สัปดาห์ถัดมาหลังจากการกรอกข้อมูลตามเว็บไซด์เพื่อสมัครงาน
สิตางค์รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นสาวฮอตไปชั่วข้ามวัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอทำงานไม่หยุดหย่อนราวกับ เธอเป็นเซเลปบิตี้อย่างไรอย่างนั้นหลายๆบริษัทที่เปิดเข้ามาเปิดข้อมูลของสิตางค์ก็โทรหานัดเธอเพื่อสัมภาษณ์งานจนแน่นเอี๊ยดโดยส่วนใหญ่ที่ติดต่อเข้ามาก็เน้นหนักเรื่องการใช้ความสามารถทางภาษาซึ่งไม่ยากเกินความสามารถของเธอ แต่เมื่อการสัมภาษณ์ผ่านพ้น ผลกลับไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก
บ้าง..ก็ใช้งานเธอเยี่ยงทาสแม้จะจ่ายมากตามที่เธอต้องการ บ้าง..มีชั่วโมงการทำงานที่พอเหมาะแต่กลับก็ต่อรองเงินเดือนจนน่าใจหาย ไม่เพียงจะใช้ไม่พอใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น แม้แต่เงินเก็บที่เธอหวังจะมีไว้เพื่อใช้เรียนต่อต่างแดนก็ยังไม่มีอีกต่างหาก
ช่างไม่มีความพอดีกันซะเลย ให้ตายเหอะ!
“อย่า!เพิ่งท้อแก นี่ผ่านไปแต่สี่วันเอง กระดิ่งยังไม่ดังแกอย่าเพิ่งหมดหวังนะ” ดรุณีปลอบใจเพื่อนสนิทเมื่อต้องนั่งรับประทานอาหารจานด่วนด้วยกันในช่วงเย็น หลังจากที่ลงทุนหยุดงานและตามหญิงสาวไปสัมภาษณ์ด้วยกันทุกที่
“ฉันรู้..แต่ก็ห้ามไม่ได้..ฉันหยุดความเครียดไม่ได้จริงๆนะแก” สิตางค์หน้ามุ่ย ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและหยิบหลอดเพื่อสูดความสดชื่นของชามะนาวเย็นเฉียบที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟ
“เฮ้ยๆแก..มีสายเข้าน่ะ” ดรุณีชีไปที่ศัพท์เคลื่อนที่ของสิตางค์ซึ่งเบอร์โชว์แปลกและไม่เคยปรากฎมาก่อน แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะหมดอาลัยตายอยากแล้วจริงๆกับการหางานในวันนี้
เธอใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแก้วชามะนาว พลิกโทรศัพท์ให้หน้าจอคว่ำลงและกดปิดเสียง จนเพื่อนสาวงงงวยไม่หายที่เห็นเธอทำเช่นนั้น
“เฮ้ย!ไม่รับว๊ะ?” ดรุณีหน้าบึ้ง รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่สิตางค์ยังคงเพิกเฉยแทนที่จะกระตือรือล้น เธอจึงรีบพลิกโทรศัพท์และยื่นไปตรงหน้าของหญิงสาวตาโตซึ่งนั่งหน้านิ่งและเลือกจะดูดชามะนาวในแก้วต่อไป
“ฉันรู้ว่าแกเซ็งเว้ย แต่บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่มันอาจจะไม่ทำให้เธอเหนื่อยใจไปมากกว่านี้ก็ได้นะโว้ย ฉะนั้น รับ สาย ซะ”
อารมณ์หงุดหงิดของดรุณีมากยิ่งขึ้นที่เห็นสิตางค์มองโทรศัพท์อย่างเฉยเมย เธอไม่อยากจะคิดแทนและเป็นผู้รับสายซะเองในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้เพื่อนที่นั่งหน้าเซ็งโลกต้องเสียโอกาสดีๆไปหามีงานที่เหมาะสมติดต่อเข้ามา
“ฉันอยากจะฆ่าแกซะจริง ถ้าเป็นงานดีๆติดต่อเข้ามาอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ได้ผล! คำพูดของดรุณีกระตุ้นสำนึกของสิตางค์ มือบางๆเอื้อมมือกดรับสายเรียกเข้าได้ทันในวินาทีสุดท้าย และดูจากสีหน้าของเธอ การพูดคุยราวสามนาทีน่าจะเป็นไปในทิศทางทีดีมากกว่าแย่
“ได้ค่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันเก้าโมง สวัสดีค่ะ” สิตางค์วางสายหลังจากสนทนาไปได้ไม่กี่นาทีสีหน้าของหญิงสาวดูสดใสขึ้นหลังจากที่ได้รับรู้ต้นสายปลายทางที่ติดต่อมา
“ซินเทียโปรดักส์เฮ้าส์ นัดสัมภาษณ์พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง แกไปกับฉันนะ” ฟังแค่ชื่อที่เพื่อนสาวบอกทำให้ดรุณีตาโตตาม แค่ได้ยินบริษัทโปรดักส์ชั่นขนาดใหญ่ที่ผลิตงานด้านบันเทิงอันดับต้นๆของวงการ คนที่ทำงานในนี้ถ้าไม่มีความสามารถจนคับแก้ว ก็ต้องมีลักษณะที่โดดเด่นมีชื่อเสียงในระดับแถวหน้า หนึ่งในนั้นคือเพื่อนของเธอซึ่งก็กำลังจะได้โอกาสนั้น แต่เจ้าตัวเองกลับชั่งใจเล็กน้อย เพราะบริษัทนี้ก็จัดเป็นธุรกิจประเภทเดียวกับที่เธอเคยทำงาน แต่หญิงสาวเองก็เลือกที่จะไปตามนัด การเป็นคู่แข่งกันของทั้งสองบริษัท อีกทั้งหน้าที่ของเธอก็แตกต่างจากที่เก่าคงจะไม่ง่ายนักที่ทั้งสองบริษัทนี้จะโคจรกลับมาพบกัน และโลกก็คงไม่ใจร้ายเหวี่ยงผู้ชายเลวๆอย่างแดเนียลมาอยู่ในชีวิตเธอแน่ๆ
“ด้วยความยินดีค่ะคุณนาย งั้นมื้อนี้แกเลี้ยงฉันนะโทษฐานที่ทำให้ฉันหัวเสียและปากเปียกปากแฉะกว่าจะรับสายได้”
“ย่ะ” สิตางค์เริ่มยิ้มออก การรับสายเมื่อสักครู่คงทำให้อาหารในมื้อนี้มีรสชาติดีกว่าเดิม
แต่เมื่อถึงเวลานัดหมาย ก็มีแต่สิตางค์ที่เดินทางไปยังโปรดักส์ชั่นชื่อดังย่านแจ้งวัฒนะคนเดียว เพราะดรุณีถูกตามตัวด่วนเพื่อประชุมงานอีเว้นท์ใหญ่ซึ่งกำลังจะเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนดังกับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบสี่จีแต่เช้าตรู่
“เออ…ไม่เป็นไร ฉันมาถึงแล้ว แกลุยงานของแกให้เต็มที่ มีอะไรคืบหน้าฉันจะโทรรายงานเป็นระยะ ไม่ต้องห่วงนะคุณเพื่อน”
เธอเดินเข้าไปในอาคารสูงดังกล่าวด้วยความมาดมั่น เดินเข้าไปแลกบัตรก่อนจะขึ้นไปยังชั้น 13 ของอาคาร ซึ่งทั้งฟลอร์เป็นส่วนของฝ่ายบุคคลทั้งหมด
เธอใช้เวลากรอกประวัติเพียงไม่กี่นาที และไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เรียกเธอเข้าสัมภาษณ์
“โชคดีนะคะน้อง”พนักงานสาวผมสั้นอวยพรเธอเบาๆก่อนปิดประตูให้สิตางค์เพื่อเข้าสู่ด้านใน
ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องปะทะกับผิวของหญิงสาวที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าประตูยังไม่ทำให้เธอรู้สึกหนาวยะเยือกเท่ากับเห็นหน้าผู้ชายที่พอกหน้าจนขาวและนั่งนิ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับเธอคือเบลล่าที่กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้นำของพวกโวลตูรี่ในอาณาจักรโวเตอร์ร่าของพวกเขา
แต่เอาเข้าจริงกระทาชายนายนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด ตรงกันข้ามที่เขาสุภาพ เรียบร้อย สมเป็นสุภาพสตรี เอ๊ย สุภาพบุรุษ คำพูดคำจาออกให้เกียรติผู้หญิงแท้อย่างเธอด้วยซ้ำ ชมเปาะตั้งแต่แรกเห็นหน้าตาและกริยาที่แสดงนอบน้อมของเธอ ลดความประหม่าในการพูดคุยกันระหว่างเขาและเธอไปได้มากโข
“ขอบคุณที่ไม่กลัวพี่เวลาสัมภาษณ์นะคะ ขอโทษทีโบท็อกยังที่หน้ายังไม่เข้าที่ เฮ้อเกิดเป็นผู้หญิงอย่างเราๆนี่ก็ลำบากแบบนี้ใช่ไหมคะคุณน้อง?” สิตางค์พยักหน้าหงึกๆแสดงการตอบรับกับประโยคนั้น
“คุณพี่พูดไม่ผิดสักคำเลยค่ะ เป็นผู้หญิงอย่างเราๆอย่า!หยุดสวยค่า”
“ใช่ค่ะคุณน้อง พูดได้ดีมากๆ แต่การตอบคำถามนี้และการสัมภาษณ์ทั้งหมดไม่มีผลต่อการจ้างงานนะคะ ถึงพี่จะเป็นหัวหน้าหนูโดยตรง แต่พี่ก็ไม่สามารถจ้างหนูทำงานได้ค่ะ”
เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางหน้าเล่นเอาหญิงสาวหน้าเหวอไปชั่วขณะ อะไรกันที่พูดมาทั้งชั่วโมงจนน้ำลายเหือดแห้ง ไม่มีผลอะไรเหรอ?
“แต่ไม่ต้องตกใจไป เพราะอีกไม่นานท่านจะมาแล้ว…นั่นไง” กระทาชายนายนั้นชี้ไปยังประตูที่กำลังเปิดออก และแสดงความเคารพจนเหมือนกำลังจะลงไปกราบที่พื้น เมื่อเห็นบุรุษแท้ๆคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนซึ่งสวมแว่นและชุดยูนิฟอร์มของบริษัทเช่นเดียวกับกับเขา
“นี่คือรีซูเม่และผลการสอบถามคร่าวๆเมื่อสักครู่ค่ะ ปูเป้กราบลาเลยนะคะ” กระทาชายคนนั้นยื่นกระดาษให้เขาด้วยท่าทีนอบน้อมและฉีกยิ้มให้เธอก่อนจะย่างกรายออกไป
“ฉันอ่านประวัติเธอแล้วค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” ชายคนนั้นเริ่มพูดขึ้น เสียงทุ้มต่ำของเขาดูมีอิทธิพลและน่าเกรงขาม ขัดกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัยที่ล่วงเลยไปมากแล้ว เขาเลือกที่จะนั่งลงใกล้ๆเธอ อ่านคำวิจารณ์ในกระดาษของคุณปูเป้ และเงยหน้าขึ้นพูด
“รู้ตำแหน่งหน้าที่ของเธอหรือยัง? ปูเป้ได้บอกเธอหรือไม่ว่าเธอต้องทำงานสองหน้าที่?”
“คะ..?” ตอนที่สมัครงานกับซินเทีย มีเพียงตำแหน่งผู้จัดการส่วนบุคคลเท่านั้นนี่ที่ระบุไว้ เอ๊ะ! หรือเป็นเพราะเธออ่านตกไปตรงไหนถึงได้ไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ถูกจ้างมาเป็นงานควบคู่กัน
“ไม่ต้องงงหรอก ในหน้าเว็บเขียนไว้แบบนั้นจริงๆ” ชายชราฉีกยิ้ม หันไปรับแฟ้มบางๆจากผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังแล้วยื่นมาให้เธอที่ยังคงนั่งงงอยู่อย่างนั้น
“นี่เป็นประวัติของหลานสาวของฉัน” สิตางค์นั่งนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ชายคนนั้นพูดพร้อมๆกับเปิดแฟ้มอ่านทีละหน้า
“เธอชื่ออลิซเบซ หวัง เธอเป็นหลานสาวคนเดียวของฉัน กำลังจะเดินทางจากอเมริกาเพื่อมาทำงานที่เมืองไทยในฐานะช่างภาพอิสระเป็นเวลาสามเดือน” รูปของผู้หญิงคนนี้ซินะที่เขาหมายถึง เธอคือสาวเอเชียที่หน้าหวาน ตาสวย ผมยาว แต่การแต่งตัวดูเท่ห์ และบางรูปก็คล้ายเป็นสาวห้าว ไม่เหมือนกับสาวๆในสมัยปัจจุบันที่เน้นความเซ็กซี่และสามารถเห็นได้ดาษดื่น
“แต่ฉันเองออกหน้าไม่ได้ พ่อของหลานสาวกับฉันไม่ถูกกัน และอลิซเองก็เลือกจะมีอคติกับฉันด้วย ฉันจึงถือโอกาสนี้ฝากให้เธอดูแลเขาให้ดีๆระหว่างเขาเดินทางกลับมาที่แผ่นดินแม่ซึ่งนี่ก็คือหน้าที่หลักของเธอ”
ชายชราเริ่มนิ่งเงียบ น้ำตาซึมเล็กน้อยเมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ของเขาและหลานสาวที่ดูไม่ลงรอยกันนัก ตาแดงๆคู่นี้กำลังทำให้เธอเริ่มเห็นใจ เปิดกระเป๋าส่วนตัวหยิบทิชชู่ยื่นให้อย่างเร็ว
“หนูเข้าใจท่านค่ะ หนูจะทำหน้าที่นี้แทนท่านให้ดีที่สุด อย่าได้กังวลไป”
“ขอบใจมากนะสิตางค์” ชายชราหยิบทิชชู่ขึ้นซับน้ำตาเบาๆ ก่อนจะยิ้มและเริ่มเอ่ยถึงหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่เธอจำเป็นต้องทำให้สำเร็จด้วยเช่นกัน
“เธอยังมีอีกหนึ่งงานที่ต้องทำนั่นคือการเป็นแม่สื่อเพื่อให้หลานสาวฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันเลือกไว้ภายในระยะเวลาสามเดือนนับจากนี้ ฉันเข้าใจดี มันอาจจะเป็นงานที่ยากสำหรับเธอ แต่ฉันก็คงต้องขอร้องให้เธอช่วย ฉันได้ข่าวไม่ค่อยดีนักว่าหลานของฉันกำลังจะแต่งงานกับคนไม่เหมาะสม ไม่มีตาที่ไหนหรอกที่อยากเห็นหลานอยู่กินกับคนที่ไม่ดี ไม่คู่ควร ฉันพร้อมจะจ่ายให้เธออีกห้าล้านและมากกว่านั้น ขออย่างเดียวกรุณาช่วยทำเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วย” โดยส่วนตัวเธอไม่ชอบบังคับจิตใจใครและไม่ชอบให้ใครมาบังคับจิตใจ เธอควรจะปฏิเสธงานนี้ แต่น้ำเสียงที่อ้อนวอนของเขารวมถึงท่าทางที่แสดงออกกลับทำให้สิตางค์คิดหนัก
ช่วยหรือไม่ช่วย? ฉันควรจะเลือกสิ่งไหนดี?
ชายชรายิ้มอย่างมีชัยเมื่ออยู่ตามลำพังกับเลขาเก่าแก่ของเขา สิตางค์กลับไปแล้วและขอใช้เวลาคิดก่อนจะให้คำตอบในอีกสองวัน
“อย่า!เครียดไปเลยนะศิรี ฉันพนันได้เลยว่าเด็กคนนี้จะต้องยอมทำงานนี้แน่นอน งานมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก ค่าตอบแทนที่ได้ก็คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม”
“ดูยังไงเธอก็เหมือนคุณหนูนะคะท่าน” เขาพยักหน้าช้าๆก่อนยอมรับว่าตัวเขาเองก็อึ้งไปไม่น้อยเมื่อได้เห็นหน้าของหญิงสาวทั้งรูปถ่าย โดยเฉพาะหน้าจริงๆของเธอ ทำให้เขาเกือบคิดว่าบุตรสาวของเธอยังมีชีวิตอยู่
“ฉันถึงเลือกแม่หนูคนนี้ไงล่ะ และฉันก็มั่นใจ” เขาหันมายิ้มอย่างมาดมั่นให้กับผู้ถามที่กำลังรอคำตอบ “ผู้หญิงคนนี้จะทำให้ยัยอลิซยอมทำในสิ่งที่ฉันกำหนดอย่างแน่นอน”
ในขณะที่ชีวิตของคนในโลกฝั่งตะวันออกยังคงวุ่นวายในความคิดแต่คนในซีกโลกฝั่งตะวันตกก็วุ่นวายทางการกระทำ
กล่องมากมายถูกแพคและบรรจุเพื่อเตรียมขนย้ายโดยแม่บ้านของอพาร์ทเมนต์ที่เจ้าของห้องจ้างเป็นพิเศษเพื่อกาลนี้โดยเฉพาะ ในขณะเดียวกันเจ้าของห้องสุดเท่ห์กำลังเก็บกล้องถ่ายรูปตัวโปรดลงในกระเป๋าเดินทางอย่างทะนุถนอม
“ของในกล่องนี้คุณอลิซจะให้ดิฉันส่งให้ตามที่อยู่นี้เลยใช่ไหมคะ?” เจ้าของห้องสุดเท่ห์พยักหน้าตอบรับทันทีที่เห็นแม่บ้านชาวแม็กซิกันยกกล่องกระดาษลูกฟูกขนาดหกนิ้วขึ้นโชว์
“รบกวนป้าด้วยนะคะ”
“รบกวนอะไรกันคุณอลิซ…” ภาษาอังกฤษในสำเนียงแม็กซิกันที่แปล่งๆ ทำให้เจ้าของห้องถึงกับยิ้ม เธอเดินเข้ามาใกล้หญิงวัยกล้าคน ฉวยร่างของท้วมๆซึ่งที่มีความสูงเพียงระดับอกของเธอมากอด
ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่อยู่นิวยอร์ค มหานครที่วุ่นวาย ผู้หญิงชาวแม็กซิกันผู้นี่นี่แหละคือมิตรที่ดีต่อเธอเสมอมา จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกใจหายเมื่อต้องจากกันไปและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบกันอีกครั้ง
“ดิฉันคงคิดถึงคุณน่าดูเลย”
“อย่า!เศร้าน่ะคุณนายมาท่าห์” อลิสเบซเย้าแหย่เพื่อให้แม่บ้านชาวละตินอารมณ์ดี เธอไม่ต้องการเห็นน้ำตาของในวันจากลา “ถ้าโชคชะตาไม่เล่นตลก และดวงของเราสมพงษ์กัน เราต้องได้เจอกันแน่นอน”มือข้างหนึ่งที่สวมกอดละมาเพื่อค้นหาซองในกระเป๋ากางเกงซึ่งเธอได้เตรียมไว้ให้แม่บ้านชาวละตินโดยเฉพาะ
“นี่เป็นสินน้ำใจจากฉันรับไว้ด้วยนะ” หญิงละตินรับซองนั้นด้วยความตื้นตัน
“ขอพระเจ้าอวยพระพร ขอให้คุณโชคดีนะคะ”
“เด นาด้า” (ด้วยความยินดี) เจ้าของห้องขานรับเป็นภาษาสเปน แม่บ้านละตินยิ้มกว้างปาดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความปิติเมื่อต้องจากลา ขอตัวกลับเมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมกับกล่องลูกฟูกที่เธอสัญญากับเจ้าของห้องว่าต้องไปส่งให้ถึงมือผู้รับด้วยตัวเอง
“พรุ่งนี้รถแท็กซี่จะมารับคุณเวลาหกโมงเช้านะคะ” เธอไม่ลืมที่จะบอกก่อนจากเดินออกไป และเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องก็หันหลังกลับเข้าห้องนอนทันที เธอเดินไปที่เตียงนอนล้มตัวและซบหน้าลงกับหมอนนุ่ม พยายามข่มตาหลับทั้งๆที่เหลือเวลาอีกไม่นาน
การเดินทางสู่แผ่นดินแม่กำลังจะเริ่มต้นแล้ว