ตอนที่ ๘
วันแรกของการทำงาน ของพิมพ์รตามาถึงจนได้ เธอเลือกสวมเดรสแขนสั้นสีน้ำเงิน ขับผิวที่ขาวผ่องให้ผ่องยิ่งขึ้น โดยมีสูทสีขาวสวมทับ ทำให้เธอแลดูเป็นผู้บริหารได้สมบูรณ์แบบที่สุดในยามนี้
“วันนี้ลูกสาวพ่อสวยสง่าเหลือเกิน” คุณนครเอ่ยชม โอบกอดลูกสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มาก ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พิมพ์รตาจะทำให้เขาเสียใจ
“ตื่นเต้นหรือเปล่าลูก พ่อเชื่อว่าหนูจะต้องทำได้ดี ไปกันเถอะ” ลุกขึ้นเอ่ยชวน
“เดี๋ยวค่ะพ่อ กรกฎยังไม่ลงมาเลยค่ะ”
“เออ...จริงด้วยซิ พ่อยังไม่เห็นเค้าเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนที่ถูกพูดถึง เดินลงมาจากข้างบน สวมเดรสสั้นสีเหลืองนวลที่พิมพ์รตาเป็นคนเลือกให้ และย้ำนักหนาว่าต้องใส่ในวันแรกของการทำงาน
เธอเดินพลางดึงรั้งกระโปรงไปด้วย อย่างไม่มีความมั่นใจกับชุดที่เธอใส่ แม้จะมีเสื้อสูทสีดำสวมทับอยู่แล้วก็ตาม
“โอ้โห...กรกฎวันนี้หนูสวยมากเลยจ๊ะ” นครเอ่ยชม ยิ่งทำให้กรกฎยิ่งเขินอายมากกว่าเดิม
“คุณท่านอย่าแซวหนูซิค่ะ” กรกฎหน้าแดงก่ำ
“ทำไมวันนี้หนูแต่งตัวสวยแบบนี้ล่ะ” นครเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ก็ลูกสาวท่านซิค่ะ บังคับให้หนูใส่” ตอบพร้อมกับขว้างค้อนใส่คนที่ยืนมองยิ้มกริ่มอย่างชอบใจอยู่ใกล้ๆ
“หนูอยากให้ใครๆ รู้จักกรกฎ ในฐานะเลขาส่วนตัวหนูค่ะพ่อ ถ้าบอกว่าเป็นบอดี้การ์ด มันจะประเจิดประเจ้อเกินไป” พิมพ์รตาบอกพ่อให้ทราบถึงจุดประสงค์ของเธอ
“อืม...จริงซินะพ่อลืมไปเลย ลูกพ่อฉลาดจัง ดีแล้วล่ะกรกฎทำตามที่พิมพ์บอกดีแล้ว เดี๋ยวพ่อจะได้บอกทุกคนตามนี้ละกันนะ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะสาย”นครเห็นดีเห็นงามไปกับลูกสาวด้วย ก่อนจะพากันออกเดินทางไปโรงงาน
ที่โรงงานผลิตเครื่องประดับเพชร ไวท์ไดมอนด์ของนคร โชติรุ่งเรือง เมื่อทุกคนเดินทางไปถึง พนักงานทุกคนยืนเข้าแถวรอรับอยู่แล้ว รวมทั้งเนตรนภาน้องสาวของนคร ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าสาวของพิมพ์รตา และลูกสาวของเธอเฟื่องนภา
ทั้งสองคนทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนี้ด้วย โดยที่นครแบ่งหุ้นให้ 20 เปอร์เซ็นต์ เนตรนภาอยู่ฝ่ายบริหาร ส่วนเฟื่องนภาเป็นหัวหน้าจัดซื้อ ทั้งสองคนไม่ค่อยชอบใจนัก ที่จะต้องทำงานภายใต้การบริหารของพิมพ์รตา แต่เมื่อเป็นความต้องการของนคร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานแห่งนี้ พวกเธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านใดๆ
“ทุกคนมาพร้อมหน้ากันก็ดีแล้ว ผมขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก พิมพ์รตาลูกสาวของผม ที่จะมารับช่วงประธานบริหารคนใหม่ของไวท์ไดมอนด์” นครบอกกับทุกคนที่มารอต้อนรับทันที
“สวัสดีค่ะทุกๆ ท่าน ดิฉันพิมพ์รตา โชติรุ่งเรือง ดิฉันจะสานต่องานของคุณพ่ออย่างดีที่สุด ขอให้ทุกท่านทำงานเหมือนกับที่ทำกับคุณพ่อนะคะ เราทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีอะไรจะแนะนำดิฉันพร้อมที่จะรับฟังค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาให้เกียรติมาต้อนรับค่ะ” พิมพ์รตากล่าวกับพนักงานทุกคนอย่างฉะฉาน ทำเอากรกฎมองอย่างรู้สึกทึ่งกึ่งแปลกใจ กับความเป็นผู้นำ และการเอาจริงเอาจังกับงาน ผิดจากที่เธอเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง
“ขอให้ทุกๆ คนปฏิบัติกับลูกสาวของผม เหมือนกับที่ทำกับผมนะครับ ผมขอฝากลูกสาวของผมด้วย ยังไงผมก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาของที่นี่อยู่ไม่ได้ทิ้งไปไหน อ้อแล้วนี่ขอแนะนำให้รู้จักกรกฎ เธอจะมาเป็นเลขาส่วนตัวของพิมพ์” นครแนะนำกรกฎตาม ที่บอกกับพิมพ์รตาไว้
“สวัสดีค่ะ” กรกฎเอ่ยทักทายสั้นๆ
“หมั่นไส้ ทำเป็นมีเลขาส่วนตัว” เฟื่องนภาเอ่ยเบาๆ อย่างขวางๆ
“เดี๋ยวเค้าก็ได้ยินหรอก อยากโดนไล่ออกหรือไง” เนตรนภาดุลูกสาวเบาๆ
“ทุกท่านแยกย้ายกันไปทำงานได้ค่ะ และบ่ายนี้ขอเชิญหัวหน้าแต่ละแผนกประชุมนะคะ ดิฉันขอรายละเอียดการทำงานของแต่ละแผนกในปีที่แล้วด้วยค่ะ” พิมพ์รตาบอกทิ้งท้ายก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนของตัวเอง
“น้าเนตรสวัสดีค่ะ” พิมพ์รตาหันมาไหว้เนตรนภาผู้เป็นน้าหลังจากเสร็จสิ้นจากพิธีการต้อนรับของพนักงานแล้ว
“หวัดดีจ๊ะหลานพิมพ์ ไม่เจอกันนาน โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะจ๊ะ น้าดีใจนะ ที่หนูจะมาทำงานด้วยกัน” เนตรนภาปั้นสีหน้าเอ่ยทักยิ้มแย้ม
“หวัดดีจ๊ะเฟื่อง” พิมพ์รตาทักเฟื่องนภา ที่มีศักดิ์เป็นน้อง ที่ยืนเฉยอยู่ข้างเนตรนภาผู้เป็นแม่
“หวัดดีค่ะพี่พิมพ์ เอ่อ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” ทักทายอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเลี่ยงไปทำงาน
“เอ้อ...ช่วงนี้งานเค้ายุ่งๆ นะจ๊ะ” เนตรนภาแก้ตัวแทนลูกสาวด้วยใบหน้าเจื่อนๆ เหลือบมองพี่ชายที่มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจอย่างเกรงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า งั้นเดี๋ยวขอพิมพ์ไปดูห้องทำงานก่อนนะคะ เชิญคุณน้าตามสบายค่ะ” พิมพ์รตาบอกอย่างไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเธอรู้นิสัยของเฟื่องนภาดีอยู่แล้ว ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับเธอสักเท่าไหร่ เธอรู้ดีว่าเฟื่องนภามักจะอิจฉาเธอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
“ขอตัวก่อนนะคะพี่” บอกพี่ชายเสียงอ่อยๆ
“อื้อ...ยังไงก็ฝากพิมพ์ด้วยนะเนตร หลานยังใหม่กับที่นี่” นครเอ่ยนิ่งๆ
“ค่ะพี่ น้องจะช่วยอย่างเต็มที่ค่ะ” บอกก่อนจะเดินจากไป
นครพาพิมพ์รตาเดินไปยังห้องทำงานเก่าของเขา ที่กำลังจะกลายเป็นของเธอ “นุช ฉันพาพิมพ์รตา เจ้านายคนใหม่ของเธอมาส่งให้แล้ว” นครบอกนุชนาถ เลขาหน้าห้องคนเก่าคนแก่ของเขา ซึ่งนุชนาถมีอายุแก่กว่าพิมพ์รตาหลายปี พิมพ์รตายกมือไหว้นุชนาถในฐานะผู้อาวุโสกว่า อย่างไม่ถือตัว
“สวัสดีค่ะพี่นุช พิมพ์ต้องฝากเนื้อฝากตัวกับพี่นุชด้วยนะคะ” เอ่ยทักอย่างคุ้นเคย เธอรู้จักนุชนาถเพราะเป็นเลขาให้นครมานานหลายปีแล้ว
“อุ้ย...คุณพิมพ์อย่าพูดแบบนี้ซิค่ะ พี่นุชต่างหากต้องฝากเนื้อฝากตัวกับคุณพิมพ์” นุชนาถร้องบอกเสียงหลง
“ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอก สรุปว่าทั้งสองคนช่วยดูแลกัน และกันให้ตลอดรอดฝั่งล่ะกัน” นครที่ยืนฟังอยู่ตัดสินยิ้มๆ
“เอ้อ...พี่นุชค่ะ นี่กรกฎเลขาส่วนตัวพิมพ์ จะดูแลพิมพ์เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานนะคะ พี่ช่วยให้คนจัดโต๊ะให้เค้านั่งในห้องทำงานของพิมพ์ด้วยนะคะ” พิมพ์รตาแนะนำกรกฎกับนุชนาถ
“สวัสดีค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะพี่นุช” กรกฎเอ่ยยิ้มๆ และเรียกนุชนาถตามที่พิมพ์รตาเรียก
“สวัสดีค่ะ คุณนครบอกพี่ไว้แล้วล่ะค่ะ แล้วพี่ก็จัดโต๊ะไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะคุณพิมพ์” นุชนาถรับไหว้กรกฎอย่างเอ็นดู ก่อนหันไปบอกพิมพ์รตา
“งั้นพิมพ์ขอตัวไปสำรวจห้องทำงานก่อนนะคะ” บอกก่อนจะเดินกอดแขนผู้เป็นพ่อ เดินเข้าไปในห้องทำงาน โดยมีกรกฎเดินตามไปติดๆ
ภายในห้องทำงานกว้างใหญ่ มีชุดโซฟาสำหรับรับแขกด้านหน้า มีโต๊ะทำงานของกรกฎอยู่ด้วย โดยมีฉากกั้นห้อง กั้นส่วนที่นั่งทำงานของพิมพ์รตาไว้ด้านใน
“พ่อให้ช่างเขามาตกแต่งให้ใหม่ เพราะลูกต้องมีกรกฎนั่งทำงานอยู่ด้วย เป็นไงบ้าง”
“ดูดีเป็นสัดส่วนจังค่ะพ่อ ขอบคุณนะคะ” พิมพ์รตาบอกพ่ออย่างชอบใจ
“เป็นไงกรกฎชอบไหมล่ะโต๊ะทำงาน” นครเอ่ยถามกรกฎที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ
“ค่ะท่าน ขอบพระคุณท่านมากค่ะ” กรกฎบอกก่อนจะสำรวจดูโต๊ะที่บอกว่าเป็นของเธอ มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน อย่างน้อยๆ ระหว่างที่นั่งเฝ้าพิมพ์รตา มันคงไม่น่าเบื่อซะทีเดียว
นครอยู่คุยแจกแจงเรื่องการทำงานกับลูกสาวไม่นาน ก็รีบออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยให้พิมพ์รตาเริ่มทำงานตามลำพัง เมื่อนครเดินลับออกจากประตูไป พิมพ์รตาโผเข้ากอดกรกฎแน่น จนคนถูกกอดยืนตัวแข็งทื่ออย่างตกใจพูดไม่ออก รู้สึกงงๆ กับการกระทำของพิมพ์รตา
“ขอฉันกอดเธอหน่อย ขอบคุณนะที่เธออยู่ตรงนี้ ในเวลานี้” เสียงอู้อี้ของพิมพ์รตาที่บอกกับกรกฎ เพราะใบหน้าเธอแนบกับอกของกรกฎพอดี
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณ” เอ่ยถามเสียงสั่น เธออยากจะโอบกอด คนที่ซบอยู่ที่อกเธอเหลือเกิน แต่ต้องยั้งไว้ด้วยรู้ว่าไม่สมควร ได้แต่เพียงถามด้วยความห่วงใย
“เปล่า ฉันเพียงแต่รู้สึกว่าฉันกำลังทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และหนักหน่วง ฉันอยากได้กำลังใจจากเธอ ขอบคุณนะที่ให้อกเธอเป็นที่พักพิง เวลาที่ฉันอ่อนล้า” พิมพ์รตาบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปยังโต๊ะทำงานของเธอ ปล่อยให้กรกฎยืนอึ้งกับคำบอกของเธอ รู้สึกใจยังไม่หายสั่น ทำไมต้องมาทำให้หวั่นไหวแบบนี้ด้วย
ตอนบ่ายพิมพ์รตาเข้าประชุมกับหัวหน้าแต่ละแผนกนานหลายชั่วโมง เธอต้องการจะเรียนรู้งานของทุกแผนกในโรงงานโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เธอจะได้รู้ทิศทางการที่จะนำพาไวท์ไดมอนด์ก้าวต่อไป แบบไหนในอนาคต เมื่อประชุมเสร็จเธอยังนั่งดูเอกสารสรุปของปีที่แล้ว ที่หัวหน้าแต่ละแผนกนำมาให้
“คุณค่ะ เย็นมากแล้วคุณหิวหรือเปล่า จะให้ฉันสั่งอาหารมาให้ทานก่อนไหม” กรกฎทนไม่ไหวจนต้องเข้าไปบอกเมื่อเธอเห็นว่า พิมพ์รตายังไม่มีวี่แววจะหยุดพัก
“เอ้า จะทุ่มแล้วเหรอ เธอคงหิวมากแล้วสิ งั้นเรากลับกันก่อนดีกว่า ขอโทษเธอด้วยนะ ฉันทำงานเพลินไปหน่อย คราวหลังเธอก็เตือนฉันบ้างละกันนะ” พิมพ์รตาเงยหน้าขึ้นมาดูนาฬิกา ก่อนบอกกับกรกฎด้วยอาการอ่อนล้า
เมื่อสองคนเดินออกจากห้องทำงาน ก็เห็นนุชนาถยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอที่หน้าห้อง
“พี่นุชทำไมยังไม่กลับบ้านอีกคะ” พิมพ์รตาร้องถามอย่างตกใจ
“เจ้านายพี่ยังไม่กลับ แล้วจะให้พี่กลับก่อนได้ยังไงล่ะค่ะ” นุชนาถหันมาตอบยิ้มๆ
“โหย...พิมพ์ขอโทษจริงๆ ค่ะพี่ พอดีพิมพ์มัวแต่อ่านเอกสารของแต่ละแผนก ซึ่งก็เยอะพอสมควร คิดแต่ว่าจะอ่านให้จบ ก็เลยลืมเวลา เลยทำให้พี่ต้องลำบากเลย” พิมพ์รตาบอกอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณพิมพ์ บางทีคุณนครท่านก็อยู่ดึกกว่านี้ก็มีค่ะ” บอกให้พิมพ์รตาคลายกังวล
“จริงเหรอคะ คุณพ่อทำงานดึกๆ ด้วยเหรอคะ” เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ค่ะ บางทีมีเรื่องด่วนที่ต้องเคลียร์ให้เสร็จ ท่านก็ต้องนั่งทำจนดึกก็มีบ้างค่ะ” นุชนาถตอบพลางเก็บของไปด้วย
“งั้นเพื่อเป็นการขอโทษ ให้พิมพ์เลี้ยงข้าวนะคะพี่นุช กว่าจะเดินทางกลับรถติด หิวแย่เลยนะคะ” พิมพ์รตาเอ่ยชวน
“ยินดีค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณพิมพ์” นุชนาถตอบรับคำยิ้มๆ
“งั้นไปกันค่ะ ร้านเพื่อนพิมพ์เอง เดี๋ยวโทรไปสั่งกับข้าวไว้ก่อนจะได้ไม่เสียเวลา ไปถึงจะได้ทานเลย พิมพ์เพิ่งรู้สึกตัวว่าหิวสุดๆ แล้วค่ะ” เธอหัวเราะขำกับคำพูดของตัวเอง จนทำให้ทั้งสองคนที่เดินตามมาอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
(กวินเดี๋ยวฉันจะไปทานข้าวที่ร้านเธอนะ เตรียมอาหารให้ด้วยหิวมาก สามที่จ๊ะไม่เกินยี่สิบนาที จ้าเดี๋ยวเจอกัน) พิมพ์รตาโทรบอกกวินเพื่อนสาวที่สนิทมากของเธอ
“เรียบร้อยค่ะพี่ รับรองไปถึงได้ทานเลย อาหารที่นี่อร่อยมากค่ะ เป็นร้านของเพื่อนพิมพ์เองเป็นผู้ชายหวานค่ะ” หันไปบอกนุชนาถที่เดินข้างๆ
“ไปแถวไหนคะคุณ” กรกฎเอ่ยถาม
“ไปโรงแรมสายธารา ที่เธอเตะกระป๋องโดนหัวฉันวันนั้นน่ะ จำได้ไหม” บอกกรกฎที่กำลังเปิดประตูรถ ก่อนหันไปบอกนุชนาถ
“ไปโรงแรมสายธารา อยู่เลยไปสามไฟแดงเองค่ะพี่นุช รู้จักไหมคะ ขับรถตามกันไปก็ได้ค่ะพี่”
“อ๋อ รู้จักค่ะนำไปเลยค่ะ” นุชนาถบอกก่อนเดินไปที่รถ
‘โรงแรมที่อ้อมร้องเพลงอยู่นี่นา จะใช่ร้านเดียวกันหรือเปล่านะ คงไม่ใช่หรอก ในนั้นคงมีร้านอาหารหลายร้าน โรงแรมออกจะใหญ่โต’ กรกฎครุ่นคิด ตั้งแต่วันที่ไปรดน้ำคุณแม่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าวันนั้น เธอก็ยังไม่ได้คุยกับอ้อมอีกเลย ตอนนี้เธอคิดว่าตัดใจจากอ้อมได้แล้ว แต่ถ้าต้องเจอกันเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร
“พิมพ์ทางนี้จ๊ะ” กวินมายืนรอพิมพ์รตาอยู่ก่อนแล้ว
“เป็นไงบ้างกิจการรุ่งเรืองดีไหมล่ะแก” พิมพ์รตาเอ่ยทักเพื่อนสาวอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกัน
“กวินนี่พี่นุชเป็นเลขาฉัน แล้วนี่ปูทำงานด้วยกัน พี่นุชค่ะปูจ๊ะ นี่กวินเพื่อนรักพิมพ์ค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” ทั้งนุชนาถกับกรกฎเอ่ยทักทายพร้อมกัน
“สวัสดีค่ะ เชิญที่โต๊ะเลยค่ะ” กวินทักตอบก่อนจะเชิญให้ทั้งสามไปยังโต๊ะที่มีอาหารรออยู่เต็มโต๊ะแล้ว
ทั้งหมดนั่งคุยกันไปทานอาหารกันไป พิมพ์รตาเม้าท์เรื่องของกวินเพื่อนรักให้นุชนาถกับกรกฎฟัง คุยไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข กรกฎแอบมองพิมพ์รตาอย่างเผลอตัว เวลานี้พิมพ์รตาดูช่างน่ารักสดใสเหลือเกิน จนทำให้หัวใจของคนที่แอบมองสั่นไหวอย่างไม่รู้ตัว
‘ปิดบังอยู่ตั้งนาน และมันอัดอั้นใจ
ยิ่งเราใกล้ชิดกัน ยิ่งหวั่นไหว
เธอสบตา กลับหลบตาเธออยู่เรื่อยไป
ห่างกันเพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล
ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท
ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกไป ว่ารักเธอ’
*** เพื่อนสนิท...ดาเอนโดรฟิน***
เสียงนักร้องที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวทีทำให้กรกฎรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที สิ่งที่เธอกลัวกำลังเป็นความจริง เสียงนั้นเธอจำได้ดี เป็นเสียงของอ้อมแน่ๆ ที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที