ตอนที่ 18
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แรก ๆ ที่มาอยู่ที่นี่รัญรัมภาเคยตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นพระจันทร์สว่างจนเห็นอะไรชัดเจนเกือบจะเหมือนกลางวัน อยู่มานานเข้าเธอก็เฉย ๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ไฟบนบ้านสาดลงมาให้แสงสว่างไม่มากแต่ก็ได้แสงจันทร์ช่วยให้เห็นทุกอย่างชัดเจน เธอเดินอ้อมมาที่ประตูด้านข้างรถซึ่งปิดสนิทอยู่ แต่มันไม่ได้ล็อค จรัสตะวันคงอยู่ข้างใน ลงมาเกือบจะสิบนาทีแล้ว รถก็ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ทนอยู่ได้อย่างไร รัญรัมภาเลื่อนประตูออกจนเกือบเป็นกระชาก แสงสว่างจากแสงจันทร์ทำให้มองเห็นภายในรถที่มีแต่ที่นั่งเปล่า จรัสตะวันไม่ได้อยู่ในรถ
รัญรัมภาต้องสงบสติอารมณ์เป็นครั้งที่สองในวันนี้ เดาได้ไม่ยากหรอกว่าจรัสตะวันไปไหน เธอเดินออกไปทางบ้านหลังใหญ่ คนขับรถยังนั่งคุยอยู่ใต้ถุนบ้านกับเจ้าของบ้านอย่างออกรส
“หมอจะกลับแล้วเหรอครับ ขอโทษทีครับ ผมคุยกับเพื่อนเก่าเพลินไปหน่อย” คนขับรถรีบลุกขึ้น เตรียมตัวกลับ
“เห็นครูจรัสไหม” รัญรัมภาไม่ตอบคำถามแต่กลับเป็นฝ่ายถามกลับเพื่อความแน่ใจว่าเธอคงคิดไม่ผิด
“กลับไปแล้วนี่ครับ บอกว่าปวดหัวแต่หมอยังตรวจยายอยู่ เลยจะเดินลัดกลับไปก่อน” เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายตอบขึ้นมาและทำท่าสงสัย
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณแล้วรีบเดินทางที่เคยเดินมาตอนที่มาจากโรงเรียน ตอนนี้รัญรัมภาไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไง คนเดียวที่เธอต้องคุยให้เข้าใจคือจรัสตะวัน
แสงสว่างจากดวงจันทร์ทำให้มองเห็นทางเดินชัดเจน ความสว่างยังช่วยป้องกันสัตว์มีพิษได้ด้วย เธอมองทางข้างหน้าให้ดีก่อนที่จะเดินไป ความเป็นหมอแม้จะช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแต่รัญรัมภาก็ยังรอบคอบคิดถึงอันตรายจากสิ่งต่าง ๆ และนั่นก็พาลโมโหไปถึงคนที่ไม่คิดอะไร ค่ำมืดดึกดื่นขนาดนี้เดินมาได้อย่างไรคนเดียว
พอข้ามถนนแล้วไต่ทางขั้นบันไดลงมา รัญรัมภาก็ต้องระวังการเดินมากขึ้น ปกติตอนกลางวันก็เดินยากอยู่แล้ว กลางคืนที่แม้จะมีแสงจันทร์ส่องสว่างแต่ก็ไม่ได้สว่างเหมือนกลางวัน จรัสตะวันจะรู้ไหมว่าเธอไม่เคยลำบากเดินตามใครแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้ อะไรหลาย ๆ อย่างที่เธอทำนั้นก็ไม่เคยทำกับใครมาก่อน อย่างแค่เรื่องไปรับยายของสุภาวันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่หรือจำเป็นใดที่เธอจะต้องไปรับเอง แค่ให้รถโรงพยาบาลไปรับมาเฉย ๆ ยังได้
เธอรู้ตัวและเข้าใจตัวเองเสมอว่ารู้สึกอย่างไร ทำไปเพราะอะไร แต่คนที่เธอไม่รู้ว่าคิดอะไรและไม่เข้าใจคือ จรัสตะวัน
ที่บ้านพักครูยังไม่เปิดไฟ รัญรัมภาฉุกคิดได้เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางที่จะไปถึงต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งนา เป็นไปได้หรือว่าคนเราจะเข้าบ้านโดยไม่เปิดไฟ แต่มองไปบ้านหลังอื่นที่ยังเปิดไฟสว่างไสวก็ใจชื้นขึ้นมา บ้านพักครูแต่ละหลังไม่ได้ห่างกันนัก หากมีอะไรผิดปกติ ไม่ชอบมาพากลก็คงมีคนรู้คนเห็น
หรือจรัสตะวันจะไม่ได้กลับบ้าน แต่มีที่ไหนที่จะไปได้ ที่นี่เป็นอำเภอซึ่งยังห่างไกลจากคำว่าเมืองใหญ่มาก มืดค่ำมาชาวบ้านก็พากันเข้าบ้าน กินข้าวกินปลา ดูละครโทรทัศน์แล้วก็เข้านอน หรือหากจะคึกคักหน่อยก็ไปที่ตลาด ซึ่งก็มีแต่ร้านขายอาหารโต้รุ่งกับร้านสะดวกซื้อเท่านั้นที่เปิดให้บริการ จรัสตะวันจะไปที่ไหนได้ ส่วนร้านคาราโอเกะหรือร้านหมูกระทะที่อยู่ออกไปนอก ๆ ตลาดหน่อยนั้นยิ่งไม่ใช่ที่ที่น่าจะไป และรถของจรัสตะวันก็จอดอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นก็คงไม่ไปไหนไกลแต่ทำไมไม่เห็นวี่แววหรือร่องรอยเลยว่าไปที่ไหน
รัญรัมภาเริ่มใจเต้นไม่ปกติ สถานที่ต่าง ๆ ที่เธอคิดนั้นคือที่ที่ไม่เธอก็เทิดทูนชอบชวนกันไปในบางคืนที่อยากปลดปล่อยความเครียดจากการทำงาน หรือต้องการแค่หาอะไรแก้ความเบื่อหน่ายในยามค่ำคืนที่เงียบเหงา หรือเวลาที่เธอต้องการจะหาสีสันให้ชีวิตในยามผิดหวัง ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่จรัสตะวันไปแบบที่เธอคิดมาทั้งหมด
ยิ่งคิดยิ่งกระวนกระวายใจ จากที่รู้สึกโมโหว่าทำอะไรไม่คิดก็เหลือแต่ความห่วงใย เธอไม่น่าปล่อยให้จรัสตะวันลงมาคนเดียวเลย ทั้งที่ก็เป็นคนถือถุงขนมขึ้นไปบนบ้านเอง ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ จะก้าวเท้าให้ไวเท่าความคิดก็ทำไม่ได้ เมื่อไหร่จะเดินบนทางแคบ ๆ ตามคันนาได้คล่องเสียทีนะ พอจะก้าวให้ไว ๆ หน่อยก็ทรงไม่ได้จนเกือบตกลงไปในท้องนาหลายครั้ง ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งเหมือนเดินก็ลำบากมากขึ้น ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งที่คุ้นเคยก็เหมือนอยู่ไกลกว่าเดิม
แต่ในที่สุดก็เดินมาถึงต้นไม้ใหญ่จนได้ ยังไม่มีแสงไฟจากบ้านพักครู รัญรัมภาหยุดพักเหนื่อยจึงเห็นว่ามีเงาทอดมาจากคนที่ยืนบังอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ ซึ่งทำให้รัญรัมภาโล่งใจขึ้นมาทันที คงไม่มีใครมายืนอยู่ที่นี่คนเดียวในเวลานี้นอกจากคนที่เธอเดินตามมา
“ครู จะกลับบ้านทำไมไม่บอก จะได้ให้คนขับรถมาส่งก่อน”
รัญรัมภาก้าวเดินไปยังอีกด้านของต้นไม้ ทั้งที่อารมณ์กำลังร้อนระอุและสับสนด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งเป็นห่วง แต่น้ำเสียงของรัญรัมภากลับเรียบเฉยเหมือนที่เคยใช้เวลาดุคนไข้ที่ไม่เชื่อฟัง
จรัสตะวันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงรัญรัมภา สะดุ้งเพราะเป็นเสียงที่แทรกมาในความเงียบโดยไม่ทันตั้งตัวมากกว่าที่จะสะดุ้งเพราะตกใจกลัว แถวนี้เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดที่เธอคุ้นเคยดีและพระจันทร์คืนนี้ก็สว่างมากจนมองเห็นเมล็ดข้าวในรวงจึงไม่มีอะไรน่ากลัว
“ฉันปวดหัว” จรัสตะวันตอบอย่างที่บอกคนขับรถ น้ำเสียงนั้นพยายามทำให้เป็นปกติ แต่คนฟังก็จับได้ถึงความสั่นเครือที่เจือมา
“ไม่สบายหรือเปล่า” รัญรัมภาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนลง
“คงนั่งรถนาน ฉันไม่ได้นั่งรถไกล ๆ มานานแล้ว” เป็นเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะหนีกลับมาโดยไม่บอกไม่กล่าว
“แล้วทำไมไม่บอกให้ใครมาส่ง คนขับรถก็มี หรือแสงก็อยู่ที่นั่น เดินมาคนเดียวแบบนี้มันอันตรายรู้ไหม” คำพูดแม้จะออกมาจากความห่วงใย แต่ด้วยวิสัยของคนที่เป็นหมออย่างรัญรัมภาจึงเหมือนกับว่ากำลังอบรมคนไข้ที่ไม่ระมัดระวังดูแลตัวเองเท่าที่ควร
“จะอันตรายอะไรละคะ แถวนี้ก็บ้านฉัน” จรัสตะวันสะกดเสียงไม่ให้สั่นทำให้เสียงนั้นเน้นต่ำจนเหมือนเป็นการเค้นเสียงพูดออกมา
“ครูลืมเรื่องที่เกิดกับสุภาไปแล้วเหรอ สุภาอยู่ในบ้านแท้ ๆ แล้วคนที่ทำก็เป็นเก่ากันมาก่อน รู้จักกันดีด้วยซ้ำทำไมเป็นคนแบบนี้นะครู ทำไมอยู่ ๆ มาทำอะไรไม่มีสติแบบนี้”
และก็ไม่ต่างจากกัน รัญรัมภาก็ยังเป็นคนที่มักจะตัดสินจากสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่สัมผัสได้และพูดออกไปทันทีโดยที่ยังไม่ได้ครุ่นคิดไตร่ตรองให้ดีเหมือนเคย แม้จะพยายามปรับปรุงแต่เมื่อถึงเวลาที่อารมณ์อยู่เหนืออื่นใดเธอก็พลาดไปเหมือนกัน แล้วก็ต้องตะลึงไปมากกว่ากับท่าทีและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของจรัสตะวัน
“ใช้สิคะ ฉันมันคนไม่มีสติ ไม่มีความคิด ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เคยทำอะไรดี ๆ ให้ใคร มีแต่เป็นภาระ มีแต่สร้างปัญหา คุณหมออย่ามายุ่งกับฉันเลยค่ะ ถ้าฉันทำอะไรให้คุณหมอไม่พอใจก็ขอโทษด้วย”
จรัสตะวันแผดเสียงก้าวร้าวแต่ขัดกับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยสิ้นเชิง
รัญรัมภารู้ดีว่าสิ่งที่เธอเห็นจรัสตะวันแสดงออกมานั้นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง มันต้องมีสิ่งอื่นที่อยู่ภายใต้นั้นผลักดันออกมาซึ่งเธอมองไม่เห็นและไม่เข้าใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสอารมณ์เกรี้ยวกราดของจรัสตะวัน คนที่ดูนิ่ง ๆ เฉย ๆ แต่เวลาโกรธนั้นกลับน่ากลัวยิ่งนัก หากแต่รัญรัมภากลับรู้สึกสงสารและเห็นใจ เพราะเธอไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งนั้นที่ทำให้จรัสตะวันกลายเป็นคนแปรปรวนในตอนนี้
หยาดน้ำตาที่ไหลเป็นทางสะท้อนเป็นเงาวาวกับแสงจันทร์ และเมื่อได้มองใบหน้านั้นใกล้ ๆ ชัด ๆ ก็เห็นร่องรอยของคราบน้ำตาและดวงตาที่บ่งบอกว่าคงเพิ่งหยุดร้องไห้มาไม่นานก่อนที่เธอจะเดินมาถึง
หัวใจของเธออ่อนยวบลงไปเมื่อเห็นร่องรอยนั้น หัวใจสั่งว่าให้กอดผู้หญิงคนนี้ไว้อย่าให้เขาต้องร้องไห้อย่างเดียวดาย รัญรัมภาทำอย่างที่หัวใจต้องการโดยไม่ผ่านการคิดอย่างมีเหตุผลแต่อย่างใด เธอรวบตัวจรัสตะวันมากอดไว้แน่นเท่าที่อ้อมแขนของเธอจะทำได้
“หมอไม่ได้โกรธอะไรครูเลย หมอเป็นห่วงถึงตามมา” รัญรัมภาพยายามพูดให้น้อยที่สุดแต่มีความหมายชัดเจนที่สุด
“คุณหมอไม่ต้องมาเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ฉันทำงานแล้ว ฉันเป็นครู ฉันสอนเด็ก ๆ ให้ได้ดิบได้ดีมาหลายคนแล้ว ฉันไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงอีกแล้ว”
ยิ่งได้ยินจรัสตะวันพูดสิ่งใดออกมา รัญรัมภาก็ยิ่งรู้ว่าภายในจิตใจของจรัสตะวันคงมีเรื่องราวต่าง ๆ เก็บสะสมมานาน คำพูดที่เหมือนพูดออกมาโดยขาดสติและคนฟังก็ไม่รู้ว่าคนพูดต้องการบอกอะไร แต่รัญรัมภาก็ยินดีรับฟังและอยากให้พูดออกมา
“คนเราจะอยู่คนเดียวได้อย่างไง ทุกคนต้องมีคนเป็นห่วงนั้นแหละ” รัญรัมภาพยายามใช้คำพูดกลาง ๆ เพื่อไม่ให้จรัสตะวันไม่เกรี้ยวกราดไปมากกว่านี้
“ฉันไม่ต้องการความห่วงใยจากใครทั้งนั้น คุณหมออย่ามาสนใจฉันเลยค่ะ ปล่อยฉันเถอะ” จรัสตะวันเริ่มได้สติว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของรัญรัมภา โชคดีที่เป็นกลางคืน หากเป็นตอนกลางวันก็คงมีเรื่องให้ใครได้เอาไปพูดสนุกปากอีก
เธอพยายามบิดตัวออกจากอ้อมกอดนั้นแต่รัญรัมภากลับกอดกระชับแน่นกว่าเดิมอีก
“ครูรู้ไหม นอกจากคนไข้แล้วหมอก็จะไม่สนใจใคร ถ้าคนคนนั้นไม่มีความสำคัญกับหมอ หมอจะไม่สนใจ ไม่ห่วงใย ไม่ติดตามและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยไม่ว่าจะกรณีใด ๆ อย่าบอกให้หมอไม่ต้องห่วงครูเลยนะ ครูเป็นคนที่มีความสำคัญกับหมอมากที่สุดในตอนนี้”
เมื่อทำตามความต้องการของหัวใจแล้วก็ควรจะทำให้มันถึงที่สุด รัญรัมภาสารภาพความในใจออกมาตามตรงและไม่คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่จรัสตะวันได้รับรู้สิ่งที่อยู่ในใจเธอ ขอแค่ให้เธอได้พูดได้บอกแล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดแต่ใจของจรัสตะวัน
หลังจากรัญรัมภาพูดจบก็คลายท่อนแขนที่โอบรอบตัวจรัสตะวันออกหลวม ๆ หากเธอจะออกจากอ้อมกอดในตอนนี้ก็ทำได้แล้ว แต่เธอกลับยืนนิ่งอยู่ในอยู่ในอ้อมกอดนั้น
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจและร่างกาย เป็นความรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจที่ทั้งชีวิตเธอไม่เคยได้รู้สึกแบบนี้ และไม่เคยได้รับอ้อมกอดแบบนี้ อ้อมกอดที่เธออยากจะมีใครสักคนมากอดเธอไว้ในยามที่จิตใจสับสนและอ่อนแอ อ้อมกอดที่ปลอบโดยในยามเธอหวาดกลัวในบางค่ำคืนที่เธอต้องเผชิญความโหดร้ายในชีวิตตามลำพัง อ้อมกอดที่คอยรับฟังยามเธอเหนื่อยล้าเพื่อจะได้ช่วยพยุงเธอไว้ ไม่ให้เธอรู้สึกเดียวดาย
ทั้งชีวิตเธอไม่เคยมีใครให้เธอแบบนี้ จริงอยู่ที่เธอมีคนที่รักและห่วงใยทั้งแม่ น้องสาว ครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน ทุกคนพยายามหาสิ่งดี ๆ โอกาสดี ๆ ให้ชีวิตเธอก้าวมาได้จนถึงวันนี้ แต่เธอก็ต้องแลกกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย แลกกับการต้องร้องไห้ตามลำพังทุกครั้งที่มีปัญหาซึ่งไม่รู้ว่าจัดการอย่างไรและไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร ได้แต่คิดเอง แก้ปัญหาเองมาโดยตลอด
แสงตะวันยังดีกว่า แม้ว่าจะต้องระเหเร่ร่อนย้ายที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งตามแต่ที่แม่จะได้งานร้องเพลงที่ไหน บางครั้งก็ต้องอดมื้อกินมื้อ พอได้เงินพิเศษมาก็ต้องเอามาช่วยเรื่องค่าเรียนของเธอ แต่แสงตะวันก็ไม่เคยต้องห่างจากแม่ แม้บางคืนจะต้องนอนป้ายรถเมล์ก่อนที่หาห้องเช่าได้ แต่ก็ยังได้อยู่กับแม่ตลอดเวลา ผิดกับเธอที่พอแยกจากแม่มาก็ไม่เคยได้กลับไปอยู่ด้วยกัน ไม่เคยได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นอีกเลย
ฝ่ามืออุ่น ๆ ที่วางทาบอยู่บนแผ่นหลังเธอนั้นยิ่งทำให้หัวใจอันอ่อนแอยิ่งอ่อนไหว ไม่อยากจะให้มือให้คลายออกจากกัน เป็นความอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย
“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ” การบอกให้ปล่อยครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้ว ไม่มีความเกรี้ยวกราดโกรธเคือง และหากไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป รัญรัมภารู้สึกว่าคำพูดนั้นน่าจะเป็นการบอกให้กอดไว้นาน ๆ มากกว่า
“ให้หมอกอดครูอีกสักพักเถอะนะ หมออยากจะกอดครูนาน ๆ” รัญรัมภาพูดตามความต้องการและความรู้สึกของหัวใจ จรัสตะวันไม่ได้ตอบรับออกมาเป็นคำพูดหากแต่เป็นการกระทำที่ปล่อยให้รัญรัมภากระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกครั้ง
ความจริงก็อยากจะปฏิเสธออกไปแต่หัวใจกลับยอมรับในคำขอร้องนั้น หลักการ เหตุผล ความเหมาะสมและ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เคยพยายามสร้างเป็นกำแพงกั้นความรู้สึกไว้ก็ลืมเลือนไปเสียหมด ความรู้สึกของหัวใจมีอิทธิพลเหนือเหตุผลใด ๆ ก็เป็นเช่นนี้เอง
ปล่อยให้หัวใจได้รับความอบอุ่นจนพอ จรัสตะวันก็ดึงตัวเองกลับมาสู่โลกความจริง
“คุณหมอ ปล่อยเถอะค่ะ ดึกแล้ว คนขับรถคงรอคุณหมอแล้ว เขาจะได้กลับไปพักผ่อน”
การเอาเหตุผลที่คิดถึงคนอื่นมาอ้างนั้นทำให้รัญรัมภาจำใจต้องคลายอ้อมแขนให้จรัสตะวันเป็นอิสระ ก็คงจะกว่าชั่วโมงแล้วที่เธอออกเดินตามมา พระจันทร์กระจ่างฟ้ามากขึ้นจนมองเห็นรวงข้าวเริ่มเป็นสีทองอ่อน ๆ เพราะสะท้อนกับแสงจันทร์อร่าม เธอไม่เคยเห็นพระจันทร์คืนไหนสวยเท่าคืนนี้ ท้องนายามอาทิตย์อัสดงว่าสวยแล้วแต่ก็สวยแบบลึกลับ หากถ่ายภาพไปแล้วไม่บอกเวลาก็อาจจะไม่รู้ว่ากำลังจะพลบค่ำหรืออรุณรุ่ง แต่คืนเพ็ญที่พระจันทร์ส่องสว่างเช่นนี้ แม้จะเป็นกลางคืนแต่มันก็เป็นภาพที่ชัดเจนเหมือนความรู้สึกของเธอที่มีต่อจรัสตะวัน มันชัดเจนและสว่างไสวในคืนนี้เอง
“จริงสินะ หมอต้องให้เงินพิเศษเขาแล้วล่ะ หรือว่าจะปรับจากครูดี” รัญรัมภาทำท่าทะเล้นล้อเลียน
“จะเอาเท่าไหร่คะ ปกติเขาจ่ายโอทีเจ้าหน้าที่ชั่วโมงละกี่บาทคะ” เมื่อรู้ว่าถูกล้อเลียนจรัสตะวันก็ทำเสียงแข็ง ก้มหน้าลงมาเปิดกระเป๋าสะพายทำท่าจะหยิบเงินในกระเป๋าออกมาให้จริง ๆ
“ใครจะเอาเงินครูจริง ๆ ล่ะ เดี๋ยวหมอไปทำเรื่องเบิกเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้เขาเอง แต่ว่าจะกลับไปบ้านสุภาหรือไปรอที่บ้านครูดีล่ะเนี่ย”
รัญรัมภาพูดพลางมองกลับยังทางที่เดินมาและมองไปยังบ้านพักครูเพื่อดูระยะทาง ซึ่งหากเดินต่อไปบ้านพักครูก็จะใกล้กว่าเดินกลับไป และที่สำคัญเธอไม่อยากไต่คันนาแคบ ๆ ในตอนกลางคืนแบบนี้อีกแล้ว
“แล้วแต่คุณหมอสิคะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว” จรัสตะวันพูดแล้วก็เดินผละมา ไม่สนใจว่ารัญรัมภาจะเดินกลับไปหรือเดินตามมา
คนอะไรที่ทำให้เธอร้องไห้แล้วก็ยิ้มได้ในเวลาชั่วโมงเดียว ความรู้สึกที่ไม่ต้องการผูกพันกับใครสั่นไหวรวนเร เธอต้องกลับมาเป็นจรัสตะวันคนเดิมให้เร็วที่สุด พยายามบอกตัวเองแบบนั้นแต่มันก็ขัดแย้งกับความรู้สึกเหลือเกินจนต้องเดินหนีมาก่อน
รัญรัมภาละล้าละลังแล้วก็ตัดสินใจรีบเดินตามมา ขนาดกลางคืนจรัสตะวันก็ยังเดินเหมือนกลางวัน เธออาจจะยังเดินตามไม่ทัน และอาจจะไม่มีวันทันแต่อย่างไรสุดท้ายก็ต้องไปหยุดที่จุดหมายเดียวกันอยู่ดี
แสงไฟบ้านพักจรัสตะวันสว่างขึ้นมาแล้วเมื่อรัญรัมภาเดินมาได้ถึงครึ่งทาง พร้อมกับไฟของบ้านพักครูอีกหลังดับวูบลง แต่ความสว่างของแสงจันทร์ทำให้รัญรัมภาเห็นเงาคนวูบไหวไปมาที่หน้าต่างบ้านนั้น เธอส่ายหน้าด้วยความระอา
“หมอไม่ได้เอาโทรศัพท์มา ขอยืมโทรศัพท์ครูโทรหาคนขับรถหน่อยสิ”
เมื่อนั่งพักและดื่มน้ำให้หายเหนื่อยแล้ว รัญรัมภาก็จะโทรหาคนขับรถแต่ก็นึกได้ว่าทิ้งกระเป๋าไว้ในรถตู้โรงพยาบาล ตอนมาตามจรัสตะวันก็ไม่ได้ทันคิดจะหยิบมาด้วย
จรัสตะวันควานมือไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือของเธอส่งให้
“หมอจำเบอร์โทรคนขับไม่ได้ ต้องโทรบอกแสงหรือไม่ก็วินให้บอกคนขับรถให้อีกที” รัญรัมภายื่นโทรศัพท์คืนให้เพราะเป็นโทรศัพท์ส่วนตัวของจรัสตะวัน จะให้เธอเปิดหารายชื่อแล้วโทรเองก็คงไม่เหมาะ
“เอ่อ เดี๋ยวฉันกดโทรให้แล้วคุณหมอคุยเองนะคะ” จรัสตะวันทำท่าอึกอัก ซึ่งรัญรัมภาก็เข้าใจความรู้สึกดี เป็นการยากที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจว่าทำไมเธอกับจรัสตะวันถึงมาอยู่ที่บ้านพักครูด้วยกันได้
“โทรหาแสงก็ได้ ครูคุยเถอะ แสงรู้แล้วว่าหมอมาตามครู” รัญรัมภาพูดและเน้นคำว่า “แสงรู้” ซึ่งหมายความว่ารู้และเข้าใจทุกอย่างระหว่างเธอกับจรัสตะวัน
จรัสตะวันยังลังเลที่จะเป็นคนโทรไปเอง แสงตะวันเป็นคนที่เข้าใจทุกอย่างได้ง่ายเสมอ เธอจะคุยกับน้องสาวหรือมองหน้าน้องสาวได้อย่างไรในสิ่งที่แสงตะวันได้รู้ แม้จะรักและสนิทสนมกันเพียงใด แต่ช่วงเวลาที่ต้องห่างกันไปก็กลายเป็นช่องว่างบางอย่างระหว่างเธอกับน้องสาว โดยเฉพาะช่องว่างที่เป็นความรู้สึกซึ่งเธอไม่เคยบอกใคร แต่สุดท้ายเธอก็ต้องโทรไป
“แสงช่วยบอกคนขับรถมารับคุณหมอที่บ้านพักครูเลยนะ” จรัสตะวันพูดธุระทันทีที่แสงตะวันรับสาย แล้วก็เงียบฟังปลายสายพูดก่อนที่จะพูดตอบไป
“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วจะบอกคุณหมอให้ แค่นี้แหละ”
เธอวางสายแล้วก็พูดกับรัญรัมภา
“พวกเขาไปกินบะหมี่กันในตลาดค่ะ คุณหมอรอสักพักก่อนนะคะ”
“รอได้ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้หมอก็หิวนะ ตั้งแต่บ่ายยังไม่ได้กินอะไรเลย” รัญรัมภาทำเสียงโอดครวญ
จรัสตะวันก็เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่ไปจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน ความจริงแสงตะวันก็ถามว่าจะไปกินบะหมี่ด้วยกันไหม จะได้มารับแต่เธอก็ปฏิเสธไป โดยลืมถามรัญรัมภาก่อนว่าจะไปหรือไม่
“เขาไปกินบะหมี่กัน คุณหมอก็กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมคะ ฉันจะทำให้กิน” จรัสตะวันรู้สึกผิดเหมือนกันที่ตัดสินใจเองโดยไม่ถามรัญรัมภา
“ตอนนี้มีอะไรหมอก็กินทั้งนั้นแหละ เฮ้อ! วันเกิดตัวเองแต่ต้องมาฉลองด้วยบะหมี่ซอง”
รัญรัมภาแกล้งบ่นแต่ใบหน้ากลับทะเล้นด้วยรอยยิ้ม จรัสตะวันทำหน้าบึ้งก่อนที่จะลุกหายเข้าไปในครัว
รัญรัมภานั่งมองกองเอกสาร กองตำราและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอจรัสตะวันทำบะหมี่มาให้ ชีวิตคนเราช่างเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้ตลอดเวลา ความสุขกับความทุกข์ก็เป็นของคู่กัน เธอจะพยายามรักษาความสุขวันนี้ไว้ให้มากที่สุด
ครู่ใหญ่ ๆ จรัสตะวันกลับออกมาพร้อมบะหมี่สองชาม เพียงแค่กลิ่นที่โชยมารัญรัมภาก็แทบอยากจะคว้าชามมาซดแล้ว ยิ่งได้เห็นหน้าตาที่ต่างจากที่เธอทำก็ยิ่งทำให้ทำให้ความหิวเพิ่มเป็นทวีคูณ
ถ้าเธอทำเองก็คงแค่ชงใส่น้ำ อย่างดีก็หาอาหารกระป๋องบางอย่างมากินด้วย แต่ที่จรัสตะวันทำมามีทั้งหมูสับ ผักบุ้งและผักกาดขาวใส่มาครบถ้วนสารอาหารห้าหมู่
“อย่างงี้บะหมี่ในตลาดก็ชิดซ้าย” รัญรัมภาพูดพลางยกชามออกจากถาดที่จรัสตะวันเพิ่งมามาตั้งตรงหน้าตัวเอง แล้วก้มหน้าก้มตาทานอย่างเอร็ดอร่อยทันที
จรัสตะวันเองก็หิวไม่ต่างกันแต่เธอก็ค่อย ๆ ทานไปเรื่อย ๆ แต่ก็อดแอบเหลือบตาดูรัญรัมภาไม่ได้ รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาดที่เห็นรัญรัมภาทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปธรรมดาอย่างมีความสุขและเอร็ดอร่อย
“ถ้าไม่หิวจริง ๆ คุณหมอคงไม่ทานแบบนี้ใช่ไหมคะ”
จรัสตะวันถามขึ้นเมื่อรัญรัมภาซดน้ำจนเกือบหมดชามแล้ว
“ใครบอก บะหมี่นี่อาหารหลักของหมอเลยนะ” รัญรัมภาพูดพลางเอียงชามเอาช้อนตักน้ำช้อนสุดท้ายใส่ปาก
“ป้ามลล่ะสิ ชอบว่าหมอกินยาก แต่จริง ๆ หมอกินไม่ยากหรอกนะ บะหมี่นี่หมอก็กินได้ ไข่เจียว ไข่ต้มคลุกข้าวเหยาะน้ำปลาหมอก็กินได้ หรือข้าวคลุกแกงจืดหมูสับแบบกอหญ้าหมอก็กินได้นะ” รัญรัมภาพูดอย่างอารมณ์ดี
“ป้ามลบอกว่าคุณหมอชอบบ่นเรื่องกินนี่คะ” จรัสตะวันเผลอพูดพูดตามที่รู้มา
“ก็ไม่มีใครเคยถามหมอเลยจริง ๆ ว่าหมอชอบกินอะไร ต้องการอะไร หรืออยากทำอะไร คิดไปเองกันทั้งนั้นแล้วก็มาว่าหมอกินยากมั่ง เรื่องมากมั่ง แล้วก็... แต่ช่างเถอะให้ครูรู้คนเดียวพอว่าหมอชอบกินอะไร หมอจะได้มาฝากท้องไว้ที่นี่เลย” รัญรัมภายกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
ในยามนี้เธอมีความสุขจนไม่อยากจะคิดถึงเรื่องอื่นใดให้ความสุขถูกบั่นทอนลงไป
“ฉันไปล้างชามก่อนนะคะ พวกที่ตลาดก็คงจะใกล้กลับมากันแล้ว” จรัสตะวันพูดเรียบ ๆ กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง หยิบชามของหมอมาซ้อนของเธอแล้วก็ถือเดินกลับเข้าไปในครัว
แต่รัญรัมภาจะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปและจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องใดค้างคาใจ โดยเฉพาะกับคนที่เธอยกให้เป็นคนสำคัญ จึงลุกเดินตามไปในครัว จรัสตะวันกำลังเตรียมจะล้างชามและหม้อที่ใช้ต้มบะหมี่เมื่อสักครู่
“ครูรู้ไหมวันเกิดปีนี้เป็นปีที่หมอมีความสุขที่สุด หมอไม่ได้เอาเสื้อผ้าไปให้คนไข้เองหรอกนะ โอนเงินแล้วก็ฝากน้องพยาบาลที่แผนกนั้นให้เขาจัดการให้แล้วเอาไปให้คนไข้แต่เช้าเพราะบางคนได้กลับบ้านวันนี้ เขาโทรมาเล่าให้หมอฟังตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วว่าคนไข้ดีใจกันแค่ไหน บางคนก็ใส่กลับบ้านเลยเหมือนยายของสุภา พวกเขาอวยพรให้หมอกันใหญ่ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าหมอเป็นใคร แม้แต่ตอนที่ไปรับยายเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นหมอที่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เขา แต่หมอก็มีความสุขที่สุด”
รัญรัมภาเล่าไปในขณะที่จรัสตะวันก็ก้มหน้าอยู่กับการล้างชาม
“แต่ฉันก็ทำให้คุณหมอไม่มีความสุข” จรัสตะวันพูดเบา ๆ มือจับฟองน้ำถูวนไปมาที่ชามใบเดิม
“ใครบอกล่ะ ครูเป็นคนที่ทำให้หมอมีความสุขมาก ๆ หมออยากบอกว่าเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หมอก็มีความสุขพอแล้ว แค่หมอได้มาหาครู ได้มากินอาหารที่ครูทำ ได้พากอหญ้ามาวิ่งเล่น ได้มาพักผ่อนดูท้องไร่ท้องนา ได้ไปดูชาวบ้าน อะไรที่ช่วยเขาได้ก็ช่วยไป ชีวิตหมอไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว”
รัญรัมภาพูดเรื่อย ๆ แต่ทุกถ้อยคำนั้นมีทั้งความจริงจังและจริงใจ เธอไม่ได้พูดเพื่อให้จรัสตะวันสบายใจแต่อยากจะบอกให้ได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอนั้นเป็นอย่างไร หากเป็นคนอื่นเธอจะไม่สนใจเลยว่าจะคิดหรือจะมองเธออย่างไร แต่ไม่ใช่กับจรัสตะวัน
“คุณหมอไม่อยาก...” จรัสตะวันไม่สามารถพูดต่อได้เมื่อก้อนที่เคยขึ้นมาจุกที่ลำคอมันกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“อยากคืนดีกับแพทใช่ไหม” รัญรัมภาพูดต่อให้ เมื่อจรัสตะวันไม่ตอบเธอจึงพูดต่อทันที
“จริง ๆ วันนี้การที่ครูนัดหมอให้ไปเจอกับแพทก็ดีเหมือนกันนะ หมอก็ได้พูดกับเขาให้จบ ๆ ไป เขาโทรมาหาหมอหลายครั้งแล้ว แต่อย่างที่หมอบอกว่าใครที่หมอไม่ให้ความสำคัญ หมอจะไม่สนใจ ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเขาอีก”
จรัสตะวันยังคงเงียบและกลับเปิดน้ำให้แรงให้ขึ้น ก่อนที่หยิบชามอีกใบมาล้าง
“หมอถึงไม่รับโทรศัพท์ของแพท เพราะหมอไม่อยากให้เขามีความหวังว่าจะกลับมาหาหมอ และที่สำคัญเขากับสามีก็ยังไม่ได้หย่ากัน มันก็ผิดศีลนะถ้าหมอกลับไปคบกับเขา แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนแต่ใจก็ไม่ได้บริสุทธิ์”
“แต่ถ้าคุณหมอจะกลับไปหาเขา เขาก็พร้อมจะหย่านี่คะ” จรัสตะวันยังคงล้างชามอีกใบไม่เสร็จเสียที
“ถึงเขาหย่าหมอก็ไม่กลับไปเหมือนเดิมกับเขาแล้ว”
รัญรัมภาพูดหนักแน่น น้ำเสียงแบบนี้ที่ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ทำให้คนฟังรู้สึกมั่นใจเสมอ จรัสตะวันก็รู้สึกเช่นนั้น
“ฉันไม่ค่อยฉลาดนักหรอกค่ะ ครูแพทเขาบอกว่าอยากเซอร์ไพร้ส์คุณหมอเลยให้ฉันช่วย” จรัสตะวันสารภาพความจริงออกมาในที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอก หมอบอกแล้วไงว่าก็ทำให้หมอได้คุยกับเขาให้เด็ดขาดไป แต่ต่อไปนี้หมออยากจะขอครูได้ไหม ถ้ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับหมอ ให้มาถามหมอก่อน อย่าถามคนอื่น อย่าเชื่อคนอื่น” น้ำเสียงของรัญรัมภานั้นเหมือนเหนื่อยใจกับเรื่องนี้มานาน จรัสตะวันพยักหน้าพร้อมกับคว่ำชามเก็บเรียบร้อย
“แล้วอีกอย่างนะ ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรขอให้เป็นการตัดสินใจของครูเอง อย่าตัดสินใจเพราะใครบอกมา”
“ออกไปข้างนอกเถอะค่ะ ฉันทำหมูสับต้มให้ไปคลุกข้าวให้กอหญ้าด้วย”
จรัสตะวันหยิบกล่องพลาสติกที่ใส่หมูสับต้มเดินนำออกมาข้างนอก
“รู้ไหม เดี๋ยวนี้กอหญ้า...” รัญรัมภาชะงักคำพูดต่อไป เธอไม่อยากให้มีสิ่งใดมาบั่นทอนความสุขจึงหยุดที่จะเล่าเรื่องกอหญ้ากับเจมส์ไว้
“ทำไมคะ” จรัสตะวันเดินออกมาวางกล่องพลาสติกบนโต๊ะเอนกประสงค์
“ก็ไม่ค่อยกินอาหารเม็ดสิ ติดกินแบบกับข้าวคลุก”
รัญรัมภาพูดจบพร้อมกับเสียงแตรรถดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“แสงคงกลับมาแล้ว ฝากหมูต้มให้กอหญ้าด้วยนะคะ” จรัสตะวันหยิบกล่องส่งให้รัญรัมภาแล้วเดินออกมาส่งที่หน้าบ้านแต่กลับพบแต่รถของโรงพยาบาลที่จอดเปิดไฟกระพริบอยู่ คนขับรถวิ่งลงมารายงานเรื่องราว
“พอดีแสงกับหมอวินเขาชวนกันไปเลี้ยงส่งร้องคาราโอเกะกันนะครับ เห็นว่าแสงจะกลับไปทำงานอีกไม่กี่วันแล้ว แสงบอกว่ากลับไม่เกินเที่ยงคืนครับ”
คนขับรถบอกธุระที่รับฝากมาจบแล้วก็วิ่งกลับที่รถอย่างรู้หน้าที่และมีมารยาท ปล่อยให้รัญรัมภาล่ำราจรัสตะวันตามลำพัง
“ครูจำไว้นะ หมอเคารพทุกการกระทำ การตัดสินใจของครู แต่แค่ขอให้ครูทำจากความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นโดยไม่จำเป็น” รัญรัมภาพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่จะเดินไปขึ้นรถ
จรัสตะวันยืนมองจนแสงไฟจากท้ายรถลับสายตาจึงเดินกลับเข้าบ้าน แสงไฟจากบ้านพักครูหลังถัดไปที่ปิดไปแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เธอเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจ คำพูดของรัญรัมภาหลายอย่างวันนี้มีความหมายที่แฝงไว้ให้เธอเก็บมาครุ่นคิด
เข้าบ้านไปอาบน้ำ เหนื่อยจนไม่มีแรงทำงานต่อได้จึงปิดไฟเข้านอนทันที
เสียงโทรศัพท์ที่เธอตั้งใจเปิดไว้เพื่อรอแสงตะวันโทรมาตอนจะกลับบ้านดังขึ้นเมื่อเธอหลับไปได้ครู่ใหญ่ ยังไม่ใช่เวลาเที่ยงคืนและคนที่จะโทรมาเวลานี้ก็มีเพียงพัดชา เธอหยิบโทรศัพท์มาดูและก็เป็นจริงอย่างที่คิด
“ให้ทำจากความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นโดยไม่จำเป็น”
คำพูดของรัญรัมภาแทรกเข้ามาในความคิด อาจจะเพราะความเหนื่อยทั้งกายและใจ หรือไม่อยากจะคุยกับใครในตอนนี้ เธอจึงปล่อยให้เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังจนเงียบไปเอง
บางทีเธออาจจะต้องกล้าที่จะทำตามความต้องการและความรู้สึกของตัวเองบ้าง แต่ก็ยังหวาดหวั่นไม่มั่นใจเพราะเธอไม่อยากทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตอีก