ตอนที่ 15
นรีกมลมองคนขับที่หัวเราะขำจนหน้าดำหน้าแดง จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นจับหน้าจับตาของตัวเองด้วยความตกใจ พอถามไปอีกคนก็ไม่ตอบ แต่กลับอมยิ้มที่มุมปากอยู่อย่างนั้นตลอดทาง
คนร่างเล็กจึงได้แต่นั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอะไร จึงได้แต่ลอบมองซีกหน้าในเงามืดที่ถูกแสงไฟจากด้านนอกสาดส่องจับต้องเข้ามา เสี้ยวหน้านั้นช่างงดงามจับตาคนมองจนไม่อาจละสายตาออกไปได้ แต่เพียงชั่วอึดใจ นรีกมลก็ต้องหลบหน่วยตาดำจัดเป็นประกายที่หันมาจ้องมองกัน
นรีกมลไม่เห็นสีหน้าของคนเป็นนาย เพราะมัวแต่หันไปมองนอกกระจกฝั่งตัวเองและอมยิ้มอยู่อย่างนั้น คิดแล้วก็นึกเขินจนรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองเห่อร้อนขึ้นมา จึงยกมือขึ้นอังหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ไข้ขึ้นรึไง”
นรีกมลสะดุ้งและรีบลดมือลงไปอยู่ข้างตัว กำลังจะตอบไปว่า ‘เปล่าค่ะ’ แต่อะไรบางอย่างกลับดลใจให้ต้องตอบคำถามในความหมายตรงกันข้ามออกไป
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวแปลกๆ”
วรินทร์พยักหน้าโดยไม่ได้ตอบอะไร แต่นรีกมลกลับรู้สึกได้ถึงความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งของอีกฝ่าย ทำให้เธอไม่กล้าที่จะเอ่ยอะไรออกไป
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง วรินทร์จึงลงจากรถไปช่วยพยุงคนเจ็บให้ขึ้นไปบนห้อง นรีกมลสูดริมฝีปากเวลาเท้าข้างที่เจ็บสัมผัสโดนพื้น จากนั้นแรงโอบกระชับที่ไหล่บางจึงแน่นขึ้นราวกับว่าอีกคนรู้ใจกัน
คนตัวเล็กทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเชื่องช้า วรินทร์เห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า แล้วเดินออกไปนอกระเบียง นรีกมลเห็นคนเป็นนายยืนคุยโทรศัพท์อยู่นานร่วมนาที แล้วจึงกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างกัน
“หิวหรือยัง” วรินทร์ถามสั้นๆ “เดี๋ยวฉันจะหาอะไรให้ทาน”
“คุณรินทร์จะทำให้ไนน์ทานเหรอคะ” นรีกมลหลุดปากออกมาด้วยความดีใจ
“หาให้กินกับทำให้กิน มันคนละความหมาย” วรินทร์ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
“คุณจะไปไหนคะ”
“ไปหาอะไรให้กินไง”
นรีกมลมองตามหลังคนที่เดินจ้ำอ้าวจากไป พร้อมกับทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ในใจก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียไม่ได้กับท่าทีของเจ้านายสาว
นั่งรออย่างทำอะไรไม่ได้ด้วยความรู้สึกหน่วงในหัวใจ นรีกมลจมอยู่ในความคิดของตัวเองไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ จนเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับบานประตูที่ถูกผลักเข้ามา เผยให้เห็นหญิงสาวสองคนที่แสนคุ้นตา
คนแรกคือวรินทร์ ที่เบี่ยงตัวให้ผู้มาเยือนอีกคนก้าวเข้ามาภายในห้อง
…หมออันนา
คนผิวขาวจัดทักทาย ก่อนจะเดินขมวดคิ้วเข้ามาดูอาการ นรีกมลรู้สึกว่าสมองของเธอช่างมึนชาเหลือเกิน นัยน์ตาหวานสบกับดวงตาของคนที่จ้องมองมาแต่แรกอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งดวงหน้าสวยเสไปสนทนากับหญิงสาวอีกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สิ่งที่เคยติดค้างอยู่ในใจ คล้ายถูกอะไรเกี่ยวขึ้นมาให้เห็นชัดในความรู้สึก นรีกมลก็เม้มปากแน่นยามนึกถึงคำพูดเป็นนัยของพีชญา
ดวงตาเรียวของคุณหมอที่เป็นประกายเชื่อมหวานยามมองเจ้านายของเธอ ยิ่งทำให้คนลอบสังเกตแน่ใจ
อย่างนี้นี่เองใช่มั้ยคะ เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย…คุณถึงเมินเฉยกับไนน์ขนาดนี้
“แค่แพลงค่ะ ยังไม่ถึงขนาดพลิก”
“ดีแล้วล่ะ จะได้ไปทำงานได้ ไม่เป็นภาระของคนอื่น” วรินทร์เอ่ยพลางเหลือบตามองคนหน้าหวานที่นั่งก้มหน้านิ่ง ไหล่เล็กๆ นั่นห่อลง จนร่างที่เล็กอยู่แล้วแลดูบอบบางเข้าไปอีก
“เป็นอะไรไป ไหนบอกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวไม่ใช่เหรอ ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น คุณหมอเขาจะตรวจได้ไหม”
กระแสเสียงไม่พอใจทำให้อันนาต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนพูดอย่างแปลกใจ เธอเคยได้ยินเรื่องอารมณ์แปรปรวนของวรินทร์อยู่เหมือนกัน แต่ก็ประสบพบเจออย่างจริงๆ จังๆ ก็ตอนที่วรินทร์อยู่กับอดีตเลขาเท่านั้น ตอนแรกก็นึกว่าหยิกแกมหยอก แต่พอมาเจออีกรอบ อันนาจึงแน่ใจแล้วว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลระหว่างสองคนนี้
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ แต่อันนาก็เลือกที่จะปัดความคิดนั้นออกไป
“ไม่เป็นไรค่ะ” จู่ๆ นรีกมลก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มสดใส “ตอนนี้ไนน์รู้สึกสบายดีแล้ว คงไม่รบกวนคุณหมอกับคุณรินทร์ไปมากกว่านี้”
“แต่ว่าให้หมอตรวจดูก่อนดีไหม” อันนาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แค่ข้อเท้าแพลง เดี๋ยวไนน์นวดแป๊บเดียวก็หายแล้ว”
“ดื้ออย่างนั้น อย่าไปสนใจเลยค่ะพี่อัน ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ ส่วนเราก็กลับกันได้แล้ว”
อันนากุมขมับพลางถอนหายใจแรง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนเธออยู่กับเด็กไม่รู้จักโตสองคน คนหนึ่งก็ดื้อแพ่งท่าเดียว ส่วนอีกคนก็ตาขวาง พาลนู่นพาลนี่ไปหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพูดคุยปกติ อารมณ์ดียิ้มแย้มกับเธออยู่เลย
“ถ้าอย่างนั้นพบกันครึ่งทางนะคะ หมอจะนวดข้อเท้าให้น้องไนน์ เสร็จแล้วก็กลับกันเลย…ดีไหมน้องรินทร์”
“แล้วแต่พี่อันเถอะค่ะ รินทร์ต้องขอโทษด้วยที่โทรไปรบกวน”
อันนาส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร แล้วลงมือนวดเท้าคนเจ็บที่ยังนั่งยิ้มแหยมองมาที่มือเธออย่างตื่นกลัว
“หมอจะพยายามเบามือที่สุด น้องไนน์อดทนหน่อยแล้วกันนะคะ”
นรีกมลพยักหน้า ก่อนจะเม้มปากแน่นทันทีที่บริเวณข้อเท้าถูกสัมผัส ความเย็นของตัวยาซึมซาบเข้าผิวหนังทำให้บรรเทาอาการไปได้บ้าง หญิงสาวมัวแต่พะวงอยู่กับบาดแผลโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบกายแม้แต่น้อย
เสียงเคลื่อนไหวไม่ดังนักจากเบื้องหลัง ทำให้อันนาอดชำเลืองไปมองด้วยหางตาไม่ได้ มือเรียวสีน้ำผึ้งบรรจงหยิบจาน ก่อนจะเทอาหารที่ซื้อมาใส่ภาชนะอย่างปราณีต
เสียงจิ๊ปากดังพอที่อันนาจะได้ยิน เมื่อวรินทร์ทำอาหารเปรอะขอบจาน นิ้วเรียวหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดอย่างเบามือ ในขณะที่สายตาก็หันมาสบกับคนที่มองอยู่ก่อน
วรินทร์ส่งยิ้มบางไปให้ ทำเอาอันนาถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก จึงยิ้มตอบกลับอย่างกลบเกลื่อน แล้วก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
เพราะจังหวะมือที่ทิ้งช่วงไปของอันนา ทำให้นรีกมลหลุดจากภวังค์เงยหน้าขึ้นมามองคนนวดอย่างแปลกใจ หญิงสาวรู้สึกเจ็บในอกอย่างประหลาด ยามเห็นคนทั้งคู่ยิ้มให้กัน
นรีกมลก้มหน้าลงต่ำ ทำเป็นว่ากำลังสนใจข้อเท้าของตนที่บวมแดงอยู่ ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ใจนึงพยายามบอกตัวเองว่าไม่เห็นจะผิดแผกอะไรเลย ก็แค่คนสองคนยิ้มให้กันตามปกติ แต่อีกใจยังคงยืนยันตามความคิดเดิม
นรีกมลกำมือแน่น หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาประดังเข้ามาในหัว
เธอจำได้ว่า…
หมออันนาเคยบอกว่าแอบชอบคนที่บริษัท
พีชญาบอกว่าคู่แข่งของเธอน่ากลัว
รวมไปถึงการกระทำของทั้งสองที่ทำให้เธอคิดไปในทางนั้น
นรีกมลเม้มปากแน่น หญิงสาวพยายามอดทนจนถึงที่สุด แต่ความคลุมเครือ ข้องใจ และกระหายใคร่รู้กลับผลักดันเธอต้องเอ่ยบางอย่างออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา…
“คุณหมอชอบ…”
“ว่าอะไรนะคะน้องไนน์” อันนาเงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่นัยน์ตาเริ่มแดงกล่ำ เธอได้ยินไม่ถนัดเท่าไหร่ เมื่ออีกคนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
นรีกมลคลายริมฝีปากมาเป็นยิ้มบางแทน “แค่บอกให้คุณหมอหยุดมือได้แล้วค่ะ ไนน์รู้สึกดีขึ้นแล้ว…คุณหมอทานอะไรมาหรือยังคะ”
วรินทร์หรี่ตา เมื่อจับได้ว่าคนร่างเล็กต้องการจะเปลี่ยนเรื่องในท้ายประโยค แต่ก็เลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกไป
“ยังค่ะ แต่น้องรินทร์ซื้อมาให้แล้วล่ะ” อันนาหันไปยิ้มให้คนซื้อ “จะรบกวนน้องไนน์ไหม ถ้าหมอจะทานอาหารเย็นที่นี่”
“ไม่รบกวนค่ะ เป็นไนน์ด้วยซ้ำที่รบกวนคุณหมอ อุตส่าห์มาดูอาการถึงที่นี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ หมอออกเวรพอดี ไม่ได้รบกวนอะไรเลย”
วรินทร์ลอบมองคนหน้าหวานที่นิ่งเงียบจนผิดปกติตลอดมื้ออาหาร พอใกล้จะสบตากันก็หันหน้าหนีเสียเฉยๆ ราวกับไม่กล้าสู้สายตา วรินทร์อยากจะถามตรงๆ ให้หายข้องใจ แต่ก็กลัวหมออันนาจะผิดสังเกต จึงพยายามเอ่ยถามถึงอาการคนเจ็บอย่างเลี่ยงๆ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ตอบสั้นๆ หรือไม่ก็ส่ายหน้าไปมาปฏิเสธอยู่ท่าเดียว จนคนเป็นห่วงถึงกับทนไม่ไหว
“นรีกมล! มานี่กับฉันหน่อย”
วรินทร์ผุดลุกจากเก้าอี้มาฉุดคนร่างเล็กให้ลุกขึ้น ท่ามกลางสายตาตกใจของทั้งหมออันนาและคนถูกสั่งเอง
“ขอโทษนะคะพี่อัน รินทร์มีเรื่องต้องคุยกับนรีกมลเป็นการส่วนตัว”
วรินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะพยายามลากคนหน้าหวานให้ออกจากห้องไปด้วยกัน แต่นรีกมลยังดึงดันไม่ยอมลุกขึ้น น้ำเสียงอ่อนละโหยดังขัดขึ้น
“ปล่อยไนน์นะคะคุณรินทร์”
“นี่คือคำสั่ง! นรีกมล”
“แต่…”
วรินทร์ทำท่าจะฉุดแขนเล็กอีกครั้ง แต่อันนาที่ทนยืนมองมานานก็ขยับไปปลดมือของวรินทร์ออก
“มีอะไรก็คุยกันดีๆ ไม่เห็นหรือไงว่าน้องไนน์เจ็บข้อเท้าอยู่” อันนาเอ่ยเสียงเข้มด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง จนคนลืมตัวเบิกตาค้าง ก่อนจะปล่อยมือ แล้วหันหลังไปเสยผมตัวเองอย่างระงับสติอารมณ์
วรินทร์ถอนหายใจ “ขอโทษค่ะพี่อัน”
“คนที่น้องรินทร์ต้องขอโทษ ไม่ใช่พี่”
วรินทร์กัดริมฝีปาก ก่อนจะหันหลังกลับมามองคนที่ตนเพิ่งระบายอารมณ์ใส่ไปชั่วครู่ ที่นั่งก้มหน้าไม่ยอมเงยมาสบตาเธอ จนคนมองต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
“ขอโทษด้วยนรีกมล ฉันหงุดหงิดไปหน่อย”
ในที่สุดนรีกมลก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ แม้นัยน์ตาหวานจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แต่ริมฝีปากกลับส่งยิ้มบางมาให้ คนร่างเล็กไม่พูดอะไร นอกจากส่ายหน้าประหนึ่งบอกว่าตนไม่เป็นไร
วรินทร์อยากรู้เหลือเกินว่านรีกมลเป็นอะไร เธอไม่เคยเห็นนรีกมลมีอาการอย่างนี้
“พี่อันคะ เรากลับกันดีกว่า รินทร์รู้สึกเหนื่อยใจแปลกๆ”
หากวรินทร์จะสังเกตว่าคำพูดของตนทำให้ใครบางคนเม้มริมฝีปาก แล้วก้มหน้ามองเท้าตัวเองอีกครั้ง นรีกมลพยายามบังคับน้ำตาของตนไม่ให้ไหล แต่ก็ทำไม่ได้…
ตอนนี้เธอทำได้เพียงกัดริมฝีปากไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา และพยายามบอกตัวเองว่าบางทีวรินทร์อาจพูดลอยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าการที่ได้อยู่กับเธอ…มันทำให้เหนื่อยหัวใจขนาดนั้น
บางที…เธออาจจะต้อง
“น้องไนน์คะ” เสียงอ่อนโยนของหมออันนาดังฉุดนรีกมลให้หลุดออกจากความคิด “หมอกับน้องรินทร์กลับก่อนนะคะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
นรีกมลรู้ว่าตัวเองเสียมารยาทที่ไม่เงยหน้าขึ้นมารับฟัง แต่ตอนนี้เธอไม่พร้อมจะเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของวรินทร์ ไม่อย่างนั้น เธอคงได้หลุดสะอื้นออกมาให้ทั้งคู่ได้ยินเป็นแน่
“อย่าลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่เจ็บนะ มีอะไรโทรหาหมอได้ตลอดเวลา หมอกลับก่อนนะคะ”
นรีกมลผงกศีรษะทั้งที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงประตูปิดลง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างวิ่งเข้ามาในหัว พร้อมกับก้อนสะอื้นที่นรีกมลอดกลั้นกดมันไว้ไม่ได้อีกต่อไป
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วรินทร์นั่งเหม่อมองท้องฟ้ายามบ่ายด้วยสายตาเหม่อลอย โทรศัทพ์ในมือถูกคลึงเล่นไปมาด้วยเพราะจิตใจของผู้เป็นเจ้าของที่ไม่สงบ
กลุ่มก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกห่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้แสงแดงส่องเข้ามากระทบดวงตา มือเรียวสีน้ำผึ้งยกขึ้นมาบดบังก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับมาในทิศทางเดิม แต่ก็ต้องตกใจจนเกือบเผลออุทานออกมา เมื่อเจอร่างสูงบางของหมออันนาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“พี่เคาะห้องแล้วนะ แต่ไม่มีเสียงตอบ”
“อ๋อ ค่ะ”
อันนาเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกัน นัยน์ตาเรียวยาวมองดวงหน้าสวยอย่างพิจารณา รอยยิ้มที่มุมปากบางทำเอาคนถูกมองทำสีหน้าไม่ถูก จึงได้แต่แสร้งนั่งนิ่งให้คนเป็นหมอมองอยู่อย่างนั้น
ดวงหน้าสวยคมเรียบนิ่งของวรินทร์ช่างดูงามสง่ายิ่งนักในสายตาของคนมอง มือเรียวซีดจัดอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปจับปอยผมที่เคลียอยู่ข้างแก้มไปเหน็บให้ที่หลังใบหูด้วยกิริยาอ่อนโยน วรินทร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วเรียวลากผ่านสันกรามจนถึงปลายคางของเธอไปอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของขนนก
วรินทร์สบลึกเข้าไปในดวงตาของผู้มาเยือน แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากสีหน้าที่คล้ายจะอมยิ้มอยู่ของอันนา
“พี่อันมี…”
“พี่แค่อยากมาหาน้องรินทร์”
คำตอบที่แทรกกลางประโยคคำถาม ทำเอาวรินทร์อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
อันนามองอาการอ้ำอึ้งของวรินทร์พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นและหุบลงยามเจ้าตัวกำลังตัดสินใจว่าจะพูดออกไปหรือไม่ ทำเอาเธอนึกเอ็นดูจนเผลอหลุดหัวเราะออกมา
ใบหน้าเอ๋อๆ ของวรินทร์ที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทำให้คนเป็นหมอหัวเราะหนักยิ่งกว่าเก่า
“อยากถามอะไรคะ” อันนาถามขึ้นหลังจากหลุดหัวเราะได้แล้ว
“พี่อันหมายความว่ายังไงคะ”
“น้องรินทร์หมายถึงอะไรล่ะ” อันนาเล่นลิ้น ใจจริงอยากฟังอีกคนพูดด้วยตัวเองมากกว่า
“เรื่องที่…” ประกายในดวงตาเรียวยาว ทำให้วรินทร์ไม่กล้าสบตา แต่ริมฝีปากก็ยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี “อยากมาหารินทร์”
“น้องรินทร์ไม่รู้เหรอคะ” อันนาทำสีหน้าตกใจใส่คนถาม ที่ส่ายหน้าตอบอย่างทันท่วงที
“คุณแม่ของพี่บอกว่าช่วงนี้น้องรินทร์ทำงานหนัก พี่เป็นห่วง เลยกะจะมาดูซะหน่อย หรือว่า…น้องรินทร์คิดว่าพี่มาหาเพราะเหตุผลอื่น”
แม้วรินทร์จะตอบว่า ‘เปล่าค่ะ’ แต่ดวงหน้าสีน้ำผึ้งกลับขึ้นสีอย่างปิดไว้ไม่มิด
แม้อันนาจะรู้สึกดีใจที่เห็นปฏิกริยาตอบกลับให้เธอได้คิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็แสร้งทำเพียงยิ้มบางแล้วเอ่ยตามบทที่ตัวเองเกริ่นไปก่อนหน้า นั่นคือถามไถ่เรื่องปัญหาสุขภาพของวรินทร์อย่างปกติเช่นทุกที คนถูกถามก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ติดที่ดูจะพะว้าพะวงกับโทรศัพท์มือถือมากไปหน่อย จนคนเป็นหมอต้องเอ่ยถาม
“มีสายสำคัญจะโทรมา หรือน้องรินทร์จะโทรหาใครหรือเปล่าคะ พี่จะได้กลับ ไม่อยู่รบกวนเวลาทำงานของน้องรินทร์”
“อ๋อ เปล่าค่ะ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” วรินทร์รีบปฏิเสธ
อันนาไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ไม่อยากเสียมารยาทถามไป จึงวกกลับเข้าเรื่องเดิมที่คุยกันค้างไว้
คราวนี้วรินทร์ดูจะมีสมาธิมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น สายตาก็ยังวนเวียนไปมองโทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวอยู่ดี
ร่วมครึ่งชั่วโมง การสนทนาก็สิ้นสุดลง
“พี่ไม่อยู่รบกวนเวลาน้องรินทร์แล้ว อย่าทำงานหนักนักล่ะ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย”
อันนาลุกจากเก้าอี้ สำรวจตัวเองจนเรียบร้อยก็ก้มหน้ามามองวรินทร์ที่นั่งส่งยิ้มบางมาให้
“เดี๋ยวรินทร์ไปส่งค่ะ”
เจ้าของห้องทำท่าจะลุกจากเก้าอี้ แต่โลกทั้งใบก็คล้ายจะมืดลง วรินทร์รู้สึกหน้ามืดจนต้องเกาะพนักเก้าอี้ไว้ เข่าเริ่มอ่อนจนเกือบจะรับน้ำหนักตัวไม่ไหว กำลังจะทรุดไปนั่งบนพื้น แต่ดีที่มีอ้อมแขนอุ่นของอันนามาพยุงตัวเธอไว้ได้ทัน
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดเข้ามา…
อันนาหันไปมองพีชญาและนรีกมล ผู้มาเยือนทั้งสองแสดงสีหน้าแปลกประหลาดจนอันนายังนึกแปลกใจ แต่ทันทีที่ก้มลงมองคนในอ้อมกอด อันนาจึงรู้ทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด
ถ้ามองจากมุมนั้น ใครๆ ก็คงนึกว่าเธอและวรินทร์กำลังโอบกอดกันอยู่
คิดได้ดังนั้น อันนาก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูวรินทร์อย่างแผ่วเบา โดยที่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่มีทางได้ยิน
แม้อันนาเองจะยังไม่แน่ใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง
แต่เธอคิดว่าบางที…มันอาจถึงเวลาที่ต้องทำอะไรซักอย่าง
บางอย่างที่ใจสั่งให้ทำ ตามที่สัญชาตญาณกู่ร้องบอกว่าตอนนี้
…มันถึงเวลาของเธอแล้ว