Chapter 9 : ด้วยใจอธิษฐาน
มือบางกุมมือที่ใหญ่กว่าแน่น หวังให้ความเจ็บจากการถูกฉีดยาลดลง แต่อันที่จริง ที่เธอบีบมือเขาเอาไว้แบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอเจ็บมากนักกับแค่เข็มฉีดยาอันเล็กกะจิ๊ดริดทิ่มลงไปในเนื้อในเส้นเลือดของเธอ มันเป็นเพราะเธอต้องการจะรับรู้ว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ อยู่ข้างๆเขาเท่านั้น อยู่บนโลกใบนี้ อยู่กับทุกๆคน...
มอร์ฟีนถูกนำมาใช้กับเธอในที่สุด เพื่อหยุดยั้งอาการปวดศีรษะที่รุนแรงเหมือนมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนั้นเธอได้ยินเสียงผู้ดูแลเธอสั่งการหมอเสียงดังแทบจะตวาด บอกให้จัดการอะไรก็ได้ให้เธอหายจากอาการทุกข์ทรมาน
อาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่มีใครตอบได้ มีแต่ความประหลาดใจในใจของทุกคน เวลาที่เนิ่นนานสิบกว่าปีที่ชิพส์ชิ้นนี้อยู่กับเธอมา มันไม่เคยทำร้ายเธอให้เจ็บปวดมากขนาดนี้ หรือมีใครบางคนที่ควบคุมมันอยู่ภายนอก เรื่องนี้แคลลี่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ และเธอรู้ว่าหล่อนพยายามอย่างถึงที่สุด เหมือนกับคนคนนี้ที่ไม่เคยปล่อยเธอเอาไว้ตามลำพัง ตอนนี้เธอรู้ว่าเขาคือผู้พิทักษ์ของเธอเต็มตัว
ผู้พัน.. คุณห่วงฉันจริงๆใช่ไหม.. แคลด้วยใช่ไหม.. ฉันยังมีพวกคุณอยู่ใช่ไหม.. ฉันอยากอยู่กับพวกคุณนานๆ แม่คะ..ช่วยหนูด้วย..
ดิออนภาวนาในใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้ร่างกายที่อ่อนล้าได้พักผ่อน เปลือกตามันหนักเหลือเกิน แต่ไม่ปวดหัวอีกแล้ว ฉันจะหายใช่ไหม..?
“ผู้พัน.. กอดฉันหน่อย..” เด็กสาวเอ่ยขอเสียงเบาทั้งที่หลับตาอยู่ ริมฝีปากบางอมยิ้มเมื่อรู้สึกถึงตัวของอีกคนที่เข้ามารวบตัวเธอเข้าไปหา ดิออนซุกหน้าลงกับอกอันอบอุ่น เธอจะขออาศัยความอ่อนโยนนี้ที่เขายินดีจะให้ในเวลานี้ตอนที่เธออ่อนแอ และสัญญาว่าเธอจะคืนเขาให้แคลแน่นอน
ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่จะทำให้รู้สึกว่า ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว..
สติของเธอค่อยๆเลือนหายไปเพราะฤทธิ์ยา หากแต่เธอยังมีเวลาพอที่จะได้ยินเสียงนุ่มละมุนที่พูดขึ้นคล้ายจะกล่อมเธอให้เข้าสู่นิทราและฝันดี
“หลับซะนะเด็กดี.. เธอจะไม่เจ็บอีกแล้ว..ฉันสัญญา”
และจากนั้น เธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย นอกจากสัมผัสอันทะนุถนอมของเจ้าของอ้อมกอดคนนี้เท่านั้น...
--The bodyguard--
แซนดร้านิ่งเงียบเหมือนกับที่เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรมาจากอุปกรณ์ที่กกหูของตัวเอง แคลลี่กำลังให้โอกาสเธอแสดงฝีมือตามลำพังในการทำงานตรงหน้า เธอต้องทำมันให้สำเร็จ ต้องหาของที่ได้รับคำสั่งมาให้ได้ แม้ไม่รู้ว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร และจะหามันตรงส่วนไหนของห้อง มากกว่านั้นในห้องลับนี้ก็มีของอะไรต่อมิอะไรมากมายจนเธอตาลายตั้งแต่แรกที่ได้เข้ามาเห็นมัน หัวใจสั่นขณะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เธอมีเวลาเหลือไม่ถึงชั่วโมงแล้ว ทำยังไงดี..
‘แซนดร้าคะ คุณยังอยู่ดีไหม..’
ดวงตาสีฟ้าครามกระพริบเมื่อเสียงนี้เรียกสติเธอกลับคืน แซนดร้าเลิกยืนอึ้งเหมือนคนบ้าและตอบคำถามทันที “ยังไม่เป็นอะไรค่ะ แค่มึนๆนิดหน่อยเท่านั้น”
‘ทำไมเหรอคะ’ แคลลี่ถามเสียงตื่นเต้นเหมือนจะบอกว่ารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของเธอกับสถานที่แห่งนี้ ตำรวจสาวจึงยิ้มพอใจก่อนส่ายหน้าน้อยๆและตอบคำถาม
“คุณต้องมาเห็นกับตานะคะแคล คุณนายสวอนส์เหมือนจะใช้ที่นี่เป็นห้องทดลองขนาดย่อมน่ะค่ะ อุปกรณ์ในห้องนี้ถึงจะดูเก่า แต่ฉันก็เดาได้ว่า มันมีคุณภาพมากในยุคนั้น นี่ก็แสดงว่าไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้ก่อนหน้าเรา และก็คงไม่ได้เห็นความวิเศษของที่นี่แน่ ฉันเป็นคนแรกเลยที่ได้---” แซนดร้าตั้งใจจะพูดต่อแต่ก็ถูกตัดคำไปง่ายๆด้วยเสียงของอีกคนที่ตอนนี้เข้มขึ้นอีกครั้ง จนคนฟังอย่างเธอขนลุก
‘ฉันเข้าใจค่ะแซนดร้าว่า ของพวกนั้นมันน่าตื่นเต้น แต่ฉันยังยืนยันนะคะว่า คุณเหลือเวลาเล่นเป็นเด็กอยู่ไม่ถึงสี่สิบนาที และหลังจากนี้ คุณจะต้องเจออะไรอีก ก็อย่าให้ฉันเดา...’
สาวอเมริกันรีบพยักหน้ารับรู้เหมือนกับที่รีบพูดบอก “ทราบแล้วค่ะบอส แต่บอสจะไม่บอกหน่อยหรือคะว่า ให้ฉันมาหาอะไร ตีวงให้มันแคบกว่าแฟ้มเอกสารหรือสมุดจดบันทึกได้ไหมคะ เพราะฉันเชื่อว่า ฉันคงอ่านมันไม่หมดภายในเวลาเท่านี้ แฟ้มมีเป็นตู้เลยค่ะ สมุดก็มีเต็มชั้นเหมือนกัน”
บอกตามความจริงไปก็ได้ยินเสียงปิดไมค์ดังขึ้นชัดเจน ดวงตาสีฟ้าจึงเบิกโพลงอย่างตกใจ นี่แคลลี่จะทิ้งเธอทั้งแบบนี้แล้วหรือ หรือหล่อนจะไปหาข้อมูลให้เธออยู่ แต่เล่นไม่บอกกันก่อน คนทางนี้ก็ใจไม่ดีเหมือนกันนะ แต่เอาเถอะ คุณเป็นเจ้านายนี่นา..
แซนดร้าสั่นศีรษะน้อยๆและนำไฟฉายที่ใช้ส่องทางเมื่อครู่ขึ้นมาใช้อีกครั้ง เธอกำลังตรวจแฟ้มต่างๆที่อยู่ในตู้เก็บโดยเน้นอันที่ระบุเป็นปีก่อน เพราะแน่นอน การวิจัยต้องบันทึกตามวันที่ที่ทำ และนี่เองจึงทำให้เธอรู้ว่า มารดาของเด็กสาวที่เธอให้ฉายาว่าเจ้าหญิง เป็นคนละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ นางเก็บของเป็นระเบียบกว่าในห้องทำงานของเธอ ไม่ว่าจะเป็นที่หน่วยหรือที่บ้าน
อยากรู้จังว่า ลูกสาวจะเจ้าระเบียบเหมือนกันไหม.. คิดขึ้นมาคราวนี้หน้าก็ร้อนแปลกๆจนต้องเอาไฟฉายเคาะศีรษะให้กลับมาตั้งสมาธิทำงานใหม่ และเธอคงต้องถอดแว่นเรดาห์ออกชั่วคราว หากแต่คิ้วเรียวสีบลอนด์ของหญิงสาวก็เริ่มขมวดเป็นปม เพราะเธอยังไม่เห็นอะไรที่บ่งบอกว่า มันเป็นบันทึกลับเลย
“คุณแคลคะ คุณแคล..” ตำรวจสาวกระซิบเรียกชื่ออีกคนที่ยังไม่ยอมกลับมาเสียที
แซนดร้าเริ่มรู้สึกถึงเหงื่อที่ผุดพราวเต็มใบหน้าตัวเองและเกือบจะไหลลงมาสู่ดวงตา เธอพยายามอีกครั้ง “บอส...”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาพาให้หัวใจเต้นรัวด้วยความหวั่นใจกลัวทำงานไม่สำเร็จและต้องกลับบ้านมือเปล่า ช่วยชีวิตเด็กสาวไม่ได้
หากแต่ในขณะที่หัวใจของนายตำรวจสาวเต้นกระหน่ำอยู่ในอก เธอไม่รู้หรอกว่า อีกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ ติดต่อหาคนที่จะให้ข้อมูลที่เธอต้องการมาให้ได้ แคลลี่เองก็แทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ไม่ต่างจากเธอ
“บอส.!!”
‘แซนดร้า คุณปลดรหัสตู้เซฟได้ไหม.? แต่ฉันจำได้ว่าฉันเคยถามคุณแล้ว’
คำถามกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัวพาให้คนฟังชะงักค้างนิ่งขณะเปิดหน้ากระดาษ กว่าจะกระพริบตาได้ก็ใช้เวลาหลายนาที มันพร้อมกับที่แคลลี่พูดขึ้นอีกครั้ง
‘คุณเห็นภาพพระเยซูตรึงไม้กางเขนไหมคะ มองหาภาพนี้และปลดมันลง คุณจะเจอเซฟที่ฝังอยู่ และนั่นแหละที่คุณจะต้องเปิดมัน ขอให้โชคดีนะคะ ฉันจะเอาใจช่วยคุณ ตอนนี้คุณมีเวลาเหลืออีกสามสิบนาที’
คนฟังกระพริบตาปริบๆ และรีบกวาดสายตาพร้อมส่องไฟฉายตามเพื่อหาสิ่งที่อีกคนบอกมา จริงอยู่ว่าที่แคลลี่บอกมันสามารถช่วยลดการเสียเวลาของเธอได้ แต่มันจะดีกว่านี้ไหม หากหล่อนบอกเธอก่อนว่า เธอควรจะเอากุญแจผีมาด้วย หรือขวานก็ได้ ระเบิดก็ดี จะได้จัดการมันให้กระจุยและเอาของออกมา
ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปหาภาพวาดตามที่อีกคนบอกมา เธอปลดมันลงและวางไว้กับโต๊ะใกล้ๆยังคงให้ความเคารพกับภาพวาดของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ เพราะรู้สึกว่าเธอน่าจะโชคดี หากไม่ลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นหรือของศักดิ์สิทธิ์ และบางทีพระเยซูในภาพวาดอาจจะประทานพรให้เธอตามที่ต้องการ และตอนนี้ที่เธอต้องการคือสิ่งเดียว ก็คือ เปิดเซฟให้ได้
แต่จะเปิดได้ไงล่ะ รหัสก็ไม่มี กุญแจก็ไม่มี ซวยกว่านี้มีอีกไหม..?
--The bodyguard--
ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลมองออกไปนอกหน้าต่างห้องอย่างไร้จุดหมาย คิ้วเรียวสีเงินขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด แองเจล่ายืนกอดอกพิงผนังห้องอยู่เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว เธอกลับไปหาแคลลี่ไม่ได้แม้อยากจะไปช่วยงานหล่อนที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ คอยดูอาการคนที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงเพราะฤทธิ์ยา หวังใจว่ามอร์ฟีนคงจะช่วยประทังให้หล่อนไม่เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้งระหว่างการรอคอยความช่วยเหลือที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่
แซนดร้า..อย่าให้พลาดนะ ฉันไว้ใจเธอ อย่าทำให้ฉันหรือใครๆผิดหวัง..
คิดไปคิดมาจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาบ้าง หากแต่เมื่อโทรศัพท์ในอกเสื้อสั่นขึ้นมาก็ทำให้ต้องหลุดออกจากภวังค์และดึงมันขึ้นมากดรับ ได้ยินเสียงจากปลายสายที่พูดขึ้นทันทีทั้งที่เธอยังไม่ได้ขานรับเลย ใจร้อนเหมือนเคยเลยแคล..
‘แอน.. ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง หมอว่าไง ดิออนล่ะ เค้า—’
“แคล.. ใจเย็นๆ ดิออนหลับไปแล้ว หมอฉีดยาให้หลับน่ะ ทางเธอล่ะ เป็นยังไง แซนดร้า..”
‘หมวดกำลังพยายามเปิดเซฟอยู่ค่ะ ฉันหวังว่าเค้าจะเปิดมันได้’
“โอเค.. เข้าใจแล้ว เธอไปทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ พี่จะดูแลให้ดีที่สุด”
‘ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันนะคะ’
แคลลี่รีบวางสายจากไปทั้งที่เธอยังไม่ทันได้บอกลาหรือพูดในสิ่งที่อยากจะพูด แองเจล่ามองดูโทรศัพท์ในมือคิ้วขมวด กำมันแน่นก่อนจะเก็บมันลงที่เดิม ถอนหายใจหนักระหว่างหันไปมองเด็กสาวที่หลับอยู่บนเตียง มองใบหน้าไร้เดียงสานั้นอยู่นานแล้วก็ถอนหายใจแรงอีกครั้ง หันกลับมามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดิม
บางที..ฉันก็อิจฉาเธอนะ ที่แคลยอมทำเพื่อเธอได้มากขนาดนี้..ดิออน ฉันนี่มันไร้สาระจริงๆ.. แต่ไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะไม่ทิ้งเธอไป..แน่นอน..
แองเจล่าหันกลับมาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ กดเลขหมายที่คุ้นเคยและกรอกเสียงลงไปกับมันเบาๆแต่ชัดเจน
“ผู้พันมิลเลอร์เรียกกำลังเสริม คำสั่งคือเข้าไปช่วยคุ้มกันหมวดแซนดร้า คูเป้ที่คฤหาสน์สวอนส์ ช่วยเหลือหล่อนออกมาจากที่นั่นให้ได้ ทุกวิถีทาง ทราบแล้วปฏิบัติตามด่วน!”
--The bodyguard--
เสียงหัวใจเต้นดังกว่าเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปแต่ละวินาที แซนดร้าจรดปลายนิ้วไปตามตัวเลขต่างๆตรงหน้าที่เธอพอจะคำนวณได้จากประสบการณ์ที่เคยทำตัวเป็นหัวขโมยย่องเข้าไปเปิดเซฟของพวกมาเฟียมาก่อนในหลายๆงาน หากแต่ในงานนั้นๆเธอยังมีตัวช่วยที่จะช่วยปลดล็อครหัสพวกนี้ให้ ไม่ใช่มีแค่มือเปล่าแบบนี้ แต่ก็เอาเถอะ มันต้องทำได้สิน่า ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ถ้าเราตั้งใจจะทำ
หากแต่ความคิดนี้คงเป็นอะไรที่ผิดกับสถานการณ์ เวลาผ่านไปหลายนาทีแล้ว เธอก็ยังทำไม่สำเร็จ อากาศในห้องนี้ก็น้อยลงทุกทีเนื่องจากเธอไม่สามารถเปิดระบบระบายอากาศได้ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีคนย่องเข้ามาที่นี่ มาไขความลับ แล้วเธอควรจะทำอย่างไร เวลานี้ถึงแคลลี่จะไม่ได้ทิ้งเธอไป แต่หล่อนก็เข้ามาช่วยเธอไม่ได้ หล่อนไม่รู้รหัสเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า..?
ไม่รู้รหัสก็ไม่เป็นไร เธอยังอุ่นใจที่ในช่วงเวลาของการเสี่ยงแบบนี้ยังมีเสียงของหล่อนคอยเตือนสติอยู่เสมอ ไม่เหมือนงานอื่นๆที่เคยทำ อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้ถึงภัยที่กำลังจะมาถึงตัว
‘แซนดร้าคะ ทำใจดีๆไว้นะคะ และฟังฉัน มีคนกำลังเดินผ่านมาที่ห้องนี้ แต่ไม่ใช่คุณเฟอร์ริส’
หัวคิ้วของคนฟังกระตุก แคลลี่พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง มีคนกำลังจะมาที่นี่แต่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน แล้วมันเป็นใครล่ะ หรือว่า....
“ทราบไหมคะว่า เป็นพวกไหน” ตำรวจสาวซ่อนเสียงสั่นๆของตัวเองเอาไว้ขณะพยายามทำงานต่อและคุยไปด้วย ได้ยินเสียงสาวสวยอีกคนตอบกลับมาทันที
‘ฉันคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ต้องการของเหมือนเราค่ะ มากันสามคนเท่าที่ฉันเห็น และคิดว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีพวกเขาจะมาถึงห้อง ถ้ามีแผนที่เหมือนเรา’
“โอเคค่ะทราบแล้ว..” แซนดร้าตอบเหมือนไม่รู้สึกอะไร นั่นเพราะเธอเตรียมใจกับเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว รู้อยู่แล้วว่ามันย่อมไม่ใช่มีแค่พวกเธอที่ต้องการข้อมูล กลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถระบุตัวได้ก็คงจะต้องการมันเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นที่ตรงนี้จะไม่ได้รับการอารักขาอย่างดีขนาดนี้แน่
แต่ตอนนี้จะทำยังไงดีในเมื่อยังเปิดเซฟไม่ได้ ระเบิดก็ไม่มี มีแค่กระสุนจุด 38 เท่านั้น แต่ฉันจะออกไปมือเปล่าแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีทาง..
ดวงตาสีฟ้ามองกลับมายังอุปกรณ์ต่างๆที่เธอชื่นชมอยู่เมื่อครู่แล้วก็เผยยิ้มอย่างพอใจ เพราะบางสิ่งทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ ใช่แล้วในตอนที่เธอนำภาพวาดพระเยซูไปวางไว้บนโต๊ะ สายตาเธอบังเอิญไปเจอกับขวดอะไรบางอย่างที่ไฟฉายส่องไปเห็นเข้า และฉันรู้แล้วว่าจะทำยังไงกับแกดี เจ้าเซฟบ้า !
และ.. ขอบคุณค่ะ พระผู้เป็นเจ้า.!
แซนดร้าอธิษฐานในใจแล้วเดินเข้ามาหาของที่ต้องการและนำไปใช้ เธอต้องการเครื่องทุนแรงที่จะช่วยลดการเสียเวลา ร่างสูงโปร่งกะระยะยืนให้ห่างจากจุดของตู้เซฟที่ฝังอยู่กับผนังห้องและนำขวดที่ถือมาขึ้นมาเปิดฝา สาดมันเข้าไปอย่างระวังไม่ให้มันกระเด็นมาโดนตัวเอง เสียงกรดกัดเซาะผนังไม้สำเร็จรูปดังขึ้นพร้อมฟองฟู่ที่ดูน่าสยดสยอง ตำรวจสาวตัวสั่นเล็กๆเมื่อคิดว่า ถ้ามันมาโดนเนื้อของเธอสักหยดก็คงดิ้นทุรนทุรายแทบตายแน่ๆ แต่เมื่อตอนนี้เธอปลอดภัยดีจึงยิ้มออกและสะลัดความกลัวทิ้งไป
ดวงตาสีฟ้าใสมองดูกรดชนิดรุนแรงทำหน้าที่ของมันไปสักพัก จากนั้นก็หันไปคว้าถุงมือกันภัยจากสารกัดเซาะชนิดนี้ที่หาได้ไม่ยากในห้องนี้ขึ้นมาสวมและตรงเข้าไปดึงเซฟออกมาจากช่อง โอเค..ในเมื่อแกไม่ให้ฉันเปิด ฉันก็จะเอาแกไปทั้งแบบนี้แหละ..
‘แซนดร้า.. บอกฉันมา คุณทำอะไรอยู่ ทำไมเงียบ’ แต่เสียงของแคลลี่ก็ฉุดสติของเธอที่กำลังเตลิดไปเพราะความเมามันส์นี้ให้กลับคืนมา
“ฉันหาทางลัดอยู่ค่ะแคล ฉันต้องเอาเซฟกลับไปด้วย เวลาไม่พอจะเปิดมัน ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป คุณช่วยให้หนุ่มๆซักคนมาช่วยแบกมันให้ฉันทีได้ไหมคะ เอาหล่อๆนะคะ” แซนดร้าตอบคำถามเสียงคงความทะเล้นเหมือนเคยแม้จะเหนื่อยและหนักกับการแบกเซฟขนาดย่อมแต่หนักเอาการขึ้นมาอุ้มไว้เตรียมตัวจะออกไปจากห้องนี้ และเธอรู้ว่าแคลลี่เข้าใจในสิ่งที่เธอขอกับคำพูดขำๆประโยคนี้แน่นอนสิ หล่อนรู้.. ก็คนประเภทเดียวกันนี่นา..
‘ได้ค่ะ เขาจะรอคุณอยู่ที่หน้าห้อง แต่อย่าตกใจที่เห็นหน้าเขานะคะ เพราะเขาจะใส่ชุดเหมือนนินจาในหนังเรื่อง Ninja assassin หวังว่าคุณเคยดู’
คนฟังหัวเราะออกมาจนได้ แคลลี่ยังคงมีอารมณ์ขันแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หล่อนคงไม่อยากให้เธอเครียดเกินไป และมันได้ผลดีทีเดียว
“รับทราบค่ะบอส แล้วฉันจะรอ”
‘โอเคค่ะ แต่แซนดร้าคะ นินจาคนนี้มีโค้ดลับด้วยนะคะ’
“โค้ดลับ อะไรคะ”
‘คุณต้องบอกเค้าว่า Crimson Angel’
“Crimson Angel ?”
‘ใช่ค่ะ อย่าให้พลาดนะคะ คุณเหลือเวลาไม่มากแล้ว’
แม้อยากจะถามไปถึงความหมายของโค้ดที่ได้มา แต่เธอก็ไม่มีเวลาพอที่จะคิดถึงมัน ตอนนี้เธอมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำมากกว่า แซนดร้าลากเซฟไปที่หน้าประตูและเปิดมันด้วยปุ่มเปิดที่เธอหาได้จากด้านในของห้อง ดวงตาสีฟ้ามองลอดออกไปดูผู้ที่จะมาช่วยเหลือจากช่องของประตูที่ค่อยๆแง้มออก และเธอก็เจอเขายืนอยู่จริงๆ ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นเขาจริงจากการแต่งตัวที่ไม่เหมือนใคร เขามาในแบบที่เหมือนกับที่แคลลี่พูดเอาไว้ นินจามือสังหาร..
โอ้..ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม.. ของจริงเหรอเนี่ย.. แต่ถึงจะตกตะลึงอยู่กับสิ่งที่เห็น เธอก็ยังมีสติที่จะคิดอะไรได้ดี และเพื่อไม่ให้เป็นการผิดพลาดในเวลาที่ไม่เหลือพอให้แก้ไขอะไร โค้ดลับจึงหลุดออกมาจากปากเธอทันที “Crimson Angel”
นินจามือสังหารหันมามองหน้าเธอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาดูเย็นชาจนน่ากลัว แต่เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากพยักหน้ารับและเตรียมจะก้มลงหยิบของที่เธอชี้ให้ดู
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณควรจะใช้นี่นะคะ คุณนินจา ฉันขอแนะนำ ถ้าคุณไม่อยากถูกกรดกัดจนเสียโฉม” ตำรวจสาวพูดพร้อมส่งถุงมือให้ชายในชุดนินจาสีดำ
เธอยิ้มขณะที่เขาดูตกใจ แต่เพียงไม่นานเขาก็พยักหน้าอีกครั้งและทำตามที่เธอบอก เธอสองคนกำลังจะออกไปจากจุดนี้ในขณะที่ได้ยินเสียงแคลลี่เอ่ยเตือนเรื่องคนที่กำลังจะมาถึง
“เราคงต้องรีบไปกันแล้ว แต่ฉันคิดว่าเราคงไปพร้อมกันไม่ได้ คุณจะเอาของนี่ไปก่อนได้ไหมคะ รถของฉันจอดรออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์ SAAB สีน้ำเงินเข้มน่ะค่ะ” แซนดร้าพูดขึ้นและอีกคนก็พยักหน้ารับ แล้วเขาก็กำลังจะไป หากแต่เธอก็นึกอะไรได้ก่อนจึงเรียกเขากลับมา
“เดี๋ยวค่ะคุณนินจา เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณและฉัน ฉันขอโทษที่ต้องทำแบบนี้” ยังไม่ทันสิ้นเสียงตัวเองดี เข็มในมือที่ควักออกมาจากเสื้อสูทก็ปักลงที่หัวไหล่ของชายในชุดนินจา เขามองหน้าเธอด้วยสายตาเป็นคำถาม แซนดร้ายิ้มหวานแต่แววตาเยือกเย็นกลับไปขณะตอบ
“พิษของแมงมุมแบล็กวิโดว์ค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ มันไม่ถึงตาย แค่ชาๆเท่านั้น ฉันสกัดมันมาเป็นพิเศษ และถ้าอยากได้ยาแก้ล่ะก็ อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะรูปหล่อ ไปก่อนนะคะ” พูดจบก็หันหลังให้เขาทันทีและเตรียมจะจากไปคนละทาง หากแต่ก่อนจะไปเธอมีเวลาได้ยินเสียงของนินจาผู้นี้เป็นครั้งแรกและยิ้มรับมัน
“คุณรู้ไหมผู้หมวด.. คุณเป็นคู่หูที่สมน้ำสมเนื้อกับผู้กองแคลลี่จริงๆ ผมรับประกัน แล้วเจอกันนะครับ”
--The bodyguard--
ดวงตาสีฟ้ามองสิ่งต่างๆอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่า เธอจะมาเจอเรื่องน่าประหลาดที่นี่ มือสวยยกขึ้นปิดจมูกตัวเองทันทีที่ได้กลิ่นแก๊สบางอย่างที่น่าสงสัย และในสายตาเธอก็เห็นผู้คนนอนเกลื่อนกลาดมากมายตามรายทางที่เดินผ่านมา พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนในชุดดำเหมือนทีมบอดี้การ์ดของแคลลี่ที่เธอเจอตอนเข้ามา แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ พวกเขาตายกันหรือยัง โดนแก๊สพิษหรือเปล่าเนี่ย
ตำรวจสาวคิดด้วยความหวั่นใจและก้มลงใช้มือคลำหาจุดชีพจรของชายบอดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด คิ้วเรียวสีบลอนด์เลิกสูงอย่างประหลาดใจ เขายังไม่ตาย..
“บอสคะ ขอคำตอบด้วยค่ะ” แซนดร้าถามขึ้นขณะมือกุมปืนแน่นและสองขาก้าวเดินใหม่อีกครั้งอย่างระแวดระวังเพื่อจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ดิออนอีกแล้วที่กำลังรอเธออยู่ นินจาผู้นั้นก็เช่นเดียวกัน
‘ต้องขอโทษด้วยค่ะหมวด คือผู้พันสั่งคนของเขาทำเรื่องนี้โดยไม่บอกฉันก่อนค่ะ แต่ไม่เป็นไรนะ คุณรีบออกมาดีกว่าค่ะ ก่อนที่จะสลบไปเหมือนพวกเขา มันเป็นแก๊สยาสลบค่ะ เขาตั้งใจจะทำให้แขกไม่ได้รับเชิญของเราไม่มีโอกาสเข้าใกล้คุณได้ เข้าใจนะคะแซนดร้า รีบออกมาเลยนะคะ เพราะคุณเฟอร์ริสก็คงใกล้จะมาถึงแล้วด้วย’
ดวงตาคู่สวยสีฟ้าเบิกค้างระหว่างกำลังวิ่งหนีอันตราย “ให้ตายสิคุณแคล นี่ผู้พันที่รักของคุณจงใจจะแกล้งฉันหรือเปล่าคะ จะรมแก๊สก็ไม่บอกกันก่อน ถ้าเกิดฉันไม่ไหวตัวทัน ก็ไม่ต้องนอนเน่าอยู่ที่นี่หรือไง..”
หากแต่อารมณ์ขุ่นๆกับเรื่องนี้ก็ต้องหายไปเมื่อที่ปลายสายส่งเสียงหัวเราะใสๆออกมาพร้อมคำหยอกเอิน ‘นั่นเพราะเขาคงรู้ว่าคุณแน่จริงไงคะหมวด ถึงได้ทำ อย่าไปโกรธเขาเลยนะ นี่ถือเป็นคำชมเชียวนะคะ จะบอกให้’
“เข้าใจแล้วค่ะแคล.. แล้วเจอกันค่ะ แต่ฝากบอกที่รักของคุณด้วยนะคะว่า เจอหน้ากันเมื่อไหร่ เตรียมก้นเอาไว้ด้วย!”
แคลลี่หัวเราะขึ้นมาให้เธอได้ยินอีกครั้งก่อนจะหายเงียบไปและปล่อยให้เธอได้ทำหน้าที่ของตัวเองตามลำพัง ตอนนี้แซนดร้าหวังเพียงว่า เธอจะสามารถไขรหัสเซฟที่หอบกลับไปด้วยได้บนเครื่องบินที่จะพาเธอกลับสู่เกาะแห่งนั้น..Punishment Island ดินแดนที่มีคนรอคอยการกลับไปของเธออยู่ถึงสามคน
แต่ถึงจะรีบยังไง ตำรวจสาวก็ไม่ลืมบอกลาคฤหาสน์แห่งนี้ด้วยรอยยิ้มและยกมือขึ้นทำวันทยาหัตถ์ ‘คุณเซร่าห์คะ.. ขอบคุณนะคะที่ชี้ทางให้ฉันคราวนี้.. ฉันจะดูแลลูกสาวคุณให้ดีที่สุดค่ะ..ฉันสัญญา’
TBC.