web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 31
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 142
Total: 142

ผู้เขียน หัวข้อ: อัสดงดวงใจ ตอนที่ 19  (อ่าน 2437 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 19
« เมื่อ: 27 มกราคม 2014 เวลา 17:54:36 »
ตอนที่ 19

    แม้จะหลงไปในช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นแต่แค่เพียงข้ามคืนตื่นขึ้นมาอีกวัน ทุกอย่างนั้นกลับมาสู่โลกความจริง จรัสตะวันตื่นเช้าเป็นปกติ ชงกาแฟผงสำเร็จรูปง่าย ๆ ทานกับขนมไทยสองสามอย่างที่แม่ค้าในโรงเรียนไปรับมาจากตลาดมาขายที่โรงอาหาร เธอเลยฝากให้ซื้อมาเผื่อด้วยทุกวัน ทานบ้างไม่ทานบ้างก็เอาไปแจกหมากินได้ บางวันก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารเหมือนนักเรียน เป็นชีวิตที่เธอเห็นว่ามีความสุขดีแล้วและคงจะอยู่ได้อย่างสงบสุขหากไม่มีใครบางคนเข้ามา

   พยายามจะใช้ชีวิตให้เหมือนทุกวันที่มา พยายามลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่มันยากเย็นเหลือเกินที่จะลืมความรู้สึกอบอุ่นที่ยังเหมือนยังอบอวลอยู่รอบตัวแม้กระทั่งขณะนี้ ชีวิตที่สะสมแต่ความอ้างว้างไว้มากมายจนกลายเป็นไม่ไว้ใจความสุขที่มักจะอยู่กับเธอไม่นานเสมอ แต่เธอก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ได้แล้ว

   “พี่จรัส ลืมโทรศัพท์ พอดีแสงเข้าไปทาแป้งเย็นในห้องพี่มา” เสียงแสงตะวันดังมาก่อนที่จะเดินมาถึงโต๊ะเอนกประสงค์ที่เธอนั่งจิบกาแฟอยู่ หันไปตามเสียงเรียกโดยอัตโนมัติก็เห็นว่าน้องสาวอยู่ในชุดเตรียมพร้อมออกจากบ้านเหมือนกัน

   “จะไปไหนแต่เช้า เดี๋ยวพี่ชงกาแฟให้” เธอพูดพลางรีบลุกไปจะชงกาแฟให้น้องสาว

   “ไม่ต้องหรอกพี่จรัส เดี๋ยวหมอวินมารับไปกินกาแฟในตลาด” แสงตะวันเดินมานั่งลงข้าง ๆ และวางโทรศัพท์มือถือให้ จรัสตะวันหยิบมาใส่กระเป๋าไว้ก่อนที่จะลืมอีก

   “แค่ไปกินกาแฟในตลาดต้องแต่งตัวขนาดนี้เลยเหรอ” จรัสตะวันพูดยิ้ม ๆ ความจริงแสงตะวันเป็นคนที่รักสวยรักงามมากแต่เรื่องปากเรื่องท้องสำคัญกว่าจึงต้องตัดความฟุ่มเฟือยออกไป จนกระทั่งได้ทำงานที่มีรายได้ดีแล้วจึงหันกลับมาสนใจความสวยความงามใหม่

   ยิ่งมองดูน้องสาวในวันนี้ยิ่งเห็นแต่ความสวย ความร่าเริงสดใส แววตาเป็นประกายจริงใจ คนแบบนี้ใครอยู่ใกล้ก็คงมีแต่ความสุข ผิดกับเธอที่นำแต่ความทุกข์ นำแต่ปัญหามาให้คนอื่น ความรู้สึกนี้ไม่เคยลบไปจากใจเธอได้เลยโดยเฉพาะตอนที่อยู่กับน้องสาวแบบนี้

   “วันนี้หมอวินเขาไปเป็นวิทยากรอบรมยุวเกษตรตำบลที่จังหวัด เลยชวนแสงไปด้วย แสงก็เลยว่าจะเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองเสียหน่อย ไปหาขนมอร่อย ๆ กิน” แสงตะวันยังคงเหมือนอยู่ในวัยเด็กที่ตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อแม่บอกว่าจะพาไปเที่ยวซึ่งก็มีไม่กี่ครั้งนักและขนมอร่อยในวัยเด็กก็เป็นขนมแบบเดียวกันกับที่วางอยู่บนโต๊ะนี้โดยที่ไม่มีใครสนใจ

   “พี่ขอโทษนะแสง มาครั้งนี้มีแต่เรื่องยุ่ง ๆ เลยไม่ได้พาไปเที่ยวไหน ไม่ได้ทำขนมอร่อย ๆ ให้กิน”

   จรัสตะวันรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าดูแลน้องสาวไม่ดีพอ แสงตะวันเป็นคนเก่งคนกล้าแต่ไม่เคยสักครั้งที่จะทำเก่งทำกล้ากับเธอ ไม่ว่าจะอะไรแสงตะวันก็ยังเคารพเธอในฐานะพี่สาวเสมอ ไม่เคยทวงคืนสิ่งต่าง ๆ ที่เสียสละมาให้ดังนั้นเธอจึงอยากทำอะไรให้น้องสาวเป็นการตอบแทนเท่าที่จะทำได้

   “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอกพี่จรัส ขนมตลาดนี่ก็อร่อย กับข้าวที่พี่ทำก็อร่อยทุกมื้อ แล้วแสงก็ไปเที่ยวกับหมอวินตั้งหลายที่ สนุกดีออก ถ้าเรามีบ้านของเราเอง มีพื้นที่กว้าง ๆ แล้วรับแม่มาอยู่ด้วยนะ แสงจะเอาหมาเอาแมวมาเลี้ยงสักอย่างละสิบตัวเลย”

   แสงตะวันเป็นคนที่สามารถคิดหามุมดี ๆ ในสิ่งที่เป็นอยู่ได้เสมอและสามารถทำให้เธอหลุดจากห้วงความคิดที่ไม่สบายใจได้ทุกครั้งด้วยการพูดให้รู้สึกมีความหวังกับชีวิตที่ต้องดีขึ้น

   “เออ แล้วเรื่องติดต่อเจ้าของที่ไปถึงไหนแล้ว พี่จะได้ทำเรื่องกู้เงิน” จรัสตะวันเกือบลืมไปแล้วว่าเธอมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องเงินสำหรับซื้อที่ดินนี้ด้วย

   “เจ้าของเขายังอยากขายยกแปลง ไม่อยากแบ่งขาย หมอวินเขาก็จะซื้อด้วยแต่ที่ก็ยังเหลืออีกหลายไร่ หมอวินก็กำลังไปถาม ๆ อยู่ว่ามีใครจะซื้อที่ดินด้วยไหม ก็มีคนสนใจจะซื้อไว้เก็งกำไรเหมือนกันเพราะตอนนี้เมืองเริ่มจะขยายตัวออกมาทางอำเภอเราแล้ว ตั้งแต่มีถนนเลี่ยงเมืองตัดผ่าน อำเภอเราเลยเป็นทางผ่านไปจังหวัดอื่นทางนี้ได้สะดวกที่สุด”

   แสงตะวันอธิบายยาวเหยียดในข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับรู้มา เพียงไม่กี่วันแสงตะวันก็รู้ความเคลื่อนไหวในพื้นที่มากกว่าเธอเสียอีก เรื่องการขยายเมือง เรื่องเก็งกำไรที่ดิน ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน

   “ถ้าอย่างนี้ถ้าเราซื้อช้าเจ้าของเขาจะขายแพงขึ้นหรือเปล่า” จรัสตะวันเริ่มกังวลใจ

   “คงไม่หรอกเพราะจะหาคนมาซื้อยกแปลงทีเดียว คนเดียวก็ยากอยู่ ที่ตั้งสิบกว่าไร่ ถ้าหมอวินหาคนมาซื้อได้อย่างที่บอกเขาก็ขายให้เราในราคาเดิมนี่แหละ” แสงตะวันไม่แสดงความกังวลใจใด ๆ ก็ทำให้จรัสตะวันโล่งใจไปด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เต็มใจจะจ่ายเงินส่วนนี้แต่ก็ไม่อยากเป็นหนี้จนเกินกำลังตัวเอง

   “พี่จรัสไหวหรือเปล่า แสงไม่อยากให้พี่เป็นหนี้คนเดียวนะ แสงก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ให้แสงเอามาช่วยเถอะ พี่จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้มาก” แสงตะวันยังคงเป็นผู้เสียสละและห่วงใยเธอเหมือนเดิม

   “ไม่ต้องหรอก ให้พี่ได้รับผิดชอบอะไรบ้าง อย่าให้พี่รู้สึกว่าอยู่อย่างเอาเปรียบแม่เอาเปรียบแสงไปมากกว่านี้เลย”

   จรัสตะวันพูดออกมาจากความรู้สึกลึก ๆ เป็นครั้งแรก

    “โธ่ ไม่มีใครว่าพี่เอาเปรียบหรอก พี่รู้ไหม ถึงแม่จะจำอะไรไม่ได้แต่แม่จำรูปถ่ายวันที่ไปงานรับปริญญาของพี่ได้ตลอดนะ พยาบาลบอกว่าไม่เคยทิ้งไว้ห่างตัวเลย ถ้าไม่เห็นก็ถามหาทุกที” แม้จะเป็นเรื่องเศร้าแต่แสงตะวันก็ยังหามุมดี ๆ มาทำให้พี่สาวยิ้มออกมาได้ กำลังใจสำคัญของเธอก็มีแค่แม่กับน้องสาว คนอื่นก็คงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

   “ไม่เอา อย่าทำหน้าเศร้าสิ วันนี้แสงจะไปเดินห้าง พี่จรัสจะเอาอะไรไหม” แสงตะวันพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้พี่สาวลืมความเจ็บปวดในอดีต คนเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและเพื่อวันพรุ่งนี้แต่พี่สาวเธอกลับยังไม่ยอมออกจากอดีต

   แววตาของน้องสาวที่มองด้วยความห่วงใยทำให้จรัสตะวันต้องฝืนยิ้มออกมา

   “ไม่เอาอะไรหรอก แสงเที่ยวให้สนุกแต่ถ้ากลับไม่มืดก็แวะไปเอารถที่โรงพยาบาลให้ด้วย” จรัสตะวันนึกได้หยิบกุญแจรถจากกระเป๋าส่งให้น้องสาว

   แสงตะวันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนใจไม่พูด รับกุญแจรถไปใส่ไว้ในกระเป๋าของตัวเอง

   “หมอวินจะมารับตอนไหน พี่จะไปโรงเรียนแล้ว แสงไปพร้อมพี่ไหม วันนี้พี่เป็นเวรรับเด็กประตูหน้า”

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวแสงรอที่บ้านนี่แหละ พี่ไปเถอะ จะว่าไปหมอวินเขาเป็นคนดีนะ แสงเห็นอย่างนี้แล้วก็หายห่วงพี่จรัสไปเยอะเลย”

   จรัสตะวันรู้ได้ว่าเป็นคำพูดหยั่งเชิงความรู้สึกของเธอที่มีต่อชีวิน ไม่กี่วันที่แสงตะวันมาที่นี่ก็สนิทสนมกับชีวินได้โดยไม่ขัดเขินและก็คงพูดคุยกันหลายเรื่องนอกจากเรื่องพากันไปดูหมาดูแมวกับซื้อที่ดิน

   “หมอวินเป็นเพื่อนที่ดี เขาช่วยพี่ได้เยอะเลยเรื่องสอนนักเรียนทำเกษตรผสมผสาน” คำตอบของจรัสตะวันชัดเจนตั้งแต่ประโยคแรกและทำให้น้องสาวเข้าใจมากขึ้นว่าความเป็นเพื่อนของเธอกับชีวินนั้นเกิดจากอะไรในประโยคต่อมา

   “หมอวินก็บอกแสงอย่างนี้เหมือนกัน ที่แสงสบายใจเพราะเขาบอกว่าอย่างไงเขาก็จะเป็นเพื่อนที่ดีกับพี่จรัสแบบนี้ตลอดไป”

   จรัสตะวันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาอีกลูกหนึ่งออกจากอก เธอไม่ได้ซื่อขนาดที่จะดูไม่ออกว่าชีวินคิดอย่างไรกับเธอ ดังนั้นการวางตัวไว้ในฐานะเพื่อนอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนถึงวันนี้จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหากชีวินจะบอกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีเช่นกัน

   “พี่ไปก่อนนะ สายแล้ว ฝากล้างแก้วกาแฟด้วย” จรัสตะวันลุกขึ้นหยิบแฟ้มเอกสารงานที่จะทำเมื่อคืนไปด้วย

   แสงตะวันมองตามพี่สาวด้วยความห่วงใย นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องกับสุภา ดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอเคยมั่นใจว่าจะไม่เกิดขึ้นกับพี่สาวนั้นจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แม้เธอกับพี่สาวจะเป็นพี่น้องที่รักกันมากแต่ช่วงชีวิตที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมายาวนาน บางครั้งก็เหมือนมีม่านบางอย่างมากั้นความเป็นส่วนตัวเอาไว้

   เมื่อคืนชีวินก็ได้บอกเล่าเรื่องราวของรัญรัมภาทำให้เธอยิ่งไม่มั่นใจในความคิดและความรู้สึกของพี่สาว สำหรับคนที่ไม่เคยมีใครมาทั้งชีวิต ถ้ามีใครสักคนเข้ามาห่วงใยให้ความรักความใส่ใจใครเลยจะไม่หลงไปกับสิ่งนั้น

   “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าพี่จรัสจะรู้สึกอย่างไงกับหมอรัญ ขออย่างเดียวอย่ามาทำให้พี่สาวฉันต้องเจ็บปวด”

   นั่นคือประโยคต่อมาของชีวินที่บอกว่าเขายินดีจะเป็นเพื่อนกับจรัสตะวัน และเหมือนเป็นคำสัญญาที่บอกให้รู้ว่าหากเธอไม่อยู่ก็ยังมีเขาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวเสมอ

   เธอเองก็เสียใจที่มีส่วนทำให้พี่สาวต้องไปอยู่กับคนอื่น รสชาติความขมขื่นเดียวดายของการอยู่คนเดียวอย่างไร้ญาติขาดมิตรในตอนที่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นกับแม่ตอนนั้นทำให้เธอเข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวจึงร่ำร้องอยากจะมาเร่ร่อนหาเช้ากินค่ำกับแม่และเธอมากกว่าการได้อยู่บ้านพักที่ปลอดภัย ได้กินอิ่มทุกมื้อและได้เรียนหนังสือ

   ความเป็นครอบครัวไม่มีสิ่งใดทดแทนกันได้ เธอจึงพยายามจะคืนครอบครัวให้พี่สาวชดเชยเวลาครอบครัวที่หายไป เผื่อแววตาที่เก็บแต่ความเศร้าของอดีตไว้จะสดใสขึ้นมาบ้าง


   ความสุขมักจะอยู่กับเธอไม่นาน จรัสตะวันพยายามทำใจให้ยอมรับกับความจริงข้อนี้ ระหว่างที่เดินไปประตูหน้าโรงเรียนความคิดเธอก็กลับมาสับสนอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่พยายามลบออกไปก็วนเวียนกลับมาใหม่ เมื่อคืนอาจจะหลงไปกับความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมานานแต่เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเธอก็บอกตัวเองว่าไม่ใช่ความจริง
 
  บางทีรัญรัมภาอาจจะแค่เหงาและยังไม่มีใครเข้ามาในชีวิต มันก็ไม่ผิดหรอกถ้าคนกำลังเคว้งคว้างจะคว้าทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวไว้ก่อน เธอก็คงเป็นเช่นนั้นสำหรับรัญรัมภา คนธรรมดา ๆ อย่างเธอไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจและหากอยู่นาน ๆ ไปก็จะรู้ว่าเธอเป็นคนน่าเบื่อแค่ไหน บางครั้งเธอยังเบื่อตัวเองที่ไม่เป็นอย่างแสงตะวัน ไม่เป็นอย่างพัดชา และไม่เป็นอย่างใคร ๆ ที่เขาก็ทำอะไรตามความต้องการได้ หรือเพราะชีวิตตั้งแต่เกิดมาต้องทำตามที่คนอื่นกำหนดทั้งนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าการทำตามความต้องการของตัวเองนั้นต้องทำอย่างไร

   รถของชีวินขันสวนมาระหว่างทางที่เธอเดินไปประตูหน้าโรงเรียน เขาขับผ่านเลยไปโดยไม่หยุดทักทาย จะด้วยเหตุผลว่าไม่เห็นเธอหรืออะไรก็ตาม จรัสตะวันก็อยากจะให้เขาผ่านเลยไป แสงตะวันคงนำความรู้สึกของเธอไปบอกเขาเองสุดท้ายแม้กระทั่งเรื่องความรู้สึกของตัวเองเธอก็ยังต้องให้น้องสาวจัดการให้ ชีวิตเธอจะทำอะไรด้วยตัวเองได้บ้าง

   วางกระเป๋าและแฟ้มงาน หยิบปากกามาเซ็นชื่อแล้วก็ไปยืนรอรับนักเรียน ครูเวรคนอื่นยังไม่มา นักเรียนก็พึ่งเริ่มมากันไม่กี่คน เธอเรียกสติตัวเองกลับมาสนใจที่นักเรียน ความจริงการมายืนรับนักเรียนหน้าประตูแบบนี้ครูส่วนใหญ่จะคอยดูว่านักเรียนแต่งตัวผิดระเบียบไหม แต่จรัสตะวันกลับไม่ได้สนใจนักหากนักเรียนหญิงจะทาลิปสติกสีชมพูเรื่อ ๆ หรือมีสีสันสักนิดมา หรือว่านักเรียนชายชั้นมัธยมปลายจะทำให้ผมรองทรงสั้นนั้นชี้ ๆ ตั้ง ๆ ขึ้นมาแบบดารานักร้องที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตามสื่อต่าง ๆ

   “พี่ว่าพี่มาเช้าแล้ว น้องจรัสยังมาเช้ากว่าอีกนะคะ” ครูเวรอีกคนที่พึ่งมาถึงพูดทักทายเธอพลางเซ็นชื่อในสมุดที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอก็มาเช้าเป็นปกติแบบนี้ทุกครั้ง ส่วนครูคนอื่นก็มีมาเช้าบ้างสายบ้างแล้วแต่คนสลับสับเปลี่ยนเวรที่เจอกันไป แต่วันนี้ก็ถือว่าครูคนนี้มาเช้ากว่าปกติที่เคยอยู่เวรด้วยกัน

   “ค่ะ” จรัสตะวันตอบรับเพียงสั้น ๆ ซึ่งเป็นบุคลิกของเธอที่ทุกคนก็รู้ดี

“หนู ๆ ๆ มานี่ก่อน ๆ เช็ดปากออกด้วย” พอครูคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากสมุดเซ็นชื่อก็ทันเห็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่จรัสตะวันปล่อยผ่านไป ไม่ใช่เธอจะไม่เห็นว่านักเรียนหญิงคนนั้นทาปากด้วยลิปสติกสีส้มแต่ก็แค่ทาลิปสติก เธอไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงแต่อย่างใดหรือจริง ๆ ก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นความผิดด้วยซ้ำ

   “ทีหลังอย่าทาลิปสติกสี ๆ มาอีกนะคะ” จรัสตะวันพูดกับเด็กนักเรียนหญิงเพียงเท่านั้นแล้วก็พยักหน้าให้เดินเข้าโรงเรียนไปโดยไม่ได้ให้ลบลิปสติกออก

   “น้องจรัสนี่ยังไง ทีแรกพี่ก็ดีใจว่าได้อยู่เวรกับน้องจรัสจะได้ช่วยกันจับเด็กทำผิดระเบียบ เห็นว่าเป็นคนเคร่งนักเคร่งหนา แต่มาทีไรพี่ก็เห็นน้องปล่อยไอ้พวกปากแดง ๆ หัวตั้ง ๆ เข้าไปทุกที เด็กพวกนี้ปล่อยให้ทำอะไรตามใจไม่ได้หรอกนะคะ เดี๋ยวก็จะได้ใจไปใหญ่ อีกหน่อยก็คงแต่งหน้าเป็นงิ้วมาโรงเรียนกันตามสบาย”

   จรัสตะวันชินกับการฟังคนอื่นพูดยาว ๆ และชินกับการที่ใครจะมาบอกว่าเห็นเธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วทำไมบางอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ทำไมบางอย่างเธอทำแบบนั้นซึ่งเธอไม่น่าทำ

   “ค่ะ” เธอก็ยังคงตอบรับสั้น ๆ แสดงว่าเธอรับรู้แล้ว

   “ครูจรัสนี่ดื้อเงียบนะคะ” ครูคนนั้นต่อว่าเธอตรง ๆ อย่างเหลืออดเต็มทน

   คราวนี้จรัสตะวันไม่มีการตอบกลับใด ๆ เธอหันไปให้ความสนใจนักเรียนที่เริ่มทยอยกันมามากขึ้น เป็นการยืนเวรเช้าที่น่าเบื่อหน่ายเมื่อต้องทนฟังครูที่อยู่เวรด้วยกันจับผิดนักเรียนเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็พาลค่อนแคะมาถึงเธอที่เหมือนไม่ช่วยกันดูแล แค่มายืนรับไหว้เด็กพอให้หมด ๆ หน้าที่ไปเท่านั้น จรัสตะวันยังคงเงียบเฉยต่อคำตำหนิที่พาดพิงมาถึงเธอ เด็กนักเรียนเหล่านี้กำลังเป็นวัยรุ่นก็ย่อมอยากสวยอยากงามตามแฟชั่นเป็นธรรมดา เธอดูแล้วว่าพวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเกินขอบเขตจนน่าเป็นห่วงก็ไม่อยากไปทำลายความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ยกเว้นบางคนที่เป็นแฟนกัน เดินจับมือกันมา ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจึงจะอบรมและคาดโทษไว้

   รถของชีวินขับผ่านออกไป และครูเวรร่วมกันก็ตาไวพอ ๆ กับคำพูด

   “เอ๊ะ! นั่นน้องสาวครูจรัสนี่คะ ทำไมไปกับหมอวินเสียล่ะคะ”

   “ค่ะ” จรัสตะวันยังคงอดทนได้ดีกับคำพูดของคนที่มีความเหยียดหยันแฝงอยู่

   “เมื่อคืนไปรับยายของสุภากับหมอรัญเหรอคะ แล้วเป็นอย่างไงบ้าง” คนถามเหมือนกับว่าหาจังหวะที่ถามเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อสบช่องเพียงนิดก็รีบลากเข้ามาคุยทันที

   “ก็เรียบร้อยปลอดภัยดีค่ะ อีกหกเดือนหมอนัดไปทำอีกข้าง” จรัสตะวันแกล้งไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาอยากรู้จริง ๆ คืออะไร

   “กลับกันมาซะค่ำมืดเชียวนะคะ แล้วทำไมต้องเดินลัดทุ่งกันมาแล้วให้คนขับรถมารับหมอรัญทีหลังล่ะคะ”

   คราวนี้คงอดทนเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้จึงถามออกมาตรง ๆ และจรัสตะวันเองก็ต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดเหมือนกันกับความรู้สึกถูกก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไป

   ครูคนนี้ไม่ได้อยู่บ้านพักในโรงเรียนและไม่ได้พักอยู่ละแวกนี้

   “ค่ะ” จรัสตะวันเริ่มจะหมดความอดทน น้ำเสียงเธอแข็งขึ้นเองโดยธรรมชาติและนั่นก็มีอำนาจพอที่จะทำให้ครูคนนั้นหยุดการก้าวก่ายเรื่องของเธอ แต่มันก็คงหยุดแค่ตอนนี้ หลังจากที่ไปเจอครูคนอื่นก็คงไปขยายความเรื่องของเธอสนุกปาก

   ทำไมเธอไม่เป็นแบบแสงตะวัน ทำไมเธอไม่พูดออกไปว่าเธอจะไปทำอะไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ที่เธอทำได้ก็คือใช้ความเงียบเพื่อยุติทุกอย่าง ความเงียบเป็นสิ่งที่ทำให้คนอยู่ใกล้อึดอัด  เธอรู้ดีและรู้ว่าการเป็นแบบนี้คงยากที่จะมีใครมาอดทนกับเธอได้

   “พี่ก็ฟัง ๆ เขามา เดินกลางทุ่งนาตอนกลางค่ำกลางคืน ทั้งงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เยอะ พี่เป็นห่วงน่ะค่ะ”

   พอระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ได้ ครูคนนั้นก็พูดแก้เก้อออกมา แต่จรัสตะวันก็ไม่สนใจที่จะฟังแล้ว

   นักเรียนทยอยมามากขึ้น เธอสนใจนักเรียนดีกว่า เภตราก็มาแล้ว วันนี้ปั่นจักรยานมาเองหลังจากที่ไม่เห็นปั่นมาเป็นเดือน คงเพราะมีเจมส์มารับมาส่ง แม้จะไม่ได้รับส่งตรงหน้าประตูให้เห็นกับตาแต่การที่เภตราเดินมาโดยมีทั้งกระเป๋าใส่หนังสือเรียนปกติและอีกใบใส่หนังสือสำหรับไปเรียนพิเศษนั้นก็คงไม่ได้ถือเดินมาจากบ้านเอง

   เภตราดูเซื่อง ๆ ซึม ๆ หน้าตาอิดโรยผิดปกติ ขอบตาคล้ำเหมือนคนที่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ เธอก็พึ่งสังเกตเห็นวันนี้ แต่นักเรียนที่เดินตามกันมาติด ๆ ทำให้ไม่เวลาสอบถาม เดี๋ยวมีเวลาอาจจะต้องเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัวเพราะเภตราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

   เธอมองออกไปที่ถนน ทั้งรถรับรับจ้างรับส่งนักเรียน รถของผู้ปกครอง และนักเรียนที่ขี่จักรยานหรือขับรถจักรยานยนต์มาเองเริ่มมามากขึ้นจนกำลังจะกลายเป็นความพลุกพล่านวุ่นวาย ตำรวจจราจรก็เพิ่งมาถึงและเพิ่งเริ่มโบกรถมาจัดระเบียบการจราจร เป็นภาพเหตุการณ์ที่ฉายซ้ำ ๆ ทุกวัน สัญญาณไฟจราจรที่ขอไปก็ยังไม่ได้งบประมาณมาเสียที

   รถคันหนึ่งที่จอดรอสัญญาณมือจากจราจรอยู่นั้นคือรถของรัญรัมภาที่มากับป้ามล

   “นั่นหมอรัญนี่คะ แต่ก่อนตอนเช้าถ้าเห็นไปหาอะไรกินที่ตลาดแบบนี้ขากลับต้องแวะเอาขนมขนมเนยมาฝากครูพัดชาเป็นประจำเลย เขารักกันน่ารักเชียวค่ะ ก็สมกันดีทั้งหน้าตาและฐานะ แต่ครูพัดชาเขาสวยเลือกได้ มีผู้ชายดี ๆ มาขอแต่งงาน หมอรัญเลยอกหักเสียยกใหญ่ ไม่เคยเห็นหมอรัญรักใครเท่าครูพัดชามาก่อนเลย”

   รถของรัญรัมภาเคลื่อนออกไปตามสัญญาณมือของตำรวจจราจร จรัสตะวันยังคงนิ่งเฉยรับไหว้นักเรียนและดูแลความเรียบร้อยเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ครูคนนั้นพูด เรื่องของรัญรัมภากับพัดชาเป็นเหมือนละครที่นำกลับมาฉายใหม่ซ้ำ ๆ เพียงแต่รายละเอียดเนื้อหาที่หยิบมาฉายก็จะแล้วแต่ว่านึกตอนไหนได้ แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยประโยคเดียวกัน จากที่ไม่เคยสนใจและวันนี้คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นมันมีผลกระทบต่อความรู้สึกของเธอมากกว่าทุกครั้ง แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรจรัสตะวันก็ยังคงทำหน้าที่ของเธอไปตามปกติ

   “ถ้าหมอรัญจะมีแฟนใหม่เขาคงต้องหาที่ฐานะดีกว่าและสวยกว่าครูพัดชาแน่ ๆ ไม่งั้นเสียหน้าแย่”

   จรัสตะวันพยายามไม่เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ แต่เธอก็อดที่ก้มมองตัวเองในชุดที่แสนจะธรรมดานี้ไม่ได้ แดดเช้าเริ่มแรงขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับร้อนมาก

   “อุ๊ย! พี่ลืมทาครีมกันแดด เดี๋ยวขอไปทาครีมกันแดดแป๊บหนึ่งนะ น้องจรัสยืนคนเดียวไปก่อนนะ”   

    “ค่ะ” จรัสตะวันคงพูดได้แค่คำสั้น ๆ คำเดิม แต่คงเป็น “ค่ะ” ที่ถูกใจครูคนนั้นที่รีบเดินกลับไปยังโต๊ะเซ็นชื่อ หยิบครีมกันแดดออกมาทาแล้วก็ถือโอกาสแต่งหน้าใหม่หลบร้อนไปในตัว แต่จรัสตะวันกลับยินดีที่จะยืนรับเด็กนักเรียนตามลำพังแบบนี้

   ผ่านการจราจรหน้าโรงเรียนมาได้ รัญรัมภาก็กลับมาใช้ความเร็วได้เหมือนเดิม

   “ข้างหน้านั่นรถหมอวินใช่ไหมคะหมอ” ป้ามลพูดพลางชี้มือไปข้างหน้า รถของชีวินขับช้า ๆ เหมือนคนขับรถกินลมชมวิวด้วยความสบายใจ ไม่เหมือนรัญรัมภาที่ขับค่อนข้างเร็วกว่าทุกวัน

   รัญรัมภามองตรงไปก็พึ่งสังเกตว่าเป็นรถของชีวินจริง ๆ

   “ป้าเห็นตั้งแต่ตอนที่เราจอดติดอยู่หน้าโรงเรียนแล้วว่าเหมือนรถของหมอวินเลี้ยวออกไป แต่ไม่แน่ใจ” ป้ามลพูดโดยที่ไม่ได้หันมามองรัญรัมภา

   “ออกจากโรงเรียนเหรอคะ เขามาทำไมแต่เช้า” รัญรัมภาสะบัดเสียงหงุดหงิดขึ้นมาทันที

   “เขาจีบครูจรัสอยู่นี่คะ ก็ต้องเช้าถึงเย็นถึงเป็นธรรมดา” ป้ามลพูดเหมือนกับไม่รู้สึกถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของรัญรัมภา     

   “ถ้าชอบกันขนาดนี้ ทำไมไม่ลาออกจากงานมานั่งเฝ้าทั้งวันเลยล่ะ”

   เมื่ออยู่กับป้ามลบางครั้งรัญรัมภาก็เหมือนเด็กไม่ยอมโต และยิ่งป้ามลไปเข้าข้างคนอื่นหรือขัดใจเธอก็ยิ่งจะพาลไปใหญ่ นิสัยเสียของเธอก็คือการไม่ชอบให้คนที่เธอรักทุกคนไปสนใจหรือให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่า ไม่เว้นแม้แต่กับป้ามลที่เธอยึดเอาเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไปแล้ว

   “ก็นั่นสิคะ แล้วทำไมตอนนั้นที่ครูพัดชาจะยอมลาออกเพื่อมาดูแลหมอ ถ้าหมอยอมย้ายเข้าไปทำงานที่โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลศูนย์  ทำไมหมอไม่ยอมล่ะทั้งที่หมอก็ย้ายได้ ตอนนั้นก็รักกันปานจะกลืนกินนี่คะ”

   รัญรัมภาพึงรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วที่เก็บความรู้สึกในใจไว้ไม่ได้ ป้ามลก็ยังเป็นคนรู้ใจและรู้ทันเธอเหมือนเดิม

   “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นคะ” คราวนี้ป้ามลถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “ก็ไม่มีอะไรนี่คะ ก็แค่ไปรับยายกลับมาส่งบ้าน” รัญรัมภาเริ่มตั้งตัวได้แล้ว

   “ความจริงแค่ไปรับคนไข้หมอไม่ต้องไปเองก็ได้ หมออย่าปิดบังป้าเลยว่าหมอไปเองเพราะครูจรัส” ป้ามลเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอต้นเสมอปลายจนทำให้รัญรัมภาไม่สามารถปิดบังสิ่งใดได้

   “หมอยอมรับว่าหมอไปเพราะครูจรัส”

   “ไปกับครูจรัสแล้วทำไมตื่นมาหงุดหงิดแต่เช้า ป้าจับเสียงได้ตั้งแต่โทรไปหาป้าแล้วนะ ป้าขอร้องนะคะหมอว่าอย่าล้อเล่น สงสารครูจรัส ” ป้ามลพูดสองเรื่องต่อกันด้วยความอ่อนใจ

   “ก็ป้ารับโทรศัพท์ช้า หมอนึกว่าจะต้องมาคนเดียวแล้ว หมอไม่ได้ล้อเล่น” รัญรัมภาก็ตอบสองเรื่องต่อกันโดยเน้นเสียงหนักแน่นแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ประโยคสุดท้าย แม้แต่คนที่เธอคิดว่ารู้จักเธอดีก็ยังไม่เข้าใจ

   “หมอแน่ใจแล้วเหรอคะ ขนาดครูพัดชาที่ว่ามีทุกอย่างเหมาะสมกับหมอก็ยังพังไม่เป็นท่า ทั้งหมอทั้งครูจรัสป้าก็รักเหมือนลูกเหมือนหลานทั้งคู่ ป้าไม่อยากเห็นลูกหลานของป้าต้องมาเสียใจเพราะความหลงใหลกันแค่ชั่วครู่ชั่วยาม”

   คำพูดของป้ามลที่บ่งบอกความห่วงใยเหมือนญาติผู้ใหญ่ทำให้อารมณ์น้อยใจของรัญรัมภาค่อยลดลง ป้ามลก็ยังคงเป็นคนที่เป็นที่เธอพึ่งพิงได้เสมอ

   “ครูจรัสไม่มีอะไรเหมือนพัดชาสักอย่าง แต่เขามีอะไรหลายอย่างเหมือนหมอมากกว่า หมอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับครูจรัสเพราะหมอรู้ว่าไม่ต้องเสกสรรค์ปั้นแต่งตัวเองเพื่อให้เขาพอใจ และหมอก็พอใจในสิ่งที่ครูจรัสเป็นอยู่เหมือนกัน แค่นี้พอไหมคะป้าที่หมอที่จะคบกับครูจรัส”

   เมื่อฟังรัญรัมภาสารภาพทุกอย่างในใจออกมา ป้ามลก็ถอนหายใจทั้งกึ่งโล่งใจและกังวลใจบางอย่าง

   “เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังนะคะ ป้าก็ไม่ได้รู้ใจครูจรัสว่าจะยังไง รู้แต่ว่าเขาเป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบ ในบรรทัดฐานชีวิตมาก มันยากนะที่เขาจะกล้าหลุดจากกรอบนั้น แต่ก็นั่นแหละค่ะ ป้าก็ไม่รู้ว่าใจเขาเป็นอย่างไง หมอได้ใกล้ชิดเขามากกว่า หมอคงรู้ดีกว่าป้า”

   “หมอเข้าใจค่ะ หมอสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้ครูจรัสต้องลำบากใจ หมอจะเคารพการตัดสินใจของเขาทุกอย่าง”

   เธอขับช้าลงตั้งแต่ที่เริ่มคุยกับป้ามลจึงกลายเป็นขับตามหลังชีวินมาเรื่อย ๆ จนถึงตลาด รถของชีวินเลี้ยวเข้าไปในตลาดทางเดียวกับที่รัญรัมภาจะไปและได้ที่จอดเลยร้านกาแฟไปไม่ไกล

   “วันนี้ไปกินกาแฟสดที่ข้างธนาคารนะคะป้า” อยู่ ๆ รัญรัมภาก็เปลี่ยนใจและมองหาทางที่จะเลี้ยวออก แต่ถนนเส้นนี้เป็นทางบังคับเดินรถทางเดียวที่อย่างไรเธอก็ต้องขับผ่านร้านกาแฟนี้ไปก่อน

   “ยังไม่อยากเจอหมอวินใช่ไหม” รัญรัมภารู้ได้ว่าน้ำเสียงของป้ามลครั้งนี้มีทั้งความห่วงใยและความเข้าใจเป็นพิเศษ

   “ค่ะป้า” รัญรัมภายอมรับง่าย ๆ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังป้ามลอีกต่อไป

   ทั้งรถทั้งคนในตลาดก็พลุกพล่าน ร้านกาแฟของอาแปะก็คึกคักเหมือนทุกวัน รัญรัมภาต้องขับรถตามรถข้างหน้าไปช้า ๆ ยังไม่ถึงร้านกาแฟดีก็เห็นแสงตะวันยืนอยู่หน้าร้านและโบกมือให้

   “คงต้องกินกาแฟร้านอาแปะแล้วล่ะ แสงมาอย่างไง” ป้ามลพูดพลางหันมามองรัญรัมภาที่บัดนี้หน้าตามีแต่ความไม่สบายใจอย่างชัดเจน

   “แต่วินเป็นเพื่อนที่ดีมาก” รัญรัมภายังคงคิดเกี่ยวกับชีวินด้วยความหนักใจ

   ชีวินลงรถมาแล้วและเดินตรงมาหาแสงตะวัน

   “ท่าทางแสงจะมากับหมอวินแล้วลงรถก่อน หมอวินเขาเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดีของหมอ มีอะไรป้าว่าเปิดใจคุยกันดีกว่านะ แต่จริง ๆ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับครูจรัสมากกว่านะ ทั้งหมอและหมอวินไม่มีสิทธิ์คิดหรือบังคับครูจรัสได้” วันนี้ป้ามลพูดยาวเป็นพิเศษ และก็ยิ่งรู้สึกว่าป้ามลเป็นคนที่เข้าใจเธอทุกเรื่องเสียจริง ๆ และยังเข้าใจทุกอย่างอย่างที่คิดไม่ถึง

   รัญรัมภาขับรถเลยรถของชีวินไปอีกสองสามคันจึงได้ที่จอด

   “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับครูจรัส ไม่ใช่หมอหรือหมอวิน จำไว้นะคะ”

   ป้ามลให้กำลังใจก่อนที่เดินนำไปที่ร้านกาแฟ ซึ่งแสงตะวันและชีวินจับจองที่นั่งเผื่อไว้ให้แล้ว






ออฟไลน์ Admin

  • แอดมิน
  • เริ่มติด
  • *****
  • กระทู้: 251
  • I'm sociopath. I don't have feelings.
อัสดงดวงใจ ตอนที่ 19(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 27 มกราคม 2014 เวลา 17:55:23 »
ตอนที่ 19(ต่อ)

   ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเลิกเรียน จรัสตะวันพยายามทำงานให้ยุ่งตลอดเวลา ความจริงก็ไม่ต้องพยายามหางานทำเพราะงานของครูนั้นมันมีมากกว่าการสอนอยู่แล้วและเธอก็ชอบทำงานเงียบ ๆ คนเดียวมากกว่าที่จะไปคุยกับคนนั้นคนนี้ในช่วงที่ไม่มีคาบสอน ขนาดไม่ไปคุยกับใครแต่เธอก็รู้ได้ว่าเรื่องของเธอเมื่อคืนนี้คงแพร่กระจายไปทั้งโรงเรียนจากสายตาแปลก ๆ ที่ลอบมองเธอ หรือวงสนทนาที่รีบสลายตัวหรือทำท่าคุยเรื่องอื่นเมื่อเธอเดินผ่าน

   ช่างมันเถอะนะ เพราะถ้าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่ความจริง วันเวลาก็จะพิสูจน์สิ่งนั้นเอง รัญรัมภาก็ไม่ได้ซื้อขนมแวะมาฝากเธอเหมือนที่เคยฝากพัดชา และก็คงไม่ทำอะไร ๆ ให้เหมือนที่ทำให้พัดชา แค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันไม่ใช่อย่างที่
ใคร ๆ คิดกัน

   เธอก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวัน เลิกเรียนไปดูนักเรียนทำแปลงผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ข้าวในนาใกล้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวเต็มที ลุงภารโรงบอกว่าจะไปหาชาวบ้านที่ยังเกี่ยวข้าวเป็นมาช่วยสอนนักเรียนให้ แต่ถ้าไม่ไหวก็ค่อยไปจ้างรถเกี่ยวข้าวมาช่วยทีหลัง กลับจากดูแปลงผักและท้องนาก็มานั่งพักที่หน้าบ้าน

   แล้วก็รู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น ๆ เธอลืมไปว่าปิดเสียงไว้ตั้งแต่เมื่อคืนหลังจากที่แสงตะวันกลับมา คิดว่าแสงตะวันโทรมา แต่พอหยิบโทรศัพท์มาดูกลับไม่ใช่ เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย มีแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้เกือบสิบครั้ง เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะปกติไม่ค่อยมีใครโทรศัพท์หาเธอติด ๆ กันแบบนี้ นอกจากน้องสาวและเพื่อนสนิทสองสามคน นาน ๆ ครั้งก็มีเพื่อนเก่าโทรมาบ้างรวมทั้งระยะหลังก็มีพัดชามาอีกคนเท่านั้น แม้จะสงสัยอยากรู้ว่าใครโทรมาบ้างแต่ต้องรับสายที่กำลังโทรเข้ามาก่อน

   “อาจารย์จรัสตะวันหรือเปล่าคะ” เสียงใส ๆ จากปลายสายเรียกชื่อเธออย่างเกรงใจเมื่อเธอรับสาย

   “ใช่ค่ะ” เสียงคุ้น ๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นเพื่อนคนไหน

   “อาจารย์ขา หนูกิ๋ง กิ่งกาญจน์ นะคะ จำหนูได้ไหมคะ” เสียงนั้นตื่นเต้นดีใจเมื่อรู้ว่าเป็นเธอ จรัสตะวันนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่งก่อนที่นึกได้

   “อ๋อ กิ๋ง ครูจำได้แล้วค่ะ เป็นอย่างไงบ้าง เรียนปีสามแล้วใช่ไหม” เมื่อนึกได้ข้อมูลทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาเหมือนเก็บไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์

   “ดีใจจังเลยค่ะ อาจารย์จำหนูได้ อาจารย์สบายดีนะคะ”

   หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้วกิ่งกาญจน์ก็พูดเข้าเรื่องที่เธอตัดสินใจเสี่ยงโทรศัพท์โทรมาหา

   “โชคดีจังเลยค่ะ อาจารย์ไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ คือหนูรับหน้าที่หาสถานที่ออกค่ายตอนปิดเทอมนี้ แต่หนูเป็นคนกรุงเทพนี่คะ หาข้อมูลในอินเทอร์เนตก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นอย่างนั้นไหม หนูเลยนึกได้ว่าอาจารย์ย้ายกลับมาสอนต่างจังหวัดแล้ว จังหวัดที่อาจารย์สอนมีโรงเรียนที่พวกหนูจะไปออกค่ายได้ไหมคะ”

   คุยรายละเอียดเกี่ยวกับการออกค่ายไป เธอก็พยายามนึกถึงโรงเรียนประถมในละแวกนี้ โรงเรียนที่เธอสอนนี้ไม่เหมาะสำหรับนักศึกษาออกค่าย เพราะถือได้ว่าเป็นโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอและกำลังได้งบประมาณการพัฒนามากขึ้นทุกปี สุดท้ายก็นึกถึงโรงเรียนประถมที่เธอเคยเรียนในวัยเด็กที่เคยขาดแคลนอย่างไร ปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาดีขึ้นนัก

   “พวกหนูจะมาสำรวจกันกี่คน ครูจะได้เตรียมที่พักไว้ให้ โรงเรียนครูพอจะมีบ้านพักครูว่างอยู่ จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าที่พัก” จรัสตะวันเข้าใจดีว่าการออกค่ายนั้นส่วนใหญ่นักศึกษาต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเอง เงินบริจาคที่ได้มาก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด

   “ขอบคุณค่ะอาจารย์ พวกหนูไปสามคนค่ะ แต่มีผู้ชายคนหนึ่งนะคะ”

   หลังจากนัดแนะเวลากันดีแล้ว จรัสตะวันก็วางสายด้วยความอิ่มเอมใจ คนเป็นครูจะมีความสุขอื่นใดที่มากไปกว่าการที่เห็นลูกศิษย์เป็นคนดี โดยเฉพาะลูกศิษย์ที่เกือบจะเสียคนไปแล้วสามารถกลับมาอยู่ในเส้นทางที่เหมาะสมได้

   กิ่งกาญจน์  เป็นลูกศิษย์ที่สนิทสนมตั้งแต่ช่วงที่สอนอยู่กรุงเทพ ครอบครัวฐานะดีมาก แต่ไม่ตั้งใจเรียน ครั้งหนึ่งเคยโดดเรียนไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าแล้วถูกสารวัตรนักเรียนจับได้ เธอในฐานะครูประจำชั้นขณะนั้นจึงต้องร่วมสอบสวนด้วย และก็พึ่งรู้ว่ากิ่งกาญจน์โดดเรียนวิชาอื่นบ่อยครั้งและค้างส่งงานหลายวิชา จึงเป็นหน้าที่เธอที่ต้องควบคุมเคี่ยวเข็ญให้ทำงานส่งให้ครบจนกระทั่งเรียนจบได้อย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่เรียนจบแล้ว กิ่งกาญจน์จะนำพวงมาลัยมากราบและบอกว่าเวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลือสำหรับโอกาสสุดท้ายที่จะสอบเข้ามาหาวิทยาลัยของรัฐได้นี้ เธอจะไปเรียนพิเศษและอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าให้ได้ ทั้งที่ความตั้งใจเดิมนั้นจะเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งเข้าได้ง่ายและฐานะครอบครัวก็สามารถส่งเสียได้อย่างสบาย แล้วกิ่งกาญจน์ก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สมใจ

   อีกไม่กี่วันที่แสงตะวันจะกลับไปทำงาน เธอก็ยังโชคดีที่จะมีลูกศิษย์มาหาและมาออกค่ายในช่วงปิดเทอม อย่างน้อยก็คงมีอะไรให้ทำมากขึ้นจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างเงียบเหงาจนเกินไป มีความสุขกับโทรศัพท์ที่วางไปแล้วก็พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เปิดดูสายที่ไม่ได้รับ

   เป็นหมายเลขของลูกศิษย์ที่พึ่งโทรมาเมื่อสักครู่สองครั้ง สายของพัดชาหกครั้งรวมตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเช้า และตอนพักกลางวัน และอีกหนึ่งสายตั้งแต่เช้าก่อนใครเป็นสายของรัญรัมภา

   เธอควรจะโทรกลับไปหาใครไหม ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่พยายามลืมวนกลับมาในความคิดอีกครั้ง แล้วยังคำพูดของครูเวรเช้ารวมทั้งเรื่องราวที่เขาซุบซิบกันมาทั้งวัน แต่รัญรัมภาก็ขับรถผ่านโรงเรียนไปทั้งขาไปและขากลับ ทุกอย่างมันดูสับสน ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร สับสนแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง

   “ครูจำไว้นะ หมอเคารพทุกการกระทำ การตัดสินใจของครู แต่แค่ขอให้ครูทำจากความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นโดยไม่จำเป็น”

    “ให้ทำจากความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นโดยไม่จำเป็น”

   คำพูดของรัญรัมภาแทรกเข้ามาในความคิดอีกครั้ง แต่เธอจะทำตามความรู้สึกของตัวเองคนเดียวได้อย่างไรหากคนอื่นนั้นไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกัน

   เมื่อไหร่แสงตะวันจะกลับมา เธอไม่อยากจะอยู่คนเดียวในภาวะแบบนี้ อยากจะมีใครมาอยู่ใกล้ ๆ ในเวลาที่สับสน อยากจะมีคนปลอบใจ ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาหรือแค่มาอยู่เป็นเพื่อนเฉย ๆ ก็ได้

   ลึก ๆ แล้วเธอกลัวความเดียวดาย กลัวความผิดหวังจนไม่กล้าที่จะหวังอะไรจากใคร

 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.