ตอนที่ 14
พีชญานั่งไขว้ขามองหน้าคนที่โทรเรียกเธอให้ออกมาพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ไหนบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย” พีชญาพูดขึ้น หลังอดทนนั่งเงียบมานาน “นั่งมองหน้าฉันกล้าๆ กลัวๆ อย่างนี้ จะไปรู้เรื่องได้ยังไง”
นรีกมลยิ้มแหยให้กับน้ำเสียงเหวี่ยงวีนและใบหน้าที่แสดงอาการเบื่อหน่ายนั้น
“เร็วๆ สิ เรื่องของรินนี่ที่ว่าคือเรื่องอะไร”
“ไนน์อยากให้คุณพอร์ช ช่วยให้ไนน์ได้คืนดีกับคุณวรินทร์”
พีชญาหัวเราะ แต่สีหน้าสีตาไม่ได้ตลกตามไปด้วย “ฝันไปเถอะย่ะ ทำเพื่อนฉันถึงขนาดนี้ จะโง่ไปช่วยเธอทำไม”
“คุณพอร์ชไม่เห็นแก่ความสุขของคุณรินทร์เหรอคะ”
นัยน์ตาหวานสบกับดวงตายิบหยี ที่หรี่ตามองมาที่เธออย่างแปลกใจ
“ความสุขของรินนี่ คือการที่ไม่ต้องมาพบพานคนอย่างเธออีก และที่สำคัญ…ฉันสัญญากับรินนี่ไปแล้ว ว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของเธอสองคน”
“แต่คุณพอร์ชก็ยังมา ทั้งๆ ที่ไนน์แค่บอกว่ามีเรื่องสำคัญของคุณรินทร์ที่อยากจะบอก” นรีกมลยิ้มในหน้า
“ฉันนึกว่าเรื่องทั่วๆ ไปอะไรอย่างนี้” พีชญาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ใครจะไปรู้ว่าเธอจะมาขอให้ฉันช่วย”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่มันไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ เพราะแค่คุณพอร์ชมาอยู่ตรงหน้า…ไนน์ก็พอใจแล้ว”
นรีกมลเล่าเรื่องราวในอดีตของเธอกับภัทรพลให้พีชญาฟังคร่าวๆ ก่อนจะตั้งใจเอ่ยช้าๆ ชัดๆ เมื่อมาถึงเหตุการณ์สำคัญ อย่างช่วงที่เธออยากเอาคืนภัทรพล และความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อยิ่งได้รู้จักตัวตนของเจ้านายสาว
“ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าเธอจะไม่โกหกอีก” พีชญาเอียงหน้ามองคนตัวเล็กอย่างพิจารณา
“ไม่ต้องเชื่อไนน์ก็ได้ ขอแค่คุณพอร์ชยอมให้โอกาสไนน์ได้เจอคุณรินทร์เพื่อปรับความเข้าใจ” นัยน์ตาหวานส่อแววขอร้อง “ที่ผ่านมาคุณรินทร์ไม่ยอมฟังไนน์เลย ไม่มีสักครั้งที่จะได้คุยกันดีๆ แล้วอย่างนี้ไนน์จะแสดงความบริสุทธิ์ใจได้ยังไง ว่าไนน์ชอบคุณรินทร์จริงๆ”
เห็นสีหน้าไม่ไว้วางใจของพีชญา นรีกมลจึงพยายามโน้มน้าวต่อ “ไนน์เป็นพนักงานของดับเบิ้ลเอ็มกรุ๊ปนะคะ เป็นลูกไก่ในกำมือของคุณรินทร์ด้วยซ้ำ คุณพอร์ชลองคิดดู ไนน์จะกล้ามาหลอกลวงอีกเหรอคะ”
พีชญาคิดตาม แล้วนั่งจมอยู่ในความคิดไปหลายอึดใจ
…ถ้าเธอช่วย ตัวเธอก็ไม่ได้ผิดสัญญาซะหน่อย ก็แค่การหยิบยื่นโอกาสและสร้างสถานการณ์เท่านั้นเอง
“ถ้าฉันช่วย…เธอต้องสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายรินนี่อีก”
คนตัวเล็กพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ ด้วยแววตากระตือรือร้น กิริยานั้นเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของคนมอง
“ถ้าเธอผิดสัญญา ฉันจะไปฉีกอกเธอถึงที่ห้องแน่” พีชญาเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม จนคนฟังรู้สึกเสียวสันหลัง
สนทนากันต่ออีกนิดหน่อย พีชญาก็เอ่ยลาแล้วลุกขึ้นจะคว้ากระเป๋า นรีกมลมองตามคนที่ชะงัก ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้อย่างแอบแฝง ดวงตายิบหยีเป็นประกายระยิบระยับราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวสนุกๆ อยู่
“อุ้ย! ลืมบอกไป” สาวผมสีคาราเมลเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก “ฉันจะบอกให้ว่าคู่แข่งของเธอน่ากลัวสุดๆ ยังไงก็พยายามหน่อยนะ”
นรีกมลเบิกตากว้างเรียกชื่ออีกคน แต่อีกฝ่ายกลับจงใจไม่อธิบายต่อ พีชญายักคิ้วให้เธอทีหนึ่ง ก่อนจะเดินนวยนาดออกจากร้านไป
พีชญาหรี่ตามองคนที่คุยโทรศัพท์พลางยิ้มแย้มไปอย่างสงสัย แน่นอนว่าไม่ใช่นรีกมล เพราะวรินทร์คงไม่รับสายจากคนตัวเล็กแน่ๆ แถมเมื่อวานนรีกมลก็เพิ่งมาขอร้องให้เธอช่วย
แล้วคนที่วรินทร์คุยด้วยเป็นใคร…
พีชญาค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ตัวเพื่อนสาวเรื่อยๆ เสียงหัวเราะของวรินทร์ที่มีให้ต่อคู่สนทนา ทำให้พีชญาอยากรู้จนต้องเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ทำอะไรน่ะพอร์ช!” วรินทร์วางหูแล้วหันมามองคนที่ทำท่าเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างเตียงนอนของตัวเอง
“ไม่ได้ทำอะไร” สาวผมสีคาราเมลเปลี่ยนอารมณ์ตกใจบนสีหน้า เป็นรอยยิ้มสดใสอย่างรวดเร็ว “เมื่อกี้พอร์ชเห็นอะไรไม่รู้แวบๆ ตรงนั้น เลยเดินมาดูน่ะ”
คนหน้าสวยพยักหน้าแล้วเอนหลังลงนอนบนเตียง ในขณะที่มือก็กดโทรศัพท์เล่นไปด้วย พีชญาเห็นดังนั้นจึงทรุดตัวไปนอนข้างกัน พลางกระแซะตัวเข้าไปใกล้ๆ จนใบหน้าเกือบจะติดกัน หญิงสาวใช้ดวงตายิบหยีมองหน้าจอโทรศัพท์นั้นอย่างสนใจ
“รินนี่เล่นไลน์กับใครน่ะ” พีชญาพยายามอ่านชื่อของคนที่วรินทร์ติดต่อด้วย “Dr.An”
“หมออัน” วรินทร์เอ่ยอย่างไม่ปิดบัง แล้วยื่นโทรศัพท์มาให้ดูชัดๆ
“แล้วเมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับใครอ่ะ”
“คุยกับหมออัน”
พีชญาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “แล้วคุยกันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องทั่วไป…พอร์ชถามรินทร์ทำไม”
“แค่แปลกใจ เพิ่งคุยโทรศัพท์กันไป จะมาคุยทางไลน์อีกทำไม” พีชญาสงสัย
“คุณหมอเขาทักมา จะไม่ตอบไปก็เสียมารยาท” วรินทร์เอ่ยถึงเหตุผล “แล้วเมื่อกี้หมออันก็แค่โทรมาถามเรื่องสุขภาพของรินทร์ แล้วก็คุยเลยไปถึงเรื่องอื่นอีกนิดหน่อย”
พีชญาได้ฟัง ใบหน้าก็ระบายยิ้มออกมา “แล้วรินนี่คุยกับหมออันบ่อยไหม”
คิ้วเรียวสวยขมวดเล็กน้อยเมื่อนึกย้อน “ถ้าคุยกันทางโทรศัพท์ก็ไม่บ่อยนะ แต่ถ้าคุยไลน์ ก็คุยกันทุกวันน่ะ”
ทุกวัน…พีชญาทวนคำในใจ แล้วเบิกตาค้างอย่างคาดไม่ถึง
“หวงรินทร์หรือไง” วรินทร์หันไปยีหัวคนข้างตัว “ยังไงก็คุยกับพอร์ชมากกว่าอยู่ดี”
พีชญาทำหน้างอ แล้วพลิกตัวไปนอนก่ายอีกคน
“หวงสิ…ทีกับพอร์ช สติกเกอร์ซักอันยังไม่ส่งมาให้เลย”
“รินทร์จะคุยไลน์กับพอร์ชทำไม เจอหน้ากันเกือบทุกวัน และที่สำคัญ คุยแล้วเห็นสีหน้าของคู่สนทนาดีกว่าคุยผ่านอุปกรณ์พวกนี้ตั้งเยอะ”
พีชญายิ้มกว้าง แล้วซุกหน้ากับไหล่บางๆ ของเพื่อนสาว “พูดดีอย่างนี้ เดี๋ยววันอังคารจะพาไปเลี้ยงข้าว”
“ตามใจเลย แต่ต้องดูก่อนนะว่าติดประชุมหรือเปล่า”
“ตอนเย็นยังติดประชุมอีกหรอ” พีชญากลับมาทำหน้างอ
“อาจจะไม่ก็ได้” วรินทร์พูดในแง่ดี “ถ้าไม่ติดอะไร พอร์ชจะพารินทร์ไปไหนก็ตามใจเลย”
“รินนี่ใจดีจัง”
วรินทร์ยิ้มในหน้าให้กับประโยคนั้น
เธอไม่กล้าบอกพีชญาไปหรอก…ว่าตัวเองไม่อยากอยู่คนเดียว
“อาหารฟรีใครจะไม่ไป” วรินทร์พูด แล้วปัดความคิดก่อนหน้าให้ออกไปจากหัว
พีชญาหัวเราะเบาๆ ในขณะที่สมองก็กำลังแล่นเร็วจี๋ด้วยความคิดบางอย่าง
นรีกมลชะเง้อหน้ามองไปทางทางเข้าร้านหลายที จนเมื่อเห็นร่างบางของหญิงสาวที่แสนคุ้นตาเท่านั้น จึงระบายยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
พีชญามองซ้ายมองขวาจนเจอะกับคนตัวเล็กที่กำลังโบกมือมาให้ จึงเดินเข้ามาหาพร้อมใบหน้าเคร่งเครียด
“คุณรินทร์ล่ะคะ” นรีกมลถามเมื่อไม่เห็นใครอีกคน
“ยังอยู่ที่รถ” พีชญาบอกพลางพยักเพยิดไปยังทิศทางนั้น “สงสัยฉันคงต้องนั่งเป็นเพื่อนเธอแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ไหนคุณพอร์ชว่าจะให้ไนน์อยู่ทานอาหารกับคุณรินทร์สองคน”
พีชญานั่งลง แล้วมองไปรอบตัว ที่ทุกโต๊ะมีคนจับจองนั่งกันจนเต็มทั้งร้าน เพราะเธอจงใจเลือกร้านอาหารระดับกลางที่เป็นที่นิยม ขายดีจนต้องโทรมาจองล่วงหน้า
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน โต๊ะทุกตัวจะไม่ว่าง แล้วเธอก็จะแสร้งบอกว่าอยากกินอาหารร้านนี้มาก จนไม่อยากไปที่อื่น จากนั้นพนักงานในร้านที่เธอแอบยัดเงินใต้โต๊ะ ก็จะพาเธอกับวรินทร์ไปนั่งที่โต๊ะสี่ที่นั่ง ซึ่งนรีกมลนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ทุกอย่างที่พีชญาวางแผนไว้จะประจวบเหมาะ
…ถ้าไม่ติดว่ามีใครอีกคนมาด้วย
พีชญาได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ จุดบอดของแผนนี้คือ เธอลืมไปว่าวันอังคารเป็นวันที่หมออันนาเข้าเวรที่บริษัท และไม่ได้คาดคิดว่าวรินทร์จะใจดีเกินเหตุ ถึงขนาดชวนคนเป็นหมอมาด้วย
รถไฟชนกัน…เละสิคะงานนี้
“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” พีชญากลอกตาอย่างหงุดหงิด
นรีกมลไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น จนกระทั่งวรินทร์เดินเข้าร้านมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคน ทางด้านสาวผมสีคาราเมลก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปควงแขนเพื่อนสาว ที่ใบหน้านั้นเรียบเฉยยามนัยน์ตาดำจัดนั้นจับจ้องมาที่คนร่างเล็ก
“โต๊ะเต็มค่ะ พอร์ชจำใจต้องนั่งตรงนี้” พีชญาอธิบายทันทีที่เห็นสายตาของวรินทร์ “โชคดีที่นรีกมลยังไม่ทันได้สั่งอาหาร”
“ไม่มีโต๊ะว่างเลยเหรอพอร์ช” วรินทร์พยายามมองหาโต๊ะที่ลูกค้าคนอื่นมีทีท่าว่าจะรับประทานเสร็จแล้ว
“พอร์ชหิวแล้วนะ อย่าเรื่องมากน่า นั่งๆ ไปเถอะ”
วรินทร์ถอนหายใจ แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่คนตาหยีอย่างไม่เข้าใจ
ไหนบอกเชียร์ไม่ให้เดินหน้าต่อไง แล้วจะชวนให้มานั่งมองหน้ากันทำไมล่ะพอร์ช
พีชญาทำเป็นไม่สนใจท่าทางนั้น ร่างบางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วดึงแขนเพื่อนสาวให้นั่งลงข้างกัน นรีกมลลอบมองดวงหน้าสวยที่อยู่ตรงข้าม นัยน์ตาสีเข้มเสมองไปทางอื่นอย่างไม่อยากจะสบตา
“บังเอิญจังเลยนะคะน้องไนน์” อันนานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างคนตัวเล็ก นรีกมลจึงหันมายิ้มบางให้อย่างเห็นด้วย
“คุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอคะ” พีชญาถามอย่างแปลกใจ
“อันเพิ่งรู้จักน้องตอนเข้ามาทำงานที่บริษัทนี่แหละค่ะ น้องไนน์เขาป่วยมาให้รักษาบ่อยๆ ล่าสุดไปโดนประตูกระแทกแขนมา ตอนนี้ยังม่วงไม่หายเลย”
“ใครกันเนาะ กล้าทำคุณเลขา” พีชญาที่รู้เรื่องราวดี เพราะตัวการมือหนักเป็นคนเล่าให้ฟัง ถึงกับต้องกลั้นหัวเราะขณะพูด
“ใช่ค่ะ ถามแล้ว น้องก็ไม่ยอมบอก” อันนาหันไปยิ้มกับคนบาดเจ็บ
“เค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้นี่คะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ ส่วนนัยน์ตาคมสวยก็เหลือบมองต้นแขนภายใต้เนื้อผ้าหนานั้นด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“พูดเหมือนกันเป๊ะเลยว่าไม่ได้ตั้งใจ ถึงยังไง…คุณคนนั้นก็ไม่ควรเปิดประตูซะแรงขนาดนั้น”
สิ้นคำพูดนั้นของอันนา ทั้งโต๊ะก็เงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะเป็นพีชญาที่เอ่ยเปิดประเด็นใหม่
“พอร์ชกับรินนี่ก็อายุพอๆ กับคุณเลขา ทำไมหมออันไม่เรียกเราว่าน้องบ้างล่ะคะ เผอิญว่าพอร์ชอยากเด็กบ้างอะไรบ้าง”
“คุณพอร์ชยังอยากเด็ก อันก็ยังไม่อยากแก่เหมือนกัน” คนเป็นหมออมยิ้ม “แต่เหตุผลจริงๆ แล้ว ด้วยฐานะพวกคุณ จะให้อันเรียกน้องรินทร์ น้องพอร์ช ก็ออกจะแปลกๆ อยู่”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่คะ เรียกว่าน้องรินทร์ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” วรินทร์เป็นฝ่ายพูดบ้าง
“ถ้าคุณรินทร์ไม่ขัดข้อง งั้นอันจะเรียกคุณสองคนว่าน้องนะคะ”
“ตามนั้นค่ะพี่อัน” วรินทร์ยิ้มรับ
บริกรนำเมนูอาหารมาให้ คนทั้งโต๊ะจึงวุ่นกับการสั่งอาหาร แต่มีเพียงสาวผมสีคาราเมลที่โยนหน้าที่ไปให้เพื่อนสาวจัดการ ส่วนตัวเองกลับนั่งระบายยิ้ม มองดวงหน้าหวานที่ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ตั้งแต่เรามานั่งด้วย คุณเลขาก็ไม่คิดจะคุยอะไรบ้างเลยเหรอคะ” พีชญาเริ่มบทสนทนาเมื่อบริกรเดินจากไปแล้ว
“เกรงใจท่านประธานน่ะค่ะ” นรีกมลเหลือบตามองคนที่นั่งตรงข้าม “ไนน์กลัวจะพูดอะไรไม่เข้าหูคุณรินทร์เข้า”
“โอ๊ย! กันเองค่ะกันเอง ใช่มั้ย! รินนี่” พีชญาหันไปมองเพื่อนสาว ที่จำใจพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“รีแล็กซ์หน่อยสิ” อันนาลูบไหล่คนตัวเล็ก “จริงๆ แล้ว น้องรินทร์เค้าใจดี เคยบอกกับแม่ของหมอด้วยซ้ำ ว่าถึงน้องไนน์จะซุ่มซ่ามไปหน่อย แต่ก็น่ารักดี”
ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ วรินทร์พูดกับเปรมจิตต่อหน้าต่อตาเธอด้วยซ้ำ…นรีกมลคิดในใจ
“บางทีแม่ของพี่อันอาจจะฟังผิด รินทร์ไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยพูดอะไรไร้สาระแบบนั้นด้วย” วรินทร์ตีหน้าตายได้อย่างแนบเนียน พีชญาที่มองอยู่ก็ได้แต่แอบยิ้มกับนิสัยของอีกคน
ทำเป็นเข้มนะรินนี่ ทั้งที่ในใจคงจะเขินแทบเป็นแทบตาย
แล้วดูหน้านรีกมลสิ…ซีดเป็นไก่ต้มจริงๆ ก็คราวนี้
พีชญาที่นึกสงสาร จึงเอ่ยเปลี่ยนประเด็นให้ “เรื่องรินนี่ใจดีมั้ยไม่เห็นน่าสนใจเลยคะ พอร์ชว่าเรามาคุยเรื่องของพี่หมออันดีกว่า”
วรินทร์พยักหน้าเห็นด้วยเพราะไม่อยากให้เรื่องมันวนเข้ามาหาเธอไปมากกว่านี้
“พี่หมออันมีคนรักรึยังคะ” พีชญาถาม
“ยังค่ะ”
มีเพียงนรีกมลเท่านั้นที่ไม่รู้รสนิยมของคนเป็นหมอ จึงเอ่ยออกมาอย่างพาซื่อ “หมออันเคยบอกว่าแอบชอบคนในบริษัท ไนน์ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นใคร”
พีชญาเลิกคิ้วมองอันนาที่เบิกตากว้างแล้วหันไปจุ๊ปากให้คนข้างตัวเงียบๆ จริงๆ แล้วเธอเดาได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ
“คนนั้นโชคดีนะคะ ที่มีคนดีๆ อย่างคุณหมอมาแอบชอบ” วรินทร์เอ่ยอย่างไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่คนฟังบางคนถึงกับต้องแอบยิ้มคนเดียวเพราะคำชมง่ายๆ แต่ประโยคหลังจากนั้นกลับเรียกกิริยาตรงข้ามกันจากคนฟังอีกคน
“ไม่เหมือนรินทร์ คนที่มาบอกว่าชอบกลับนิสัยคนละขั้วกับคุณหมอ เหมือนขาวกับดำ เทียบกันไม่ติดฝุ่น ไม่รู้เป็นเวรกรรมอะไรของรินทร์ ขนาดไล่ให้ไปแล้วยังตื้อไม่เลิก ไม่รู้ว่าคนอะไรจะหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้”
บางทีนรีกมลอาจจะร้องไห้ออกมาแล้วก็ได้ ถ้าไม่มีบริกรมาเสิร์ฟอาหารขัดจังหวะไว้ก่อน คนตัวเล็กจึงได้แต่ก้มหน้ามองจานอาหารของตัวเองอยู่อย่างนั้น
พีชญาที่มองอยู่ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ถึงจะเป็นคนแนะนำเพื่อนเองว่าให้ตีหน้ายักษ์เข้าไว้ แต่ถ้ามาว่าแรงๆ แบบนี้ ลองเป็นเธอสิ คงลุกขึ้นมาพังโต๊ะอาหารให้เละตุ้มเป๊ะไปเลย
สาวผมสีคาราเมลอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ ไม่รู้ว่าการที่เธอยื่นมือเข้ามาช่วย มันจะเกิดผลดีหรือผลร้ายมากกว่ากัน พีชญาได้แต่คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดมื้ออาหาร
นรีกมลยืนหันหลังพิงกำแพง ในใจจดจ่อรอเวลาที่ใครบางคนจะปรากฏตัว ณ จุดเดิมที่เคยเจอกันเมื่อหลายวันก่อน
คนหน้าหวานนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเธอกับพีชญา ที่หญิงสาวโทรไปขอคำปรึกษา หลังจากรู้สึกท้อเวลาได้ยินคำพูดส่อเสียดจากปากของอีกคน ถึงอย่างนั้น นรีกมลก็มักจะเรียกความตั้งใจเดิมให้กับคืนมา ด้วยการหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ซึ่งเธอเป็นฝ่ายโกหกหลอกลวงวรินทร์ จนความสัมพันธ์มันเลยเถิดเกินคำว่าเจ้านายและลูกน้อง
ถึงอย่างนั้น…พีชญากลับเป็นฝ่ายพูดให้เธอพยายามต่อไป
แม้นรีกมลจะถามเหตุผล แต่ปลายสาวก็ไม่ตอบ น้ำเสียงแสนมั่นอกมั่นใจของพีชญา กลับเรียกความเชื่อมั่นของเธอให้กลับมาได้อย่างน่าประหลาด
เธอเชื่อฉันสิ ตื้อท่านั้นที่ครองโลก…พีชญาบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
นรีกมลอมยิ้มยามคิดถึงประโยคนั้น
นั่นสิ! จะท้อไม่ได้ ยิ่งพีชญาบอกว่าเธอมีคู่แข่ง ก็ต้องพยายามยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้หรอกว่าคนๆ นั้นเป็นใตร ถามทีไรพีชญาก็บอกแค่ว่า…ดูไปนานๆ เดี๋ยวก็รู้เอง
นรีกมลหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงดังเข้ามาในโสตประสาท รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนริมฝีปาก เมื่อร่างสูงสมส่วนเดินผ่านหน้าไป วรินทร์ชะงักเท้าหันมามอง คิ้วเรียวสวยขมวดแน่นเป็นปม
นรีกมลส่งยิ้มหวานไปให้อย่างไม่นึกเกรงกลัวนัยน์ตาดุคู่นั้นเลย
“ไปทานข้าวกับไนน์นะคะคุณวรินทร์”
วรินทร์มีสีหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วเริ่มออกเดินต่อไปโดยไม่ได้สนใจกันเลย นรีกมลจึงได้แต่มองตามหลัง ในขณะที่ความคิดในหัวก็ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด
“โอ๊ย!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังจากเบื้องหลังทำให้วรินทร์ต้องหยุดฝีเท้า เปลือกตาสวยปิดลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปหมายจะต่อว่าสักหน่อย
แต่เมื่อเห็นร่างเล็กบอบบางที่ทรุดตัวลงไปนั่งกุมข้อเท้าด้วยสีหน้าเหยเกแล้ว วรินทร์ก็ทำใจดุไม่ลง
“เป็นอะไร”
นรีกมลเงยหน้ามองพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาคู่หวาน
“ไนน์รีบวิ่งไปหาคุณรินทร์ เลยสะดุดเท้าตัวเองค่ะ”
คนเป็นนายส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ แล้วเดินเข้าไปหาใกล้ๆ ก่อนจะย่อตัวลงดูอาการของอีกคน
“เจ็บมากไหม” วรินทร์จับข้อเท้าของคนหน้าหวานที่ตอนนี้ยังไม่มีอาการบวมแดงอย่างเบามือ
“อย่ากดนะคะ ไนน์เจ็บ”
“ฉันไม่กดหรอกน่า” วรินทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ลุกไหวมั้ย เดี๋ยวฉันจะพาไปส่งที่บ้าน”
“ไหวค่ะ”
คนบาดเจ็บลอบมองใบหน้าเรียวสวยจากมุมข้างๆ ตลอดเวลาที่คนเป็นนายพยายามพยุงเธอให้ไปที่รถของเจ้าตัว มือเรียวที่โอบกระชับอยู่ที่สะเอว บอกให้รู้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นจริง ไม่ใช่เธอที่ฝันไปว่าวรินทร์จะมาอยู่ข้างกัน
คิดได้อย่างนั้น นรีกมลก็แอบลอบยิ้ม
…ไม่เสียแรงที่เธอลงทุนทำตัวเองให้บาดเจ็บ
“ข้อเท้าพลิกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าเธอควรจะไปให้คุณหมอดูอาการ” วรินทร์เอ่ยขณะที่เลี้ยวรถคันสวยออกจากบริษัท
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไนน์อยากกลับคอนโดมากกว่า”
วรินทร์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ปล่อยให้คนที่เอ่ยประโยค ต้องแอบชำเลืองมองปฏิกิริยาทางสีหน้าของคนเป็นนาย พอเห็นว่ายังเรียบนิ่งสนิทอยู่ นรีกมลจึงทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มหวานไปให้
“เราสองคนยังไม่ได้ทานข้าวด้วยกันทั้งคู่ ถ้าคุณรินทร์จะไปส่งไนน์ที่คอนโด เดี๋ยวไนน์จะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณคุณรินทร์เอง”
“สภาพอย่างนี้จะไหวเหรอ” คนหน้าสวยเหล่สายตามามองอย่างสบประมาท “เดินเหินยังไม่สะดวก แล้วจะมีปัญญาทำอาหารให้ฉันกินได้ยังไง”
“ถ้าอย่างนั้น…” คนร่างเล็กหยุดประโยค ก่อนจะหันไปมองใบหน้าสวยนั้นเต็มสองตาด้วยรอยยิ้มหวาน คนมองเห็นอย่างนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ วรินทร์รู้สึกเหมือนมีความพึงใจบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในรอยยิ้มนั้น
“อะไร” วรินทร์ถามหลังจากอีกคนไม่พูดออกมาสักที
คนเป็นเลขายังอมยิ้มขณะมองหน้าคนข้างกาย นรีกมลเบือนหน้ากลับไปทางถนนดังเดิม ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยประโยคที่ไม่กล้าพูดออกไปซักที
“ถ้าอย่างนั้น…
…คุณรินทร์คงต้องทำอาหารให้ไนน์กินอีกครั้งแล้วล่ะค่ะ”