web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 168
Total: 168

ผู้เขียน หัวข้อ: เกินห้ามใจ ตอนที่ 12  (อ่าน 1870 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
เกินห้ามใจ ตอนที่ 12
« เมื่อ: 22 มกราคม 2014 เวลา 07:34:56 »
ตอนที่ 12

คุณรินทร์ไม่มาทำงานสองวันแล้ว…

ใจของนรีกมลไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองว่างเป็นไม่ได้ต้องคิดถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นึกเป็นห่วงจนร้อนใจไปหมด จะถามใครก็ถามไม่ได้ คนใกล้ชิดวรินทร์อย่างพีชญา เธอก็หวังพึ่งไม่ได้
หากลองโทรไปกวนใจ มีหวังอีกฝ่ายได้มาฉีกอกเธอเป็นแน่

อ้อ! ยังมีคุณภาคินอีกคนที่เธอพอจะถามได้

“คุณนรีกมล เข้ามาพบผมในห้องหน่อย”

เสียงจากอินเตอร์คอมดังรับกับความคิดของเธออย่างพอดิบพอดี นรีกมลเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนตอบรับ แล้วลุกขึ้นทำตามคำสั่งของเจ้านาย

“นั่งสิ” ภาคินผายมือไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน สีหน้าเคร่งเครียดยามมองหน้าเธอ ทำให้นรีกมลรู้สึกตัวลีบลง

“งาน…สรุปการประชุมเมื่อเช้า ทำไมคำผิดมันเยอะแยะไปหมด” ภาคินดันแฟ้มงานมาตรงหน้าเธอ “หลายย่อหน้าข้อความก็ไม่สอดคล้องกัน…วันนี้เป็นอะไร คุณนรีกมล”

“ขอโทษค่ะ วันนี้ดิฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ส่วนเรื่องงานจะรีบแก้ไขให้โดยเร็วที่สุดค่ะ”

“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” ภาคินพยักหน้าอย่างพอใจ “ครั้งนี้ผมจะไม่ลงโทษคุณ แต่หากมีครั้งต่อไป ผมจะไม่ไว้หน้าเหมือนกัน”

“ค่ะ จะไม่มีครั้งต่อไป” นรีกมลรีบเอ่ย

“ช่วงนี้ท่านประธานไม่อยู่ ผมยิ่งมีงานให้ต้องสะสางมากขึ้นไปอีก ถ้ายังต้องมาเสียเวลาเพราะคุณ ผมคงต้องเปลี่ยนเลขาคนใหม่” ภาคินเตือน

นรีกมลขานรับ หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม “ขออนุญาตถามคำถามได้ไหมคะ”

“ได้สิ” ภาคินสบนัยน์ตาหวานที่มองมาอย่างมีความหวัง

“อาจจะก้าวก่ายไปสักหน่อย แต่ดิฉันอยากทราบว่า ทำไมช่วงนี้ท่านประธานถึงไม่เข้าบริษัทล่ะคะ”

ภาคินหรี่ตามองคนเป็นเลขาอย่างจับผิด แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความห่วงใยที่ฉายชัดในแววตา เรื่องของลูกพี่ลูกน้องเขาก็ไม่ได้จำเป็นต้องปิดบัง ภาคินจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไร

“ป่วยน่ะ เจ้าตัวดึงดันจะมา แต่ทางบ้านลงความเห็นให้นอนพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน ยัยพอร์ชก็ไปเฝ้าทุกวัน จนผมที่บางทีต้องไปปรึกษางาน ยังอดนึกรำคาญไม่ได้”

นรีกมลไม่ได้สนใจรอยยิ้มบางในท้ายประโยคของเจ้านายยามพูดถึงอีกคนที่ไม่ใช่วรินทร์ เธอสนใจเพียงแค่เรื่องอาการป่วยของคนหน้าสวยเท่านั้น

“ป่วยหนักรึเปล่าคะ”

“ไม่หนักหรอก” ภาคินพูดด้วยท่าทีสบายๆ “พรุ่งนี้ก็คงมาทำงานได้แล้ว…ว่าแต่คุณถามทำไมกัน”

“ดิฉันแค่เป็นห่วงตามประสาลูกน้องเก่าน่ะค่ะ สมัยทำงานให้คุณวรินทร์ เธอแทบจะไม่หยุดทำงานเลย”

“น้องของฉันก็เป็นซะอย่างนี้ ถึงบอกให้หาแฟนมาเป็นตัวเป็นตนสักที จะได้แบ่งเวลาไปให้อย่างอื่นนอกจากงานบ้าง ดูสิ! ทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อน ถึงกับป่วยกันเลยทีนี้”

นรีกมลยิ้มรับทั้งที่ในใจนั้นฟีบลงเหมือนลูกโป่งโดนเจาะรู เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้วรินทร์ต้องหยุดงาน

หญิงสาวขอตัวออกจากห้อง ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งหลังโต๊ะทำงาน พยายามตีแก้มตัวเองเพื่อเรียกสติไม่ให้วอกแวกคิดอะไรมาก ก่อนจะเปิดไฟล์งานในคอมพิวเตอร์ แล้วนั่งแก้ทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ



คงเป็นเพราะจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน นรีกมลจึงรู้สึกปวดตาและวิงเวียนศีรษะ เมื่อมีเวลาว่าง จึงปลีกตัวไปห้องพยาบาล เพื่อหายามาทานบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น

หญิงสาวร่างสูงบางในชุดกาวน์ ท่าทางไม่คุ้นตา กำลังยืนหันหลังให้ประตู พลางค้นหาของในตู้เหนือศีรษะ นรีกมลยืนค้างอยู่หน้าห้องพยาบาลอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร จะเอ่ยทัก หรือรอให้หญิงสาวคนนั้นเสร็จธุระก่อนดี

ผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นหมอประจำบริษัทคนใหม่…

นรีกมลตั้งคำถามพอดีกับที่อีกคนหันกลับมา ใบหน้าขาวซีดจัดแสดงอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางให้อย่างใจดี

“หมอเพิ่งทำงานวันแรกค่ะ อาจจะดูไม่คุ้นที่คุ้นทางเท่าไหร่ ขอโทษด้วยแล้วกันนะคะ” อันนาเอ่ย “ไม่ทราบว่าคุณต้องการมาพบหมอรึเปล่า”

“เอ่อ…ใช่ค่ะ”

“เชิญนั่งเลยค่ะ”

นรีกมลทำตาม ก่อนจะเล่าอาการให้คนเป็นหมอฟัง อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเริ่มตรวจอาการของคนไข้ทันที ไม่นานนักพยาบาลประจำห้องก็กลับเข้ามาหลังจากหายไปเข้าห้องน้ำ อันนาจึงบอกความต้องการกับพยาบาล หันกลับมาก็เจอคนหน้าหวานที่กำลังจ้องใบหน้าเธออย่างสนใจ

“คุณหมอหน้าคุ้นจังค่ะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

อันนาเอียงหน้าพลางยิ้มให้คนถาม รู้สึกชื่นชมในความช่างสังเกตของอีกฝ่าย “คุณแม่ของหมอทำงานที่นี่ค่ะ”

“จริงเหรอคะ เดี๋ยวขอไนน์นึกก่อน” นรีกมลทำหน้าคิด “หน้าคุณหมอคล้ายๆ เลขาของคุณวรินทร์ คุณหมอเป็นลูกสาวของคุณเปรมจิตหรือเปล่าคะ”

“ถูกต้องค่ะ” อันนาปรบมือให้อย่างชื่นชม “เก่งจังนะคะ คุณ…”

“นรีกมลค่ะ เรียกว่าไนน์ดีกว่า”

“งั้นหมอเรียกว่าน้องไนน์นะ เพราะดูจากหน้าตาแล้ว หมอน่าจะแก่กว่าหลายปีอยู่” อันนาหัวเราะอย่างเป็นกันเอง “หมอชื่ออันนา เรียกหมออันแล้วกันนะคะน้องไนน์”

“ได้ค่ะ หมออัน”

“อ่ะ! ยาได้แล้ว” อันนารับยาจากพยาบาล แล้วยื่นไปให้คนป่วยรายแรกของบริษัทที่เธอได้ดูแล “ต่อจากนี้ก็อย่าจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานนะคะ หรือหากจำเป็น ก็หาแผ่นกรองแสงมาติดที่หน้าจอก็ได้ จะได้สบายตาขึ้น”

นรีกมลรับคำ แล้วทานยาเมื่อได้รับแก้วน้ำที่พยาบาลยื่นให้

“มีอะไรก็มาหาคุณพยาบาลที่ห้องนี้ได้ตลอดนะคะ คุณพยาบาลอยู่ประจำห้องตลอด แต่หมอจะมาเข้าเวรที่นี่ทุกวันอังคารช่วงบ่าย”

“หมออันใจดีจังค่ะ”

“เป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วค่ะน้องไนน์” อันนาเอ่ย แล้วเหล่ไปมองพยาบาลประจำห้องที่กำลังจัดของให้เข้าที่เข้าทางอยู่อีกมุมหนึ่ง อันนาเห็นอย่างนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะกระซิบถามคนไข้เสียงเบา

“น้องไนน์รู้จักท่านประทานที่นี่ใช่ไหมคะ”

“ค่ะ” นรีกมลรับคำด้วยสีหน้างงงวย “ไนน์เคยเป็นเลขาให้คุณวรินทร์มาก่อน”

อันนามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ แม้ใบหน้าของเธอจะนิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่สมองกลับแล่นนึกถึงเรื่องที่เคยได้ยิน

…คนนี้ใช่มั้ยที่แม่เธอเคยพูดว่าเป็นเด็กเส้น คนที่วรินทร์เคยชมว่าน่ารักนักหนา

“คุณวรินทร์เนี่ย นิสัยเป็นยังไงคะ” อันนาแสร้งถาม ก่อนจะรีบเอ่ยต่อเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของอีกคน “คือแม่ของหมอทำงานเป็นเลขาให้คุณวรินทร์ใช่ไหมคะ หมอเลยอยากรู้ว่าเจ้านายของแม่เป็นคนยังไง”

นรีกมลคลายสีหน้า แล้วตอบออกไปตามความจริง “คุณรินทร์เป็นคนจริงจังค่ะ แล้วก็เนี้ยบกับเรื่องงานมาก ผิดพลาดอะไรคุณรินทร์จะดุเลย แต่นิสัยส่วนตัวชอบทำอะไรตามใจตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วยังชอบสั่งนู่นสั่งนี่…สรุปคุณวรินทร์เป็นคนเพอร์เฟกค่ะ สวย รวย ฉลาด ร้องเพลงเพราะ แถมยังทำอาหารเก่งอีก อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง หลงตัวเองนิดๆ ด้วย”

“น้องไนน์รู้ละเอียดจังเลยนะคะ” อันนายิ้มทั้งๆ ที่ในใจไม่ได้ยิ้มตาม สายตามองนัยน์ตาหวานของคนตรงหน้าที่เป็นประกายยามพูดถึงอดีตเจ้านายของตัวเอง

“ไม่ได้ละเอียดอะไรหรอกค่ะ แค่พอรู้บ้าง” ใบหน้าที่ขึ้นสี พลางเสมองไปทางอื่นอย่างไม่กล้าสบตา ทำให้คนเป็นหมอต้องหรี่ตามอง ก่อนจะรีบปรับสายตาให้เป็นปกติแล้วส่งยิ้มไปให้

พอรู้บ้าง…คงไม่ใช่หรอกมั้ง รู้ถึงขนาดว่าทำอาหารเก่ง ความสัมพันธ์คงไม่ธรรมดา

ไม่รู้ทำไม อันนาจึงไม่พอใจคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด

แต่พอคิดๆ ดูแล้ว เธอก็พอจะรู้เหตุผล ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงรู้สึกเช่นนั้น

“งั้นไนน์ขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”

“ตามสบายเลยค่ะ อย่าลืมที่หมอแนะนำไปนะ” อันนาเอ่ย แล้วมองตามคนร่างเล็กที่เดินออกจากห้องไปจนลับตา



หลายสัปดาห์ผันผ่าน ทุกสิ่งทุกอย่างต่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ยกเว้นใจของวรินทร์ ที่ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่เช่นเดิม ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนโกหกหลอกลวง แต่เธอก็ห้ามใจไม่ให้คิดถึงผู้หญิงคนนั้นไม่ได้

เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน จะให้เธอตัดใจได้ยังไง

…ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างทรมานเหลือเกิน

วรินทร์เคยนึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดทำไมตัวเอกในนิยาย เวลามีปัญหาเรื่องความรัก ถึงได้พยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ เพื่อที่สมองจะได้ไม่ว่างให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ใช่หรือเปล่า

เธอก็คงเป็นเช่นนั้น กำลังเจริญรอยตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาที่เคยให้ในเรื่องอื่น ก็หันมาทุ่มเทให้กับงานจนหมด

จะได้ลืม…ลืมทุกอย่างที่ผ่านมา

แต่เหมือนบางอย่าง ยังคอยฉุดรั้งเธอเอาไว้

วรินทร์อดไม่ได้ที่จะเปิดข้อความในโทรศัพท์ที่ได้รับอยู่ทุกวัน

…ข้อความจากเบอร์เดิมๆ เบอร์ของคนที่ทำให้เจ็บปวด คนที่เคยบอกว่าชอบกัน

หายป่วยรึยังคะคุณรินทร์ ไนน์เป็นห่วง
คุณรินทร์ ไนน์พูดจริงๆ นะคะ ไนน์ชอบคุณ
คุณรินทร์ รับสายไนน์เถอะค่ะ
ไนน์คิดถึงคุณค่ะ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย

ถ้าเธอยังอ่านข้อความต่อไปอยู่อย่างนี้ น้ำตาที่เก็บกักไว้ก็คงจะไหลออกมา นิ้วเรียวจึงกดปิดแล้วดันโทรศัพท์ออกไปให้ไกลมือ
อยากจะเชื่อที่อีกฝ่ายบอก แต่…

วรินทร์เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ก่อนจะหลับตาแน่น เส้นเลือดในขมับปวดตุบๆ จนต้องยกมือขึ้นมานวดให้คลายลง หญิงสาวนิ่งคิดแล้วถามตัวเองในใจว่า ตอนนี้เธอมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า

ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย วรินทร์ก็ตอบคำถามตัวเองได้ในทันทีว่า…ไม่

แต่จะให้กลับไปเชื่อคำพูดและข้อความในโทรศัพท์ ก็คงทำใจให้นึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมากับหูในวันนั้นไม่ได้

วรินทร์มองนาฬิก้าข้อมือ เห็นว่าเป็นเวลาสมควรที่จะกลับที่พักได้แล้ว จึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะถอนหายใจกับความคิดที่ยังวนเวียนในหัว

นรีกมลหลบอยู่หลังกำแพง สายตามองตามร่างสูงของหญิงสาวในชุดสูทสวยกำลังจะเดินเข้าลิฟต์ไป เธอจึงออกจากที่ซ่อน แล้วรีบเคลื่อนตัวเข้าไปข้างในลิฟต์ก่อนที่ประตูจะปิดลง

วรินทร์แปลกใจ ชั้นนี้มีเพียงห้องทำงานของเธอกับภาคินเพียงเท่านั้น แล้วนี่ก็เป็นลิฟต์โดยสารสำหรับผู้บริหาร เธอเห็นว่าคนที่วิ่งเข้ามาว่าเป็นผู้หญิง แต่ไม่ทันเห็นหน้าได้ถนัด…ทันทีที่กดปุ่มเลือกชั้นเรียบร้อย วรินทร์จึงได้หันไปมองผู้โดยสารอีกคน

“นรีกมล”

คนหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วยิ้มแหยให้ด้วยใบหน้าไม่สู้ดี วรินทร์ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะตำหนิไปด้วยนัยน์ตาดุ

“นี่ลิฟต์ผู้บริหาร” วรินทร์ยื่นมือไปกดเลือกชั้นที่ใกล้ที่สุด “เธอต้องออกไป”

“แต่เมื่อก่อน…”

“ตอนนั้นหูตาของฉันยังไม่สว่าง แต่ตอนนี้ฉันฉลาดขึ้นแล้ว…ออกไป นรีกมล” วรินทร์พยักเพยิดไปทางประตูลิฟต์ที่เปิดออกพอดี

“คุณรินทร์คะ” คนร่างเล็กมองอย่างเว้าวอน “ได้โปรดฟังที่ไนน์พูดก่อน”

“ออกไป!” วรินทร์ขึ้นเสียง

“ถ้าคุณรินทร์เกลียดไนน์จริง ทำไมไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไปเลยล่ะคะ จะใช้เบอร์เดิมให้ไนน์ส่งข้อความไปหาทำไม แสดงว่าคุณรินทร์ต้องอ่าน ต้องอ่านที่ไนน์ส่งไป”

คนหน้าหวานเอ่ย พลางยกมือข้ามไหล่คนเป็นนายเพื่อกดปิดประตูลิฟต์ แล้วปล่อยให้มันเคลื่อนตัวลงไปยังชั้นที่เป็นจุดหมายตั้งแต่แรก

นรีกมลมองคนหน้าสวยที่ยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปาก เธอได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาเป็นท่อนๆ และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา วรินทร์ก็หลุดหัวเราะออกมาจริงๆ

คนเป็นเลขามองเจ้านายที่เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว ก็ส่งยิ้มแปลกๆ มาให้ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอ แล้วยื่นหน้าสวยๆ เข้ามาใกล้ๆ ให้หัวใจสั่นไหวเล่น

“สำคัญตัวผิดไปนะสาวน้อย” วรินทร์ส่ายหน้า นัยน์ตาดำจัดเต้นระริกเพราะความขบขัน “ฉันยกเบอร์นั้นให้คนสวนที่บ้านเอาไปใช้แล้ว ไม่รู้เค้าจะคิดว่าเธอเป็นโรคจิตรึเปล่า เล่นส่งข้อความไปหาทุกวัน”

นรีกมลได้ยินดังนั้น จึงเป็นฝ่ายหัวเราะขึ้นมาบ้าง จนคนที่กำลังจะเอ่ยต่อต้องเอ่ยถามเสียงดังอย่างหงุดหงิดใจ

“หัวเราะอะไร!”

“ถ้าไม่ได้อ่าน แล้วคุณรินทร์รู้ได้ยังไงคะ ว่าไนน์ส่งไปทุกวัน อย่าบอกนะว่าคนสวนมาบอก”

วรินทร์หน้าขึ้นสี แล้วหันหลังกลับพลางทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์

นรีกมลรีบกลั้นหัวเราะเพราะไม่อยากจะโดนอีกคนงอนไปมากกว่านี้ “งอนไนน์เหรอคะ”

วรินทร์เงียบอย่างคนจงใจไม่ตอบ นรีกมลจึงกระตุกเสื้อตรงข้อศอกอีกคนเบาๆ

“คุณรินทร์อ่านทุกข้อความที่ไนน์ส่งไปใช่ไหมคะ ไนน์ยืนยันว่าทุกอย่างที่ส่งไปเป็นความจริง ให้โอกาสไนน์อีกครั้งนะคะ”

ด้วยความที่นรีกมลยืนอยู่ด้านหลัง เธอจึงไม่เห็นสีหน้ายามนี้ของวรินทร์ และเพราะเสียง ตึ้ง! พร้อมประตูลิฟต์ที่เปิดออกดันมาไม่ถูกเวล่ำเวลา ทำให้นรีกมลต้องลอบถอนหายใจ ก่อนจะรีบวิ่งตามคนขายาวกว่าที่เดินเร็วๆ ตรงไปยังทางที่รถของตัวเองจอดอยู่

“เดี๋ยวค่ะ…โอ้ย!”

“เป็นอะไรรึเปล่า นรีกมล” วรินทร์ถลาเข้าไปประคองคนที่เธอเปิดประตูรถไปกระแทกอย่างแรง

“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” นรีกมลลูบแขนตัวเองเร็วๆ เหมือนกับว่าถ้าทำอย่างนั้นจะหายเจ็บ

“ไหนดูซิ” คนหน้าสวยร่นชายเสื้อเชิ้ตขึ้น “แดงเชียว พรุ่งนี้คงช้ำน่าดู”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ กลับไปทายาเดี๋ยวก็หาย”

วรินทร์เลิกคิ้วมองดวงหน้าหวานนิ่ง ก่อนจะสะบัดแขนอีกคนออก แล้วพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ

“หายไวๆ ก็ดี ฉันจะได้ไม่รู้สึกผิดที่ทำพนักงานในบริษัทบาดเจ็บ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะแส่เข้ามาหาเรื่องเจ็บตัวเอง”

นรีกมลหน้าเผือดไปกับคำพูดนั้น แผลบริเวณต้นแขนที่บวมแดงอยู่ ดูจะปวดตุบๆ ขึ้นในทันที คนร่างเล็กเลื่อนแขนเสื้อลงมาปิด ก่อนจะปรับสีหน้าส่งยิ้มบางไปให้คนมอง

“ที่มาหาเรื่องเจ็บตัว ก็เพราะไนน์อยากเจอหน้าคุณวรินทร์ ถึงแม้จะต้องเจ็บตัวกว่านี้ก็จะยอม”

“พูดได้ดี” วรินทร์ปรบมือ “ยังมารยาเก่งเหมือนเดิม ต้องการแก้แค้นใครล่ะทีนี้ คราวนี้เป็นฉันหรือเปล่า”

“ไม่ใช่นะคะคุณรินทร์ ไนน์พูดจริงๆ ทำไมคุณถึงไม่เชื่อไนน์เลย” นรีกมลเอ่ยอย่างตัดพ้อ

วรินทร์เบิกตาแล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “โธ่! ให้เชื่อเธอ พูดมาได้ยังไงนรีกมล ก่อนหน้าที่ฉันเชื่อเธอล่ะ ผลลัพธ์มันเป็นยังไง”

นัยน์ตาดำจัดวาววับขึ้นมาอย่างโกรธเคือง วรินทร์ร้องหึ แล้วแทรกตัวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหวี่ยงประตูปิดเสียงดัง

นรีกมลมองตามอย่างเว้าวอน เธอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่ออีกคนเลื่อนกระจกลงเหมือนต้องการจะพูดอะไร วรินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้าหวานที่ก้มลงมาสบตา

“ไม่ต้องส่งข้อความมาแล้วนะ รำคาญ!”

“คุณวรินทร์” นรีกมลมองสีหน้าเบื่อหน่ายของผู้เป็นนายอย่างปวดใจ

“ขยับออกไป ฉันขับรถออกไปไม่ได้” วรินทร์สตาร์ทรถคันสวยอย่างไม่ใส่ใจ มือเรียวขยับเปลี่ยนเกียร์

วรินทร์กำลังจะหันกลับมาสั่งคนเป็นเลขาอีกที แต่ริมฝีปากที่ฉกลงมาแตะที่แก้มเร็วๆ ทำให้ตกใจจนต้องชะงักคำพูดทั้งหมดเอาไว้ นัยน์ตาดำจัดมองรอยยิ้มเศร้าซึมของคนร่างเล็ก ที่หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับมือที่ยังกุมต้นแขนข้างที่เจ็บอยู่

วรินทร์ห้ามคำพูดเอ่ยรั้งไม่ให้หลุดออกจากปาก มือเรียวกำแน่นก่อนจะทุบไปที่พวงมาลัยเสียหลายที

ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้ นรีกมล…ทำไมไม่ปล่อยฉันไป

วรินทร์นั่งนิ่งค้างโดยไม่ได้ขยับรถไปไหนหลายนาที ในหัวไม่สามารถสะบัดดวงหน้าหวานที่แฝงไปด้วยความเศร้าไม่ได้ วรินทร์หัวเราะสมเพชให้กับตัวเอง

ควรเป็นฉันที่ต้องเศร้าเสียใจ ไม่ใช่เธอ…นรีกมล



“ไปโดนอะไรมาคะน้องไนน์” อันนาเอ่ยถามเจ้าของต้นแขน ที่ปรากฏรอยช้ำสีม่วงเป็นปื้นใหญ่

“โดนประตูรถกระแทกมาค่ะ”

“อะไรจะเปิดแรงขนาดนั้น” คนเป็นหมอเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ

“เขาคงอารมณ์เสียที่เห็นหน้าไนน์มั้งคะ” นรีกมลซ่อนสีหน้าเศร้าเอาไว้ไม่มิด

“อะไรกัน โมโหแล้วทำร้ายคนอื่น ใช้ไม่ได้เลยคนแบบนี้”

“เปล่าค่ะหมออัน เขาไม่ได้ตั้งใจ ไนน์ต่างหากที่ไม่ระวัง เดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปตอนเขาเปิดประตูรถพอดี”

“ปกป้องจังนะคะคนนี้” อันนาทายาตรงบริเวณอย่างเบามือ “ชอบเค้าเหรอคะ”

“ค่ะ พยายามตามง้ออยู่” นรีกมลบอก พร้อมรอยยิ้มที่ประดับเต็มใบหน้า แต่แล้วก็จางไปเพราะประโยคต่อมา “ไนน์ทำผิดไว้มาก มากจนไม่รู้เค้าจะอภัยให้ไนน์ไหม”

“ถ้าเราเอาความจริงใจเข้าสู้ รับรองว่าคนนั้นของน้องไนน์ต้องใจอ่อนค่ะ สู้ๆ นะ หมอเป็นกำลังใจให้” อันนาลุกขึ้นไปเก็บยาทาภายนอกที่ชั้นวาง แล้วเดินกลับมาร่นแขนเสื้อลงให้คนป่วย “ว่าแต่บอกได้ไหม ว่าคนนั้นของน้องไนน์เป็นใคร เป็นความลับรึเปล่าจ๊ะ”

นรีกมลยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก “เป็นความลับค่ะ”

อันนาเลิกคิ้ว แล้วส่งยิ้มล้อเลียน ทั้งที่ในใจรู้สึกตะหงิดแปลกๆ

“หมอก็มีคนที่ชอบเหมือนกันนะ เป็นคนในบริษัทนี้นี่แหละ”

“จริงเหรอคะ ใครกัน เผื่อไนน์จะเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ได้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ หมอจะพยายามด้วยตัวเองก่อน ไว้ไม่สำเร็จจริงๆ จะให้น้องไนน์ช่วย” อันนายิ้มบาง แล้วแอบลอบถอนใจออกมาอย่างปลงตก

…ทำงานมาจะเดือนกว่า ยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย

เมื่อนรีกมลออกจากห้องไปแล้ว อันนาจึงอยู่ในห้องพยาบาลจนถึงเวลาเลิกงาน แล้วเดินไปหามารดาที่ห้องประธานบริษัทอย่างเช่นทุกสัปดาห์ เพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน

“แม่กำลังเก็บของพอดีเลยอัน รอแป๊บนึงนะ”

อันนาพยักหน้า ก่อนจะกระซิบถามมารดาเบาๆ “คุณวรินทร์ ไม่ได้เลิกงานพร้อมกับแม่เหรอคะ”

“คุณรินทร์ทำงานต่อไปถึงค่ำๆ แหนะ นานๆ ทีถึงจะกลับตรงเวลา แต่…” เปรมจิตชะงัก สายตามองตามเจ้านายที่เดินถือกระเป๋าสะพายออกมาจากห้อง “วันนี้คงจะเป็นหนึ่งในวันนั้น”

“กลับแล้วเหรอคะคุณวรินทร์” เปรมจิตถาม

“ค่ะ” วรินทร์พยักหน้า ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานเลขาของตน

“สวัสดีค่ะ คุณวรินทร์”

“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณหมอ มาหาคุณเปรมจิตเหรอคะ”

“ค่ะ” อันนารับคำสั้นๆ ก่อนจะสบนัยน์ตาสวยคมของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยต่อ “คุณคงไม่รู้ว่าฉันทำงานที่นี่…ที่บริษัทของคุณ”

คนหน้าสวยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “หมอประจำบริษัทน่ะเหรอคะ”

อันนายิ้มให้เป็นคำตอบ วรินทร์จึงพยักหน้าอย่างพอใจ

“ดีเลยค่ะ บริษัทของฉันต้องการคุณหมอดีๆ อย่างคุณ” วรินทร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวค่ะคุณวรินทร์” อันนาฉุดแขนอีกคนไว้ แล้วปลดมือออกทันทีเมื่ออีกฝ่ายหันมา “คุณลืมของไว้ที่ห้องฉัน ไม่ทราบว่าอาทิตย์หน้า ฉันจะขอเข้าพบคุณที่ห้องเพื่อคืนของได้ไหม แล้วฉันก็…มีเรื่องที่อยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”

วรินทร์ยิ้มกว้าง ก่อนจะหันหน้าไปมองคนเป็นเลขา “นัดกับคุณแม่คุณหมอสิคะ คุณเปรมจิตรู้ดียิ่งกว่าฉันอีก เรื่องตารางงานและเวลาว่าง”

“อ๋อ…ค่ะ” อันนารับคำเสียงเบา

ทั้งสองมองตามประธานบริษัทสาว ที่เดินไปทางลิฟต์อย่างรวดเร็ว เปรมจิตหันกลับมาหาลูกสาวที่ยังไม่ละสายตาไปจากแผ่นหลังของวรินทร์

“คุณรินทร์ลืมอะไร ทำไมไม่ฝากแม่ ให้เอามาคืนให้”

อันนาอึกอัก ก่อนจะหาเหตุผลตอบออกไปอย่างรวดเร็ว “ของส่วนตัวของเจ้านายแม่ค่ะ อันคิดว่าคุณรินทร์คงไม่อยากให้คนอื่นเห็น อันเลยอยากคืนด้วยตัวเอง”

“คนอื่นนี่รวมถึงแม่ด้วย ของอะไรจะสำคัญขนาดไม่อยากให้ใครเห็น” เปรมจิตเอ่ยอย่างสงสัย

“ช่างเถอะค่ะ กลับบ้านกันดีกว่า อันหิวข้าวแล้ว” อันนารีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะโอบเอวมารดาพาออกไปจากบริเวณนั้น

คนเป็นหมอขมวดคิ้วให้กับความคิดของตัวเอง

…จะให้บอกได้ยังไง ว่าเธออยากหาเรื่องมาใกล้ชิดเจ้านายของแม่

คิดแล้วอันนาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.