web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 62
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 143
Total: 143

ผู้เขียน หัวข้อ: Part 1 : ขนนกสีเพลิง บทที่ 6  (อ่าน 1660 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ พราวณพัชส์

  • Moderator
  • หน้าใหม่
  • *****
  • กระทู้: 6
Part 1 : ขนนกสีเพลิง บทที่ 6
« เมื่อ: 30 มกราคม 2014 เวลา 17:28:40 »
ตอนที่ 6

ที่โรงพยาบาลกลาง
ณัฐณิชาตื่นแต่เช้าเพื่อจะได้มีเวลาเยี่ยมไข้โบอาก่อนถึงเวลางานของเธอ แม้ว่าตำรวจจะอยู่กันแน่นหนา แต่เธอรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

เมื่อคืนอาจารย์โจลี่ส่งข้อความมาว่ามีประชุมบ่าย ต้องเป็นเรื่อง Anti-pp แน่เลย...

เธอมองข้อความของซิกนัสที่ส่งมาให้กลางดึกว่ามีเรื่องต้องคุยกัน แต่ไม่แน่ใจว่าจะปลีกตัวไปจากความวุ่นวายตรงนี้ได้หรือไม่ อีกอย่างเธออยากเห็นผลการตรวจสอบเครื่องขยายเสียงเหลือเกินจึงยังไม่ตอบกลับ

หรือจะลองโทรไปถามผู้กองชานมดูดีนะ ต้องหาวิธีที่แนบเนียนหน่อยซะแล้วสิ...

ยังไม่ทันจอดรถ เสียงเทเลแกรมก็ดังขึ้น ภาพที่กระจกด้านข้างคนขับ ฉายชื่อของรัชชานนท์ขึ้นมาทันที หญิงสาวมองด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีค่ะ”  เธอตอบรับ
“หมอนิ วันนี้งานเยอะไหมครับ” เสียงนุ่มๆ ของผู้กองฟังแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันมีประชุมช่วงบ่ายน่ะค่ะ เอ่อ... มีเรื่องด่วนเหรอคะ?”

แย่ล่ะสิ...หรือว่าจะได้เบาะแสเรื่องจอมโจรไลเบทเสียแล้ว

“ออ ครับ ไม่เป็นไร ผมแค่เห็นว่าตึกเราใกล้กัน ถ้าคุณว่างอยากชวนไปทานข้าวเย็นน่ะ” เขาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงดูขัดเขินอยู่เล็กน้อย
 ณัฐณิชาไม่คิดว่าผู้กองจะโทรมาชวนเธอทานข้าวแบบนี้ พอจอดรถได้เธอก็รีบรับคำไว้ก่อน
“ถ้าประชุมเสร็จไวนะคะผู้กอง ฉันไม่แน่ใจว่าจะเลิกงานกี่โมง” เธอบอก สายตามองไปยังตึกด้านข้างซึ่งธารธีคงกำลังหารายละเอียดและตรวจสอบหลักฐานเมื่อวานอยู่
“ครับหมอนิ งั้นเย็นนี้เลิกงานแล้วโทรมาหาผมนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงนิ่งดังเดิม ก่อนจะให้เธอเป็นฝ่ายกดวางสายไป ณัฐณิชาลงจากรถเดินเข้าตึกโรงพยาบาล เธอเห็นโจลี่กำลังคุยกับชายในชุดสูทสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ท่าทางคงเป็นตำรวจที่รับผิดชอบคดีระเบิดแน่ๆ

ผู้ชายคนนี้...

หญิงสาวนึก นอกจากพันเอกเจมส์ที่สั่งการเธอแล้ว มีตำรวจระดับสูงไม่กี่คนที่เธอเคยเห็นจากข่าวและชายคนนี้ก็น่าจะเป็นคนดังไม่น้อยในทีมอาชญากรรม
“มาไวนะจ๊ะวันนี้” โจลี่เห็นเธอเข้าก็ทักทันที หญิงสาวก้มตัวทำความเคารพเล็กน้อยก่อนจะสบสายตากับชายวัยสามสิบปลายๆ ตรงหน้า ท่าทางจริงจัง เชื้อสายเอเชียใต้ ไม่ศรีลังกาก็คงอินเดีย
“ค่ะ นิว่าจะแวะไปดูโบอาสักหน่อย”
“เห็นว่าอาการดีขึ้นแล้วล่ะ ออ นี่ ผู้พันมาลิค” โจลี่แนะนำ หญิงสาวยิ้มและก้มแสดงความเคารพ ดูเหมือนมาลิคจะไม่เคยเจอคุณหมอสาวสวยมาก่อน ถึงกับมองไม่วางตา “ท่านเป็นคนดูแลคดีที่นี่ ถ้ามีอะไรก็ให้ความร่วมมือกับท่านนะ”
ถ้าไม่ติดว่าเขาอายุเกือบสี่สิบและผ่านอะไรมาเยอะจนใบหน้าดูมากกว่าอายุ ความหล่อคมเข้มนี้ก็ดูดีไม่น้อย พอเธอเห็นสายตาของโจลี่มองเขาแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ไม่เคยเห็นอาจารย์ของเธอมองใครด้วยสายตาเป็นประกายแบบนี้
“ขอตัวนะคะ” เธอบอก
เมื่อพ้นจากพวกเขาไปแล้วเธอก็เปลี่ยนสีหน้ายิ้มๆ เป็นนิ่งลง ครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยความกังวลใจ จนกระทั่งถึงหน้าห้องฉุกเฉิน หญิงสาวเดินเข้าไปโดยที่พยาบาลไม่ได้ห้ามปราม
แค่เห็นเตียงมาแต่ไกลๆ กับร่างซีดขาวเหมือนไร้สีเลือดของโบอา เธอก็รู้สึกใจหาย ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ โบอาเป็นคนที่มาคอยคุยเล่น ถามไถ่ และมักจะช่วยเธอเสมอจนให้ความรู้สึกไม่ต่างจากน้องสาวคนหนึ่ง
“โบอา...” เธอเรียกเบาๆ เครื่องมือแพทย์ที่เชื่อมกับร่างกายของหญิงสาวบอกว่าทุกอย่างเป็นปกติดี เพียงแต่รอเวลาพักฟื้นเพียงเท่านั้น

…………………………………


ช่วงบ่าย..
แพทย์และฝ่ายบริหารเกือบทุกคนของโรงพยาบาลกลางโซน SE เข้าประชุมกันหมด ยกเว้นก็แต่คุณหมอรูเพิร์ตที่ไม่ได้มา ณัฐณิชาสังเกตว่าแต่ละคนมีสีหน้าตึงเครียด ตลอดทั้งวันต้องทำงานโดยมีเจ้าหน้าที่อยู่แทบทุกจุด ดูอึดอัดกว่ามีอยู่แค่ข้างตึกแบบเมื่อก่อนมากนัก
หลังจากคุยเรื่องภายในจนเรียบร้อยก็มาถึงเรื่องที่ทุกคนกำลังต้องการคำตอบอยู่พอดี...
“จะไม่มีการส่ง Anti-pp มาเพิ่มที่นี่” หมอชาร์ลเอ่ยขึ้น “ผมได้พยายามจะยื่นข้อเสนอแล้ว แต่ทุกโซนผลิตยาได้อย่างจำกัด การที่เราถูกเอายาตัวนี้ซึ่งสามารถแจกจ่ายเป็นวัคซีนให้กับคนทั้งโซนได้ถึงปี นั่นเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่พวกเขาจะผลิตคืนให้ได้”
“อะไรกัน” ณัฐณิชาเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว “ทุกโซนมียาเผื่อคนละปี แล้วทำไมจะแบ่งให้เราใช้สักลอตหนึ่งไม่ได้นะ” เธอลืมไปว่านี่เป็นการประชุมอย่างเป็นทางการ พนักงานกับบรรดานายแพทย์หันมองกันเกรียว
“อะ เอ่อ... ขอโทษค่ะๆ” คุณหมอสาวเอ่ยพลางยิ้มแก้เก้อ

ถ้าไม่มียาตัวนี้ แสดงว่าคนที่โซนนี้จะต้องสุขภาพทรุดโทรม จะให้คิดยาตัวใหม่มาแทนก็เป็นไปไม่ได้หรอก... คนที่ทำเรื่องนี้ต้องการอะไรกันแน่

“แต่ก็มีการเสนอยาตัวใหม่ สำหรับใช้ชั่วคราวในรอบเดือนหน้า...” โจลี่เสริมขึ้น เธอนั่งอยู่หัวโต๊ะ และตอนนี้ก็ลุกมายืนเคียงข้างชาร์ล
“เพียงแต่ ราคาเดิมของยาที่ผสม Anti-pp มันเพียงแค่คนละร้อยยี่สิบคอล์ย ส่วนยาตัวใหม่ เราต้องสั่งมาในราคาถึงสิบเท่า”
สิบเท่า!!!
“ของแบบนี้คนในสลัมจะจ่ายได้ยังไงกัน อุ๊ย... ขอโทษค่ะๆ” ณัฐณิชาเผลอแย้งอีกรอบด้วยความตกใจ ทั้งห้องหันมองเธอเป็นตาเดียว
“สำรวมหน่อยคุณหมอณัฐณิชา” ชาร์ลปรามแล้วจึงหันไปกล่าวกับที่ประชุมต่อ  “ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกมากนัก ทางกองสืบสวนพิเศษสากลก็โดนเล่นงานและจับตามองโซนเราเป็นพิเศษ พวกคุณคงไม่อยากจะค้านมากใช่ไหม ยังไงเราก็เป็นแค่เสียงเล็กๆ เท่านั้น”
“แล้วเราจะแจกจ่ายยังไงครับ” หมอศศินถามขึ้น
“เราให้ฟรีไม่ได้ ดังนั้นเราต้องประกาศเรื่องนี้ออกไป การปรับราคายานี้ ทุกคนต้องจ่ายเองคนละ หนึ่งพันคอล์ย รัฐช่วยได้เพียงเท่านั้น”

หนึ่งพันคอล์ยงั้นเหรอ...!!!

ณัฐณิชาอึ้งไป ลำพังรายได้แต่ละเดือนสำหรับค่าใช้จ่ายคนจนก็แทบจะไม่มีเงินแล้ว พวกเขาไม่มีทางมีเงินมากขนาดนั้นแล้ว โดยเฉพาะคนที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน เท่ากับพวกเขาต้องหาเงินไม่ต่ำกว่าสี่พันคอล์ยให้ทันฉีดวัคซีนเดือนหน้า
พอจบการประชุมเธอก็เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทางครุ่นคิด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เรื่องระเบิดครั้งนี้ดูจะกวนใจเธอเหลือเกิน บางทีคงต้องคุยกับซิกนัสดูว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ หญิงสาวเดินออกจากบริเวณนั้น พอห่างไกลผู้คนเธอก็ส่งข้อความด้วยเทเลแกรมอีกเครื่องหนึ่ง

เจอกันคืนนี้หลังเลิกงาน ... เรื่องสำคัญ

“ประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มของชายคนหนึ่งดังขึ้น พอคุณหมอสาวสวยหันไปก็เจอเขากับแววตาคมเข้มของผู้กองรัชชานนท์
“ค่ะ แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“อ๋อ ผู้พันมาลิคให้หมวดไทมาช่วยสอบปากคำคนเจ็บที่ฟื้นแล้วน่ะครับ ผมเลยมาด้วยแล้วก็เดินมาเรื่อยๆ นี่ล่ะ” ชายหนุ่มจงใจพูดไป ไม่กล้าบอกว่าที่จริงเขาลองเดินมาหาเธอโดยเฉพาะ พอได้ยินว่ามีประชุมที่นี่จึงมาดักรอ
“โบอาฟื้นแล้วเหรอคะ” หญิงสาวถามด้วยความดีใจ
“ครับ” เขายิ้ม ออกจะงุนงงเล็กน้อย ยิ่งเมื่อคุณหมอสาวรีบวิ่งออกไปทันที เขาก็ได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง พอได้สติว่าเธอคงไปหาผู้ช่วยพยาบาลที่ชื่อโบอาแน่ๆ

…………………………………

“เป็นไงบ้าง” น้ำเสียงของณัฐณิชาทั้งอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยในตัวของโบอาอย่างมาก ร่างบางถูกย้ายมาอยู่ในห้องผู้ป่วยแยก ตำรวจคอยเฝ้าหน้าห้องอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าที่เคยขาวละมุนมีสีเลือดจางๆ เวลานี้ดูซีดเซียว เธอโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่สีข้างก่อนจะสลบไป
“หมอนิ...” ร่างบางบนเตียงเรียกเสียงแผ่ว รอยยิ้มจางๆ ปรากฎบนสีหน้าของโบอาทันทีที่หญิงสาวมองเห็นคุณหมอณัฐณิชา
“โบอานึกว่าจะไม่ได้เจอคุณหมอวันนี้...”
“ได้ยังไงล่ะจ๊ะ” คุณหมอสาวยืนข้างเตียงพลางก้มตัวลงกุมมือของโบอาไว้ “ฉันต้องมาสิ ปลอดภัยแล้วนะไม่มีอันตรายแล้ว”
พอสิ้นคำว่าอันตรายสีหน้าของโบอาก็เปลี่ยนไป... ร่างกายเกร็งขึ้น ดวงตาสั่นระริกมีน้ำเอ่อคลอจนณัฐณิชาเองทำตัวไม่ถูก เธอตกใจไม่แพ้กัน
“เป็นอะไรไปโบอา”
“หมอ... หมอนิคะ คือ... โบอา” หญิงสาวหน้าตาตื่น กลอกตาไปมาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง จนณัฐณิชาต้องจับมือเธออีกข้างแล้วเขย่าเบาๆ
“โบอา... ใจเย็นๆ นะ...” เธอเรียกไว้ ในที่สุดร่างบางบนเตียงคนไข้ก็เย็นลง อาการสั่นหายไป
“คุณหมอ... โบอาอยากพักแล้วค่ะ” ร่างบางบอกเสียงแผ่ว เมื่อเธอยังไม่อยากพูด ณัฐณิชาก็ไม่อยากคาดคั้นอะไร ประสบการณ์คืนนั้นคงเป็นเรื่องที่ทรมานใจเด็กสาวคนนี้มาก
“พักผ่อนเถอะจ้ะ แค่เธออาการดีขึ้นฉันก็ดีใจแล้ว พรุ่งนี้จะมาแต่เช้าเลยดีมั้ย” ณัฐณิชาลูบผมโบอาเบาๆ จนเธอยิ้มให้อีกครั้ง แล้วเธอก็เดินกลับไปทางประตู
“หมอนิคะ” โบอาเรียกเธอไว้... คุณหมอสาวหันมอง
“พรุ่งนี้มานะคะ โบอาอยากเจอหมอนิเป็นคนแรก” เธอพูด สีหน้าดูดีขึ้นเล็กน้อย “นะคะ...”
ณัฐณิชายิ้มกว้าง มองเด็กสาวอย่างเอ็นดู
“จ้ะ ฉันมาแน่”
เธอบอก โบกมือลาอีกทีหนึ่งแล้วหันหลังกลับไปเปิดประตูออกอีกครั้ง ร่างแข็งแรงของรัชชานนท์ก็ปรากฎที่หน้าประตูห้อง
“อุ๊ย ผู้กองชานม...” เธอเผลอเรียกออกมา คงเพราะสบกับดวงตานั้นแล้วนึกถึงครั้งที่พบกัน ผู้กกองหนุ่มยิ้มน้อยๆ
“จำได้ว่ามีคนสัญญาจะไปทานข้าวเย็นกับผมหลังประชุมเสร็จ นี่ผมรอเค้ามา...” ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “ยี่สิบสามนาทีละ”
“ค่า ...” หญิงสาวมองท่าทางเขาอย่างหมั่นไส้นิดๆ  ท่าทางเขาเหมือนพวกอยากได้อะไรต้องพยายามให้ได้มาพอเห็นเธอรับคำก็ยิ้มกว้าง
“ผมมีร้านอร่อยๆ อยากแนะนำคุณเยอะเลย” เขาพูดขึ้นพลางเดินนำหน้า ท่าทางร่าเริงกว่าเวลางานอย่างกับเป็นคนละคน หญิงสาวหวนนึกถึงตอนเจอเขาครั้งแรกในสภาพยับเยินแต่ยังมีกะใจหยอดใส่แพทย์ฝึกหัดอย่างเธอ

“นี่ผมตายแล้วเหรอ ดีจัง เจอนางฟ้าเป็นคนแรกบนสวรรค์”

เธอยิ้มน้อยๆ
 
ใช่นายชานมคนนั้นจริงๆ....

…………………………………

ในจุดที่แออัดและวุ่นวายที่สุดของเมือง มีร้านรวงเปิดขายอาหารสำหรับคนเลิกงานอยู่มากมาย สมัยนี้การซื้อวัตถุดิบทำอาหารในปริมาณน้อยๆ แพงกว่าหาอะไรทานตามร้านที่ซื้อวัตถุดิบไว้ปริมาณมาก
ร้านอาหารยังคงคึกคักไปจนกระทั่งดึก พวกเขาสามารถทานอาหารที่ชอบได้ในย่านนี้ ณัฐณิชาก็เคยมาหลายครั้งเพราะซิกนัสชอบเรื่องกินเป็นพิเศษ แต่เมื่อรัชชานนท์พามา เธอคิดว่าการทำตัวเป็นคุณหมอผู้อ่อนหวาน ยินยอมให้เขาเป็นฝ่ายเสนอแนะน่าจะทำให้ผู้กองหนุ่มรู้สึกดีมากว่า
“ผมชอบร้านซูชิร้านนั้น ส่วนถ้าชอบพาสต้า ต้องทานที่ร้านโน้น เค้าบอกว่าเก่าแก่มาก เปิดที่นี่มาตั้งแต่ก่อนยุคก่อการร้าย”

พาสต้าเหรอ...

จู่ๆ เธอก็คิดถึงหน้าของซิกนัสขึ้นมา ตอนที่มากินพาสต้าด้วยกันคราวก่อนซิกนัสดูดเส้นพรวดเดียวเข้าปาก แต่ซอสนี่กระจายเต็มโต๊ะไปจนถึงหน้าเธอ แถมซิกนัสยังมีหน้ามาหัวเราะใส่เธอทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำแท้ๆ แม้ระยะหลังตั้งแต่เธอมาทำงานที่นี่จะทำให้ไม่สามารถไปไหนมาไหนกับซิกนัสเพื่อไม่ให้ใครสังเกตก็ตาม...

ตายจริง ฉันส่งข้อความนัดซิกนัสไว้นี่นา

“เป็นอะไรครับคุณหมอ เหม่อจัง ผมกำลังถามว่าจะทานอะไรดีสองรอบแล้วน้า” รัชชานนท์โบกมือไปมาตรงสายตาของเธอก่อนจะก้มลงยื่นหน้ามาใกล้ หญิงสาวที่มัวแต่คิดอะไรอยู่ พอเห็นอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้น เธอก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“โทษค่ะ พอดีฉันกำลังคิดเรื่องงานมากไปหน่อย” เธอตอบน้ำเสียงรนๆ รู้สึกว่าที่หน้ามีไอร้อนจางๆ  “ทานร้านนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวชี้ไปยังร้านขายอาหารจานเดียวตั้งใจจะให้มื้อนี้ผ่านไปไวๆ
“เอ้อ... ก็ดีเหมือนกัน ผมไม่เคยลองทานร้านนี้เลย” รัชชานนท์พูดยิ้มๆ พลางผายมือให้ณัฐณิชาเป็นฝ่ายเดินนำเขา ท่าทางสุภาพนั้นทำเอาเธอเกรงใจ ไปๆ มาๆ จึงนั่งทานข้าวกับเขาอยู่เป็นชั่วโมง...
พอนอกเวลางาน ณัฐณิชาเพิ่งสังเกตว่าผู้กองรัชชานนท์เป็นคนสบายๆ ไม่ได้มีมาดหรือเคร่งขรึมนัก เขาถามถึงเรื่องหลังจากพบกันครั้งแรกเมื่อสี่ปีที่แล้ว
“ยังไปบ้านเด็กกำพร้าอยู่ไหมครับ”
“ไปค่ะ” หญิงสาวยังจำได้ หลังจากรัชชานนท์รักษาตัวที่โรงพยาบาลจนหาย เขาก็มาหาเธออีกครั้ง ตอนนั้นเธอไปร้องเพลงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้จะไม่ได้คุยกันนัก แต่ตำรวจมาดเซอร์คนนั้นก็ยืนยิ้มแฉ่งมองเธอร้องเพลงให้เด็กๆ ฟัง
เขาขับรถตามเธอไปสถานเลี้ยงเด็กที่ไกลจากโรงพยาบาลกว่าสี่ร้อยกิโลเมตรทั้งที่มีเวลาด้วยกันเพียงครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มก็ถูกเรียกตัวไปทำงานและไม่ได้พบกันอีกเลยนับจากนั้น
“ฉันก็จบแล้วไปทำงานที่แรกที่ทางเหนือ รักษาพวกคนรวย โรงพยาบาลใหญ่อยู่พักหนึ่งน่ะค่ะ” เธอบอก มองเขาซดน้ำซุปท่าทางน่าอร่อย แถมไม่ค่อยแตะเนื้อสัตว์นัก “เมื่อก่อนเห็นคุณชอบทานสุกี้”
“ใช่ๆ ผมยังชอบอยู่นะ” เขาบอก “ช่วงนี้ก็ทานเกือบทุกคืน พอดีน้องสาวผมชอบทำอาหารน่ะ”
“คุณอยู่กับน้องสาวเหรอคะ” เธอถามอย่างสนใจ
“ก็ไม่เชิงครับ เธอเป็นลูกของคนที่อุปถัมภ์ผมมา พ่อแม่ของเธอจากไปแล้วผมก็เลยคอยดูแล” เขาบอกด้วยสีหน้าหม่นๆ แค่เห็นแววตาก็รู้ว่าเรื่องราวของเขาคงซับซ้อนอยู่
ไม่ต่างจากเธอ... หลายเรื่องในอดีตก็เป็นความทรงจำแสนหวาน และก็มีเรื่องที่เธอไม่อยากคิดถึง
“ดีจังนะคะ ฉันอยู่คนเดียวมาตลอด อยากมีพี่น้องบ้าง”
“คร้าบ ก็ดีนะ เธอป้ำๆ เป๋อๆ หน่อย แต่ก็ทำงานบ้านทุกอย่าง ไว้ผมจะพามาให้รู้จักดีไหม” เขาบอก มองดูคุณหมอสาวทานข้าวหมดจานอย่างรวดเร็ว “ไม่คิดว่าคุณจะหิวขนาดนี้”
“ฉันเป็นคนทำอะไรเร็วน่ะค่ะ” เธอบอก ก่อนจะหยิบน้ำมาดื่ม มองเวลาที่นาฬิกาแขวนบนผนังร้านด้วยความกระวนกระวาย
“รีบหรือเปล่าครับ” รัชชานนท์พอมองอาการออก หญิงสาวยอมรับ
“พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้านะค่ะ ช่วงนี้ที่โรงพยาบาลวุ่นมาก ฉันไม่อยากให้ตัวเองทำแต่เรื่องไลเบทอย่างเดียว อยากช่วยแบ่งเบาคนอื่นบ้าง” เธอบอกอย่างจริงใจ
“งั้นเรากลับกันดีกว่าครับ” เขาบอกก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ร้าน

ใครน่ะ?

จู่ๆ ณัฐณิชาก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมา หญิงสาวหันมองรอบร้านอาหารขนาดเล็กแห่งนี้ มีโต๊ะอยู่ในร้านเพียงเจ็ดตัว พอให้คนนั่งเจ็ดกลุ่ม กับที่นั่งตรงบาร์สำหรับพวกที่มาคนเดียว แต่ไม่มีใครหันมองเธอสักคน

ไม่จริง...

สัญชาตญาณของเธอไม่ผิดแน่ ต้องมีใครกำลังมองเธออยู่พักหนึ่งแล้ว และบางทีคนๆ นั้นอาจยังอยู่ในร้าน

แกร๊ง...

เสียงประตูร้านเปิดพร้อมกับเงาหลังไวๆ ของใครบางคนที่เดินจากไป ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็คงรู้แล้วว่าเธอรู้สึกตัว และจากไป
“เรียบร้อยแล้วครับ” รัชชานนท์เดินกลับมาที่โต๊ะ ณัฐณิชาปรับสีหน้าอีกครั้งไม่ให้เขารู้ว่าเธอกำลังสนใจใคร พวกตำรวจยิ่งชอบจับผิด
“ค่ะ”
ร่างบางเดินตามเขาออกไป ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงดีใจและมีเรื่องคุยมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า แต่เพราะช่วงนี้มีหลายอย่างให้คิด เดทแรกเลยไม่เป็นอย่างหวัง

อย่าโกรธฉันนะคะผู้กอง เรายังต้องเจอกันอีกนี่นา...

“ถ้ามีเวลา เรามาลองร้านอื่นกันอีกนะ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี ณัฐณิชาเห็นท่าทางสบายๆ ของชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งอก
โดยไม่สังเกตเลยว่าสายตาลึกลับนั้นยังคงมองเธออยู่ เมื่อเดินออกจากร้าน ใครคนนั้นยิ้มน้อยๆ พลางจดอะไรบางอย่างด้วยปากกาบนเทเลแกรม ชายร่างสูงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
…………………………………





 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.