Chapter 4 : แลกเปลี่ยน“ปล่อยฉันสิ.. ไอ่พวกบ้า.!! ปล่อยฉัน.!!”
เสียงห้าวที่ตะโกนร้องอย่างไม่พอใจดังออกมาจากห้อง-ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ ณ ปลายทางเดิน ยังผลให้หญิงสาวที่อยู่ในระหว่างการเดินทางมายังห้อง-ห้องนั้น ต้องหยุดชะงักการเคลื่อนไหว ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลที่กลมโต โชว์ให้เห็นถึงความรู้สึกผิดและเสียใจในแววตา แต่เพียงไม่นาน มือเรียวสวยของหนึ่งของตนก็ถูกยกขึ้นเพื่อขยับแว่นบนใบหน้าสวยหวานให้กระชับมากขึ้น หรือแค่เพื่อจะบรรเทาอาการไม่สู้ดีที่เกิดขึ้นภายในใจ เสียงถอนหายใจเบาๆดังออกมา พร้อมการก้าวขาเดินต่อไปยังทางข้างหน้าอีกครั้ง
“สวัสดีครับ..ด๊อกเตอร์..”
เสียงซึ่งเอ่ยทักเธอ ขณะที่มายืนอยู่ด้านหน้าของห้องซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ทำให้เจ้าของร่างบางที่สวยสง่าเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ พลางพยักหน้าน้อยๆให้เจ้าของเสียง ตอบรับการเอ่ยทักของเขา ซึ่งยกมือข้างหนึ่งขึ้นจรดศีรษะในท่าทำความเคารพแบบทหาร
“สวัสดี..คาร์ลอส เป็นยังไงบ้างคะ..” เสียงอันนุ่มนวลและหวานอยู่ในที เอ่ยคำถามออกมา กับหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของตน คนเดียวกันกับที่เป็นตัวแทนของสองคนที่เอ่ยคำทักทาย ใช่..ฝ่ายนั้นเข้าใจในคำตอบที่เธอต้องการ
“เธอแข็งแรงดีครับ..ด็อกเตอร์ ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิด..”
คำตอบสร้างรอยยิ้มขึ้นอีกครั้งบนริมฝีปากสวยของหญิงสาว ก่อนโต้ตอบบทสนทนา “นั่นเป็นคำอธิบายอย่างดีเลยว่า..ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงของเธอ ดังก้องไปทั่วทางเดิน..”
ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าซึ่งทำหน้าที่เฝ้าอารักขาด้านหน้าของประตูห้อง หันมองหน้ากันอย่างประหม่า คล้ายกับว่าประโยคที่เธอพูด ทำให้พวกเขารู้สึกสำนึกผิดกับอะไรบางอย่าง ใช่..ที่ปล่อยให้เชลยส่งเสียงดังออกไปรบกวนผู้อื่นเช่นนี้
“เอ่อ..คือ.. ด๊อกเตอร์ครับ.. พวกเรา----” นายทหารหนุ่มคนเดิม เจ้าของชื่อ “คาร์ลอส” พยายามที่จะเอ่ยชี้แจง เพื่อแสดงความรับผิดชอบ แต่คำของเขาก็ไม่อาจจบลง เพราะมือหนึ่งของหญิงสาวตรงหน้า ยกขึ้นปราม และพยักหน้าให้ คล้ายเป็นอะไรที่รู้กัน หน้าที่ต่อมานั้น คือการเปิดประตูให้เจ้าของร่างบาง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งเป็นคำพูดจา
นาทีต่อมา ด๊อกเตอร์สาวก็พบตัวเองอยู่ภายในห้องสีขาว หญิงสาวถอนหายใจยาวเมื่อสายตาจากดวงตาสีเขียวน้ำทะเลที่มองผ่านเลนส์ใสของแว่น แสกนมาถึงร่างของใครคนหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องมองเธอกลับมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ยอมรับเลยว่า หูของตัวเองได้ยินเสียงของหัวใจซึ่งเปลี่ยนจังหวะการเต้นเป็นถี่ขึ้น แม้คนผู้นั้นที่จ้องมองกันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ จะไม่สามารถที่จะเดินผ่านกระจกใสซึ่งมีความหนากว่าสามนิ้ว ออกมาทำอะไรเธอได้ก็ตาม
“ปล่อยฉันออกไปนะ..ยัยบ้า.!” เสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านในตะโกนดังขึ้น ทำลายความเงียบของห้องในทันใด ร่างของผู้มาใหม่สะดุ้งเล็กน้อยด้วยอาการตกใจ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ในไม่ถึงนาที มิเชลขยับตัวเข้ามาลดระยะห่างของตัวเองกับคนอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของกระจกหนาบานใหญ่ซึ่งจะว่าไปก็คือที่คุมขังดีๆนี่เอง
“คุยกันดีๆก่อนได้มั้ยคะ..คุณเอเวอร์..” ด็อกเตอร์สาวเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพตามอย่างที่เคยเป็น แต่ก็ได้เห็นเพียงคิ้วเรียวสีแดงของหญิงสาวเบื้องหน้าขมวดเข้าหากัน มือทั้งสองข้างของหล่อนที่แนบอยู่กับกระจกบานหนาที่เพื่อใช้ทุบตีมันหลายต่อหลายครั้งเมื่อครู่ ถูกดึงกลับไป อยู่ในท่ากอดอก เด็กสาวที่มีเพียงชุดเสื้อคลุมสีขาวครอบคลุมอยู่บนเรือนร่างมองเธอกลับมาอย่างดูแคลน
“ฉันไม่ต้องการคุยกับเธอ” เอเวอร์ตอบกลับมาทันควัน แต่เธอก็ยังไม่หมดเรื่องที่จะพูด จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเป็นเสียงที่ดังกว่าเดิม “พวกลูกสมุนของบริษัทอุบาทว์..เนบิวล่า!” เธอไม่สนใจว่าคนที่อยู่อีกด้านของกระจกจะปวดหูกับเสียงของตัวเองหรือไม่ ทั้งๆที่รู้ว่าห้องนี้มีช่องให้เสียงสามารถออกไปได้อยู่ตรงด้านบนของบานประตู
ถ้อยคำเสียดสีประชัดประชัน ถึงว่ามันจะมากระทบกระเทือนจิตใจ แต่ก็ไม่อาจแสดงมันออกมาทางสีหน้าของตัวเอง เจ้าของดวงตาสีเขียวน้ำทะเลผู้มีความสวยสง่าและมารยาทงดงาม จึงต้องพยายามทำตัวของเธอให้ดูดีที่สุดกับเหตุการณ์เช่นนี้ ด๊อกเตอร์สาวเผยยิ้มน้อยๆตอบรับการพูดจาจากผู้อยู่ตรงหน้าอย่างใจเย็น แม้จะเห็นว่าเป็นเรื่องยากมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ด้วยอีกฝ่าย แสดงทีท่าขัดแย้งอย่างชัดเจนออกมาเช่นนี้ ยิ่งเป็นเหตุผลที่ต้องรีบจัดการสถานการณ์ให้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรวดเร็ว
“คุณเอเวอร์คะ ฉันขอแนะนำว่า.. คุณควรจะใจเย็นกว่านี้นะคะ”
ดวงตาสีนิลของผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเชลยยิ่งเพิ่มความลุกวาวด้วยโทสะที่พุ่งพล่านขึ้นมาในนาทีที่ได้ยินเสียงอันนุ่มหูเอ่ยพูดออกมาแบบนี้ แต่ในที่สุด ความดื้อรั้นก็แพ้พ่ายให้กับเหตุผลซึ่งระลึกได้ภายในใจ ใช่..ฉันจะต้องหลุดออกจากที่นี่ให้ได้ และทำงานให้สำเร็จ เพื่อพวกเราทุกคน.. แต่ไม่ทันที่จะหายจากอารมณ์ของความขุ่นเคือง เรื่องใหม่ก็เข้ามา พาให้เกิดความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นในหัวใจ
“นั่นล่ะค่ะ ดีแล้วนะคะ.. ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับคุณแล้วนะคะ”
“มีอะไร.. ว่ามา..” เอเวอร์เอ่ยถามอย่างไม่หยุดคิด ดวงตาสีนิลของตนมองตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น จนเหลือระยะห่างจากระหว่างร่างของเธอและหญิงสาว แค่เพียงกระจกกั้น และเมื่อฝ่ายนั้นเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง เธอก็แทบอยากจะมีพลังมากพอที่จะทำลายกระจกบานใหญ่และออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง
“แลกกับอิสระของคุณ.. ช่วยบอกเหตุผลที่คุณกับพวก เข้ามาร่วมชิงตัวคนสำคัญของเรา ให้ฉันฟังหน่อย..ได้มั้ยคะ..”
--The Red Project—
ดวงตาสีเขียวมรกตเปิดขึ้นช้าๆ ยังรู้สึกถึงความหนักของเปลือกตาตัวเอง ความพร่าเบลอจากการมองเห็นทำให้เธอต้องกระพริบตาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อปรับความคมชัดของสายตา ...อา..นี่ฉันตายรึยังนะ... เธอถามตัวเอง
และเมื่อประสิทธิภาพของการมองเห็นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง สายตาจากดวงตาคู่สวยซึ่งยังคงไม่อาจเปิดได้เต็มที่ก็หนีจากแสงไฟสว่างจ้าบนเพดานสีขาวเหมือนกับสีของห้อง เพื่อมองไปรอบๆ และพบว่า..มันคุ้นตา กับบรรยากาศ แม้กระทั่งเครื่องมือมากมายภายในห้องนี้
ริมฝีปากอิ่มเอิบเผยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อสายตาเธอมองผ่านสิ่งต่างๆมาเจอกับร่างที่อยู่ไม่ห่างไกลจากตัวเอง เธอรู้เห็นแล้วว่าเป็นใครที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของมือที่เกาะกุมมือเธอไว้ไม่ห่าง ผู้ที่ซบใบหน้าสวยๆอยู่ตรงขอบเตียงของเธอ คนที่เธอเฝ้าคิดถึงตลอดเวลา แม้ในความฝัน..
ฉันรักคุณนะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้ได้ ทั้งที่ใครๆเรียกฉันเป็นหุ่นยนต์.. หรือฉันเป็นหุ่นยนต์ที่มีหัวใจ..
“ผู้การ..” เสียงหวานๆเอ่ยขึ้นแค่เพียงเบาๆ ราวกับไม่ต้องการจะปลุกคนหลับให้ตื่นขึ้น แต่ก็อดไม่ได้เลยกับความรู้สึกซึ่งอยากจะสัมผัสแก้มขาวราวหิมะที่แลดูนุ่มเนียนนั่น เรือนร่างสวยงามที่เกือบจะปราศจากอาภรณ์มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวปกปิดไว้ให้คลายความหนาวจากเครื่องปรับอากาศก็ค่อยๆขยับขึ้นจากที่นอน ให้มือเรียวข้างหนึ่งของเธอซึ่งเหลือว่างอยู่จากการถูกจับไว้ด้วยมือที่ใหญ่กว่า ได้มาวางทาบเบาๆบนศีรษะของคนที่ยังอยู่ในท่าฟุบกับเตียง สการ์เลตเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถสัมผัสกับความอุ่นของแก้มขาวอันนุ่มมือจนได้
ผู้ถูกสัมผัสขยับร่างเล็กน้อย เป็นปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ารับรู้ว่าถูกเธอจับ สการ์เลตจึงรีบชักกลับในทันใด แต่มันก็ยังคงยกลอยค้างอยู่ในอากาศเพียงรอคอยว่าผู้ที่อยู่ในสายตาจะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป และแล้วเธอก็ยิ้มได้อย่างเต็มที่ เมื่อได้สบสายตากับดวงตาสีฟ้าครามที่กำลังพยายามเปิดขึ้นแม้จะดูอ้อนล้าสักเพียงใด ผู้หญิงตรงหน้าเธอลุกขึ้นมานั่งหลังตรง แต่ยังต้องใช้มือข้างหนึ่งของเขายันไว้กับเตียง เพื่อช่วยในการทรงตัว เพราะยังต้องการเวลาปรับสภาพร่างกายที่เพิ่งผ่านพ้นจากช่วงการเผลอหลับระหว่างการเฝ้าไข้
“สการ์เลต..?”
เสียงจากเขายังคงน่าฟังเช่นเคย ไม่เปลี่ยนไปเลย แม้มันจะออกมาเพียงแผ่วเบา ด้วยเนื้อเสียงอันนุ่มนวลของเขา กับรอยยิ้มจากริมฝีปากสวยที่เชื้อเชิญ โปรเจ็คพิเศษจึงพาตัวเองลุกขึ้นนั่ง ถึงจะยังรู้สึกถึงความอ่อนล้าทางร่างกาย แต่มันก็เพียงเล็กน้อย ความแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา เป็นผลพลอยได้ที่ดีกับเธอ ใบหน้าสวยหวานพยักหน้าตนน้อยๆให้อีกฝ่าย คล้ายเป็นสัญญาณที่รู้กัน ร่างที่นั่งอยู่กับเก้าอี้นั้นจึงขยับลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงด้วยกันแทน
“เป็นยังไงบ้าง..” เสียงอันนุ่มนวลเอ่ยถาม แววตาจากดวงตาสีฟ้าครามแฝงไว้ด้วยความห่วงใย เหมือนน้ำเสียงของตัวเอง แต่มือทั้งสองข้างที่เกร็งเล็กน้อยเพราะความรู้สึกบางอย่างในหัวใจกลับขยับเคลื่อนไหว เพื่อหยิบผ้าเพียงผืนเดียวที่หลุดหล่นมาอยู่บนตักของคนตรงหน้าขึ้นมา และคลุมร่างที่เล็กกว่าเอาไว้ แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เชยชมความงดงามอันนั้น ของหญิงสาวที่มีผิวพรรณขาวอมชมพูและสรีระอันน่าดูชม
“สบายดีแล้วค่ะ..” เสียงหวานๆกระซิบกลับมา ระหว่างใบหน้าหวานตรงปลายคางมาอยู่บนบ่าข้างหนึ่งของคนตรงหน้า สการ์เลตถือโอกาสกอดร่างของหญิงสาวไว้ ขณะที่สองแขนยาวของหล่อนแทรกมาข้างลำตัวทั้งสองข้างของเธอ เพราะความพยายามที่จะนำผ้าห่มมาห่อหุ้มตัวให้ คงหวังให้เธอคลายจากความหนาวของแอร์คอนดิชั่นเนอร์ ทั้งที่มันไม่ได้จำเป็นเลยสำหรับมนุษย์พิเศษอย่างเธอ ที่เขาเองก็น่าจะรู้
ร่างที่ใหญ่กว่าขยับเล็กน้อยคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายปล่อยตัว แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้และหยุดขัดขืน ยอมที่จะอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน สการ์เลตปิดเปลือกตาลงอย่างผ่อนคลาย เพราะได้สองมือของคนที่กอดตอบกลับมาลูบเบาๆที่แผ่นหลังอันเปลือยเปล่าให้ เวลานี้เองที่เธอได้โอกาสปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสายท่อที่ต่อมาจากเครื่องมือต่างๆตรงท่อนแขนข้างหนึ่งไปด้วยเพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เมื่อฟื้นแล้วแบบนี้
“คิดถึงจังนะคะ” มนุษย์ทดลองแต่มีหัวใจส่งเสียงกระซิบเอ่ยออกมา พาให้เธอได้รับการกระชับวงกอดให้แน่นมากยิ่งขึ้น และรู้สึกถึงมือหนึ่งซึ่งลูบเบาๆที่ศีรษะให้ คล้ายจะบอกว่าเข้าใจและรู้สึกไม่ต่างกัน
เจ้าของร่างเล็กกว่าผ่อนลมหายใจยาวๆออกมาอย่างมีความสุขและขยับตัวของเธอเล็กน้อย ใบหน้าหวานถูกดึงกลับมา หวังสบตากับดวงตาสีฟ้าคราม มองจ้องมันลึกๆราวกับต้องการอะไรจากมันและเจ้าของมันด้วย และแล้วมนุษย์ทดลองคนสวยก็ได้ในสิ่งที่หวังโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยบอกเป็นคำพูดจา ริมฝีปากสวยจากคนตรงหน้าขยับเข้ามามอบสัมผัสให้กับริมฝีปากของเธอ จูบแม้จะแผ่วเบาแต่กลับรุกเร้าให้เธอต้องการมันมากขึ้น อยากรู้สึกถึงมันให้มากกว่านี้
คู่กรณีของเธอมีอาการการขัดขืนในนาทีแรกที่ถูกสัมผัสหนักๆจากเธอ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นการตอบสนองกลับมา กลายเป็นว่าตอนนี้พวกเธอสองคนแลกความรู้สึกในหัวใจของกันและกันผ่านสัมผัสที่ริมฝีปากและการกอดรัดอย่างรักใคร่ สองร่างคล้ายไม่ต้องการจะห่างออกจากกัน จุมพิตเนิ่นนานจนเหมือนไม่ต้องการอากาศหายใจ หากร่างกายไม่ขอร้องพวกเธอ ให้ละออกจากกันเพื่อเติมเต็มมันลงในปอดอีกครั้ง
“กลับ.. กลับไปนอนพักเถอะนะ เพิ่งจะหาย.. ร่างกายของเธอยังต้องการการพักฟื้น..” ผู้การสาวตัดใจเอ่ยคำฝืนความรู้สึก ถึงจะรู้สึกว่าพูดได้ไม่เต็มเสียงก็ยังพยายาม เธอพยายามควบคุมจังหวะการหายใจใหม่ แต่ไม่สำเร็จกับการจัดการการเต้นของหัวใจตน ที่มันเหมือนจะหลุดออกมานอกอกให้ได้ มันตื่นเต้นเหลือเกิน กับแค่จูบเท่านั้น..
ดวงตาสีฟ้าครามไม่กล้าจะมองตรงๆไปยังดวงตาคู่สวยของผู้หญิงตรงหน้า เพราะเกรงว่าจะต้องแพ้พ่ายกับสายตาอ้อนวอนจากฝ่ายนั้น ร่างสูงพยายามลุกขึ้นจากเตียง หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะต้องทำลายหรือทำร้ายโปรเจ็คสำคัญด้วยมือตัวเอง โดยไม่ได้ตั้งใจ หากแต่บลูอายส์ก็ต้องหันกลับมาให้ความสนใจกับคนที่รั้งเธอไว้ด้วยการจับที่ข้อมือ และก่อนจะได้พูดอะไรออกมาแย้งได้อีก ก็พบว่าเธอถูกจับลงมานอนลงกับเตียงคนไข้ได้ง่ายๆ โดยมีร่างกายซึ่งปราศจากอาภรณ์ของเจ้าหล่อนอยู่เบื้องบน
โอ้..เทพธิดาของฉัน สวยอะไรขนาดนี้.. ถึงในใจจะกู่ร้องออกไปแบบนี้แล้ว แต่ก็พยายามจะหนีตัวเองต่อไป
“สการ์เลต.. จะทำอะไร” เธอถามละล่ำละลั่กออกมา หวาดกลัวแววตาของผู้หญิงตรงหน้าเหลือใจ สการ์เลตมีเรี่ยวแรงกลับมาแล้วแบบนี้ เธอก็ดีใจ หากแต่ในใจก็กลัวใจหล่อนเหมือนกัน
แต่คงไม่ต้องกลัวแล้วล่ะมั้ง.. รู้นี่ว่า..หล่อนต้องการอะไร..
“ขอรางวัลปลอบใจให้ฉันหน่อยนะคะ..ผู้การ”
ถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่ยอมให้ก็คงไม่ได้ บลูอายส์จึงพยักหน้าให้แต่โดยดี และออกคำสั่งออกมากับอุปกรณ์ในห้องนี้ที่รอฟังแค่คำสั่งจากเสียงของเธอเอง
“ปิดกล้องวงจรปิดในห้องนี้ทุกตัวและล็อกประตูให้แน่นหนาด้วย” จากนั้นก็หันกลับมาสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหน้าต่อ ตอบรับคำขอของหล่อนอย่างเต็มใจ หากแต่ยังไม่วายส่งเสียงกระซิบออกมาให้หล่อนยิ้มหวาน
“อย่าเล่นกับฉันแรงนะ ฉันอ่อนแอกว่าเธอนะ..สการ์เลต”
“รับรองเลยค่ะ..ผู้การ”
เป็นอีกครั้งที่เธอปล่อยตัวเองไปกับความผ่อนคลายแบบนี้ แม้รู้ดีว่ามันไม่ถูกต้องนัก เธอไม่ควรจะทำอะไรที่ดูไร้สาระแบบนี้ แต่ก็นะ หัวใจมันห้ามไม่ได้เลยสักที และตอนนี้ถ้าจะขอได้รับความอบอุ่นจากใครสักคนที่กอดกันแบบนี้ มันจะมากไปหรือไง..
--The Red Project—
“เธอควรจะเปลี่ยนชุดดีกว่านะ..”
ร่างสูงในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีขาวที่กำลังยืนกอดอกอยู่ให้ห้องตามลำพังอย่างไม่รู้จะทำอะไร หันมองหาเจ้าของเสียงนี้ที่ดังขึ้นหลังจากการเกิดของเสียงเปิดประตู ดวงตาสีฟ้าอมเขียวซึ่งกำลังมองดูสิ่งต่างๆภายในห้องอย่างพิจารณา ก็ต้องมาหาร่างของผู้มาใหม่นั่น จากนั้นก็มองผ่านใบหน้าคมเข้มนั่นไป มาหยุดอยู่ตรงสิ่งของในมือของเขา
“ขอบใจนะ” เสียงนุ่มๆพึมพำเบาๆตอบกลับคนตรงหน้า วาเลนไทน์รู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะรับของจากคนแปลกหน้า เพราะยังรู้สึกไม่ไว้วางใจหล่อนเท่าไหร่ แต่ในที่สุดก็ยอมรับมันมา มันคงจะดีกว่าหรือไม่ใช่ ถ้าได้ใส่อะไรแทนเสื้อโค้ทตัวนี้ที่เหมือนไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรเท่าไหร่เลย
“พอจะจำได้มั้ยว่า..เธอเป็นใคร..” ผู้หญิงคนเดิมในชุดกึ่งทหารคอมมานโดเอ่ยถามขึ้นมา ราเวนพยายามหันสายตัวเองออกจากคนตรงหน้าไปสนใจกับอย่างอื่นภายในห้องแทน เพื่อลดอาการแปลกประหลาดที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นในใจ เพราะการมีใครสักคนมายืนใส่เสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีให้เห็นกันบ่อยๆนี่ แถมผู้หญิงคนนี้ก็ช่างน่ามองเสียจริง ทั้งที่เป็นผู้หญิงเหมือนๆกัน เรือนร่างของหล่อนงดงามหมดจด เหมือนผลงานชิ้นเอกของเทพเจ้าสักองค์ประทานให้มา ผิวหรือก็ขาวผ่องเป็นยองใย สรีระก็สะโอดสะอง ความสูงของหล่อนไม่ได้ทำร้ายความสวยแบบนี้ไปเลยสักนิด นี่หรือ ผลงานชิ้นเยี่ยมของเคอร์เนียร์ หล่อนทำได้ยังไงนะ
“ไม่สักนิด..”
คนกำลังเพ้อกระพริบตาจนได้เมื่อได้ยินคำตอบของคำถามที่ตัวเองลืมไป ราเวนหันกลับมามองหน้าเจ้าของเสียงที่โชคดีว่า อยู่ในชุดเสื้อผ้าเต็มตัวแล้ว ไม่ทำให้หัวใจปั่นป่วนได้อีกต่อไป
แต่อะไรนะ.. หล่อนว่า...จำอะไรไม่ได้เลยหรือ.. แย่ล่ะสิเนี่ย..
และเพราะมัวแต่คิดอะไรไปคนเดียว จึงได้ยินเสียงจากแขกดังขึ้นอีกครั้งให้ต้องกระพริบตา
“เฮ้..เป็นอะไรไป.. ทำไมเงียบไปล่ะ..”
เจ้าของดวงตาและสติที่หลุดลอย ถูกดึงกลับมาสู่ปัจจุบันด้วยเสียงอันน่าฟังของคนตรงหน้าที่มายืนใกล้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และด้วยความสูงของตัวเองกับคนที่ยืนกอดอกประจันหน้ากัน มันเห็นได้ชัดถึงความแตกต่าง ใบหน้าคมเข้มจึงต้องเงยขึ้นเล็กน้อย เพื่อความคมชัดของสายตาในการมองหน้ากัน
“เปล่า.. ไม่ได้เป็นอะไร กำลังคิดว่า เธอน่าจะได้ทานอะไรสักหน่อยน่ะ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ยังไม่ได้มีอะไรลงท้องเลยไม่ใช่รึ..” หูของราเวนได้ยินเสียงของตัวเองเอ่ยคำตอบที่คิดว่าดีที่สุดแล้วออกไป อย่างน้อยก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคนซึ่งกำลังมองด้วยสายตาแปลกๆ คล้ายกับเริ่มไม่ไว้วางใจ แต่ใบหน้าสวยของหญิงสาวเบื้องหน้าก็พยักหน้าน้อยๆกลับมา เธอจึงค่อยๆละออกจากความใกล้ที่เกือบทำให้หัวใจวายแบบนี้เพื่อที่จะออกไปยังทางออกของห้อง
“เฮ้..เดี๋ยวก่อนสิ..”
ราเวนหยุดชะงักระหว่างทาง เพราะเสียงรั้งเรียกไว้จากด้านหลัง ทำให้เธอต้องหันไปมอง เลิกคิ้วน้อยๆกลับไปให้คนที่มองหน้ากันอยู่ตรงนั้นคล้ายจะตั้งคำถามกลับไป แปลกในที่ใบหน้าขาวๆนั่นมีสีแดงระเรื่อที่สองแก้มระหว่างที่เอ่ยพูด
“ยังไม่รู้ชื่อเธอเลยนะ.. อุตส่าห์ให้ฉันมาอยู่ด้วยที่นี่...”
จากนั้นราเวนก็พบว่า เธอได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำนักกลับไปให้ผู้หญิงคนนี้ คือยิ้มให้หล่อนอย่างจริงใจระหว่างที่ตอบคำถามให้ ก่อนจะพาตัวเองหายไปหลังบานประตู
“ราเวน สแนปเปอร์.. เธอเรียกฉันว่า ‘ราเวน’ เฉยๆก็พอ”
...โอ้.. เธอไม่น่าเกิดมาแบบนี้เลยนะ..บรอนซ์ น่าเสียดายจริงๆ....
End Chapter 4.
ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเม้นท์ ก็ยังอยากมา