web stats

ข่าว

+-User

Welcome, Guest.
Please login or register.
 
 
 
Forgot your password?
ปัญหาการสมัครสมาชิก
วิธีเปลี่ยนสถานะเป็นนักเขียน
วิธีลงนิยาย
วิธีใช้งานบอร์ด

+-สถิติการใช้งาน

Members
Total Members: 880
Latest: Levitra5a
New This Month: 0
New This Week: 0
New Today: 0
Stats
Total Posts: 1553
Total Topics: 886
Most Online Today: 153
Most Online Ever: 601
(21 กันยายน 2024 เวลา 08:04:58 )
Users Online
Members: 0
Guests: 154
Total: 154

ผู้เขียน หัวข้อ: ตอนที่ ๓ : ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์  (อ่าน 1344 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทอถักอักษรา

  • Moderator
  • ขาจร
  • *****
  • กระทู้: 73
ตอนที่ ๓ : ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
« เมื่อ: 11 เมษายน 2014 เวลา 18:15:30 »
ปาฏิหาริย์สายธารแห่งรัก Yuri
ตอนที่ ๓ :  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

   ในมุมหนึ่งของร้านขายเสื้อผ้าชุดนักศึกษายอดนิยมจากหมู่นักศึกษา ในจังหวัดเล็กๆของภาคอีสาน  กานต์พิชชากำลังเลือกชุดนักศึกษาในร้านค้าแห่งนี้กับศิรภัสสร เพื่อเป็นการฉลองที่กานต์พิชชาออกจากโรงพยาบาล  หลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหลายวัน  เธอเดินเลือกชุดนักศึกษาตามมุมต่างๆ ภายในร้านอย่างเพลิดเพลิน
   “ผึ้ง !” 
เสียงเรียกค้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้มือของกานต์พิชชาที่กำลังเลือกชุดนักศึกษาอยู่นั้นชะงักลงไป เธอหันหลังกลับไปมอง และพบกับภาพของหญิงสาวและชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าซึ่งทำให้กานต์พิชชาอยากให้ตัวเองหายไปจากตรงนั้นถ้ามันเป็นไปได้ เพราะหนึ่งในนั้น คือ อดีตคนรักที่เธอรักมากที่สุด และยังคิดถึงทุกลมหายใจ ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนสนิทที่เธอรักและไว้ใจที่สุด แต่ทั้งคู่ก็ได้ตอบแทนความรักและความไว้ใจของเธอ ด้วยการสวมเขาให้อย่างเลือดเย็น โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บปวดและทุรนทุรายเพียงใด  เมื่อหายตัวไปจากตรงนั้นไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดสำหรับเธอคือ เดินเลี่ยงไปโดยไม่ทักทาย
          “ผึ้ง ! เดี๋ยวสิผึ้ง หนิงกับต้นอยากคุยกับผึ้งจริงๆนะ” ปภาวรินทร์ดึงมือของกานต์พิชชาเอาไว้เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินหนีไป
   “ขอร้องนะผึ้ง แกฟังฉันกับหนิงสักนิดหนึ่งก่อนได้ไหม” เต็งหนึ่งพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาจะเดินหนีไปท่าเดียว
   “แต่เราไม่มีอะไรจะคุย !” กานต์พิชชาพูดและพยายามหลบสายตาของปภาวรินทร์ เพราะกลัวว่าหากเผลอสบสายตาคู่นั้นเข้า  ความรักความคิดถึงที่เธอแอบซ่อนอาไว้มันจะแสดงออกมาผ่านนัยน์ตาของเธอเอง
   “คุยกับใครเหรอผึ้ง” เสียงของศิรภัสสรที่ดังขึ้นทำให้กานต์พิชชารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เธอไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอึดอัดเพียงลำพัง
   “นี่พวกเธอสองคนเองเหรอ  แล้วนี่มายุ่งกับเพื่อนฉันทำไม ยังทำให้ผึ้งมันเสียใจไม่พออีกเหรอ” เมื่อเดินถึงที่ทั้งสามคนยืนอยู่  ศิรภัสสรถึงกับอึ้งไปทันทีเมื่อเห็นปภาวรินทร์กับเต็งหนึ่งกำลังคืนคุยกับกานต์พิชชา
   “อัยย์ พวกเราแค่อยากอธิบายเรื่องที่....” ปภาวรินทร์พยายามพูดกับศิรภัสสรแต่พูดยังไม่ทันจบศิรภัสสรก็แย้งขึ้นเสียก่อน
   “แต่ผึ้งไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ ไปผึ้งกลับห้องกันดีกว่า  เสื้อผ้าไม่ต้องซื้อมันแล้วบรรยากาศไม่เป็นใจ” พูดจบศิรภัสสรก็ดึงมือกานต์พิชชาออกไปจากร้านทันที

   ทางด้านปภาวรินทร์และเต็งหนึ่งก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยที่กานต์พิชชาไม่ยอมพูดจากับพวกตน อีกทั้งยังมีศิรภัสสรคอยกันท่าอีก และเมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองเจ้าของร้านที่มองตาเขม็งอย่างไม่พอใจที่ทำให้ต้องเสียลูกค้าไปถึงสองคน ปภาวรินทร์จึงตัดสินใจเลือกชุดนักศึกษาที่กานต์พิชชาเลือกค้างไว้เมื่อสักครู่นี้ด้วยความหวังว่าสักวันจะให้มอบให้กานต์พิชชาได้ใช้เผื่อว่ากานต์พิชชาจะนึกทบทวนถึงวันเก่าๆแล้วกลับมาคืนดีกับเธอดังเดิม
………………………………………..…………….

   เมื่อกลับมาถึงหอพักอีกครั้งกานต์พิชชาก็เอาแต่นั่งเหม่อและไม่พูดไม่จากับใคร ทำให้ศิรภัสสรกับอาทิตยาได้แค่มองหน้ากันด้วยความสงสารปนระอาใจเพราะทราบดีว่าเพื่อนรักนั้นเฝ้าคิดถึงปภาวรินทร์มากเพียงใดแต่เหตุฉไนเมื่อยามได้เจอหน้าปภาวรินทร์เข้าจริงๆกานต์พิชชากลับทำเหมือนคนไม่รู้จักเสียอย่างนั้นจนศิรภัสสรต้องพาหนีออกมาอย่างวันนี้
   “ผึ้ง ! แกคิดจะพูดอะไรบ้างไหมเนี่ย นั่งเงียบแบบนี้มันเหมือนไม่ใช่แกเลยนะเว้ย !” เสียงอาทิตยาดังขึ้นเมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาคงอยู่มีอาการนิ่งเงียบแบบนั้นอีกนาน
   “นั่นสิ แกนะต่อหน้าเขาก็ทำเหมือนเกลียดเข้ากระดูกดำแต่ลับหลังกลับโหยหาเขาแทบแย่” ศิรภัสสรพูดขึ้นมาบ้าง
   “ถ้าพวกแกสองคนเคยโดนเพื่อนสนิทแย่งคนรักไป แล้วแกจะเข้าใจว่าทำไมฉันจึงทำใจไม่ได้เมื่อเห็นสองคนนั้น” กานต์พิชชาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้า
   “เออๆ ไม่อยากเถียงกับแกแล้ว ไปหาอะไรกินดีกว่าเอ แล้วแกจะไปไหมวะผึ้ง  ถ้าแกไม่ไปพวกฉันไปแล้วนะ” เมื่อเห็นว่ากานต์พิชชาส่ายหน้าแทนคำตอบ  ศิรภัสสรกับอาทิตยาจึงพากันออกไปหาอาหารรับประทานข้างนอก
   กานต์พิชชานั่งคิดอะไรต่อสักพักก็รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกร้องหาอาหารจากกระเพาะที่กรีดร้องขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เธอจึงรีบเปิดประตูห้องออกไปในทันทีโดยไม่ได้คิดว่าจะมีใครเดินผ่านห้องของเธอหรือเปล่า
    “อัยย์ เอ ฉันไปด้วย” พูดจบกานต์พิชชาก็พรวดพราดออกไปจากห้องทันที 
    “โป๊ก ! โอ๊ย !”  เสียงศีรษะชนกันขึ้นตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครคนหนึ่ง
    “คุณๆ เป็นอะไรรึเปล่า” กานต์พิชชารีบถามเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ายืนเอามือกุมศีรษะอยู่ เมื่อเธอได้มองร่างนั้นเต็มๆตาก็พบกับหญิงสาวตัวเล็ก บอบบาง ใบหน้ารูปไข่ หน้าตา หน้ารัก ผมตรงยาวถึงกลางหลัง กำลังจ้องมองเธออยู่อย่างไม่พอใจ
    “ทำไมไม่ระวังเลย  เนี่ยถ้าฉันหัวแตกไปทำไงล่ะคุณ” แพรพลอยโวยวายเมื่อพบว่าคู่กรณีเป็นสาวหล่อหน้าหวานคนหนึ่งซึ่งจัดว่าเป็นคนสวยมากถ้าอยู่ในชุดกระโปรงมิใช่กางเกงยีนส์ เสื้อยืดตัวโคร่งอย่างที่เจ้าตัวกำลังสวมใส่อยู่ ณ ขณะนี้
“ขอโทษค่ะ แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ หัวแตกหรือเปล่าขอดูหน่อยได้ไหม” กานต์พิชชาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานขัดกับบุคคลิกสุดๆ แพรพลอยชักสีหน้าบึ้งตึงแทนคำตอบแต่ยอมให้เธอดูศีรษะแต่โดยดี
          “ไม่แตกแต่โนนิดหน่อย เดี๋ยวเราจะไปเอายาหม่องมาให้ รอสักครู่นะ” พูดจบกานต์พิชชาก็เดินเข้าห้องเพื่อหยิบตลับยาหม่อง
   “อ่ะนี่คุณ ยาหม่อง เอาไปทานะคะ มันคงช่วยให้หัวคุณหายโนได้บ้าง” กานต์พิชชาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นตลับยาหม่องให้หญิงสาว
             “ขอบคุณค่ะ แล้วคุณล่ะเป็นอะไรมากหรือเปล่า” แพรพลอยถามอีกฝ่ายอย่างห่วงใยเพราะเดาว่าคงเจ็บไม่น้อย
   “ไม่เป็นอะไรหรอก เราหัวแข็ง” กานต์พิชชาพูดพร้อมกับส่งยิ้มละไมไปให้
“ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วเดี๋ยวเรากลับห้องแล้วนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหาได้มีความเจ็บปวดแม้เพียงสักนิด แพรพลอยจึงเดินกลับห้องด้วยความรู้สึกขุ่นในอารมณ์
   ลับหลังแพรพลอย กานต์พิชชาเอามือลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ใครว่าเธอไม่เจ็บล่ะที่จริงแรงกระแทกเมื่อสักครู่ทำให้เธอร้อง จ๊าก ! ออกมาด้วยซ้ำแต่เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นโดนเฉพาะสาวๆ และสาวที่ว่าก็น่าตาน่ารักน่าเอ็นดูใช่ย่อยที่ไหนล่ะ  กานต์พิชชามองตามแพรพลอยที่ลับหายไปในห้องข้างๆเธอด้วยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินออกไปรับประทานอาหารที่มีอยู่รายรอบหอพักของเธอ
เสียงกระแทกประตูปิดดังขึ้น ทำให้มธุวารี หันไปมองอย่างตกใจ แต่ก็ต้องรีบเข้าไปดู เมื่อเห็นแพรพลอยกำลังทำหน้าตาไม่พอใจพร้อมกับถือยาหม่องเข้ามาในห้องและที่ศีรษะของเธอ มีรอยปดเท่าลูกมะนาวขนาดย่อมๆอยู่ด้วย
   “คนบ้าอะไร ! หัวแข็งชะมัดยากเลย” แพรพลอยบ่นงึมๆงำๆเหมือนหมีกินผึ้งเมื่อเข้ามาในห้องแล้ว
   “เป็นอะไรหรือเปล่าพลอย หัวไปโดนอะไรมาปูดเชียว ขอดูหน่อยนะแก” มธุวารีพูดขึ้นก่อนยืนมือไปจับศีรษะของแพรพลอย  ทำให้แพรพลอยร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเมื่อมธุวารีจับหัวโนของเธอแรงเกินไป
 “โอ๊ย ! เจ็บนะน้ำหวาน จับมาได้”
   “ขอโทษๆ ว่าแต่แกไปโดนอะไรมาเนี่ยปูดเชียว” มธุวารีพูดขณะเอามือลูบศีรษะเพื่อนเบาๆ
   “ก็เมื่อกี้ฉันเดินผ่านห้องข้างๆ กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ก็มียัยบ้าที่ไหนไม่รู้โผล่พรวดมาชนฉันได้เนี่ย คอยดูนะถ้ามันไม่ยุบฉันจะไปฟ้องร้องให้ดู” แพรพลอยพูดขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด
   “ใครเหรอ ห้องข้างๆ ห้องทางซ้ายหรือทางขวาเหรอพลอย”
   “ห้องทางซ้าย  ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา พรวดพราดออกมาได้ ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย”
   “ว้าย ! นั่นมันห้อง  ๗๒๖ ห้องที่นักศึกษา คณะเภสัชศาสตร์อยู่กันนี่นา แต่ใครกันที่ชนแก คนสูงๆ ขาวๆ เท่ๆ หน้าหวานใสในมาดหนุ่มญี่ปุ่น หรือว่าคนผิวคล้ำ เท่ หุ่นนักกีฬา หรือว่า...”
   “พอๆไม่ต้องสาธยาย คนที่แกถึงพูดคนแรกนั่นแหละ แต่ฉันว่าไม่เห็นจะหล่ออย่างแกว่าเลย หน้าหวานขนาดนั้น ชิ ! ว่าแต่แกไปรู้จักคนพวกนี้ได้ยังไง คนละคณะกับเราเลยนะน้ำหวาน” แพรพลอยถามอย่างสงสัยก็ในคณะศึกษาศาสตร์ที่พวกเธอเรียนอยู่กับคณะเภสัชศาสตร์นั้นตึกเรียนไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย
   “ต๊าย ! เค้าออกจะน่ารักแกไปว่าเค้าซะเสียหายหมด แล้วนี่แกไปอยู่ไหนมาพลอย ถึงไม่รู้จัก พวกเขาออกจะดังที่สุดในมหาวิทยาลัยเราเลยนะ”
   “ชั่งเถอะ ! จะเด่นจะดังมาจากไหนก็ชั่ง มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันสักนิด” แพรพลอยพูดก่อนเปิดตลับยาหม่องและเอาเนื้อยาแต้มที่หัวโนตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ
   “มานี่ฉันช่วยทา ว่าแต่พี่ป๊อปกลับไปแล้วเหรอ” มธุวารีเอายาหม่องถูนวดไปที่หัวโนของแพรพลอยอย่างเบามือและถามถึงปองปราชญ์ซึ่งเป็นคนรักของเพื่อน
   “กลับไปแล้ว งานพี่เขายุ่งๆนะช่วงนี้ เฮ้อ...” แพรพลอยถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เมื่อพูดถึงคนรัก
   “คิดมากน่าพลอย คนทำงานแล้วก็งานยุ่งแบบนี้แหละ นี่จ๊ะฉันทาเสร็จแล้ว” มธุวารียื่นตลับยาหม่องคืนให้เพื่อนเมื่อทายาเสร็จแล้ว
   “น้ำหวาน ทำไมพี่ป๊อปเขาไม่สนใจฉันเลย ทำไม ฉันทำผิดอะไร พี่ป๊อปเขาไม่รักฉันแล้วใช่ไหม” แพรพลอยโผเข้ากอดเพื่อนก่อนปล่อยโฮออกมาท่ามกลางความตกใจของมธุวารี
   “พลอยร้องไห้ทำไมเนี่ย ! ทำไมแกคิดมากอย่างนี้นะ เฮ้อ...”
   “ฉันไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ป๊อบเขาไม่ได้รักฉันเลย”
   “พลอย ! แกคิดมากเกินไปไหมเนี่ย คนทำงานกับคนเรียนมันไม่เหมือนกันนะ พี่เขาแค่งานยุ่งไม่ได้ทิ้งแกไปสักหน่อย”
   “ทิ้งสิ ทำไมจะไม่ทิ้ง ทิ้งให้ฉันเหงา เศร้า เดียวดายและหวาดระแวงไปต่างๆนานา ยังไงล่ะฮือๆ ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะน้ำหวาน” แพรพลอยยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน้อยใจในคนรัก
   “เฮ้อ...งั้นแกก็เลิกกับพี่เขาเลยสิ ทนไม่ไหวก็เลิกก็แค่นั้น” มธุวารีพูดก่อนลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มายื่นให้แพรพลอย
   “เอามาทำไมล่ะ” แพรพลอยมองโทรศัพท์มือถือในมือที่มธุวารียื่นมาให้อย่างงงๆ
   “ก็แกทนไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เอาไปโทรบอกเลิกพี่ป๊อปซะ จบๆกันไปแกจะได้ไม่ต้องมาร้องไห้เพราะความน้อยใจแบบนี้”
   “บ้า ! โทรทำไม บอกเลิกอะไรกัน ฉันแค่น้อยใจเฉยๆ ไม่เคยคิดจะเลิกกับพี่เขาสักหน่อย”
   “ถ้าเลิกไม่ได้ก็หยุดร้องไห้เสียทีแล้วก็หัดไว้ใจและเชื่อใจแฟนตัวเองเสียบ้าง แล้วนี่แกทานอะไรมาหรือยังล่ะ”
   “อืม...ทานกับพี่ป๊อปแล้วล่ะ แล้วแกล่ะน้ำหวานทานอะไรหรือยัง”
      “เรียบร้อยแล้ว พลอยฉันจะบอกอะไรให้นะในเมื่อแกเลือกที่จะมีความรักแกก็ไม่ควรที่จะกลัวความเสียใจ”
   “เฮ้อ...ความรักทำไมมันน่าปวดหัวแบบนี้ด้วยนะ” แพรพลอยพูดก่อนขึ้นไปนอนคว่ำหน้ากับเจ้าเหมียวคิตตี้ตัวโปรดบนเตียงสีหวาน
   “ที่ใดมีรักที่นั่นก็ย่อมมีทุกข์ เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงตรัสไว้เลย”
   “นั่นสินะ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์...” แพรพลอยรับคำเพื่อนก่อนหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
   “ความรักก็เป็นแบบนี้แล้วแกจะคิดมากทำไม...” มธุวารีลูบศีรษะแพรพลอยที่หลับไปแล้วอย่างห่วงใยก่อนที่จะเลื่อนตัวไปนอนเคียงข้างเพื่อนรักที่หลับไปก่อนหน้า
………………………………………..…………….




 

Powered by EzPortal
    ต้นฉบับในเว็บไซต์เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งต้นฉบับที่นำมาลง
    copyright © Yuriread.com All rights reserved.