ตอนที่ 5
เวลา 11.06 น. ของวันอาทิตย์
ล้อรถอีโคคาร์สีขาวมุกค่อย ๆ ชะลอความเร็วของการหมุน ก่อนจะหยุดนิ่งตรงหน้ารั้วบ้านของสองแม่ลูก อรทัยและอรินทิพย์
ปณิตาให้เด็กน้อยเป็นทัพหน้าเดินตะลุยไปเปิดทาง ไขกุญแจรั้วและกุญแจประตูหน้าบ้าน ส่วนเธอนั้นช่วยจับมือโอบไหล่ พยุงร่างคุณแม่ของเด็กสาวเดินตามเข้าไป หลังจากปฏิบัติภารกิจรับคนป่วยกลับมาส่งถึงบ้านสำเร็จแล้ว แทนที่ปณิตาจะขอตัวกลับ หญิงสาวรู้สึกว่าอยากจะหาเรื่องหาข้ออ้างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้กับเด็กน้อยต่อไป
“นี่ก็สิบเอ็ดโมงแล้ว เราออกไปหาซื้อข้าวกลางวันมากินด้วยกันดีกว่า”
สรรพนามคำว่า “เรา” ในที่นี้ใช้แทนคำนามพหูพจน์
หลังประกาศความคิดของตัวเองจบปุ๊บก็บอกกับอรทัยว่าจะรีบกลับมา เมื่อเห็นคนเป็นแม่ของเด็กสาวส่งยิ้มให้ ปณิตาก็ไม่รอช้า คว้าข้อมือลูกสาวเจ้าของบ้านเดินดุ่มออกไปนอกบ้านทันที
รถสีขาวคันเล็กเลี้ยวออกจากปากซอยทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเสียงหวานนุ่มของคนขับที่เอ่ยถามความเห็นของคนนั่งเบาะหน้าข้างกัน
“กินอะไรกันดีล่ะ?”
“อืม... คุณแม่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดค่ะ”
หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะมันหมายความว่าเด็กน้อยนึกถึงบุพการีก่อน เป็นเด็กดีจริง ๆ ปณิตาคิดพลางหันไปส่งยิ้มกว้างให้อรินทิพย์
“ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าอร่อยอยู่ที่ไหน บอกทางพี่เลยค่ะ เนวิเกเตอร์”
หญิงสาวขยับมือขยับเท้าบังคับรถไปตามทางที่เนวิเกเตอร์หน้าตาน่ารักชี้นำพลางขยับปากพูดชวนคุยไปด้วย
“น้องอินบอกว่าคุณแม่มีอาชีพทำอาหารขายใช่ไหม?”
“ค่ะ เป็นร้านรถเข็นขายข้าวแกงถุง มีโต๊ะสี่ห้าโต๊ะเผื่อใครสั่งข้าวราดแกงนั่งกินที่ร้านเลย แม่อินเข็นรถออกมาตั้งร้านขายตรงทางเดินใกล้ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านนี่แหละค่ะ”
“แล้วขายดีไหม?”
“ขายดีอยู่ค่ะ หลังหักต้นทุน ได้กำไรวันหนึ่งอย่างต่ำก็ห้าร้อยบาท”
“ถ้าขายทุกวัน เดือนหนึ่งก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นห้าเชียวนะ พอ ๆ กับเงินเดือนขั้นต่ำของคนจบปริญญาตรีเลย”
“ค่ะ ถ้าขายได้ทุกวันก็คงจะเป็นอย่างนั้น... คุณแม่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ท่านเลยออกไปขายได้ไม่ทุกวันหรอกค่ะ”
ปณิตาเห็นเด็กสาวทำหน้าจ๋อยพูดเสียงเศร้า หญิงสาวจึงพยายามหาประเด็นอื่นมาพูดเพื่อให้อรินทิพย์รู้สึกดีขึ้น
“แม่ขายข้าวแกงแบบนี้ ลูกสาวต้องทำกับข้าวเก่งเหมือนแม่แน่ ๆ เลย”
“ก็... ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ”
เด็กน้อยพูดยิ้ม ๆ อย่างถ่อมตัว คนหาเรื่องพูดยกระดับอารมณ์ได้สำเร็จจึงยิ้มตามและบอกว่า
“ไม่เท่าไหร่งั้นเหรอ พี่ไม่เชื่อหรอกค่ะ เย็นนี้ช่วยแสดงฝีมือ ทำกับข้าวให้พี่ลองชิมหน่อยซิ”
“อินทำเป็นแต่กับข้าวเมนูบ้าน ๆ นะคะ”
ปณิตาหัวเราะเบา ๆ “ว้า~... พี่เป็นคนหัวสูงไฮโซ กินไม่เป็นหรอก พวกเมนูบ้าน ๆ น่ะ พี่อยากกินเมนูไฮโซประมาณว่า... น้ำพริกปลาทู แกงส้มมะละกอใส่ปลาช่อน ไข่ทอดชะอม อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ... น้องอินทำไม่เป็นแน่ ๆ เลย”
เด็กสาวได้ยินเมนูสุดแสนจะไฮโซหัวสูงของเธอแล้วก็ต้องปล่อยเสียงหัวเราะขำดังคิกคัก
“ถ้านั่นเป็นเมนูไฮโซของพี่ ทีหลังอินคงต้องเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าถนัดทำอาหารเมนูไฮโซ”
“ตกลงว่าอาหารเย็นวันนี้มีสามอย่างที่พี่พูดไปเมื่อกี้นะ”
“ได้ค่ะ”
“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว เดี๋ยวเราแวะตลาดสดซื้อวัตถุดิบกันก่อน แล้วค่อยซื้อก๋วยเตี๋ยวเป็ดละกัน”
“ตกลงตามนั้นค่ะ”
.
.
เวลา 12.47 น.
ถ้วยชามสามใบที่เคยใส่ก๋วยเตี๋ยวเป็ดถูกอรินทิพย์ล้างทำความสะอาดแล้วคว่ำลงบนตะแกรงข้างอ่างน้ำ จากนั้นเด็กสาวก็เดินออกจากห้องครัวหลังบ้านไปยังห้องนั่งเล่น ตรงโซฟายาวรูปตัวแอลมีคนนั่งอยู่สองคน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงหวานนุ่มของพี่ปริมคุยกับคุณแม่ของเธอเรื่องอาหารการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของคนป่วยโรคมะเร็ง เด็กสาวทิ้งตัวลงนั่ง ร่วมวงฟังด้วยแล้วก็ต้องรู้สึกทึ่ง เพราะพี่ปริมพูดบรรยายชนิดและสรรพคุณของอาหารต่าง ๆ ให้ฟังราวกับว่าผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการมาเอง อรินทิพย์นั่งฟังจนกระทั่งคุณพี่คนสวยบรรยายจบก่อนจะยกมือถาม
“พี่ปริมไปรู้มาจากไหนคะเนี่ย?”
“ก็... โทรถามหมอบ้าง อ่านเองบ้าง”
“เคยมีคนใกล้ตัวป่วยเป็นมะเร็งเหรอคะ?”
“เปล่าค่ะ เพิ่งจะมีคนใกล้ตัวที่รู้จักป่วยเป็นมะเร็งคนแรก”
พี่ปริมพูดยิ้ม ๆ
อรินทิพย์มองสบตาของคุณพี่คนสวยด้วยสายตาซาบซึ้งได้ไม่นาน ต่อด้วยการก้มหน้าอมยิ้มเพราะเขิน เด็กสาวพูดเสียงอุบอิบ
“อินกับคุณแม่เป็นคนใกล้ตัวของพี่ปริมด้วยเหรอคะ?”
“อื้อ... ใกล้สิ ไม่ต้องเอื้อมก็ถึงแล้วเนี่ย เห็นไหมว่าใกล้กันขนาดไหน?”
คนบอกว่าใกล้พิสูจน์คำพูดของตัวเองให้เธอดูโดยการส่งมืออ้อมต้นคอเธอไปจับไหล่ ดึงเธอเข้าแนบชิดลำตัวแถมเอียงหัวเข้ามาหา เด็กสาวรู้ซึ้งถึงความใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของพี่ปริมโชยมาเข้าจมูกเลยทีเดียว และนั่นก็ทำให้อรินทิพย์เริ่มตั้งข้อสงสัย
เอ... พี่ปริมใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไรหนอ?
มันผสมสารออกฤทธิ์ทำให้คนสูดดมใจเต้นเร็วขึ้นด้วยหรืออย่างไร?
“แม่ขอตัวไปนอนพักในห้องก่อนนะ ตามสบายนะคะคุณปริม”
เสียงของคุณแม่ทำให้เด็กสาวที่กำลังเคลิ้มกับกลิ่นหอมและอ้อมกอดกลาย ๆ ของพี่สาวคนสวยถึงกับเกิดอาการสะดุ้งนิด ๆ
อรินทิพย์เดินไปส่งคุณแม่เข้าห้องนอนที่อยู่บนชั้นสองของบ้านแล้วเดินกลับลงมาหาพี่ปริมซึ่งยังคงนั่งอยู่ตรงโซฟาที่เดิม
“เอ่อ... กว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นนี่ก็อีกนานเลยนะคะ พี่ปริมจะอยู่รอใช่ไหม?”
“ค่ะ พี่ไม่รู้ว่าจะไปไหนดีนี่นา”
“จะดูทีวีไหมคะ?”
แทนที่จะตอบคำถาม พี่ปริมกลับยิงคำถามกลับมา
“น้องอินตั้งใจว่าจะทำอะไรล่ะ?”
“อินว่าจะอ่านหนังสือ”
“งั้นก็ไปอ่านหนังสือเถอะค่ะ พี่จะนั่งดูทีวีฆ่าเวลาอยู่ข้างล่างนี่แหละ”
เด็กสาวเดินเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น รินน้ำดื่มใส่แก้วทรงสูงมาเสิร์ฟให้แขกของบ้านก่อนจะพูดขอตัว
“อินไปอ่านหนังสือละนะ”
“ค่ะ”
“ถ้ามีอะไรก็ขึ้นไปหาอินนะคะ ขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องของอินอยู่ทางซ้ายมือค่ะ”
“โอเค รับทราบค่ะ”
อรินทิพย์คลี่ยิ้มหวานส่งท้ายให้พี่สาวคนสวยก่อนจะเดินขึ้นชั้นสอง หายตัวเข้าไปในห้องของตัวเอง เด็กสาวนั่งก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสืออ่านทบทวนบทเรียนและทำแบบฝึกหัด มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำได้เกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถูกโทรศัพท์ส่งเสียงเรียกสั้น ๆ มันเป็นเสียงเตือนจากโปรแกรมสนทนาออนไลน์ เธอจะทำเป็นเมินเฉย เอาไว้อ่านดูทีหลังก็ได้ แต่อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้เธอหยิบโทรศัพท์มาเปิด หน้าจอสว่างวาบ หน้าต่างบานเล็กของโปรแกรมแชทโผล่ขึ้นมา พอเห็นชื่อคนส่ง ยังไม่ทันอ่านข้อความ เธอก็หัวเราะได้แล้ว จะไม่ให้เธอหัวเราะได้ยังไง ก็คนส่งข้อความมาให้นี่ได้ข่าวว่านั่งดูทีวีฆ่าเวลาอยู่ชั้นล่างของบ้านหลังนี้ อรินทิพย์อมยิ้ม กดเข้าไปอ่านข้อความ พี่ปริมส่งมาถามว่า
อ่านหนังสือได้กี่หน้าแล้ว?
หนังท้องตึง หนังตาเลยหย่อน
แอบขึ้นไปงีบหลับแหง ๆ
(แถมสติ๊กเกอร์หญิงสาวเอามือปิดปากหัวเราะฮี่ ๆ)
เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้แอบขึ้นมางีบหลับอย่างที่โดนปรามาส เด็กสาวจึงพิมพ์ข้อความส่งกลับไป
ไม่ได้หลับค่ะ
ทำแบบฝึกหัดจวนจะจบบทแล้ว
(แถมสติ๊กเกอร์เด็กน้อยยิ้มหวานให้หนึ่งอัน)
หลังจากกดส่งข้อความไปได้ไม่นาน เสียงประตูห้องโดนเคาะก็ดังขึ้น เด็กสาวจึงหมุนตัวหันไปพูดกับประตู
“เชิญค่ะ”
คนเปิดประตูโผล่เพียงส่วนหัวเข้ามาในห้องให้เธอเห็น อรินทิพย์จึงหัวเราะคิกคัก
“มีอะไรคะพี่ปริม?”
“ขึ้นมาตรวจสอบดูว่าที่พิมพ์ตอบพี่มาเมื่อกี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้นอนแอ้งแม้งทำตาปรืออยู่บนเตียง”
“นั่งดูทีวีเบื่อแล้วก็เลยอยากจะขึ้นมากวนเด็กที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือก็บอกมาเท้อ~”
ผู้ใหญ่ที่โดนรู้ทันทำปากย่นกลั้นยิ้ม กลอกตาไปมาซ้ายขวา ถึงจะโดนพูดดักทางไปแล้วก็เถอะ ปณิตาก็ยังยืนยันความคิดเดิม ประตูถูกเธอเปิดกว้าง ก้าวเท้าพาลำตัวสูงโปร่งแบบบางเข้ามายืนกลางห้อง เอามือเท้าสะเอวพูดประกาศจุดประสงค์ที่ตนเองมาอย่างชัดเจนว่า...
“ใช่... จะขึ้นมาก่อกวน”
“จะมารบกวนเด็กอ่านหนังสือได้ยังไง ผู้ใหญ่นี่ ไม่น่ารักเลย”
อุ่ย! ถ้าก่อกวนจะถูกเด็กมองว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่น่ารักเหรอ งั้น...
“พี่ไม่กวนก็ได้ ขอมานอนกลิ้งบนเตียงเฉย ๆ ได้ไหม?”
“ได้ค่ะ”
เด็กน้อยเจ้าของเตียงเดินมาเลิกผ้าคลุมที่นอนออกให้แล้วผายมือเชื้อเชิญ ปณิตาจึงเดินยิ้มร่าไปทิ้งร่างลงบนที่นอนซึ่งถูกห่อหุ้มด้วยผ้าปูสีฟ้าลายโดราเอมอน อรินทิพย์จัดการลากพัดลมตั้งพื้นตัวโตมาเสียบปลั๊กเปิดให้บริการอีกหนึ่งตัว
“บ้านนี้ไม่มีแอร์นะคะ พี่ปริมคงไม่ชิน”
“ไม่หรอก มันก็ไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ พี่อยู่ได้ค่ะ พี่ก็คนไทยนะ ชินกับสภาพอากาศแบบนี้อยู่แล้ว พี่ไม่ใช่หมีขั้วโลกรึนกเพนกวิ้นซะหน่อย”
ปณิตาพูดยิ้ม ๆ คราวนี้ผู้ใหญ่ขอเป็นคนเริ่มพูดกวนเด็กก่อนบ้าง เด็กจึงแอบส่งค้อนวงเล็ก ๆ ให้ แต่อย่าหวังว่าเด็กจอมกวนจะยอมโดนกวนอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีทางเสียล่ะ
“ถ้าพี่เป็นหมีขั้วโลกรึเพนกวิ้นจริงละก็ พวกเพื่อน ๆ ร่วมสปีชีส์มาเห็นพี่แล้วคงสงสารแย่ พวกมันคงคิดว่าพี่อดอยาก ผอมเชียว”
“อุ๊ก!”
อรินทิพย์เดินกลับไปนั่งประจำที่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือแล้วพูดตอบกลับมา ทางผู้ใหญ่จึงทำเสียงตลก ๆ เพราะรู้สึกจุกนิดหน่อย เจ็บใจที่เถียงไม่ออก ปณิตาได้แต่สมน้ำหน้าตัวเอง อยากไปพูดเปิดประเด็นให้เด็กหาเรื่องกัดเองนี่ คิดแล้วหมีขั้วโลกผอมโซหรืออาจจะเป็นเพนกวิ้นผอมแห้งก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่งเอาหลังพิงหัวเตียง ศีรษะแปะกับฝาผนังห้อง ปณิตาขอพูดเถียงแบบหัวแปะฝาว่า
“ยังไงซะ โลกนี้ก็ไม่มีหมีขั้วโลกรึเพนกวิ้นตัวไหนหน้าตาดีเท่าพี่หรอก”
คำเถียงของเธอเล่นเอาเด็กน้อยอ้าปากกว้างหัวเราะจนตาปิด
อรินทิพย์ถึงกับต้องเอามือเช็ดน้ำที่ไหลล้นออกทางหางตาเพราะความขำ เด็กน้อยยังคิดคำพูดเถียงเธอกลับมาได้
“อินว่านะ... ในสายตาของพวกหมีขั้วโลกกับเพนกวิ้น พวกมันคงคิดว่าพี่ขี้เหร่ที่สุดมากกว่า... ผอม ๆ สูง ๆ แถมขนก็ไม่มี”
“แล้วในสายตาของน้องอินล่ะ?”
“......”
“หื้ม? ว่าไง? ถ้าจะถามเรื่องหน้าตา มันก็ต้องถามความเห็นจากสปีชีส์เดียวกันสิ น้องอินกล้าพูดไหมว่าพี่ขี้เหร่?”
“......”
เด็กน้อยมองเธอแล้วอมยิ้ม กลอกตาไปมาไม่กล้าพูดว่าอะไร อรินทิพย์หันไปก้มหน้าก้มตาส่งยิ้มให้หน้าหนังสือ ปณิตาจึงหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่นห้อง จากนั้นหญิงสาวก็เอาแต่นั่งนิ่ง สายตามองเสี้ยวหน้าด้านซ้ายของเด็กน้อยซึ่งกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ
มอง...
จ้อง...
ยิ้มหวาน...
(แถมทำตาหวานด้วย แต่เจ้าตัวไม่รู้)
ปณิตาหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นเด็กที่โดนเธอมองจ้องค่อย ๆ ใช้มือยกสมุดขึ้นมาปิดบังใบหน้าด้านซ้าย ปิดกั้นสายตาเธอ
“คิคิ... อะไรกัน พี่ขอมองหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่หน่อยแล้วค่ะ อย่ามามองจ้องกันแบบนี้สิคะ คนตั้งใจอ่านหนังสือเสียสมาธิหมด”
เสียงหวานใสหักเหกระโดดข้ามปีนรั้วสมุดปกอ่อนมาเข้าหู ปณิตาจึงส่งเสียงหวานนุ่มอ้อมสมุดไปเข้าหูอีกฝ่ายบ้าง
“เอ๊! ตั้งใจจริงเร้อ? หนังสือเรียนวิชาอะไรน่ะ? ทำไมอ่านไปยิ้มไป? มันสนุกขนาดนั้นเลยรึไง?”
สมุดปกอ่อนถูกวางลงบนโต๊ะ เผยให้เห็นใบหน้าสวยใสของเด็กน้อยที่เป็นสีแดงเข้มกว่าปกติ
“พี่ปริมอ่า... ไหนว่าจะขึ้นมานอนเฉย ๆ ไม่ก่อกวนกันไง”
เมื่อเจอน้ำเสียงต่อว่าต่อขานติดจะงอแง ผู้ใหญ่ก็เลยยอมเลิกแกล้ง ปณิตาหยิบมือถือของตัวเองมากดเล่น แต่ก็ยังไม่วาย ขออีกสักประโยค...
“ไม่กวนแล้วก็ได้ เดี๋ยวน้องอินไม่รัก”
ทางด้านเด็กน้อย...
ประโยคสุดท้ายที่ผู้ใหญ่พูดทำเอามือขวาซึ่งกำลังกำดินสอกดจรดกับหน้ากระดาษอยู่ เผลอออกแรงกดมากเกินไปจนไส้ดินสอหักดังแป๊ะ ถึงผู้ใหญ่น่ารักจะไม่ก่อกวนเธอด้วยสายตา หันไปก้มหน้าก้มตากดจับจิ้ม ๆ แตะ ๆ มือถือ ไม่มองจ้องเธอเหมือนเมื่อครู่ แต่อรินทิพย์กลับกลายเป็นฝ่ายละสายตาจากหน้าหนังสือ แอบเหล่มองพี่สาวคนสวยเป็นระยะ ๆ เสียเอง กว่าจะตั้งสมาธิให้อยู่กับหนังสือได้ก็นานพอดู
ถามว่าใช้เวลานานเท่าไหร่น่ะเหรอ?
ก็... นานจนเธอเลิกเขินคำพูดของผู้ใหญ่ที่พูดเหมือนกลัวว่าเธอจะไม่รักได้นั่นแหละ
.
.
ปุบ!
เสียงหนังสือเรียนเล่มหนาที่เคยกางอ้าถูกปิดลง
อรินทิพย์ประสานมือสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเหยียดแขนให้ตึง ดัดนิ้วที่งอตัวกำกุมดินสอมานานให้ยืดออก เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงนุ่มหวานของพี่ปริมก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ราวกับว่าคนอายุมากกว่าจับจ้องรอคอยเวลานี้มานาน
“อ่านจบแล้วเหรอคะ?”
“ค่ะ จบบทที่ตั้งใจว่าจะอ่านแล้ว”
“ดอกไม้เหี่ยว ๆ ที่อยู่ตรงหัวนอนนี่เรียกว่าดอกอะไรคะน้องอิน?”
พี่ปริมถามพลางชี้นิ้วไปที่ข้างหมอน ปลายนิ้วคือดอกไม้เหี่ยวสองดอก ตอนนี้กลีบดอกซึ่งเคยเป็นสีขาวแห้งโหยเห็นเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล
อรินทิพย์เดินไปหยิบมันขึ้นมาหนึ่งดอกแล้วยกมาอังใกล้จมูก
“มันคือดอกพุดซ้อนค่ะ ถึงจะเหี่ยวแต่ก็ยังหอมอยู่เลยนะคะ”
พี่ปริมหยิบอีกดอกหนึ่งที่เหลือขึ้นมา ส่งจมูกโด่งเข้าไปใกล้มันเลียนแบบเธอแล้วพยักหน้าหงึกหงัก
“ดอกพุดซ้อนนี่เหี่ยวแล้วยังหอมอยู่เลยเนอะ พี่ชอบกลิ่นมันจัง หอมเย็น ๆ อธิบายไม่ถูก... ขนาดเหี่ยวแล้วยังหอมขนาดนี้ ถ้าดอกยังสดอยู่นี่จะหอมขนาดไหนกันนะ”
“อยากรู้เหรอคะ?”
“อยากค่ะ”
“งั้นก็ตามอินมาเลย”
เด็กสาวพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับหลังหัน เดินนำคุณพี่คนสวยลงไปยังหน้าบ้าน
อรินทิพย์พาพี่ปริมเดินไปตรงลานปูนบริเวณหน้าบ้าน ตามแนวกำแพงมีกระถางไม้ดอกไม้ประดับตั้งเรียงอยู่เป็นแถว ต้นไม้ที่ให้ดอกสีขาวและมีกลิ่นหอมนั้นปลูกในกระถางใบใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมนอกสุดชิดกับรั้วบ้าน เด็กสาวเมียงมองส่องตาลอดกิ่ง เอามือแหวกก้าน สอดส่ายสายตามองหาดอกไม้พลางพูด
“ความจริงถ้าปลูกลงดินต้นจะใหญ่กว่านี้อีกค่ะ แต่ก็อย่างที่เห็น บ้านอินมีพื้นที่เท่าแมวนอนดิ้นตาย ต้นไม้ก็ต้องปลูกใส่กระถาง... ดอกมันอยู่ไหนน้า~ เจอแล้ว นี่ไงคะ”
อรินทิพย์โน้มกิ่งต้นพุดซ้อนลงมา ตรงปลายยอดมีดอกไม้สีขาวผลิบาน เด็กสาวจึงยื่นจมูกเข้าไปใกล้ กะจะพิสูจน์กลิ่นของมันก่อนที่จะให้พี่ปริมได้ทดลองดมกลิ่นของมันบ้าง แต่ดูเหมือนว่าคนแก่ เอ้ย! คนวัยทำงานจะใจร้อนน่าดู เพราะในขณะที่เด็กสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้ดอกไม้ หญิงสาวก็ตัดสินใจทำกิริยาเดียวกัน... พอดี (พอดีอีกละ)
ทำกิริยาเดียวกันในเวลาพร้อมกันมันก็ไม่น่าจะมีอะไร แต่ที่มันมีอะไรขึ้นมาก็เพราะดอกไม้ที่สองสาวต่างวัยยื่นหน้ายื่นจมูกเข้าไปหามันดันเป็นดอกไม้ดอกเดียวกันน่ะซิ แล้วเจ้าดอกพุดซ้อนที่ว่าเนี่ย มันก็ไม่ได้ดอกใหญ่โตอะไรมากมาย อย่างมากก็ใหญ่เท่าฝ่ามือเห็นจะได้ คนสองคนที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ดอกไม้พร้อมกันก็เลย...
“อุ๊ย!”
ต่างคนต่างอุทานประสานเสียงเมื่อโหนกแก้มชนกัน
“อุ๊ย!”
ต่างคนต่างอุทานประสานเสียงอีกครั้ง เพราะแทนที่จะดึงหน้าตัวเองออกห่างจากดอกไม้ สองสาวกลับหันหน้าเข้าหากัน แหม... ใกล้ขนาดโหนกแก้มชนกันอยู่เมื่อครู่ ยังจะหันหน้าเข้าหากันอีกนะคนเรา คราวนี้ปลายจมูกก็เลยแตะกันน่ะซิ
จมูกแตะกันแล้วเป็นยังไงต่อ?
ทางฝั่งของเด็กน้อย: มองสบตาเป็นประกายหวานซึ้งของพี่สาวคนสวยห้าวินาที พอรู้ตัวว่าดวงตาสวยหวานอยู่ใกล้มากขนาดไหนก็รีบผงะหน้าถอยห่าง หมุนตัวหันหลังให้พี่ปริมเพื่อซ่อนอมยิ้ม ซ่อนหน้าแดง ๆ ประสานมือกันไว้ข้างหน้า บิดไหล่ไปมาเล็กน้อย... เมื่อกี้จมูกแตะกันด้วย เด็กน้อยเขินอ่า~ >///////<
ทางด้านพี่สาวคนสวย: มองจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตใสแจ๋วของเด็กน้อยได้ห้าวินาที พอเด็กถอยหนีแล้วหันหลังให้ เธอก็ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นยืนตรง เกิดอาการตาหวานตาลอย มุมปากยกขึ้นเองอัตโนมัติ อาการที่ตามมาติด ๆ คือหน้าแดงหน้าร้อน ยกมือขวาขึ้นมาเกาข้างหู... เอิ่ม... คือ... พี่ปริมก็ เขิน~ >///////<
แล้วใครเลิกเขินได้ก่อน?
ก็คนอายุมากกว่าน่ะสิ
ปณิตามองอรินทิพย์ที่ถึงแม้จะยืนหันหลังให้เธอ แต่ก็สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กน้อยมีการบิดไหล่ตัวเอียงไปมาซ้ายทีขวาที นั่นแน่!... เขินอยู่ล่ะซิ อิอิ หญิงสาวกลั้นยิ้มเอ็นดูจนปวดแก้ม เห็นอย่างนี้แล้วโรคอยากแกล้งเด็กกำเริบและเริ่มแสดงอาการของโรค ปณิตาพาตัวเองเดินย่องไปข้างหลังเด็กที่ยังออกอาการเขินไม่หายแล้วรวบตัวเข้าอ้อมกอด
หมับ!
“เขินเหรอจ๊า~”
“...>///////<...”
“แค่จมูกชนกันเอง เขินอะไรมากมายคะ?”
“...>///////<...”
เด็กไม่ได้เขินเพราะจมูกชนกันแล้วล่ะ แต่เขินต่อเนื่องเพราะโดนกอดต่างหาก
ปณิตาหัวเราะชอบใจเสียงใสเมื่อรับรู้ได้ว่าเด็กสาวในอ้อมกอดก้มหน้าก้มตา ยกไหล่ขึ้นมานิดหนึ่ง เกิดอาการเขินเธอมากมายจนตัวเกร็งตัวสั่น
“โอ๊ย! ทำไมน่ารักน่าแกล้งอย่างนี้ หมั่นเขี้ยว ขอสักทีเถอะ...”
ฟอด!
ปณิตาพูดขอ แต่ไม่ยอมรอฟังคำอนุญาต แถมจะขออะไรก็ไม่ยอมพูดต่อให้จบอีกด้วย
หญิงสาวจัดการเอียงหน้ากดจมูกลงไปตรงแก้มเนียนใสของเด็กน้อยในอ้อมกอด แค่สักทีมันยังไม่หายจากอาการหมั่นเขี้ยว ปณิตาจึงต้องรักษาตัวเองต่อโดยการกดจมูกย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ไปที่แก้มของเด็กสาว
ฟอด ฟอด และฟอดดด... (ครั้งหลังนี่กดค้าง)
หลังจากกดค้างเสร็จก็วางคางลงบนไหล่บาง กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิดหนึ่งพร้อมกับส่งเสียง
“เด็กน้อยเขิน... น่ารักจังเลย~”
เด็กน้อยเขิน... เขินจนทำอะไรไม่ถูก
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยให้คนอื่นได้กอดได้หอมแก้มนอกจากคนในครอบครัว อรินทิพย์รู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอเต้นระรัวเร็วแรงราวกับว่าเธอกำลังเต้นแอโรบิก ส่วนใบหน้าใบหูนี่ร้อนผ่าววูบวาบเลย ถ้าใครเอาน้ำมาลูบหน้าเธอตอนนี้มันคงระเหยหายกลายเป็นไอได้ภายในเสี้ยววินาที เด็กสาวอมยิ้มอมเขินอยู่เป็นนานกว่าจะกลับมาตั้งตัวได้ กว่าสมองจะเริ่มกลับมาเปิดทำการ อรินทิพย์ยิ้มเอียงอายพลางคิดในใจว่านี่ผู้ใหญ่ขี้แกล้งเขาจะกอดเธอไม่ปล่อยเลยใช่ไหม ว่าแล้วก็ส่งเสียงสั่น ๆ อุบอิบเรียกเจ้าของอ้อมแขน คงต้องเตือนกันหน่อย
“พ... พี่ปริมอ่า~”
“มีอะไรจ๊า~ เรียกพี่ทำมาย~”
“ป... ปล่อยอินได้แล้ว”
“ยังไม่อยากปล่อยอ่า~ คิคิ”
ยังจะมาแกล้งทำเสียงเลียนแบบกันอีก อรินทิพย์แอบกัดริมฝีปากล่างด้านในกลั้นความเขินสุดฤทธิ์ เด็กน้อยพยายามหาเรื่องพูดแซวผู้ใหญ่
“พี่ปริมพูดว่า ขอสักที แต่หอมไปกี่ทีเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ... เมื่อกี้พี่ไม่ได้นับ ถ้าน้องอินอยากรู้งั้นเริ่มนับใหม่ละกัน...”
ฟอด... ฟอด... ฟอด... และ อีกฟอดดด... (กดค้างอีกแล้ว)
“เมื่อกี้พี่หอมไปสี่ที อิอิ”
“...>//////////<...”
ยังจะมารายงานกันอีกนะ
เด็กสาวคิดในใจ กัดริมฝีปากล่างจนแดงช้ำ จากนั้นก็ยืนแน่นิ่งไปอีกนานเพราะสาเหตุเดิมคือ... เขิน
และเพราะเธอมัวแต่ยืนเขิน ไม่พูดจาทักท้วงรึทำอะไร ผู้ใหญ่ก็เลยไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดเสียที แล้วเมื่อไหร่เธอจะหายเขินล่ะนี่ >///////<
เฮ้อ~... ปล่อยให้กอดให้หอมจนหายหมั่นเขี้ยว เดี๋ยวพี่ปริมก็คงจะปล่อยเธอเองละมั้ง >_<
...............