นี่มันวันศุกร์นะ มันก็ต้องสุขเหมือนชื่อวันซิ ไม่ใช่มีเรื่องยุ่งๆที่มาพร้อมความกลัวอย่างนี้!
กลัวว่ามันจะร้ายแรง..
เรื่องที่เอริกา และ เจนจิรา ไม้เบื่อไม้เมาเกิดมีปากเสียงต่อกันทะเลาะกัน จน เกินกำลังที่ดรุณีจะรับไหว ถึงกับต้องขอกำลังเสริมให้เธอไปเป็นกาวใจโดยด่วน มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ
กลัวว่าอลิซเบซจะเกิดความรู้สึกในด้านลบ..
เจ้านายเธอจะคิดยังไงนะที่เห็นเพื่อนสาวในกลุ่มทะเลาะ เหวี่ยง และ วีนแตกใส่กัน ต่อหน้าคนแปลกหน้าทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก?
กลัวความรู้สึกของคนข้างๆ..
เมื่อคราวที่แล้วที่เจอว่าที่สามีซึ่งไม่ถูกชะตาแม้แต่น้อย หากเธอไม่รีบเบี่ยงประเด็นเห็นทีคงได้เห็นการทะเลาะครั้งยิ่งใหญ่ แล้วการได้เจอสามสาวแปลกหน้าในสถานการณ์ข้างต้นมันจะเป็นอย่างไรนะ จะสร้างความอึดอัดใจให้แก่ทุกฝ่ายยิ่งกว่าที่เคยเจอหรือเปล่า?
ทุกๆเรื่องที่ยังไม่เกิด สร้างความกังวลจนสิตางค์ไม่อยากจะนึกถึง
แต่เอาเข้าจริง สิ่งที่เธอกลัวกลับไม่เกิดขึ้นเลยสักอย่าง
จากที่เคยคิดว่าเพื่อนๆจะทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตาย กลับตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว
สามสาวดูมีความสุข ร้องคาราโอเกะในบ้านของดรุณีเสียงดังลั่นให้ได้ยินตั้งแต่เมื่อรถของเธอขับไปจอด แถมยังพร้อมใจกันส่งยิ้มให้เมื่อเห็นใบหน้าหวานๆของเธอโผล่เข้ามา
ต้มกันซะเปื่อยเลยนะไอ้เพื่อนเวร!
“เนี่ยนะไอ้ณี ที่แกว่าเอรีกะยัยเจนมันทะเลาะกันบ้านแทบแตกจนต้องเรียกฉันมาช่วยเคลียร์”
“โถ่! เพื่อน นี่มันฟรายเดย์ไนท์ ฉันก็มีอารมณ์อยากจะมิ๊ตติ้งกันพร้อมหน้า ถ้าไม่ปดไปแบบนี้แล้วคนบ้างานอย่างแกจะยอมมาไหม?”
ดรุณีมองผู้มาใหม่อย่างตะลึง ไม่ใช่เพราะความสวยของเพื่อนสาวอย่างสิตางค์ แต่เป็นคนที่อยู่ด้านหลังร่างบางซึ่งกำลังส่งยิ้มมา
“อัยย่ะ! สตางค์แกพาใครมาด้วยเนี่ย?”
ดรุณีแถบจะถลาเข้ามาใกล้ด้วยความชื่นบาน เช่นเดียวกับสองสาวที่กำลังตรงดิ่งมาที่เธอ ก็มีอาการไม่ต่างจากดรุณีสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเอริกาที่นอกจากจะแนะนำตัวบอกคุณสมบัติคร่าวๆพร้อมส่งสายตาหวานๆแถมยังเน้นเสียงคำว่า โสด อย่างจงใจ เรียกร้อยยิ้มกว้างของผู้มาใหม่ แถมเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆรอบกลุ่มที่ดังขึ้น
“เอ่อ..เกือบลืม นี่คุณอลิซ เจ้านายฉันเอง”
สิตางค์หันไปแนะนำคนที่มาด้วยให้เพื่อนสาวของเธอได้รู้จัก จากที่คิดไว้ว่าเจ้านายของเธออาจจะแสดงปฏิกริยาด้านลบก็กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เธอยิ้มและยืนมือซ้ายออกไปทักทายก่อนพร้อมแนะนำตัว
บรรยากาศรอบข้างอบอวลไปด้วยความสุข การพูดคุยของพวกเธอช่างครื้นเครง ต่างฝ่ายต่างเล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสาวหล่อแสดงอาการเป็นมิตรตั้งแต่เจอหน้าเพื่อนๆของเธอ แถมยังให้การบริการอย่างดีเยี่ยม ทั้งรินเครื่องดื่ม ตักอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้คนที่อยู่ไกลๆได้ทานอย่างทั่วถึง ร่วมร้องเพลงกับพวกเพื่อนๆเมื่อได้รับไมค์ที่ถูกส่งต่อ จนทั้งสามสาวติดอกติดใจกันเป็นแถว และอลิซเบซยังกลายเป็นจุดสนใจเมื่อถ่ายทอดการใช้ชีวิตด้วยตัวเองในต่างประเทศที่ทำให้ทุกคนทึ่ง เรียกว่างานนี้สาวหล่อได้ใจเพื่อนของเธอไปเต็มๆ ต่างจากวันที่ไปพบคุณภัทรที่บ้านของเขาเมื่อวานก่อนราวฟ้ากับเหว
สิตางค์มองภาพข้างหน้าด้วยความโล่งอก ขณะที่รอดรุณี เจ้าของบ้านที่ขมีขมันเตรียมเสบียงเพิ่มเติมแก่ปาร์ตี้ของกลุ่มที่เริ่มไปได้เพียงสองชั่วโมงเศษ
“ตอนแรกที่ได้ยินแกเล่าฉันคิดว่าเจ้านายแกต้องเป็นผู้หญิงมาดเคร่งขรึม ติสท์แตกหลุดโลกซะอีก ที่ไหนได้โคตรน่ารักเลย เฟรนลี่มากๆ แถมยังหล่อซะด้วยผู้ชายแท้ๆยังอายเลยนะแก”
“แกนี่ก็เว่อร์ไปละ แล้วก็ช่วยเปลี่ยนลักษณะนามใหม่ด้วยนะ หล่อน่ะมันใช้กับผู้ชายเว้ย”
“แกจะให้ชมทอมว่าสวยเหรอ? มันก็ต้องหล่อซิว๊ะถึงจะถูก”
“โน..ว์! เข้าใจซะใหม่นะ ถึงลุคจะใช่ แต่นางก็เป็นผู้หญิงเหมือนเราๆนี่แหละ”
“นี่สตางค์แกบ้าหรือเปล่า..แกลองมองดูดีๆซิ ผู้หญิงบ้าอะไร ดูการแต่งตัวแบบนั้น ท่าทางยังดูกระโดกกระเดกเก้งก้าง ขนาดท่านั่งนางยังแมนเลย แถวบ้านฉันแบบนี้เนี่ยส่วนใหญ่จะมีเมียมากกว่ามีสามี”
“เลอะเทอะ แกอย่า! ตัดสินคนจากภายนอกซิวะ ฉันอยู่กับเขาทุกวัน ไม่เห็นว่าคุณอลิซจะแตกต่างจากเราๆเลย ผู้หญิงบางคนก็เป็นแบบนี้ยังเห็นคบผู้ชายเป็นแฟนเยอะแยะไป”
“แล้วแกเคยเห็นแฟนเขาแล้วเหรอ ถึงกล้ายืนยันขนาดนั้น?”
“ก็..คุณภัทรไง”
“ภัทรไหนวะ..ผู้ชายชื่อภัทรมีแค่คนเดียวในโลกหรือไง?”
“คุณภัทร เจ้าของคาเฟบาเลสต้าที่แกเคยชวนฉันไปชิมเค้กที่ร้านเขาไงล่ะ”
“อ๋อ..ห๊า!?! ชายในฝัน ที่ลงในนิตยสารไฮโซประเทศไทยไปน่ะเหรอ?”
เจ้าของบ้านหน้าเหวอ ส่ายสายตาไปมองสาวห้าวที่นั่งจ้องหน้าจอและกำลังหัวเราะอย่างไม่เชื่อสายตา
อะไรกันเนี่ย? ผู้หญิงแท้ๆอย่างเธอ ยังไม่มีผู้ชายที่ไหนมาเคียงข้างแม้แต่ชายตามาแลยังหายาก แต่สาวทอมบอยเจ้านายของสิตางค์นั่นซิทำไมถึงได้ผู้ชายเพียบพร้อมทั้งฐานะ หน้าตา การศึกษาแถมยังเป็นคนในฝันของสาวๆหลายๆคน ที่คิดอยากจับจองแต่ไม่มีโอกาส
พระเจ้า..โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมซะเลย
“แกอย่าบอกนะว่า..มันเป็นเรื่องจริง”
แม้จะไม่บอกออกมาเป็นคำพูด แต่แววตาของเธอที่จ้องมองเพื่อนสาวแสดงออกได้ว่าชัดเจนว่า สิตางค์คงไม่พูดปดแน่นอน
“เอ..หรือว่าเซ้นต์ของฉันมันเพี้ยนว๊ะ?”
สิตางค์แอบอมยิ้มกับท่าทางของเพื่อน ดรุณีเกาศีรษะแกร๊กพร้อมกับทำหน้างงต่อหน้าเพื่อนสาว แม้สิ่งที่ดรุณีสงสัยจะเป็นเรื่องจริง แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเมื่อสิ่งที่ดรุณีสงสัยจะเป็นแค่เพียงแค่ความคิด เพราะ
ความจริง..สาวหล่อที่ดรุณีสงสัยจะต้องกลายไปเป็นเจ้าสาวของผู้ชายที่ผู้เป็นตาเลือกในเร็วๆนี้
งานเลี้ยงในคืนวันสุขของกลุ่มสวยดำเนินมาได้จนเริ่มเข้าวันใหม่ อาหารตรงหน้ารวมถึงน้ำสีเหลืองอัมพันที่เอริกานำมาก็หมดลง แต่ด้วยอารมณ์ความสนุกที่ยังคั่งค้าง เจนจิราจึงนำเสนอว็อดก้าขวดใสที่เธอเตรียมมาฉลองอย่างต่อเนื่อง
“ขี้เมาจังนะนังเมรี” เอริกาแอบค้อนก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“แกจะไปไหนน่ะ?” เจนจิราถามเพื่อนที่กำลังจะเดินไปในครัว
“ไปหยิบแก้วช็อต”
“โถ่เอ๊ย! แกก็เมรีเหมือนกันหล่ะว้าแล้วทำเป็นมาว่าฉัน อย่าลืม!ฝานมะนาวและเอาเกลือป่นมาด้วย เร็วๆด้วย” เจนจิราหันไปค้อนกลับสาวร่างนุ้ยที่เดินเข้าไปในครัว ก่อนจะหันมาหาอลิซเบซที่นั่งขำกับการประทะคารมของสองสาวที่จบไป
“คุณอลิซอย่าถือสาเลยนะคะ นี่เป็นการสนทนาพื้นฐานมากๆของกลุ่มเรา แล้วเราก็ไม่ใช่กลุ่มขี้เมานะคะ แต่คืนวันศุกร์แบบนี้เลยต้องหาจัดซะหน่อย”
“ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้นะ” สิตางค์รีบออกตัวก่อนที่จะได้รับแก้วใบเล็กที่เอริกากำลังจะส่งให้
“อ้าว! ทำไมล่ะวันศุกร์ทั้งทีและนานๆจะครบกลุ่มน่าจะอยู่ฉลองกันก่อน” เอริกาที่เพิ่งเดินกลับมาส่งเสียงโวยวายพร้อมวางแก้วไว้ที่กลางโต๊ะที่ทุกคนนั่งล้อมวงอยู่
“นั่นซิยังไม่อยากให้กลับกันเลยอยู่ต่ออีกแป๊บนึงเหอะนะ” เจนจิราพยายามรบเร้า
“ก็อยากอยู่ต่อ แต่พรุ่งนี้มีเราต้องทำงานแต่เช้า ไว้โอกาสหน้านะเพื่อนๆ” สิตางค์ยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นและพยักหน้าให้ผู้ที่มาด้วยลุกโดยที่สามสาวที่ตามออกมาส่งหน้าบ้าน
“เฮ้ย! แกเห็นหมีเหมือนฉันไหม?”
“อะไรของแกว๊ะเจน? พูดออกมาได้นะ ทะลึ่งชะมัด” ดรุณีหันมาดุเจนจิราที่ตะโกนขึ้นมาเมื่อเดินมาส่งแขกทั้งสองไปที่รถ
“ฉันไม่ได้ทะลึ่ง นั่นไง..แกไม่เห็นหมีหรือไง อยู่ข้างหลังรถน่ะ”
“อ๋อ ตุ๊กตาหมี คุณอลิซ ปาเป้ามาได้น่ะ” สิตางค์ตอบหันไปมองคนที่เดินไปอยู่ฝั่งประตูคนขับของรถอย่างชื่นชม
“มีเจ้าของหรือยังน้อ?” เจนจิราเอ่ยถามอย่างกำกวม เล่นเอาคนที่ฟังถึงกับเขิน และหันมาหาผู้จัดการส่วนตัวเหมือนจะขอร้องให้ช่วยตอบ
“แกหมายถึงคนหรือตุ๊กตายะ..ถ้าตุ๊กตาน่ะ คุณอลิซเขายกให้ฉันแล้ว” สิตางค์เลือกที่จะตอบคำถามเพียงข้อเดียวและหันไปมองคนตรงข้ามที่ยืนยิ้มอยู่ ซึ่งอลิซเบซเองก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามตัดบท ก่อนที่จะสอดร่างเข้ารถและขับออกไป
“ถ้าคุณเจนอยากได้ คราวหน้ามีโอกาสอีกจะเอามาฝากนะคะ”
เมื่อสองสาวได้ร่ำลาก็รีบกลับเข้าไปในตัวบ้านเพื่อจัดการกับว็อดก้าขวดใส ทิ้งให้เจ้าของบ้านยืนอยู่ลำพังมองรถที่ขับออกไปจากตัวบ้านจนลับตาพร้อมกับข้อข้องใจที่ยังค้างคาอยู่
จากประสบการณ์ที่ต้องคลุกคลีอยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาสิบกว่าปีไม่น่าจะพลาดได้ ทั้งกริยา ท่าทางรวมถึงสายตาแปลกๆที่ผู้เป็นนายเลือกมองลูกน้องอย่างสิตางค์ สื่อให้คนนอกอย่างเธอรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เธอสงสัยมันถูกต้อง
ยกเว้น เรื่องที่สิตางค์จะบอกเธอ มันจะไม่ใช่ เรื่องจริง
ดรุณีเก็บความสงสัยไว้ในใจ เดินตามเพื่อนสาวทั้งสองที่ตะโกนให้เธอรีบเข้าไปในบ้านเพื่อเริ่มการฉลองอีกครั้ง
แต่อีกไม่นานหรอก เรื่องที่เธอสงสัยต้องได้รับการพิสูจน์ให้กระจ่างชัดด้วยตัวเธอเอง
คุณพรพรรณยิ้มแย้มให้กับลูกชายที่เดินเข้ามาในห้องอาหาร แต่งตัวด้วยเชิ๊ตสีขาว กางเกงสแลคสีเทา และเน็คไทสีแดง วางเสื้อสูทสีเดียวกับกางเกงไว้บนเก้าอี้ก่อนจะสอดร่างให้นั่งลงและรับประทานอาหารเช้าร่วมกับผู้เป็นแม่ แม้จะการแต่งตัวของภัทรจะเนี๊ยบเฉกเช่นทุกวัน แต่ความพิเศษมันอาจจะแตกต่างกว่าทุกวัน
เพราะนี่คือการเริ่มต้นสานสัมพันธ์อย่างเป็นกับว่าที่ลูกสะไภ้ตามแผนของลูกชายของเธอยังไงล่ะ
“ยิ้มอะไรครับ?”
“นานๆทีจะได้เห็นแกใส่สูทผูกไทด์กะเขาบ้าง หล่อไม่เบาเลยนะลูกชายฉัน”
“ต้องเข้าร่วมประชุมกับว่าที่ลูกสะไภ้ของแม่นี่ฮะ ก็ต้องสร้างจุดเด่นให้เขาสะดุดตาสักหน่อย” ภัทรยกกาแฟดำในแก้วเซรามิกขึ้นดื่ม ดูดเวลาและขอตัวออกไปยังสถานที่นัดหมาย โดยมีมารดาตามมาส่งที่หน้าประตูบ้าน
“แกแน่ใจนะว่าจะไปเป็นตัวแทนของห้องเสื้อแม่ตามลำพัง?”
“ครับ แค่ผู้หญิงคนเดียวผมจัดการได้ แม่เตรียมตัวไปตามนัดกับพวกคุณหญิงป้าเถอะครับ ขับรถดีๆนะ แล้วเย็นนี้ผมจะนำความคืบหน้ามาบอก”
ภัทรบอกมารดาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขับบีเอ็มดับเบิ้ลยูเอ็กซ์ซิกส์สีดำออกไปจากคฤหาสน์หรู มุ่งตรงไปยังถนนลาดพร้าว สถานที่ที่ใช้ในประชุมของเช้าวันเสาร์กับการถ่ายแฟชั่นให้กับนิตยสารมาดามทูสโซในวันพุธหน้า
สายตาของเขาสอดสายหาที่จอดรถในลานกว้างที่พอจะให้รถคันใหญ่แทรกเข้าไปได้เมื่อมาถึง และคงมีที่เดียวนั่นคือ ข้างต้นหูกวางใกล้ๆกับรถมินิคันสีดำตัดขาว
ชายหนุ่มลงมาจากรถเมื่อถอยไปจอดได้ตามต้องการ มองรถที่จอดขนาบข้างด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน
สายตาที่กำลังพิเคราะห์เหลือบไปเห็นสาวสวยที่กำลังเดินรี่ลงมาจากตึก สิตางค์ตรงมาที่รถข้างหน้า กดรีโมตเพื่อปลดล็อค หยิบเอกสารกองใหญ่ที่อยู่เบาะหลังและรีบกลับขึ้นไปบนอาคารทันที โดยไม่สังเกตเห็นคนที่ซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
ที่แท้ก็เป็นรถของผู้จัดการคนสวยของยัยน้ำแข็งนี่เอง
ชายหนุ่มเผยกายหลังจากที่หญิงสาวลับตาไปแล้ว หันไปมองรถคันข้างๆ พร้อมกับความคิดบางอย่าง
มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กดหาปลายสายและกรอกเสียงลงไปเพื่อสั่งการณ์
“จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ฉันกลับออกมาอีกครั้ง”
ชายหนุ่มจะกดวางและหันกลับมามองรถคันเล็กด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนเดินไปประชุมยังในอาคารตามที่ผู้เป็นแม่ได้นัดหมายไว้ให้แล้ว
ท่าทางสง่างามของชายหนุ่มที่เดินเข้าไปในอาคารเป็นจุดสนใจให้หลายคนหันมอง เขาโปรยยิ้มให้โดยไม่เคอะเขิน และตรงเข้าสู่ห้องประชุมชั้นห้าของอาคารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
สายตาของทุกคู่หันมามองผู้มาใหม่คล้ายเป็นจุดสนใจ ทีมงานในห้องยิ้มและกล่าวต้อนรับ เชื้อเชิญให้เขามานั่งใกล้ๆกับตากล้องสาวที่เลือกจะตีหน้าขรึมใส่ในขณะที่ทุกคนต่างยิ้มแย้มทักทาย
“เอาล่ะค่ะ พี่ขอแนะนำคุณภัทร ตัวแทนจากห้องเสื้อวีว่าที่จะมาถ่ายแฟชั่นกันกับเราในธีมบิวตีฟูล เนเชอรอลค่ะ”
“งานนี้เป็นงานของคุณแม่ครับ แต่บังเอิญช่วงนี้ท่านมีงานเยอะมาก ผมเลยอาสามาทำหน้าที่นี้แทน ยังไงมือใหม่อย่างผมก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกท่านในที่นี้ด้วยนะครับ” ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องก่อนจะหันมาจับจ้องกับคนข้างๆที่ตั้งใจเรียกชื่ออย่างจงใจ
“ยินดีที่ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งนะครับคุณอลิซ”
สาวหล่อหันมองคนข้างๆที่โค้งศีรษะและโปรยยิ้มให้ แต่ยังพยายามข่มความไม่พอใจไว้ในใบหน้าที่เรียบเฉยและนั่งประชุมร่วมกันกับทุกคนแม้จะรู้สึกอึดอัดจนแทบจะประทุออกมาจากอก
ความไม่พอใจที่ซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉยจนไม่มีใครที่รู้สึกผิดสังเกตนอกจากผู้จัดการสาวที่นั่งอยู่ข้างๆกัน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวันทำให้สิตางค์พอจะรับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นนายได้ เธอมองภาพของคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ รู้สึกเห็น และ รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เจ้านายของเธอรู้สึก แต่จะให้แสดงออกอย่างชัดเจนก็คงจะทำไม่ได้ในเมื่อเป็นรู้อยู่เต็มอก ว่านอกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวเธอยังต้องคนที่คอยสนับสนุนให้คนทั้งสองใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน
คนที่อยู่ในสภาพน้ำท่วมปากอย่างเธอคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการใช้ภาษากายเพื่อเป็นการปลอบโยนจึงเป็นสิ่งที่เธอเลือกจะทำ
หญิงสาวค่อยๆเลื่อนมือบางไปแตะเบาๆบนหน้าตักของสาวหล่อที่นั่งหน้านิ่งให้หันกลับมามอง พร้อมความห่วงใยผ่านทางสายตาให้สายตาจนเธอรู้สึกได้ มือของสาวหล่อไม่รอช้าเลื่อนเข้ากุมและกระชับความอบอุ่นจนแน่นเข้า รอยยิ้มบางๆถูกส่งให้คล้ายกับแสดงความขอบคุณคนที่อยู่ข้างๆที่แสดงความเข้าใจในสิ่งที่เธอรู้สึก
และนี่คือ..กำลังใจที่สำคัญให้การประชุมที่แสนอึดอัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
การประชุมสิ้นสุดลง สิตางค์รีบเก็บเอกสารไปพลางและเดินไปรออลิซเบซที่กำลังคุยกับโปรเจ็คเมเนเจอร์ของงานนี้เรื่องสถานที่ที่จะไปถ่ายทำอีกครั้ง ในขณะที่คนอื่นๆทะยอยกันลงลิฟต์โดยสารตัวใหญ่ไปยังชั้นล่างแล้ว
“แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้รถบริษัทไปรับ”
“ค่ะ แค่ไปเซอร์เวย์เอง พวกเราไปกันเองสะดวกกว่า อีกอย่างสตางค์เขาก็รู้จักเส้นทางดีอยู่แล้วด้วย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ส่งจีพีเอสไปทางอีเมลล์ของหนูสตางค์อีกทีแล้วกันนะคะ แล้วพรุ่งนี้พบกันค่ะ” เมื่อสิ้นสุดการสนทนา สาวหล่อก็รีบเดินมาหาสาวร่างบางที่หอบเอกสารไว้ในอก รอเธออยู่ที่หน้าลิฟต์ ท่าทีของสิตางค์เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอแต่ก็ไม่กล้า
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ?”
“คือ..ฉันอยากจะบอกว่า ฉันไม่ทราบมาก่อนนะคะว่าวันนี้คุณภัทรจะมาประชุมด้วย ฉันเพิ่งทราบรายละเอียดตอนที่เขาก้าวเข้ามาพร้อมๆกับคุณ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทำไมเหรอคะ?”
“ฉันกลัวคุณเข้าใจผิด และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก”
“ฉันรู้แล้วค่ะ แต่ไม่เห็นต้องแคร์ฉันมากขนาดนี้เลยนี่คะ” อลิซเบซยิ้มให้คนร่างเล็กที่พยายามหลบตาเมื่อถูกเธอจ้องมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ไม่ได้หรอก ฉันจำเป็นต้องแคร์คุณนี่ ก็เราเป็น..”
“เป็นอะไรเหรอคะ?” อลิซเบซถามซ้ำ จดจ่อกับคำตอบของคนร่างเล็กที่กำลังอ้ำอึ้ง สิตางค์เงยหน้าขึ้นสบตา
เอายังไงดีนะจะเลือกบอกตามความคิด หรือสิ่งที่เธอควรจะตอบในสิ่งที่ควรจะบอกดี? แต่ยังไม่ทันจะได้พูดดังกล่าวออกไป ลิฟต์ตรงหน้าก็ดึงความสนใจของผู้เป็นนายจนไม่สนคำตอบที่เธอกำลังกล่าว
ประตูลิฟต์ตรงหน้าเปิดออกพร้อมกับผู้คนที่กำลังโดยสารลงไปด้านล่างเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งสองดูลังเลที่จะก้าวเข้าไปข้างในร่วมกับผู้คนที่ยืนเบียดกันอย่างแออัด
“ยังพอมีที่เหลือให้คุณค่ะ เข้ามาเถอะ” พนักงานคนหนึ่งตะโกนออกมา อลิซเบซหันก้มลงมองคนตัวเล็กที่เงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะฉวยมือสาวร่างบางอีกรอบให้เข้าไปข้างในพร้อมกัน
เมื่อออกมาจากลิฟต์โดยสาร หญิงสาวกล่าวขอบคุณคนร่างสูงที่ยิ้มแทนคำตอบใดๆ ปล่อยมือที่ยังเกาะกุมให้เป็นอิสระและดึงเอกสารในอ้อมกอดของสิตางค์ไปช่วยถือ
“คุณอยากไปไหนต่อไหมคะ?”
“อืมม์ ฉันอยากไปดูหนังสักเรื่องนึง บิ้วอารมณ์ให้ดีๆก่อนทำงานพรุ่งนี้”
“แล้วคุณอยากดูเรื่องอะไรล่ะคะ มีแพลนหรือยัง?”
“ยังเลยค่ะ เอาไว้ไปดูโปรแกรมที่หน้าโรงหนังก่อนได้ไหมแล้วฉันจะบอกคุณ?”
“งั้นก็ได้ค่ะ แต่ขอทานอะไรก่อนด้วยได้ไหมคะ พลังงานตอนเช้าของฉันเริ่มร่อยหรอแล้วล่ะ”
“ได้ซิคะ” อลิซเบซยิ้ม เดินรี่ไปที่ประตูรถข้างหน้าและเตรียมจะเปิดให้สิตางค์ก้าวไปนั่ง แต่สาวหล่อกลับหยุดชะงักเมื่อมองเห็นความผิดปกติกับล้อหน้าด้านคนนั่งของรถมินิคันเล็ก ในขณะที่ร่างบางกลับรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนที่เธอลงมาเอาเอกสารที่ลืมไว้ รถของเธอยังอยู่ในสภาพปกติอยู่แท้ๆ
“คุณมียางอะไหล่หรือเปล่า?”
“มีค่ะ อยู่ที่ท้ายรถ”
“งั้นช่วยเปิดรถหน่อยได้ไหม? เดี๋ยวฉันเปลี่ยนยางเอง แป๊บเดียวก็เสร็จค่ะ” สิตางค์พยักหน้า เดินอ้อมไปอีกด้านและกลับหยุดนิ่ง มองคนร่างสูงที่กำลังเดินไปรอที่ท้ายรถ
“คุณอลิซคะ ล้อข้างคนขับก็แบนค่ะ”
“คุณมียางอะไหล่กี่เส้นน่ะ?”
“เส้นเดียวค่ะ”
“งั้นเอาอย่างนี้คุณเข้าไปรอที่ข้างในก่อน ตอนขับรถมาฉันเห็นฝั่งตรงข้ามมีร้านยางอยู่ เขาน่าจะช่วยเราได้”
“แต่ฉันไม่อยากให้คุณเดินไปคนเดียวนี่ ทางตั้งไกล ฝนก็จะตกด้วย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไปแป๊บเดียวเดี๋ยวจะรีบกลับมานะคะ” อลิซเบซบอกสิตางค์ ในที่อีกฝ่ายกลับพยักหน้ารับกับสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่งถึงแม้เธอจะไม่อยากให้อลิซเบซเดินออกไปตามลำพังแต่ก็คงไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้
แต่ก่อนที่อลิซเบซกำลังจะหันหลังและเดินออกมา ภัทร ที่เพิ่งเดินออกมาจากอาคารด้านหน้าตรงเข้ามาหายังจุดที่สาวทั้งสองยืนใกล้ๆ ณ จุดที่เขาจอดรถไว้
“อ้าว ยังไม่กลับกันอีกเหรอครับ?” ชายหนุ่มมองสองสาวที่ยืนคุยกันก่อนหน้าอย่างประหลาดใจ
“ยังค่ะ พอดีรถฉันยางแบนทั้งสองข้างเลย เราเลยออกไปไม่ได้”
“แย่เลยนะครับ เอาแบบนี้เดี๋ยวผมโทรบอกอู่ประจำให้เอาไปจัดการให้ดีกว่าเสร็จแล้วผมจะให้เขาเอาไปส่งให้ที่บ้าน ส่วนพวกคุณอยากไปไหน เดี๋ยวผมไปส่งให้”
“เราคงไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ เรื่องง่ายๆแค่นี้เองฉันจัดการเองได้ ขอบคุณมากค่ะ” อลิซเบซปฏิเสธทันควัน และเตรียมตัวจะเดินออกไปจากวงสนทนาที่มีชายที่เธอไม่ชอบขี้หน้ายืนอยู่
“กว่าคุณจะเดินไปเรียกรถ ฝนคงตกพอดี พรุ่งนี้เราก็จะเริ่มงานกันแล้วด้วย ถ้าตากล้องป่วยอีกครั้งงานที่วางไว้ทั้งหมดก็ต้องยกเลิก คุณคงไม่อยากให้คนทั้งกองต้องมาเสียเวลาเพราะคุณเพียงคนเดียวใช่ไหม?” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ใบหน้ายิ้มแย้มแต่ประโยคที่กล่าวมากลับประชดประชันสาวหล่อที่หันหน้ามามอง แต่คงไม่สามารถหยุดการกระทำใดๆ ทิฐิของอลิซเบซทำให้เธอหันหลังกลับและเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำพูดของชายหนุ่ม
“ขอโทษนะคะ ฉันขอลองดูอีกครั้ง” สิตางค์หันมาบอกชายหนุ่มก่อนจะวิ่งตามและคว้าข้อมือของร่างสูงที่กำลังเดินลิ่วไปข้าวหน้าได้ทัน
“ใจเย็นๆนะคะคุณอลิซ ฉันว่าเราลองทำตามที่คุณภัทรบอกก็ดีเหมือนกันนะคะ”
“ลองทำตาม? ทำไมต้องพึ่งผู้ชายคนนั้นด้วย ในเมื่อฉันก็สามารถจัดการปัญหาตรงหน้าด้วยตัวเองได้”
“ ฉันเองก็ไม่ได้อยากได้รับความช่วยเหลือจากเขา แต่ฝนเริ่มจะตกแล้วและฉันก็ห่วงคุณ ไม่อยากให้คุณไม่สบายทั้งๆที่เพิ่งหายดีเมื่อไม่กี่วัน” สิตางค์พยายามอ้อนวอนคนตรงหน้าหวังว่าเธอจะใจอ่อนและมันก็ได้ผล
ให้ตายสิ เธอเกลียดสายตาแบบนี้ของคนร่างเล็กที่พร้อมจะทำให้เธอใจอ่อนทุกครั้งเลยซินะ
“ก็ได้ งั้นคุณก็บอกให้เขาไปส่งที่ห้างใกล้ๆเท่านี้ก็พอ”
“โอเคค่ะ” ร่างบางยิ้มให้เมื่อเจ้านายตอบตกลง เดินกลับพร้อมกัน ตรงไปยังจุดชายหนุ่มที่ยืนรอคำตอบ รวมถึงยอมรับการช่วยเหลือที่ฝ่ายชายเสนอตัวโดยไม่มีเงื่อนไข
ภัทรทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ จนรอจนรถลากมารับรถของสิตางค์ไปยังอู่ซ่อมรถจนเรียบร้อยแล้วจึงขับรถมาส่งสาวทั้งสองยังห้ามสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้ๆ สิตางค์เอ่ยคำขอบคุณและตามผู้เป็นนายที่เดินนำหน้าไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามองหรือแม้แต่จะเอ่ยคำขอบคุณด้วยซ้ำ
ภัทรนั่งอยู่ในรถ มองผู้หญิงสองคนที่หันมาพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มที่เพิ่งจะลงจากรถไปด้วยกัน
มันเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนทอมบอยตรงหน้า ให้กลายเป็นเจ้าสาวในเวลาไม่ถึงสามเดือน ท่าทาง ของอลิซเบซในวันนี้ ยิ่งทำให้เขาไม่แน่ใจนักว่าจะเปลี่ยนใจสาวหล่อให้มารักผู้ชายอย่างเขาได้เลยสักนิด
แม้จะพยายามวิธีที่แสนละมุนละม่อมหรือใช้ไม้แข็งกับสาวห้าว ท่าทีประชดประชันและคำพูดส่อเสียด ยิ่งทำให้เห็นภาพการต่อต้านที่ชัดเจนของเธอมากยิ่งขึ้น
มันเป็นธรรมดา การอยู่เพียงลำพังในต่างแดนคงหล่อหลอมให้เด็กสาวเคยถูกมองว่าอ่อนแอและหวาดกลัวต่อทุกอย่าง สร้างเปลือกภายนอกให้ดูแข็งกร้าว และเย็นชา ไม่แคร์สิ่งใดๆ อลิซเบซเลือกที่จะพึ่งพาแต่ตัวเอง โดยที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครหน้าไหนทั้งนั้น จนใครๆที่ได้สัมผัสตัวตน ของเธอต่างเรียกเธอว่า เจ้าหญิงน้ำแข็ง กันทั้งสิ้น
แต่น่าแปลกที่เธอกลับมีท่าทีโอนอ่อนและผ่อนตาม ให้แก่ สิตางค์ บุคคลที่สร้างความอัศจรรย์ให้เขาอย่างประหลาด แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำ และ แววตาที่เธอมองว่าที่ภรรยาของเขาเพียงไม่กี่วินาทีกลับทำให้คนที่แข็งกระด้างอ่อนโยนได้ในพริบตา
จากตอนแรกที่มองไม่เห็นช่องทางการเอาชนะสาวหล่อแต่เมื่อได้สังเกตความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มาสักระยะ
ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีชัย..ในที่สุดก็มีแสงปลายอุโมงค์ส่องลงมาให้เห็นทางออก
หากไม่สามารถเปลี่ยนใจอลิซเบซได้ด้วยตัวเอง
เห็นทีงานนี้คงหลีกเลี่ยงที่จะดึงสาวน้อยตาโตข้างกาย มาเป็นหมากตัวสำคัญที่จะทำให้ข้อแลกเปลี่ยนกับการแต่งงานของเขาและเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว