาจากเพดาน หันไปก็เจอะเจ้านายคนสวยนั่งหันหน้ามองไปทางอื่นอยู่ข้างเตียง นรีกมลเบนสายตากลับไปมองรอบๆ ตัว ตอนนี้เธอนอนอยู่ในห้องพยาบาลของบริษัท
“คุณวรินทร์ไม่ไปทำงานเหรอคะ” นรีกมลถามเสียงแผ่ว
“อือ” วรินทร์ตอบรับในลำคอ
นรีกมลมองหน้าเจ้าของคำตอบ นัยน์ตาดำจัดที่มองตอบกลับมานั้นอ่อนแสงแลดูอบอุ่นและห่วงใย หากเพียงครู่ที่อีกคนรู้ว่าถูกมองอยู่ สายตาที่เธออยากเห็นก็หายวับไปราวกับเมื้อกี้มันเป็นแค่ภาพลวงตา
“เป็นยังไงบ้าง” วรินทร์ถามพลางเกาแก้มแก้เก้อ
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” นรีกมลยิ้มอ่อนแล้วทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง เห็นดังนั้นคนเป็นนายแทบจะถลาจากเก้าอี้เข้าไปประคอง
ด้วยระยะใกล้ชิดทำให้วรินทร์จำต้องสบนัยน์ตาหวาน นิ้วเรียวยกขึ้นปาดคราบน้ำตาบนพวงแก้มที่เธอยังเช็ดให้ไม่หมด
“จะลุกขึ้นมาทำไม” วรินทร์ดุเสียงอ่อนแล้วค่อยๆ ประคองคนเป็นเลขาให้นั่งพิงหัวเตียง กลับมานั่งอีกทีคนตัวเล็กก็จ้องหน้าเธอไม่วางตา
“คุณรินทร์เป็นเจ้านายที่น่ารักนะคะ” นรีกมลว่าพลางอมยิ้ม
“ฉันนี่นะ” วรินทร์ตีหน้านิ่งทั้งที่ใจเต้นระรัว หน่วยตาคมมองนรีกมลที่ยังอมยิ้มอยู่อย่างนั้นจนนึกหมั่นไส้ขึ้นมา “พอร์ชต่างหากที่พาเธอมาที่นี่”
ตอบแล้ววรินทร์นึกอยากหยิกปากที่ไม่รักดีของตัวเอง หลังเห็นนรีกมลนิ่งค้างแล้วเบนสายตาไปทางอื่น แต่ซักพักก็หันมามองพร้อมรอยยิ้มน่ารัก
“แต่คุณก็ยังมาเฝ้าฉันนี่คะ”
“ฉันทำตามหน้าที่” วรินทร์ปากแข็ง จะให้บอกไปได้ยังไงว่าเป็นห่วงแทบตาย
“ค่ะ ฉันถึงบอกว่าคุณรินทร์เป็นเจ้านายที่ดีไงคะ” ว่าแล้วก็ยิ้มหวานมาให้อีกที ทำเอาคนมองอยากจะยิ้มตามไปด้วย แต่ใจฝ่ายดีของตัวเองกลับบอกให้ห้ามการกระทำนี้ซะ
อย่าลืมสิ…ว่าคนตรงหน้ามีเจ้าของแล้ว
วรินทร์ตีหน้านิ่งแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ “เป็นอะไรล่ะถึงร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนี้”
ประโยคธรรมดาแต่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจ นรีกมลมองหน้าคนถามด้วยความเศร้าสร้อย เธอห้ามน้ำตาที่เอ่อคลออยู่รอบดวงตาไม่ได้ วรินทร์มองกิริยานั้นด้วยความรู้สึกผิด
…ไม่น่าถามเลย
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
เลขาหน้าหวานส่ายหน้าไปมาคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงอู้อี้ “แฟนฉัน…เค้าโทรมาบอกเลิกค่ะ”
วรินทร์เผลอเบิกตาโตอย่างลืมรักษาอาการ ใจคล้ายจะพองโตแถมยังเต้นระรัวซะจนเธอกลัวว่ามันจะหลุดออกมา คนหน้าสวยหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มอาการใจเต้นในอก
“เสียใจด้วยนะ”
นรีกมลหันมายิ้มเศร้าใส่ทำเอาคนมองรู้สึกสงสาร จนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโอบประคองใบหน้าเล็กๆ นั่นไว้ ก่อนจะเผยยิ้มบางให้กำลังใจ
ความอ่อนโยนจากนัยน์ตาสีเข้มที่อยากเห็น เผยออกมาให้นรีกมลได้จับจ้องอยู่เนิ่นนาน ดวงตาคู่นั้นเสริมให้เจ้าของเรียวหน้าสวยน่ามองเสียยิ่งกว่าเดิม นรีกมลยกมือขึ้นมากุมมือของอีกคนที่ได้แต่นิ่งค้างสบนัยน์ตาหวานที่มองมาคล้ายจะค้นหาความในใจ
เหมือนตกอยู่ในห้วงเสน่หา วรินทร์ห้ามใจไม่ได้ที่จะเขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้คนหน้าหวาน หากไม่ทันที่ริมฝีปากจะได้สัมผัสกัน นรีกมลก็เบี่ยงใบหน้าหลบให้เจ้านายสาวได้ทำเพียงแค่แตะริมฝีปากเข้ากับพวงแก้ม
ทั้งคู่ผละออกจากกันด้วยใบหน้าที่แดงแปร๊ดราวลูกตำลึงสุก วรินทร์กระแอมแก้เก้อ ในขณะที่นรีกมลได้แต่ก้มหน้ามองมือตัวเองคล้ายมีอะไรน่าสนใจ
“ฉันควรจะไปทำงานได้แล้ว” วรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อหายจากอาการเขินอาย
“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาเฝ้า คุณต้องมาเสียการเสียงานเพราะฉัน” คนหน้าหวานเอ่ยเสียงเบาทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูด
“เรื่องงานไม่ต้องกังวล” วรินทร์เอื้อมมือมาลูบหัวอีกคน ก่อนจะดันคนตัวเล็กให้นอนลงบนเตียง เสียงทุ้มเอ่ยประโยคทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พักผ่อนนะ…จะได้หายเร็วๆ ไงคะคนดี” ว่าจบเจ้านายคนสวยก็เดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้า
นรีกมลเลิกแสร้งทำเป็นเขินอายแล้วจิกฝ่ามือตัวเองแน่นเสียจนห้อเลือด เงยหน้าขึ้นจับจ้องประตูที่วรินทร์เพิ่งเปิดออกไปด้วยสายตาว่างเปล่า ในขณะที่ริมฝีปากบางแย้มยิ้มคล้ายจะเยาะใครบางคน
‘ไนน์จะทำให้พี่ภัทรเจ็บเหมือนที่ไนน์เจ็บ ถ้าพี่ภัทรรู้ว่าคุณวรินทร์…"
นรีกมลหยุดความคิดไว้เพียงแค่นั้น…ความคิดเรื่องเจ้านายสาวกับเรื่องบางเรื่องที่เธอต้องพิสูจน์กับความรู้สึกของอีกคน
ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ตามมา…จะทำให้ใครต้องเจ็บปวดก็ตาม
ภัทรพลเดินไปเดินมาภายในห้องทำงานของตัวเองราวกับหนูติดจั่น ใจร้อนรนเพราะเหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อน เขาได้แต่พร่ำด่าในความเห็นแก่ตัวของตัวเอง แต่อีกใจก็บอกว่าสิ่งที่ทำไปมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ถ้าไม่บอกเลิกนรีกมลไป เขาจะมีหน้าไปจีบวรินทร์ได้ยังไง
ภัทรพลยอมรับว่าตั้งแต่อยู่ห่างจากนรีกมลแฟนสาวที่คบกันมานานเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ซื่อสัตย์เท่าที่ควร เขาคบกับคนอื่นบ้างก็เพื่อเพียงผ่านไม่ได้จริงจังอะไร บางทีก็เรียนหนักจนไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายในช่วงหลัง…แต่ก็ไม่เคยนอกใจ
หากเพียงกลับมาพบหญิงสาวที่คุณแม่ของเขาหมายมั่นปั้นมืออยากจะได้เป็นลูกสะใภ้ ภัทรพลก็นึกพึงพอใจในตัววรินทร์มากพอควรเลยทีเดียว ทันใดนั้นใจที่คิดว่าภักดีก็แปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน เวลาที่เจอคนที่ใช่ใจมันเต้นเป็นจังหวะแตกต่างกับเวลาอยู่กับนรีกมลที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนมากกว่าจะรุ่มร้อนในแบบคนรัก
เพียงเท่านั้น…ภัทรพลก็คิดได้ว่าเขารักนรีกมลในฐานะของน้องสาวที่น่ารัก
มือหนากำโทรศัพท์ในมือแน่น อยากโทรกลับไปถามความเป็นไปของอดีตคนรัก แต่ใจก็ไม่กล้าพอ ภัทรพลถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินกลับมาทรุดนั่งบนเก้าอี้ด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ
จากรุ่นน้องมาเป็นคนรัก จากคนรักมาเป็นเพียงคนรู้จัก…
…ภัทรพลรู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกิน
วรินทร์วางสายจากพีชญาที่โทรมาถามอาการเลขาหน้าห้อง มือเรียวก็ถือกระเป๋าสะพายทั้งของตัวเองและของเลขาออกจากห้องทำงานหลังเคลียร์งานของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว
ระหว่างเดินไปห้องพยาบาลใจก็ประหวัดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีกครั้ง เธอและพีชญาช่วยหันพยุงคนที่ไม่ได้สติไปห้องพยาบาล รอจนปฐมพยาบาลเสร็จพีชญาจึงขอตัวกลับเพราะมีธุระต่อ วรินทร์ไม่อยากทิ้งงานแต่ใจกลับสั่งให้เฝ้าคนตัวเล็ก ด้วยความกระดากอาย หญิงสาวจึงสั่งให้พยาบาลออกเวรก่อนกำหนดเพื่อที่เธอจะได้นั่งรอจนกว่านรีกมลจะฟื้น
ไม่ทันไรเรียวขายาวสวยก็พาเจ้าของมาถึงที่หมาย วรินทร์หยุดยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล มือเรียวเปิดประตูเข้าไปก็พบคนที่อยากเจอกำลังนอนหลับตาพริ้ม คนหน้าสวยยิ้มในหน้าก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตียง ยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ นั่นอย่างอ่อนโยน
ตื่นง่ายเหลือเกิน เด็กน้อย
วรินทร์รีบชักมือกลับ ทำหน้านิ่งกลบเกลื่อนรอยยิ้มราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
“ลุกได้แล้วค่ะ จะพาไปส่งที่บ้าน”
คนตัวเล็กที่ยังงัวเงียยกมือขยี้ตาด้วยท่าทางน่ารัก วรินทร์ถอยห่างให้นรีกมลลุกขึ้นยืน แล้วส่งกระเป๋าสะพายไปให้
“ฉันกลับเองดีกว่านะคะ” นรีกมลพูดด้วยความเกรงใจ
ได้ยินดังนั้นวรินทร์ก็ตีหน้าเคร่ง “เธอกล้าเถียงเจ้านายเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่ว่ารถ…”
“ช่างเถอะ รถทิ้งไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันให้คนขับรถขับไปส่งให้ที่บ้าน”
“ขอบคุณค่ะ” สิ้นคำนรีกมลก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา วรินทร์แสร้งหันหลังทำเป็นจะเดินออกจากห้องพยาบาล
“เดินมาเร็วๆ สิ ฉันจะรีบกลับบ้าน” พูดเสียงนิ่งเรียบทั้งๆ ที่แอบอมยิ้ม แต่แล้วก็ต้องตกใจจนแทบสะดุ้งเพราะสัมผัสที่มือของตัวเอง
…นรีกมลสอดมือเข้ามาจับมือของเธอ
“อย่างนี้สิคะถึงจะเดินได้เร็ว”
ยิ้มน่ารักแบบนี้อยากได้อะไรคะ จะให้หมดเลย...วรินทร์คิดในใจด้วยความเขินอายก่อนจะเดินจูงอีกคนไปที่ลิฟต์
วันนี้จะเป็นวันที่เธอกลับบ้านอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต…ให้ตายสิ!