ตอนที่ ๑ ‘ปูไปเป็นเพื่อนอ้อมแคสงานหน่อยนะคะ’ กรกฎนึกถึงน้ำเสียงออดอ้อนที่โทรหาเธอตอนเช้า แล้วให้นึกขัดใจที่เธอรีบแทบเป็นแทบตาย เพื่อพาอ้อมมาแคสงานร้องเพลงที่ห้องอาหารในโรงแรมหรู แต่พอมาถึงกลับเจอแจ๊คผู้ชายที่ตามจีบอ้อมมารออยู่ก่อนแล้ว และพอทั้งคู่เจอกันเธอก็กลายเป็นส่วนเกิน จนเธอต้องมาเดินเตร่อยู่หน้าโรงแรมอย่างเบื่อๆ
“โธ่เว้ย...” กรกฎร้องก่อนจะเตะกระป๋อง ที่คนมักง่ายบางคนทิ้งไว้ คงเพราะรู้ว่าจะมีบางคนต้องการเตะมันเพื่อระบายอารมณ์
“โอ๊ย...!!!” เสียงร้องที่ดังขึ้นทำให้กรกฎใจหายวาบ
‘ซวยแน่ๆ สงสัยโดนหัวใครเข้า’ กรกฎคิด แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น กระป๋องใบนั้นก็ลอยกลับมา และเฉี่ยวหัวเธอไปแบบหวุดหวิด
“นี่คุณจะบ้าเหรอ เตะมาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ” เสียงที่แหวมาก่อนตัว แล้วเพียงไม่นานหญิงสาวเจ้าของเสียง ก็เดินรี่มาจากหลังรถคันงามพร้อมกับคลำหัวป้อยๆ
“คุณ อะ...เอ้อ...ฉัน ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” กรกฎกลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าไอ้กระป๋องที่เธอเตะระบายอารมณ์ ดันไปโดนหัวคนอื่นเข้า
“กระป๋องนั่นมันไปขวางทางเท้าอะไรคุณนักหนา หรือว่าคุณเองที่มักง่ายทิ้ง แล้วยังมาเตะใส่ชาวบ้านเค้าอีก นิสัยแย่มากๆ เลยนะคุณเนี่ย” พิมพ์รตาใส่ไม่ยั้งเพราะความโมโห เธอเพิ่งลงจากรถกำลังจะเดินไปเอาของหลังรถ อยู่ดีๆ ก็มีกระป๋องมาหล่นใส่หัว เจ็บไม่เท่าไหร่แต่โมโหกับความไม่เอาไหนของคนมากกว่า กรกฎได้แต่นิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่อว่าฉอดๆ
“คุณหนูให้ผมจัดการเอง เธอบังอาจทำคุณหนูเจ็บต้องโดน” ในขณะที่กรกฎยังยืนนิ่งอึ้ง ก็มีผู้ชายตัวใหญ่เดินมาทางด้านหลังของผู้หญิงที่ยืนต่อว่าเธอแถมยังโกรธเธอเป็นฟืนเป็นไฟ ตรงเข้ามาจับข้อมือกรกฎที่ยังไม่ทันระวังตัวบิดอย่างแรง
“โอ๊ย...!” กรกฎร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ และตกใจ
“พิชิต นายทำอะไร...! ไปทำเค้าทำไมปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” พิมพ์รตาได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของสาวร่างสูงโปร่งนั้น ก็ตกใจจนตวาดพิชิตคนของพ่อที่ตามมาดูแลเธอแทบจะทันที
“นายนี่ก็อีกคนชอบทำตัวเป็นนักเลง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ชอบใช้แต่กำลัง” พิมพ์รตารู้สึกหงุดหงิดขวางหูขวางตาไปหมด พิชิตปล่อยมือกรกฎทันทีที่พิมพ์รตาสั่ง แต่ยังไม่วายหันไปต่อว่ากรกฎที่คลำมือตัวเองป้อยๆ
“ดีนะที่คุณหนูไม่เอาเรื่อง ไม่งั้นเธอเจ็บตัวมากกว่านี้แน่ หลีกไป...! อย่ามายืนเกะกะขวางทางคุณหนู”
กรกฎแทบจะกระโดดออกจากทางเท้า เมื่อถูกไล่จากผู้ชายที่เดินนำหน้าหญิงสาวที่เดินเชิดหน้าผ่านเธอไปโดยไม่เหลือบแลมามองหน้าเธอด้วยซ้ำ กรกฎมองตามผู้หญิงหุ่นดีผิวขาวใส แต่งตัวสวยอย่างกะหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่น แต่ดุชะมัดยาดจนทั้งคู่เดินเข้าประตูโรงแรมไปแล้ว เธอถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
‘วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรกันนักกันหนานะ เจ็บใจแล้วยังต้องมาเจ็บตัวอีก’ กรกฎบ่นกับตัวเองอย่างรู้สึกแย่ ก้มมองแขนตัวเองที่ยังมีรอยแดงเป็นปื้นอย่างรู้สึกโกรธตัวเอง ที่มัวแต่อึ้งกับยายคนสวยนั่นจนลืมปกป้องตัวเอง เสียชื่อยูโดสายดำหมด
“บ่นอะไรเหรอปู” อ้อมเดินมาเห็นอาการกรกฎจึงเอ่ยทัก
“ปูก็บ่นลมฟ้าอากาศไปเรื่อย แล้วอ้อมเรียบร้อยแล้วเหรอ” ตอบแบบเลี่ยงๆ แล้วถามกลับ
“อื้อ...เรียบร้อยแล้วจ๊ะ เค้าให้รอฟังผล 20 นาทีน่ะ แล้วทำไมปูไม่อยู่เชียร์อ้อมล่ะค่ะ ออกมาทำไมอ้อมชวนมาเป็นเพื่อนนะคะ” ไม่วายโดนอ้อมต่อว่า
“อ้อมก็มีแจ๊คอยู่เป็นเพื่อนแล้วนี่” อดประชดไม่ได้ซิน่า
“ปูน่ะ แจ๊คก็ส่วนแจ๊คซิไม่เกี่ยวกัน ถ้าอ้อมไม่อยากให้ปูมาเป็นเพื่อน อ้อมก็คงไม่ชวนปูมาหรอก” อ้อมอธิบายให้กรกฎฟังอย่างใจเย็น เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมกรกฎถึงได้ไม่ชอบแจ๊ค ในความเป็นจริงเธอก็อยากให้ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน
“เออ... ปูไม่ว่าก็ได้ แล้วเป็นไงบ้างอ้อมมั่นใจหรือเปล่าคะ” กรกฎก็ต้องยอมอ้อมเหมือนเดิม
“อ้อมมั่นใจตั้งแต่ก่อนมาล่ะ แต่ไม่รู้จะได้หรือเปล่า” บอกเสียงแผ่วๆ อย่างไม่แน่ใจ
“อ้อมเสียงดีจะตาย ปูยังหลงเสียงอ้อมเลย ยังไงก็ต้องได้...เชื่อสิ”กรกฎบอกแล้วยิ้มอย่างให้กำลังใจอ้อม ทำให้อ้อมยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ก่อนจะพากันเดินเข้าไปนั่งรอในห้องที่มีแจ๊คนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“คุณพ่อค่ะหนูบอกพ่อตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ ไม่ต้องให้คนของพ่อตามหนูตลอดเวลาขนาดนี้ วันนี้ก็ไปมีเรื่องกับผู้หญิงเท่ห์ตายล่ะ” พิมพ์รตา ต่อว่าพ่อทันทีที่กลับเข้าบ้านอย่างไม่พอใจ
“อะไรกันลูก นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากัน” นครมองลูกสาวอย่างใจเย็น เพราะเขารู้อารมณ์ของลูกสาว ที่ใจร้อนเอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะพิมพ์หรือพิมพ์รตา ลูกสาวคนเดียวที่ขาดแม่ตั้งแต่เด็ก เลยทำให้เขารัก และตามใจลูกสาวคนเดียวมาก แล้วยังมีป้าน้อมพี่สาวเขาที่เลี้ยงดูพิมพ์รตามาตั้งแต่เด็ก ตามใจยิ่งกว่าตัวเขาเองอีกหลายเท่า เลยทำให้พิมพ์รตากลายเป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง จนเขาตัดสินใจส่งพิมพ์รตา ไปเรียนการออกแบบดีไซน์ที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะเขามีกิจการร้านเพชรที่จัดว่าใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย และหวังจะให้ลูกสาวมาสานต่อกิจการของตัวเองที่ตัวเขาเองกำลังจะวางมือ เพื่อเข้าไปเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ซึ่งระหว่างการหาเสียงที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง มันทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวเอง และลูกสาวเป็นอย่างดีจนกว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไป
พิมพ์รตาเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองไทยไม่กี่วัน เขาเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวมาก จนต้องให้พิชิตคอยดูแลทุกย่างก้าวซึ่งพิมพ์รตาก็บ่นทุกวัน แต่วันนี้รู้สึกจะหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมา
“พ่อค่ะ เลิกให้นายพิชิตตามพิมพ์ซะทีนะคะ พิมพ์อึดอัดมาก เวลาพิมพ์เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนมอง พิมพ์ไม่ชอบที่มีผู้ชายมาเดินตามต้อยๆ แบบนี้นะคะพ่อ” พิมพ์รตาเริ่มใช้ลูกอ้อนซึ่งมันเคยใช้ได้ผลทุกที
“พ่อก็บอกลูกแล้วนี่ค่ะ ให้อดทนหน่อยสามเดือนเอง พอเลือกตั้งเสร็จเราก็ไม่ต้องระวังอะไรมากแล้ว ที่พ่อทำก็เพื่อความปลอดภัยของลูกนะคะ” นครยังกล่อมให้ลูกสาวเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ
“อะไรกันลูก โวยวายอะไรเสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่น่ารักเลยนะคะพิมพ์” ป้าน้อมที่ได้ยินเสียงหลานดังลั่นจนต้องเดินออกมาดู
“พ่อซิค่ะป้า ทำให้หนูเบื่อแล้วก็อึดอัด หนูจะกลับไปอยู่ฝรั่งเศสจนกว่าพ่อจะเลือกตั้งเสร็จ แล้วหนูค่อยกลับมาดีกว่า” พิมพ์รตาใช้ไม้ตายทันทีที่ป้าน้อมมา เพราะเธอรู้ดีว่ายังไงป้าก็ไม่ปล่อยให้เธอกลับไปแน่ๆ
“ไม่ได้นะลูก นครอย่าไปขัดใจลูกเลยนะ ถ้าเป็นฉันก็คงอึดอัดแย่” ป้าน้อมรีบหันไปหาน้องชายทันที พิมพ์รตาแอบซ่อนยิ้มอย่างสมใจ
“แต่มันอันตรายนะครับพี่ ปล่อยให้พิมพ์ไปไหนมาไหนตามลำพัง อีกไม่กี่วันพิมพ์ก็ต้องรับช่วงงานต่อจากผมแล้วด้วย ต้องมีคนดูแลนะครับพี่น้อม หลังจากนี้ผมก็ต้องยุ่งกับการหาเสียง คงไม่มีเวลาอยู่ดูแลลูกเท่าไหร่ ให้พิชิตคอยดูแลก็ดีอยู่แล้วนะลูกนะ พ่อจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง” นครยังพยายามบอกให้พี่สาวกับลูกสาวเชื่อฟังเขา
“ไม่ค่ะ พรุ่งนี้ป้าให้คนจัดการตั๋วเครื่องบินให้พิมพ์ด้วยนะคะ” พิมพ์รตายังคงดื้อรั้น
“เอาแบบนี้ เธอก็หาบอดี้การ์ดที่เป็นผู้หญิงสักคน มาดูแลพิมพ์เค้าแทนนายพิชิตนั่นก็แล้วกัน ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันมันจะได้ไม่อึดอัดมากนะลูกนะ อย่างน้อยๆ หนูจะได้มีเพื่อนไปไหนมาไหนด้วย แล้วพ่อเค้าก็จะได้ไม่ห่วงพิมพ์มากจนงานการเค้าเสีย” ป้าน้อมพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้พ่อกับลูก
“งั้นพ่อหาผู้หญิงมาเป็นบอดี้การ์ดให้ลูกแทนพิชิตก็ได้ ลูกต้องมีคนดูแลนะจ๊ะ” พ่อจับหัวลูกสาวโยกอย่างแสนรัก แม้ว่าลูกจะโตจนทำงานทำการได้แล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังคงเป็นห่วงเสมอ
“งั้นก็ได้ค่ะพ่อ แต่อย่าเอาแก่มากนะคะ หนูไม่อยากมีแม่คนที่สอง”เธอจำต้องยอมพ่อกับป้าน้อม เพราะเธอรู้ว่าท่านทั้งสองรัก และเป็นห่วงเธอมากนั่นเอง
‘เป็นผู้หญิงอย่างน้อยๆ ก็คงดีกว่ามีผู้ชาย คอยเดินตามแหละน่า’ พิมพ์รตาพยายามคิดในแง่ดี ก่อนจะพยามยามข่มตาหลับ
“รถใครคะป้า” พิมพ์รตาเอ่ยถามขณะที่รถของเธอกับป้าน้อมนั่ง ซึ่งเพิ่งกลับจากการไปทำบุญที่วัดกำลังแล่นผ่านประตูรั้ว มองเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ฮาร์เลย์เดวิดสัน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันจนติดปากว่า ชอปเปอร์ สีขาวเบาะสีดำจอดอยู่ในโรงรถ
“สงสัยเพื่อนพ่อเรามั้ง” ป้าน้อมตอบไป อย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“พ่อมีเพื่อนใช้รถแบบนี้ด้วยเหรอคะ เท่ห์จัง”
‘ชักอยากจะเห็นหน้าคนขับรถคันนี้แล้วสิ ขอดูหน้าซะหน่อยซิ’ คิดแล้วพิมพ์ก็ไม่รอช้า รีบสาวเท้าเข้าไปในห้องรับแขกทันที
“อ้าว...พิมพ์ มาพอดีเลย มาทำความรู้จักคนที่จะมาดูแลลูกหน่อย
สิ”นครหันมาเห็นพิมพ์รตาเดินเข้ามาพอดี เลยบอกให้เข้าไปนั่งข้างๆ เขาทันที พิมพ์รตารู้สึกแปลกใจที่คนที่มาไม่ใช่เพื่อนพ่ออย่างที่คิด เจ้าของรถเท่ห์นั่นเป็นผู้หญิงเหรอนี่ เธอเดินเข้าไปอย่างรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“นี่คุณกรกฎ คนที่พ่อจะให้มาดูแลลูกแทนพิชิต ที่พ่อรับปากลูกไว้ไง รู้จักกันไว้ซิ” นครบอกเมื่อพิมพ์รตาเดินเข้าไปนั่งข้างๆ พ่อ และมองไปที่ผู้หญิงที่พ่อบอก ก่อนจะร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน
“เธอ...!” พิมพ์รตาร้องออกมาอย่างแปลกใจ
‘นี่มันยัยบ้าที่เตะกระป๋องโดนหัวเธอนี่นา’
“คุณ...!” กรกฎร้องเสียงหลงไม่แพ้กันกับพิมพ์รตา