web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 129
Total: 129

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 17  (อ่าน 1916 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 17
« เมื่อ: 27 มกราคม 2014 เวลา 17:47:01 »
ตอนที่ 17

   “หมอจะไปเองจริง ๆ เหรอ ให้ผมไปรับก็ได้” เทิดทูนรับแฟ้มเอกสารมาถือไว้ รั้ง ๆ รอ ๆ ยังไม่ออกไปจากห้อง ในขณะที่รัญรัมภาลุกขึ้นถอดเสื้อกาวน์ไปแขวนไว้ที่ไม้แขวนด้านหนังโต๊ะทำงาน

   “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวสุภาจะว่าหมอไม่รักษาสัญญา” รัญรัมภาเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานดึงกระเป๋าถือออกมาเปิดดูของข้างในแล้วสะพายบ่า บ่งบอกว่าพร้อมที่จะเดินทางแล้ว

   “หมอรออยู่ที่นี่ก็ได้ กว่าจะไปจะกลับ เหนื่อยนะหมอ ยังไงยายก็ต้องมาพักที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันอย่างที่หมอว่าอยู่ดี วันที่กลับบ้านหมอค่อยพาไปส่งก็ได้” เทิดทูนยังคงพยายามแสดงน้ำใจและความห่วงใยในฐานะเป็นคู่หูที่รู้ดีว่ารัญรัมภาต้องทำงานหนักเพียงใด ยิ่งใกล้วันไปประชุมก็ยิ่งเรียกหาข้อมูลมาศึกษาอย่างละเอียดทุกวัน

   “ไม่เป็นไรหรอก หมอไม่ได้ขับรถเองนี่ แล้วหมอทางนู้นก็บอกว่ายายแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาถ้าจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านเลย หมอก็เลยว่าให้ยายกลับไปหาสุภาเลยดีกว่า ป่านนี้คงคิดถึงหลานแย่แล้ว” รัญรัมภาพูดเรื่อย ๆ พลางพลิก ๆ ดูเอกสารบนโต๊ะแล้วสั่งงานเทิดทูนต่อ

   “พรุ่งนี้ช่วยทวงข้อมูลจาก รพ.สต. ตามที่หมอเขียนไว้ในแฟ้มนั้นด้วยนะ ช้าสุดขอไม่เกินวันศุกร์นี้”

   รัญรัมภาพูดพร้อมกับเดินตรงไปที่ประตู เทิดทูนต้องรีบสาวเท้าก้าวเดินออกมาให้ทันพอดีกับที่ป้ามลเดินผ่านมา

   “ป้ามลคะ คนไข้ผ่าคลอดเมื่อเช้าเป็นอย่างไงบ้างคะ” รัญรัมภารีบถามก่อนที่ป้ามลจะรายงานด้วยซ้ำ

   “เรียบร้อยดีค่ะ” ป้ามลตอบสั้น ๆ ถ้าป้ามลตอบแบบนี้ก็หมายความว่าไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ

   “หมอไปก่อนนะคะ” รัญรัมภาพูดแล้วก็เดินไป ป้ามลที่ว่าปากไวก็ยังไม่ทันพูดอะไรด้วย เธอเดินฉับ ๆ ตรงไปยังด้านหน้าโรงพยาบาล ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่รถของโรงพยาบาลจอดรออยู่

   “เรื่องสุภาเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ” เทิดทูนเลิกเดินตามแต่หยุดคุยกับป้ามลแทน

   “ของอย่างนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ป้าเชื่อใจครูจรัส” ป้ามลพูดว่าเชื่อใจแต่ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนลงจนเทิดทูนจับได้

   “ผมก็ชักหวั่นใจ ไม่มั่นใจในตัวจรัสเท่าไหร่ ผมเป็นเพื่อนมารู้ว่าจรัสมีจุดอ่อนอะไร แล้วก็รู้ด้วยว่าหมอบางทีก็แค่อยากเอาชนะ”

   ป้ามลถอนหายใจก่อนที่จะสารภาพออกมา

   “ทีแรกป้าเองก็มั่นใจครูจรัส ไม่อยากให้หมอรัญไปยุ่งเพราะยังไงก็คงมีแต่ผิดหวัง แต่วันที่เกิดเรื่องสุภา ป้ากลับห่วงครูจรัสมากกว่า ถ้าหมอแค่อยากจะเอาชนะอย่างที่เทิดว่า”

   สองคนต่างเพศ ต่างวัย ต่างประสบการณ์ แต่มีความกังวลใจเรื่องเดียวกันและต่างก็ห่วงใยคนสองคนด้วยความรู้สึกเดียวกัน ได้แต่มองตามคนที่รีบเดินไว ๆ จนเกือบจะกลายเป็นวิ่งตรงดิ่งไปยังประตูหน้าโรงพยาบาลที่มีรถตู้ของโรงพยาบาลจอดรออยู่พร้อมกับคนขับรถและจรัสตะวัน

   “แล้วเราจะต้องสงสารใครดี” เทิดทูนพูดด้วยความอ่อนใจ

   ป้ามลที่ปกติจะคิดไวพูดไวก็พูดไม่ออกเหมือนกัน มองหน้ากันแล้วต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง

   แม้จะเหนื่อยจากการทำงาน ทั้งผ่าตัดตั้งแต่เช้า ทั้งตรวจคนไข้ แล้วยังต้องมาอ่านเอกสารเตรียมข้อมูลการประชุม มีเวลาพักแค่ตอนทานอาหารกลางวันไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้เห็นหน้าจรัสตะวัน ความรู้สึกเหนื่อยทั้งหมดนั้นก็มลายไป ความจริงเธอหายเหนื่อยตั้งแต่ที่เทิดทูนไปบอกว่าจรัสตะวันโทรศัพท์มาบอกว่าสามารถไปรับยายของสุภาได้ตั้งแต่ตอนบ่ายสองโมงเพราะแลกวิชาคาบสุดท้ายได้

   บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกอ่อนล้ากับภาระงานที่มากขึ้นทุกวัน แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าธรรมดา ๆ  ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มให้มีสีสันเจริญตาอย่างที่เคยชอบ แต่รัญรัมภากลับอยากที่เห็นใบหน้านั้นเสมอ บางครั้งก็เผลอยิ้มยามคิดถึงรอยยิ้มด้วยความดีใจเมื่อเธอรับปากว่าจะช่วยสุภา รอยยิ้มที่ไม่เพียงแต่ทำให้ใบหน้านั้นสว่างไสวแต่ทำให้โลกทั้งใบของเธอสดใสไปด้วย

   เมื่อก่อนเธอไม่ชอบให้คนที่เธอสนใจให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่า แต่กับจรัสตะวันเธอยินดีและต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้ใบหน้านั้นได้มีรอยยิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ไม่ใช่ให้กับเธอ

   “อาจารย์ของหมอตอบเมลกลับมาแล้วนะว่าจะหาคิวให้สุภาให้เร็วที่สุด ท่านกำลังติดต่อขอความอนุเคราะห์จากมูลนิธิต่าง ๆ ให้ด้วย เผื่อจะได้ผ่าตัดเร็วกว่ารอคิวจากงบประมาณของรัฐ”

   รัญรัมภารีบแจ้งความคืบหน้าเมื่อขึ้นมานั่งและทักทายกันถามไถ่ว่ามานานหรือยัง ทานอะไรก่อนไหมแค่พอเป็นพิธี สิ่งที่รัญรัมภาอยากเห็นก็ปรากฏบนใบหน้าของจรัสตะวันทันที รอยยิ้มแบบนี้ที่ทำให้ใครได้เห็นก็มีความสุข เป็นรอยยิ้มจากหัวใจที่มีแต่ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

   สิ่งที่ทำให้รัญรัมภาอดทนเรียนหนักและทำงานหนักก็คือความสุขที่ได้รับหลังจากที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ซึ่งทั้งเธอและจรัสตะวันคงมีความรู้สึกนี้ร่วมกัน แล้วก็หวนคิดถึงวันแรกที่ได้เห็นจรัสตะวันพาเด็กตกต้นไม้มาโรงพยาบาล ตอนนั้นเธอคิดได้ไงว่าเป็นแม่ หรือความเมตตาอาทรที่แสดงออกมันมากเกินกว่าที่คนธรรมดาจะมีให้คนอื่นได้

   “เร็วที่สุดนี้ประมาณเมื่อไหร่คะ คุณหมอ คุณหมอคะ คุณหมอ”

   รัญรัมภาสะดุ้งจากภวังค์ความคิดที่ล่องลอยไปไกลเมื่อได้ยินเสียงเรียกซ้ำ ๆ ต้องเรียกความคิดของตัวเองให้มาอยู่กับปัจจุบัน เธอเคยถูกบังคับให้นั่งสมาธิในตอนที่เริ่มเรียนแพทย์เฉพาะทางใหม่ ๆ เพราะมัวไปคิดถึงบทเรียนที่ผ่านมา แม้ว่าจะคิดเรื่องเรียนแต่อาจารย์ก็สอนว่าชีวิตคนไข้ตรงหน้าสำคัญที่สุด ดังนั้นคนเป็นหมอจะต้องมีสติตลอดเวลา

   “ครูถามอะไรนะ” รัญรัมภาตั้งสติได้แล้ว

   “ฉันถามว่าถ้าเร็วที่สุดคือน่าจะประมาณเมื่อไหร่ แล้วถ้าต้องรอคิดงบรัฐจะนานแค่ไหนคะ” จรัสตะวันทวนคำถามทั้งหมดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับรัญรัมภาเป็นนักเรียนแล้วไม่ตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอพูด

   “ถ้าได้ความช่วยเหลือมูลนิธิก็คงสักสองสามเดือน แต่ถ้าของรัฐอาจจะต้องรอหลังตุลาคมไปเลย อาจารย์หมอบอกว่างบรายหัวมีปัญหาอยู่ ท่านจะพยายามให้สุภาได้เข้ามูลนิธิจะดีกว่า” รัญรัมภาพูดไปตามที่ได้ข้อมูลมา ภาษาที่ใช้อาจจะเป็นคำที่รู้กันในวงการทำงานของเธอ แต่จรัสตะวันก็อยู่แวดวงข้าราชการพอจะเข้าใจความจำเป็นเรื่องงบประมาณ โดยเฉพาะสำหรับการช่วยเหลือคนยากคนจน

   “แต่อย่างไงสุภาก็ต้องได้รักษาใช่ไหมคะ” จรัสตะวันถามคำถามซ้ำ ๆ เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำเพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากกว่า รัญรัมภาไม่ชอบการถามย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ แต่สีหน้าที่กลับมามีความกังวลใจอีกครั้งทำให้เธอต้องตอบคำถามเดิมด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นกว่าทุกครั้ง

   “ได้สิคะ ถ้าอาจารย์หมอรับปากแบบนี้ ยังไงก็ได้ผ่าตัดแน่นอนค่ะ อาจารย์ท่านกว้างขวาง รู้จักมูลนิธิองค์กรการกุศลก็เยอะแยะ ครูไม่ต้องห่วงนะ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนและปลอบประโลมในตอนท้าย ทำให้จรัสตะวันต้องเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

    น้ำเสียงของรัญรัมภาที่ว่าอ่อนโยนนั้นยังน้อยกว่าแววตาที่มองมา มิน่าครูพัดชาถึงอยากกลับมาหา น้ำเสียงแบบนี้ แววตาอย่างนี้ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหวั่นไหว แต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เธอกับหมอแค่มีบางสิ่งที่ต้องทำร่วมกัน เธอไม่ใช่ครูพัดชา

   “บางทีแพทอาจจะได้กลับมาเริ่มต้นใหม่กับรัญอีกครั้ง แล้วแพทจะไม่ทำให้รัญเสียใจอีกเลย ขอบใจจรัสมากนะ”

   ต้นไม้ข้างทางแกว่งกิ่งก้านใบตามแรงลมพัด จรัสตะวันกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่ให้น้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อขึ้นมาให้ไหลกลับไปข้างใน เธออยากให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสุขไม่ใช่หรือเพื่อชดเชยกับทั้งชีวิตที่มีแต่เป็นภาระ สร้างปัญหา ทำให้คนรอบข้างที่อยู่ใกล้ต้องเป็นห่วงเป็นใย

   แม้กระทั่งทุกวันนี้เธอก็ยังทำให้น้องสาวต้องเป็นห่วง ทำไมเธอไม่ใช่คนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขบ้าง อย่างน้อยวันนี้ก็ขอให้เป็นสักวันที่เธอมีส่วนในการสร้างความสุขให้คนอื่น

   “ครูนอนหลับไปก็ได้นะกว่าจะถึงอีกนาน” รัญรัมภาพลางปรับพนักพิงให้ราบลงและเอนตัวลงนอน

   จรัสตะวันไม่ได้ปรับที่นั่งอย่างรัญรัมภา แต่เธอเลือกที่จะหลับตาและเอียงหน้าพิงขอบกระจกหน้าต่างรถแทน ตาหลับเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา . . . ทำไมถึงจะร้องไห้เมื่อคิดว่าป่านนี้พัดชาคงเตรียมการสำหรับวันเกิดของรัญรัมภาอย่างมีความสุข และคิดว่ารัญรัมภาคงมีความสุขมากเพียงใดที่จะได้ของรักกลับคืนมา

   “ครูจะแวะปั๊มเข้าห้องน้ำก็บอกผมเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” คนขับรถบอกเมื่อมองกระจกมองหลังเห็นว่า

รัญรัมภาหลับไปแล้ว แต่จรัสตะวันกลับลืมตาขึ้นมามองข้างทาง

   “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็มองข้างทางต่อ

   คนขับรถเอื้อมมือไปเปิดเพลงเบา ๆ เพื่อทำลายความเงียบในรถ รัญรัมขยับตัวลืมตานิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงเพลงแล้วก็หลับต่อ คนขับรถตั้งใจขับรถมากขึ้นเพราะเริ่มเข้าเขตที่มีรถพลุกพล่าน มีเพียงจรัสตะวันเท่านั้นที่ยังมองสองข้างทางโดยไม่อาจข่มตาให้หลับได้

   จะหลับได้อย่างไรในเมื่อทั้งความรู้สึกและหัวใจเต็มไปด้วยความสับสนที่ต้องพยายามบอกตัวเองว่าเธอควรจะยินดีกับความสุขของผู้อื่น โดยเฉพาะความสุขของคนดี ๆ อย่างรัญรัมภา และคนที่บอกว่าเธอคือเพื่อนอย่างครูพัดชา


โรงพยาบาลศูนย์พึ่งสร้างได้เพียงสิบปี มีความทันสมัยเทียบเท่าโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในกรุงเทพและมีระบบการจัดการราวกับโรงพยาบาลเอกชน ตรงข้ามโรงพยาบาลเป็นศูนย์การค้าขนาดย่อมที่กำลังมีการก่อสร้างเพื่อขยายพื้นที่ พัดชาคงมารออยู่ที่นั่น รัญรัมภาเป็นคนไปติดต่อจัดการเรื่องรับยายของสุภาด้วยตนเองโดยที่จรัสตะวันมีหน้าที่เพียงเดินตาม และมีเวลาช่วงที่รัญรัมภาเข้าไปคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ที่เธอได้โทรศัพท์ไปบอกพัดชาว่ามาถึงแล้ว

   รัญรัมภากลับออกมาพร้อมเอกสารการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกที่ต้องนำไปให้สุภาอ่าน แล้วก็พาเธอไปยังห้องพักผู้ป่วยรวมที่มีคนไข้เต็มทุกเตียง ยายของสุภานั่งอยู่บนเตียงหนึ่งในชุดที่เตรียมพร้อมกับบ้าน และเป็นชุดเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมผิดกับชุดตอนขามา ตาข้างหนึ่งถูกครอบไว้ด้วยที่ครอบสีขาว ตาอีกข้างที่ยังไม่ได้ผ่าตัดพยายามจะเพ่งมองจรัสตะวันและรัญรัมภาที่เดินตรงไปที่เตียง

   “คุณยายไม่ต้องเพ่งนะ หมอกับครูจรัสจ้ะ” รัญรัมภารีบบอกเมื่อเห็นยายพยายามจะใช้สายตาข้างที่เหลืออยู่มองเพื่อความแน่ใจว่าใช่คนที่ยายรอมาทั้งวันหรือเปล่า

   “ครูก็มาด้วย ยายดีใจจริง ๆ คุณหมอขอให้เจริญ ๆ นะคะ ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้คุณหมออยู่เย็นเป็นสุข ความเจ็บความไข้อย่าได้มีนะ” ยายของสุภาพูดกับเธอแล้วก็อวยพรให้รัญรัมภาต่อ

   “ขอบคุณค่ะคุณยาย” รัญรัมภายกมือไหว้รับพรนั้น

   วันนี้วันเกิดของรัญรัมภาแล้วยายของสุภารู้ได้อย่างไร จรัสตะวันมองไปยังเตียงผู้ป่วยที่เรียงราย จึงสังเกตว่าทุกเตียงมีห่อเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่ยายของสุภาสวมใส่วางอยู่ รวมทั้งนมกล่องยี่ห้อเดียวกันอีกคนละชุด ผู้ป่วยในห้องพักรวมนี้ส่วนใหญ่เป็นคนยากไร้ที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลรอบนอกเช่นเดียวกับยายของสุภา

   “วันนี้วันเกิดหมอ ครูจะไม่อวยพรให้บ้างเลยเหรอ” รัญรัมภาหันมาทวงคำอวยพรโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว

   “ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะคะ” จรัสตะวันนึกได้แค่คำอวยพรง่าย ๆ ที่ใช้ได้อวยพรได้ทุกสถานการณ์ เธอรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของรัญรัมภาแต่มัวแต่คิดตามพัดชา พึ่งคิดไดว่าควรจะแสดงมารยาทในการอวยพรวันเกิดให้ดีกว่านี้

   รัญรัมภาหัวเราะเบา ๆ กับความจริงจังและจริงใจของจรัสตะวัน

   “หมอล้อเล่น กลับกันเถอะ คุณยายไม่ต้องนอนโรงพยาบาลแล้วนะ กลับบ้านได้เลย” รัญรัมภาพูดอย่างอารมณ์ดีพลางประคองยายลงจากเตียงมานั่งบนรถเข็นและเข็นนำออกมาร่ำลาหมอและพยาบาล จรัสตะวันยังคงเป็นแค่คนที่เดินตาม เรื่องเกี่ยวกับโรงพยาบาลก็คงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของหมออย่างที่รัญรัมภาบอก ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตนเอง

   ระหว่างที่ลิฟต์เลื่อนลงมา จรัสตะวันอดที่จะใจสั่นไม่ได้เมื่อนึกถึงทุกคำพูดของพัดชาและใกล้เวลาที่พัดชาจะได้พบกับรัญรัมภาเข้ามาทุกที มีผู้โดยสารเข้าลิฟต์มาอีกสี่ห้าคนที่ชั้นถัดมา จรัสตะวันต้องขยับไปยืนชิดกับรัญรัมภาที่ทำหน้าที่เข็นรถเข็นให้ยาย

   “แพทไม่มีโอกาสได้คุยกับรัญเสียที วันนี้แพทอยากให้เป็นวันที่ดีที่สุดของเรา แพทดีใจจริง ๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับจรัส”

   ทำไมทุกอย่างในโลกของคนอื่นช่างมีแต่ความสดใส ทำไมโลกของเธอถึงมีแต่ความห่อเหี่ยว ทำไมคนอื่นจะทำอะไรช่างดูง่ายดาย เขาใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ คิดอยากจะทำอะไรก็ทำได้ แต่ทำไมเธอถึงหวาดกลัว ต้องระมัดระวังตัวทุกอย่าง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับพัดชาที่มีหน้าที่การงานอย่างเดียวกัน ทำไมชีวิตช่างแตกต่างกันแบบนี้

   “คุณยายหิวไหมจ๊ะ” รัญรัมภาก้มลงไปถามยาย เธอพูดจาอ่อนหวานกับคนไข้เสมอหากเป็นคนไข้ที่นิสัยดี ไม่ดื้อรั้นและเชื่อฟังหมอ

   “อิ่มตั้งแต่กลางวันแล้วค่ะ ป่านนี้สุภาคงคอยยายแล้ว” เสียงของยายแหบพร่าแต่ทว่าก็มีความสุข

   วันเกิดปีนี้เป็นปีที่รัญรัมภามีความสุขที่สุด เธอได้ทำบุญวันเกิดโดยการซื้อเสื้อผ้ามาให้แก่คนป่วยยากไร้ เป็นความตั้งใจนับตั้งแต่วันที่ไปเยี่ยมสุภาที่บ้านแล้วได้เห็นเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ยายสวมใส่ อย่างน้อยวันที่เขาได้กลับบ้านก็คงมีความสุขที่ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนที่ยายของสุภาใส่อยู่นี้ และวันนี้ก็ยังมีคนที่ทำให้เธอมีกำลังใจในการทำงานหนักมาอยู่ข้าง ๆ

   ความสุขของคนเราก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่การได้เป็นเจ้าของหรือได้ครอบครอง แต่อยู่ที่การได้เป็นผู้ให้ และไม่จำเป็นต้องได้สิ่งตอบแทนเป็นวัตถุใด ๆ แต่จะได้การตอบแทนทางความรู้สึก

   ประตูลิฟต์เปิดออก คนข้างนอกถอยให้คนข้างในออกมาก่อน รัญรัมภาค่อยเลื่อนรถเข็นออกมาอย่างระมัดระวังจรัสตะวันเดินตามออกมา พัดชาบอกว่าจะคอยอยู่ที่ร้านกาแฟด้านหน้าโรงพยาบาลแต่รถของโรงพยาบาลนั้นจอดอยู่อีกด้าน   “คุณหมอคะ ไปที่ร้านกาแฟทางนั้นก่อนสิคะ ฉันอยากซื้อขนมอร่อย ๆ ไปฝากแสงกับสุภา” จรัสตะวันรวบรวมความกล้าพูดออกมาตามที่พัดชาบอกแผนการไว้

   “ได้สิ ดีเหมือนกันจะได้ซื้อกาแฟให้คนขับแล้วก็ซื้อขนมไว้กินเผื่อหิวระหว่างทางด้วย” รัญรัมภาเลี้ยวรถเข็นไปทางร้านกาแฟโดยไม่ลังเล

   “เอารถเข็นเข้าไปคงไม่สะดวก คุณหมอเข้าไปซื้อก่อนเถอะค่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนยายเอง” กลายเป็นจรัสตะวันที่ลังเลเมื่อมาถึงหน้าร้าน

   “เข้าไปซื้อด้วยกันเถอะครู ยายอยู่คนเดียวได้ มองเข้าไปก็เห็นกันอยู่” ยายของสุภาพูดตามความซื่อ ร้านกาแฟไม่ได้กว้างขวางนัก ตู้ขนมก็มองเห็นตั้งแต่อยู่หน้าร้าน

   รัญรัมภาเข็นรถเข็นเข้าไปชิดกระจกเพื่อไม่ให้เกะกะหน้าร้าน

   “ไปกัน” เมื่อดูว่ารถเข็นจอดดีแล้ว รัญรัมภาก็พยักหน้าชวนเธอเข้าไป

   ที่นั่งในร้านว่างอยู่หลายโต๊ะ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มาซื้อแล้วก็ออกไป ร้านกาแฟในโรงพยาบาลก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมีกะจิตกะใจการนั่งพักจิบกาแฟนัก นอกจากมีนัดจริง ๆ

   “แพทก็ไม่อยากเจอรัญในโรงพยาบาลหรอก จริง ๆ แพทไม่ชอบโรงพยาบาลเลย เหม็นกลิ่นยา มีแต่คนเจ็บคนป่วย ไม่เจริญหูเจริญตาสักนิด แต่ทำไงได้ รัญเป็นหมอ แพทก็ต้องเจอเขาที่นี่แหละ ดีนะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ทันสมัยหน่อย ไม่งั้นแพทคงทำใจไม่ได้ที่จะไปเซอไพร้ส์วันเกิดรัญที่โรงพยาบาลอำเภอ”

   จรัสตะวันเดินตามเข้าไปช้า ๆ ในขณะที่รัญรัมภาถึงตู้ขนมแล้ว

   “รัญ” พัดชาที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านในเดินออกมาทันทีที่รัญรัมภาถึงตู้ขนม เธอยังสวยสะพรั่งน่ามองเหมือนเดิม

   “แพทมาได้ไง” รัญรัมภาไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นอย่างที่คาดหวัง มีเพียงแปลกใจที่เจอพัดชาในโรงพยาบาลมากกว่า

   “แพทมารอแฮปปี้เบิร์ดเดย์รัญไง ไปนั่งคุยกับแพทข้างในก่อนนะ” พัดชาดึงมือรัญรัมภาเข้าไปโต๊ะด้านใน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อยืนอยู่ที่ตู้ขนม

   เป็นอันว่าหมดหน้าที่ของเธอแล้ว จรัสตะวันเดินไปเลือกขนมฝากแสงตะวันและสุภา รวมทั้งเลือกชนิดที่อ่อน ๆ ทานง่ายเผื่อยาย ลูกค้าที่รอกาแฟอยู่รับกาแฟแล้วเดินออกไป เธอจึงไปสั่งเพื่อให้คนขับรถและเครื่องดื่มร้อน ๆ ให้ยายโดยไม่มีของตัวเองสักอย่าง อยู่ ๆ ก็เหมือนมีก้อนอะไรขึ้นมาจุกตื้อ ๆ อยู่ที่ลำคอ จะกลืนน้ำลายก็ยังลำบาก

   ช่วงเวลาที่รอเครื่องดื่มที่สั่งและคิดเงินนั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ความรู้สึกของเธอตอนนี้ช่างยาวนานกว่าจะได้ของตามที่สั่ง คนที่อยู่ด้านหลังจะคุยอะไรกันบ้างเธอไม่มีสิทธิ์รับรู้เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ได้ของ ชำระเงินแล้วก็เดินออกมา

   “ไปรอที่รถดีกว่านะคะยาย เผอิญคุณหมอเจอเพื่อนเก่า” เธอขยับถุงใส่ขนมและเครื่องดื่มให้กระชับก่อนที่จะเข็นรถพายายไปทางที่รถโรงพยาบาลจอดรออยู่

   สายลมยามเย็นพัดความร้อนให้หายไป คนขับรถมาช่วยประคองยายไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนก่อนที่จะอาสาเอารถเข็นมาคืนให้เจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้า จรัสตะวันส่งเครื่องดื่มร้อนให้ยายพร้อมทั้งจะแกะขนมให้แต่ยายขอแค่เครื่องดื่มอย่างเดียว คนขับรถกลับมานั่งดื่มกาแฟเย็นเป็นเพื่อนยาย จรัสตะวันเดินไปดูต้นไม้ที่ปลูกประดับไว้ฆ่าเวลา

   การทำให้คนอื่นมีความสุข ทำไมมันจึงเป็นทุกข์แบบนี้ สิ่งที่เธอทำไปอาจจะทำเพื่ออยากได้สิ่งตอบแทนเป็นความชื่นชมจากคนรอบข้างว่าเธอเป็นคนดีเท่านั้นเอง การทำความดีก็คงเป็นความดีแค่เปลือกนอก หาใช่จากหัวใจ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้สึกตื้อ ๆ อึ้ง ๆ ในความรู้สึกแบบนี้

รัญรัมภาเดินตามมาหลังจากที่ยายดื่มเครื่องดื่มหมดไม่นาน คนขับรถถือแก้วกาแฟเย็นไปวางหน้ารถแล้วก็มาเปิดประตูรถช่วยประคองยายเข้าไปนั่งด้านใน จรัสตะวันเก็บแก้วของยายไปทิ้งขยะ ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าพร้อมกับเสียงเพลงชาติดังขึ้นมา รัญรัมภาหยุดยืนก่อนจะถึงรถไม่กี่ก้าว เช่นเดียวกับจรัสจะวันที่ยืนนิ่งเช่นกัน เธอใช้ช่วงเวลาของเสียงเพลงชาติในการรวบรวมกำลังใจเพื่อกลับไปขึ้นรถ

   “ครูนั่งคู่กับยายก็ได้ เดี๋ยวหมอนั่งข้างหลังเอง” รัญรัมภาพูดแล้วก็ก้าวขึ้นไปนั่งข้างหลัง จรัสตะวันจึงต้องนั่งด้านหน้าคู่กับยาย คนขับเลื่อนประตูปิดให้แล้วไปประจำที่

   รถตู้ของโรงพยาบาลค่อย ๆ เคลื่อนตัว คนขับต้องขับอย่างระมัดระวังกว่าตอนมาเพราะมียายที่พึ่งผ่าตัดดวงตากลับด้วย เธอปรับพนังพิงให้ยายนั่งสบายขึ้นและรัญรัมภาก็ปรับพนักพิงนอนเหมือนตอนมา สายตาอีกข้างที่แม้จะฝ้าฟางแต่ยายก็ยังมองข้างทางอย่างตื่นเต้นเพราะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นสิ่งแวดล้อมที่แปลกตาแบบนี้ ทั้งรถมีเพียงเสียงเครื่องยนต์เท่านั้นที่ดังเข้ามา เหลือเพียงจรัสตะวันที่นั่งอยู่โดดเดี่ยวและไม่รู้จะทำอะไร

   ไม่มีความผิดปกติใดจากรัญรัมภา ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ แสงสว่างของกลางวันเริ่มเลือนหายไปให้ความมืดของกลางคืนมาปกคลุม ระยะทางเท่ากัน แต่คนขับรถคงขับช้าลง มันจึงรู้สึกว่ายาวนานเหลือเกินกับการเดินทางครั้งนี้

    “สุภา ยายมาแล้ว”

   แสงตะวันลงมารอหน้าบ้านตั้งแต่เห็นแสงไฟรถสาดเข้ามาจากหลังบ้าน พอรถเลี้ยวมาจอดหน้าบ้านก็รีบตะโกนโหวกเหวกบอกสุภา

   “ยาย” สุภารีบวิ่งถลันลงบันไดมา

   จรัสตะวันลงจากรถและรอรับยาย รัญรัมภายังคงรอให้ยายลงก่อน

   “เดี๋ยวก็ได้ตกบันไดแข้งขาหักหรอกนังสุภา” ยายดุหลานด้วยถ้อยคำที่อาจฟังดูไม่สุภาพแต่ความรู้สึกนั้นบ่งบอกว่าทั้งรักทั้งห่วงใยมากเพียงใด

   สุภาไม่สนใจที่ยายดุแต่วิ่งเข้ามากอดยายไว้แน่นด้วยความดีใจ รัญรัมภาลงจากรถตามมาพร้อมกระเป๋าสัมภาระของยายที่คนขับรถเอาวางไว้ที่เบาะหลัง และยังไม่ลืมหยิบขนมที่จรัสตะวันลืมวางไว้ติดมือมาด้วย

   “เฮ้ย หน้าเอ็ง” ยายดันตัวหลายสาวออกมาเพ่งมองหน้าเมื่อกอดกันจนอิ่มใจแล้ว

   “ขึ้นบ้านกันก่อนเถอะค่ะ ข้างล่างยุงเยอะแล้ว” แสงตะวันฉวยกระเป๋าและถุงขนมจากมือของรัญรัมภาและเดินนำขึ้นบ้านไปราวกับว่าเป็นเจ้าของบ้าน สุภาประคองยายโดยมีจรัสตะวันเดินตาม รัญรัมภารั้งท้าย คนขับรถขอเดินไปทักทายเพื่อนบ้านที่บ้านหลังใหญ่

   บรรยากาศเหมือนอบอวลไปด้วยความสุข แต่จรัสตะวันเพิ่งรู้สึกว่ารัญรัมภาเงียบผิดปกติ

   “อ้าว วิน มาอยู่นี่ด้วยเหรอ” นั่นเป็นประโยคแรกที่รัญรัมภาพูดนับตั้งแต่รถออกจากโรงพยาบาลศูนย์

   “มาต่อโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเอาคอมพิวเตอร์มาไว้ให้สุภาเล่นที่บ้าน กำลังลงโปรแกรมให้ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ”

   ชีวินพูดโดยไม่ได้หันมาเพราะว่ากำลังลงโปรแกรมบางอย่างอยู่ สุภาพายายมานั่งลงกลางบ้าน รัญรัมภาเดินตามมา แสงตะวันนั่งลงอีกข้างหนึ่ง จรัสตะวันที่ทำท่าจะนั่งลงกลับเปลี่ยนใจ อยู่ ๆ เธอก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับรัญรัมภาขึ้นมาจึงเปลี่ยนใจเดินไปดูชีวินที่กำลังง่วนกับคอมพิวเตอร์

   “อะไรกัน ไม่กี่วันสุภาก็ติดเกมแล้วเหรอ รู้อย่างงี้ไม่น่าให้เล่นเลย แสงก็ไม่น่าสอนกันเลย” จรัสตะวันอดจะบ่นไม่ได้เมื่อเห็นว่ามีแผ่นโปรแกรมเกมวางอยู่หลายแผ่น

   “โธ่ พี่จรัส ถามก่อนค่อยบ่นได้ไหม แสงเอาคอมพิวเตอร์มาให้สุภาหัดพิมพ์งาน แล้วก็หัดใช้โปรแกรมทำงาน หมอวินเขาอุตส่าห์เอาเครื่องไปอัปให้ใหม่ ส่วนเล่นเกมก็ต้องมีบ้างสิ”

   แสงตะวันรีบเถียงแทนสุภาที่หน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดของจรัสตะวัน

   “สุภา มาคุยกับหมอมา หนูต้องดูแลยายตามนี้นะเบื้องต้น อย่าให้นอนคว่ำหน้า อย่าให้ยายไปก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไร อย่าให้กระแทกกระทั้นอะไรแรง ๆ  หนูอ่านแล้วดูแลตามคู่มือนี้นะ ไม่ยากหรอก” รัญรัมภาขยับไปใกล้ ๆ เพื่ออธิบายให้สุภาเข้าใจโดยมีแสงตะวันที่คอยเสริมในบางครั้งที่รัญรัมภาใช้คำพูดทางการเกินไป

   ชีวินก็ใช้สมาธิกับการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลายเป็นจรัสตะวันที่ยืนคว้างไม่รู้จะทำอะไร

   “ครูจรัสครับ ช่วยหยิบแผ่นสีฟ้าให้ผมหน่อยสิครับ” ชีวินคงรู้สึกว่าปล่อยให้จรัสตะวันยืนเฉย ๆ ก็อึดอัดจึงวานให้หยิบแผ่นโปรแกรมที่วางอยู่ไม่ไกลมือนักส่งให้

   ความรู้สึกว่าเป็นคนที่ถูกผลักไส เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการกลับมาอีกครั้ง เสียงรัญรัมภากับแสงตะวันช่วยกันอธิบายวิธีการดูแลยายให้สุภาดังมาอย่างต่อเนื่อง ชีวินก็ต้องจ้องหน้าจอตลอดเวลาเพื่อคอยกดคีย์บอร์ดไปมาสำหรับการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์

   ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้ ไม่รู้จะไปที่ไหนในเวลามืดค่ำแบบนี้ แต่ก็ดีกว่าการอยู่ในที่ที่ไม่มีใครต้องการ

   “พี่จรัสจะไปไหน” แสงตะวันเงยหน้ามาทันเห็นเธอที่กำลังจะก้าวลงบันได

   “พี่ลืมขนมที่ซื้อฝากสุภาไว้ในรถ จะลงไปเอามาให้”

   เธอตอบแล้วรีบเดินลงบันไดไป น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งแต่กลางวันมันก็เกินกลั้น ในความมืดแบบนี้คงไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอร้องไห้ ไม่กี่วันมานี่เธอต้องเสียน้ำตาไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งที่พยายามทำทุกอย่างแต่ก็ยังเป็นคนที่ทำให้คนรอบข้างมีความสุขไม่ได้ เหมือนทุกอย่างที่เธอทำผิดพลาดไปเสียหมด รัญรัมภาไม่มีความสุขหรือไรที่จะได้คนรักกลับคืนมา ถึงมีแต่ความเฉยชาตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้

   “ขนมอะไร ก็วางอยู่นี่หมดแล้วไง” แสงตะวันหันมาเห็นถุงขนมที่วางอยู่ข้างกระเป๋าของยายเมื่อรัญรัมภาอธิบายให้สุภาเข้าใจเรื่องการดูแลจนครบหมดแล้ว

   “สุภามาลองใช้เครื่องดู มีอะไรสงสัยจะได้ถามเลย” ชีวินเรียกสุภาไปดูคอมพิวเตอร์

   สุภารีบลุกไปทันที เพราะความจริงก็ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เป็นครั้งแรกที่แสงตะวันใช้สายตาตั้งคำถามกับรัญรัมภา สายตาที่ฝ้าฟางของยายคงไม่เห็นหรอกว่าทั้งคู่กำลังสื่อสารอะไรกัน และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่รัญรัมภาได้ตอบคำถามโดยไม่ต้องใช้คำพูดออกไป แสงตะวันเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายเสมอ

   “พี่จรัสไปหาขนมถึงไหนเนี่ย ยายนอนไหม แสงไปเตรียมที่นอนให้นะ”

   แสงตะวันพูดแล้วก็ลุกไปจัดที่นอนให้ยายราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ชีวินชำเลืองมองแสงตะวันแล้วก็หันไปสอนสุภาต่อ ยายคงฟังคำอธิบายจนเบื่อที่จะฟังหมอแล้วจึงหันไปคว้ากระเป๋ามาค้นดูสมบัติที่ไม่มีค่าอันใดอยู่ในนั้น

   รัญรัมภาขยับตัวลุกขึ้นยืนและเดินลงบันไดไปอย่างแผ่วเบา




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.